นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 07 ธ.ค. 2025 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การภาวนา
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 06 พ.ย. 2025 5:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 5136
จิตกับกายมันคนละส่วนกัน
เวลากายมันแตกจิตมันก็ออกไปหาที่เกิดใหม่
เฮาเฮ็ดดี มันกะไปสู่บ่อนดี
เฮาเฮ็ดชั่ว มันก็้พาเฮาไปบ่อนชั่ว
สำคัญอยู่ที่จิตที่ใจนั้นละ
ร่างกายเฮามันบ่ได้รู้เรื่องหยัง
มีแต่จิตเป็นผู้รับรู้พามันไปใสมันกะไปเดะกายเฮา
พาไปทำดีทำชั่วก็จิตใจอันเดียวนี้ละ ...

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ปั่น สมาหิโต (อายุ ๙๙ ปี)





"... ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
ไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะปฏิบัติได้
ถ้าเหลือวิสัยแล้วพระพุทธองค์จะไม่สอน
ธรรมที่พระพุทธองค์สอนให้ผลได้จริง
เราเองต่างหากปฏิบัติไม่จริง เหลาะแหละ
แล้วจะให้ได้ผลได้อย่างไร ..."

โอวาทธรรรม หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธมฺโม







"..ธุดงควัตรที่เกี่ยวกับการเยี่ยมป่าช้า เป็นธุดงค์เครื่องปลุกเตือนพระและหมู่ชนมิให้ประมาทในเวลามีชีวิตอยู่ โดยเข้าใจว่าตัวจะไม่ตาย ความจริงก็คือคนที่เริ่มตายเล็กตายน้อยตายไปอยู่ทุกเวลานั่นเอง เพราะคนที่ตายจนถึงกับย้ายบ้านใหม่ไปปลูกสร้างกันอยู่ที่ป่าช้าจนดาษดื่นแทบจะหาที่เผาและที่ฝังกันไม่ได้ ก็ล้วนแต่คนที่เคยตายเล็กตายน้อยมาแล้ว เช่น พวกเราผู้ยังมีชีวิตอยู่นี่เอง จะเป็นคนแปลกหน้ามาจากที่ไหน พอจะเห็นว่าเราเป็นคนที่แปลกกว่าเขา แล้วประมาทว่าตนจะไม่ตาย ที่ท่านสอนให้เยี่ยมญาติพี่น้องผู้เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ก็เพื่อเตือนไม่ให้หลงลืมญาติพี่น้องอันดั้งเดิมในป่าช้านั่นเอง เพื่อจะได้ท่องบ่นไว้ในใจว่า เรามีความแก่ เจ็บ ตายอยู่ประจำตัวทั่วหน้ากัน ไม่มีใครจะกล้าอุตริเย่อหยิ่งตัวว่า จะไม่เกิด แก่ เจ็บ ตายได้ เมื่อสายทางแห่งวัฏฏะที่ตนยังท่องเที่ยวเรียนสูตรอยู่ยังไม่จบ.."

ภูริทตฺตธมฺโมวาท
พระครูวินัยธร (หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) วัดป่าสุทธาวาส ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองจ.สกลนคร






***สกิทาคามีจิตใจเบาลง***

... ต่อมา ปฏิฆะ อารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็ใช้พรหมวิหาร ๔ หรือกสิณ ๔ พรหมมวิหาร ๔ คือ
๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร
๓. มุทิตา จิตใจอ่อนโยน
๔. ความวางเฉย

ใช้อารมณ์นี้เพื่อการทรงตัว หรือว่าใช้พรหมวิหาร ๔ ไม่ถูกกับจริตของตนก็ให้ใช้ กสิณ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งคือ
๑. สีแดง
๒. กสิณสีเหลือง
๓. กสิณสีเขียว
๔. กสิณสีขาว

เอาเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ให้ทรงตัวไว้ กสิณจะเข้ามาช่วยตัดโทสะความโกรธให้หายไป ในเมื่อถึงอนาคามีแล้วความโกรธจริงๆไม่มี ความรักในระหว่างเพศไม่มี แต่ความโกรธแบบงิ้วมี รู้จักไหม งิ้วมันโกรธกันน่ะ อยู่หน้าฉาก โอ๊ย...จะตีกันตาย พอเข้าไปในโรงกินข้าว หรือข้าวต้มรวมกันแล้ว.....

โดยพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
วัดท่าซุงจังหวัดอุทัยธานี

'ธรรมปฏิบัติ ๗๓'

"ทางสายพระอริยบุคคล"
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๘






"..ขอให้พวกเราเผชิญกับความจริง คือการเปลี่ยนแปลงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา เพราะฉะนั้น เราจะต้องเป็นผู้มีใจเข้มแข็ง ในชีวิตของเราทุก ๆ คน จะตกไปอยู่ที่ไหน ก็สร้างคุณงามความดี ถึงแม้จะหมดชีวิตไป ก็อย่าทิ้งคุณงามความดี คือข้อประพฤติปฏิบัตินั่นแหละมันดี อย่างอื่นมันดีไม่ได้หรอก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโรสิยา ตนแหละเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครจะเป็นที่พึ่งเราได้ อันนี้มันเป็นความจริง อะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงคราวมันจะเป็นไปแล้วก็เป็นไป อย่าไปคิดอะไรมากลำบากตัวเองเปล่า ๆ จงอุตส่าห์ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ดำรงชีวิตสร้างความดีต่อไป ให้มีความสามัคคี เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน มีความเมตตาอารีต่อกัน จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครอยู่ได้นานเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวเราก็พากันจากกันไปหมดนั่นแหละ.."

โอวาทธรรมคำสอน
พระโพธิญาณเถระ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
(พ.ศ.๒๔๖๑-๒๕๓๕) จากหนังสือ : อุปลมณี หน้า ๕๒๖






“เกิดเป็นคนเหมือนกันแต่ใจมันไม่เหมือนกัน
ใจนี่แหละทำให้คนต่างกัน ไม่ใช่ร่างกาย
ทรัพย์สมบัติเงินทองของนอกกาย
พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา
แต่พระทัยของพระองค์เป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลก
ที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือ พระทัยของ
พระองค์บริสุทธิ์นั่นแหละ พระอรหันต์
ทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านก็เป็นคนเหมือน
พวกเรา แต่ท่านไม่เหมือนพวกเราในเรื่อง
หัวใจที่ใสบริสุทธิ์ คือเป็นคนเหมือนกันแต่
หัวใจมันต่างกัน ท่านผู้ประเสริฐมีพระพุทธเจ้า
เป็นต้นเหล่านี้ ท่านเป็นผู้ฝึกตนมาดี เก็บเกี่ยว
เอาทุก ๆ เรื่องมาสอนตน ในที่สุดท่านก็
กลายเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมาได้ท่ามกลาง
โลกที่โสมม” ...
...
พระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท)
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก
จ.ปทุมธานี (พ.ศ.๒๔๕๙-๒๕๔๗)







"...อดีต​มันล่วงไปแล้ว​ มันล่วงมาแล้ว จะเอามาเป็นอารมณ์​ให้ใจเศร้า​หมองทำไม อนาคต​ยังมาไม่ถึง​ อย่าไปคิดมัน​ ให้มันมาเจอก่อนจึงคิด ให้พิจารณา​ปัจจุบัน พิจารณา​ร่างกายนี้ ของแตกของเน่านี่ มันจะตายวันไหน​ มันจะเป็นอย่างไร​ พิจารณา​ให้เห็นว่า มันไม่พ้นความตายแล้ว ตายนอนทับกันอยู่

รีบทำความเพียร รีบบำเพ็ญ​ภาวนาให้ศีล ให้สมาธิ​ ให้ปัญญา​เกิดขึ้น ความชั่วที่เก็บมาให้มันเผาจิต​ ต้องเปิดออกปัดออกเอาแต่ความดีเข้ามาสู่ดวงจิต​ดวงใจของตน ให้ใจเบิกบาน​ใจร่าเริง​ ให้ใจกว้างอย่าให้ใจแคบ..."

หลวงปู่ขาว​ อ​นา​ลโย






“ให้พากันสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน
คนเราต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
ก็คือได้ไหว้พระก่อนนอนนี่แหละ
ส่วนสัตว์เดรัจฉานอยากนอน
มันก็ทิ้งตัวลงนอนเลย อย่าเห็นแก่นอนซี่
ไหว้พระสักหน่อยจะได้ดีกว่าเดรัจฉาน”
...
คำสอน หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย






จิตกับกายมันคนละส่วนกัน
เวลากายมันแตกจิตมันก็ออกไปหาที่เกิดใหม่
เฮาเฮ็ดดี มันกะไปสู่บ่อนดี
เฮาเฮ็ดชั่ว มันก็้พาเฮาไปบ่อนชั่ว
สำคัญอยู่ที่จิตที่ใจนั้นละ
ร่างกายเฮามันบ่ได้รู้เรื่องหยัง
มีแต่จิตเป็นผู้รับรู้พามันไปใสมันกะไปเดะกายเฮา
พาไปทำดีทำชั่วก็จิตใจอันเดียวนี้ละ ...

โอวาทธรรม
#หลวงปู่ปั่น สมาหิโต (อายุ ๙๙ ปี)









"..จงพึ่งตัวเอง จงเป็นแสงสว่างของตัวเอง
จงเป็นผู้นำตัวเอง จงรับผิดชอบตัวเอง
จงพิจารณาตัวเอง จงมีตนเป็นที่พึ่ง
#ที่พึ่งภายในตนเองสำคัญมากกว่าที่พึ่งภายนอก ซึ่งมาจากคนอื่น ถึงคนอื่นจะช่วยได้ ก็ช่วยได้เฉพาะ
#เพราะตนเองต้องช่วยตนเองก่อน พระพุทธเจ้าก็เป็นแต่ผู้ชี้ทางแนะนำสั่งสอนให้เท่านั้น
.
ฉะนั้น จงพึ่งตัวเอง จงเป็นแสงสว่างนำตัวเอง อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอก ทุกคนต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคแห่งวิถีชีวิตของตนด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ญาติ มิตรสหาย ผู้มีไมตรีจิตสนิทสนมรักใคร่
#ก็เพียงแต่เป็นผู้เอาใจช่วย เป็นกำลังใจ เป็นเครื่องกระตุ้นบำรุงขวัญเท่านั้น.."

โอวาทธรรมคำสอน
ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺวิตกฺโกภิกขุ)






เอาความจริงของชีวิตในปัจจุบันนี้
มาเป็นส่วน ... ของการภาวนา
ให้มันเห็น ... ตามความเป็นจริง
ให้มันคาย ... จากความยึดถือ
คายจากความสำคัญตัวตน ให้มันสงบระงับ
ความสงบระงับ นี่แหละ คือความเป็นสมณะ ...
...
พระพรหมวชิรญาณโสภณ
(หลวงปู่เลี่ยม ฐิตธมฺโม)
เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง






"ผู้ปฏิบัติจะออกจากทุกข์ได้ก็เพราะมาเห็นสมมุตินี่แหละ ทุกข์เพราะสมมุติ สมมุติว่าเป็นโน่นเป็นนี่ เราไม่สมมุติ หยุดสมมุิตล่ะ มันก็เป็นวิมุตติ

หลุดพ้นหมดสิ่งสาระพัดทั้งหลาย หลุดพ้นเหตุเหตุใด

พ้นเพราะเราไม่สมมุติ มันก็เป็นวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เราได้เห็นแล้วก็พ้นจากสมมุติ"

..... หลวงปู่ฝั้น อาจาโร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO