นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 21 พ.ค. 2024 10:17 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 29 ก.ค. 2009 10:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 14 ต.ค. 2008 9:22 pm
โพสต์: 832
รบกวนพี่ๆ ช่วยเล่าเรื่องหรือประวัติความเปนมาแห่ง องค์พระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตาวัว และพระฤาษีที่คนนิยมบูชา ว่าแต่ละองค์มีประวัติความเปนมาอย่างไรบ้าง และความสำคัญของแต่ละองค์ มีอย่างไร รบกวนพี่ๆๆ ผู้รู้ช่วยน้องเอสซี่ ด้วยนะคับ ขอบคุณ คับ

_________________
"สติเป็นบ่อเกิดของธรรม ใครอยากให้ธรรมเกิด พึงมีสติอยู่ทุกเมื่อ"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 29 ก.ค. 2009 11:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 5:09 pm
โพสต์: 1368
โห...เอส หายไปนานเลยนะ พอมาทีนี่คำถามชุดใหญ่เลย... :lol: :lol: :lol:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 30 ก.ค. 2009 6:55 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
แล้วประวัติของฤาษีน้อยไม่อยากรู้เหรอ... :mrgreen: น้องซี่ :lol:

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 30 ก.ค. 2009 10:36 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
.gif


_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 30 ก.ค. 2009 11:39 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
Combo Set !!! :lol: :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 12:26 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
คุณชายนายเอสซี่ เขียน:
รบกวนพี่ๆ ช่วยเล่าเรื่องหรือประวัติความเปนมาแห่ง องค์พระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตาวัว และพระฤาษีที่คนนิยมบูชา ว่าแต่ละองค์มีประวัติความเปนมาอย่างไรบ้าง และความสำคัญของแต่ละองค์ มีอย่างไร รบกวนพี่ๆๆ ผู้รู้ช่วยน้องเอสซี่ ด้วยนะคับ ขอบคุณ คับ


เออ....เห็นคำถามแล้วบอกได้คำเดียวกับน้องเอสซี่ :ydie: :ydie:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 12:29 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 06 เม.ย. 2009 11:35 am
โพสต์: 1037
เรื่องพระฤๅษีนี่คุยกันยาวครับ ยิ่งประวัติยิ่งยาวครับ นัดเจอกันสักครั้งดีมั๊ย ร้านอาหารแถวๆชลบุรีก้อได้ ให้คุณรณธรรมกะคุณอู๊ดๆ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงสักมื้อ ประมาณ 2 วัน 3 คืน ก้อน่าจะจบครับ

_________________
นะโม โพธิสัตโต จะพรหมรังสิโย ฐิตคุโณ ฐานะวีโร สิทธัง
http://www.web-pra.com/Shop.mvc/rachundum


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 2:51 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
yoyo_038.gif


_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 9:20 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ไม่ว่าง ไม่อยู่ ไม่รู้ ไม่ทราบจ้า

ก็ตรงคำว่า "เลี้ยง" นี่แหละ ที่จะทำให้เราสองคนมีปัญหา :lol: :lol: :lol:

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 9:21 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
"ปัญหาใหญ่" ด้วยฮะ :lol: :lol:



8637.gif


_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 10:06 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
แถมยัง2-3วันอีกต่างหากโดดงานไม่ได้ด้วย :mrgreen:

แต่ถ้าโดดแบบนี้ไปแน่..
032-4[1].jpg


_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 10:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
ว่าจะแอบไปงานเลี้ยงด้วยซะหน่อย ถ้าอย่างนั้นไม่ไปก็ได้แต่ขอเหรียญทองฤาษีของพี่อู๊ดแทนแล้วกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 ก.ค. 2009 10:43 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ขอเอาไป "ชุบ" แปร๊บนะครั่บบ :mrgreen:


จะรับซักกี่ไมครอนครับ :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 2:00 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 01 ส.ค. 2009 11:36 pm
โพสต์: 83
ปู่ฤาษี พัดโบก ตามประวัติของท่านในปั๊ปสา บอกไว้ว่าเป็นผู้รักษาอัฐบริขารของพระสิวลี แถมยังเป็นผู้รจนาคาถาอิทธิฤทธิ์และหัวใจพระสิวลีที่หลวงปู่สิงห์โตใช้ลงพัดใบตาลเรียกลาภ วิชาของท่านนั้นเน้นที่พัดเอาสิ่งดีๆเข้ามา โบกเอาสิ่งร้ายๆออกไป


แนบไฟล์:
dsc09503ia.jpg

ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 2:10 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
บทความ
เรื่อง
พระฤๅษีตาไฟ


พระฤๅษีตาไฟตามเเต่ที่มนุษย์เราทานทั้งหลายเข้าใจ อาจมีคติความเชื่อ และ ความศรัทธา แตกต่างกันออกไปตามที่ปรากฎอยู่ในท่ามกลางปัจจุบันนี้ พระฤๅษี หรือ พระมุนี ผู้ครองศีล ผู้บำเพ็ญพรตหรือผู้อยู่ในลัทธิ ใดลัทธิหนึ่งฯมีการบำเพ็ญเพื่อให้จิตหรือสภาวะที่เรียกว่าความสงบ(ตามเเนวทางลักษณะการปฏิบัติสายอินดู)เช่น...
-สาธุ(โยคี)กลุ่มนักบวชที่ยึดถือการปฏิบัติ ภิกขาจาร ทรมานตน ถือความสงบสันโดษและพรหมจรรย์เพื่อเข้าถึงโมกษะและเข้าถึงพระเป็นเจ้า
-คุรุ, สวามี มีวิธีที่แตกต่างจากกลุ่มนักบวช โยคี คือ บำเพ็ญเพื่อเผยแพร่หลักการปฏิบัติ คำสอน มีทั้งพวกที่ถือพรหมจรรย์ และพวกที่ปฏิบัติตน เช่น คฤหัสถ์ ครองเรือน ฯ
-บัณทิต เป็นกลุ่มนักบวชผู้แสวงบุญและการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ในการบูชาเทพเจ้า โดยการศึกษาพระคัมภีร์ ปุราณะต่าง ๆ เช่น คัมภีร์ลิงศปุราณะ, คัมภีร์มัตสยปุราณะ, คัมภีร์ศิวปุราณะ, คัมภีร์พระเวทย์, คัมภีร์พรหมปุราณะ , คัมภีร์วิษณุปุราณะ, ไววรรตปุราณะ เป็นต้น
การบำเพ็ญเพียรของโยคี, พระฤษี, สาธุ ฯ ด้วยการปฏิบัติทางหลักโยคะศาสตร์ เพื่อยังผลให้ก่อเกิดความสงบ พลัง เพื่อจะได้เข้าถึงพระเป็นเจ้าที่ตนได้นับถือและยึดเป็นแบบอย่าง ผลแห่งการปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ กายและจิตเกิดตบะแห่งการแผดเผากิเลส จึงมีผลหรืออำนาจพลังเกิดขึ้นดังเช่นพระฤๅษีตาไฟที่ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างให้เราท่านทั้งหลายได้เห็นวิถีแนวทางในการปฏิบัติจะนำพาวิถีจิตของตนสู่พลังและอำนาจทั้งภายในและภายนอก ผลของสมาธิที่ได้กระทำการบำเพ็ญตบะ หากเป็นไปในตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้ที่กระทำจิตด้วยความเพียรและได้ตั้ง ปฏิธานไว้ทางใดทางหนึ่ง เมื่อจิตเข้าสู่สภาวะฌานสมาบัติขั้นต่าง ๆ ผลนั้นจะก่อให้เกิดอำนาจทิพย์ญาณ ก่อเกิดอิทธิวิธี บุญวิธี และอภิญญาวิธี ในด้านใดด้านหนึ่งแล้วแต่ผู้บำเพ็ญเพียรจะตั้งจิตบุคคลอธิฐานในการปฏิบัติด้านนั้น ดังเช่นฤาษีตาไฟ (ตบะหรือเตโชธาตุ) ที่ทรงตั้งและกำหนดไว้จึงได้ปรากฏออกมาให้ได้เห็นเป็นสัญลักษณ์ในรูปของพระเนตรที่ 3 ที่มีลักษณะตั้งขวางระหว่างกลางพระนลาฏ ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยที่ผ่านพ้นมาถึงปัจจุบัน ผู้ที่ตั้งจิตกายกระทำตบะบำเพ็ญเพียรอย่างเช่น พระฤาษีตาไฟนั้นมีมากเกินกว่าคณานับได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะทำการเพ่งกสินเตโชธาตุ ผู้บูชาเพ่งดวงพระสุริยาทิตย์ บูชาเพ่งกองกูณฑ์ หรือแสงสว่าง อุปเท่ฯนั้นย่อมก่อให้เกิดพลังและอำนาจและลักษณะของพระเนตรที่ 3 มีดวง (ปวงอัคคีธาตุ รูปเปลวไฟ) หรืออุณาโลมอยู่กลางพระนลาฏเสมอ เพื่อแสดงให้เห็นผลแห่งการปฏิบัติ ฉะนั้นบุคคลผู้ฝึกการปฏิบัติตบะบำเพ็ญจนได้เข้าถึงฌานสมาบัติ จนเกิดพลังหรือปราณ เกิดอำนาจทิพย์เนตร อำนาจแห่งการเห็น หยั่งรู้ด้วยพระเนตรที่ 3 อำนาจแห่งการทำลายล้าง จึงสามารถใช้คำเรียกผู้ที่วิเศษเหล่านี้ได้ว่า พระฤาษีตาไฟ หรือ พระฤาษีเนตรอัคคีฯ พระฤๅษีตาไฟที่เราท่านทั้งหลายได้กระทำการบูชานั้นจึงมีอุปเท่ฯที่ได้จากการบำเพ็ญฌานสมาบัติพอที่จะจำแนกกล่าวได้ดังต่อไปนี้ -เป็นผู้รู้ฟ้าดิน -เป็นผู้ที่มีเนตรที่3หรืพระอุณาโลมประดับกลางพระนลาฏใช้ในการพิจารณาญาณ สมาบัติ จึงเป็นที่รวบรวม ปรธาตุบรรจุ ปวงอัคคีธาตุ หรือพลังในการสรรค์สร้าง และพลังในการทำลายล้าง -เป็นผู้ที่สามารถเข้าฌานสมาบัติได้นับร้อยปี -เป็นผู้ที่สามารถกระทำฤทธิ์แบ่งฌาน การแตกกายทิพย์ ตามแต่พระองค์ได้มาก -เป็นผู้รู้สรรพวิทยาความรู้เฉพาะตน -เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามหลัก ศาสตร์เเห่งความเป็นจริง-สุข, ทุกข์, เกิด, ตาย -เป็นผู้ที่รอบรู้ในการดำรงอยู่ในกัปล์เเละกัลป์สามารถแบ่งภาคหรือการละเอียดต่างๆได้ตามยุคสมัยฯ จะเห็นได้ว่าการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ ใช่เเต่ว่าจะใช้ในจำเพาะของฤๅษีตาไฟฯเท่านั้นแต่ในพระฤๅษีองค์อื่นก็มีลักษณะที่คล้ายหรือแตกต่างกันออกไปไม่มากก็น้อยเช่น -พระฤๅษีนารายณ์(บางภาค)การปฏิบัติของพระองค์นั้นก็จะยึดถือการบำเพ็ญเพียรโดยมีพระศรีสัตตระนารายณ์เป็นที่ตั้งเพื่อขอพรในการปฏิบัติของตนให้สำเร็จเมื่อองค์พระศรีสัตตระนารายณ์ประทานพรอันวิจิตรให้พระฤๅษีที่ปฏิบัติจนเป็นที่สำเร็จด้วยอำนาจแห่งทิพย์ฌานก็ดลบันดาลให้รูปลักษณ์ ภายนอกของพระมหาฤๅษีนารายณ์มีการเกิดปติภาค อำนาจแห่งการสรรค์สร้างทำให้พระฤๅษีมี 4 พระกร หรือ 8 พระกรตามเเต่พระกำลังในการปฏิบัติ ทรงเครื่องอาวุธ ภาวุฒิ ตรี คทา จักร สังข์ ดอกบัว เป็นต้น ฯ -พระฤๅษีอิศวร การบำเพ็ญพรต ฌาน ของมหาฤๅษีพระองค์นี้ก็มิได้เเตกต่างจากพระฤๅษีนารายณ์เท่าใดนัก การปฏิบัติของพระองค์ยึดถือองค์พระอิศวรหรือพระปรมาตมันศิวะเจ้าเป็นที่ตั้ง พระฤาษีอิศวรกระทำการบำเพ็ญจิตตบะ จนถึงที่สุด เเห่ง เบื้องพระบาทเเห่งองค์อิศวรเจ้าท้าวเธอ จึงเสด็จมาประทานพรอันอัศจรรย์ ให้พระฤๅษีทรงเป็นผู้มีจิตตบะสูงควรเเก่การเคารพ เป็นผู้รู้ในสรรพเวทย์ มนต์ พิธีกรรม มีพญางูหรือพญานาครองรับ มีงูหรือนาคคล้องพระศอ เป็นต้น ทั้งสองพระฤๅษีนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้เห็นการปฏิบัติเเบบโยคี ฤๅษี ฯลฯ ที่มุ่งเน้นตามความศรัทธาในพระองค์เทวะใดก็จะถือพระองค์เทวะนั้นๆเป็นที่ตั้งหรือเป็นเเนวทางในการปฏิบัติให้ถึงในพระองค์นั้นเช่นโยคีที่ประเทศอินเดีย นักบวชที่นับถือในลัทธิ ไศวนิกาย ไวษณพนิกาย ฯ ก็จะมีการปฏิบัติตัว หรือการประกอบพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า มีการแต่งกาย ขมวดผม ประเเจะเจิม การทาด้วยขี้เถ้าผงวิภูติตามลำตัว การนุ่งห่มผ้า การครองสายพันธุรัม ซึ่งมีความคล้ายกับพระเป็นเจ้าที่ตนนับถือ ดังที่ข้าพเจ้าได้เขียนอธิบายไปนี้ พอจะเห็นได้ว่า พระโยคี พระฤาษีมุนีนาถ สาธุ ฯลฯ คือผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางของตน หรือยึดแบบหลักศาสตร์ของโยคะกรรม ยึดถือในพระเป็นเจ้าก็ยังมีรากฐานมาจากฮินดูในชมพูทวีปที่หวังปฏิบัติให้บรรลุโมกษะ ได้รับใช้พระเป็นเจ้า ได้นำความรู้สรรพวิทยา สรรพเวทย์ พิธีกรรมมาสืบทอดต่อ ๆ กันมา จากอดีตกาลจนสู่ปัจจุบัน และได้แผ่ขยายอิทธิพล หลักลัทธิการปฏิบัติ ฯ เข้าสู่แถบเอเชีย หรือดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิฯ จึงทำให้เราท่านทั้งหลายได้รู้จักพระโยคี พระฤาษี ทั้งแบบฮินดูหรือแบบไทย ที่มีต่างกันมากมาย ให้ได้ศึกษาและเรียนรู้ปัจจุบันก็ยังมีผู้ที่มีความศรัทธาในการปฏิบัติ สายโยคี ฤาษี เพ่งกสิน เตโชธาตุเป็นอารมณ์ ตามแนวทางของมหาฤาษีตาไฟเป็นต้นแบบอีกหลายท่าน หากเวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปีเท่าใดก็ตาม เราท่านทั้งหลายอาจได้รู้จักและเรียกบุคคลเหล่านี้ที่สามารถปฏิบัติได้บรรลุฌาณ ตามความประสงค์ว่า”พระฤาษีตาไฟ” ( ลักษณะนามและความหมาย )
1. ปาง : จะเป็นการกำเนิดในลักษณะที่พระองค์แบ่งหรือแตกญาณบารมีออกมา แต่ยังคงอยู่ในรูปลักษณ์และพระนามที่เปลี่ยนไปดังเช่น พระศิวะ – มหาศิวะ- มหาศิวะมุนี – มหาศิวะโยคี- มหาศิวะนาฏ – มหาสดาศิวะ – มหาภูเตศวร-มหาศิวะโลเกศวร ฯเป็นต้น รูปลักษณ์และพระนามอาจมีความแตกต่างกัน แต่ยังคงอยู่ในรูปแห่งพระศิวะ
2. ภาค : (ปติปภาค) จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปและมีการรวมบารมีในภาคชั้นต่างๆตามแต่เทวาอธิฐานฌาน เช่น ลักษมีดูรกา - มหาศิวาราตรี หรือ หัตถนารีศวร – พระคเณศณี - พระพิฆเณศหนุมาร - มหาศิวะกาลี เป็นต้น
3. สะดะภาค : ( การแตกตามบารมี เสมือนละอองหยดน้ำที่กระจายออก) ใช้เรียกนามลักษณะ ฌาน ที่แตกออกมาจากมหาเทพ ฯ แต่เมื่อแตกออกมาแล้วมีการกำเนิดใหม่ ซึ่งมักปรากฎอยู่ในรูปของฤาษี เช่น สะดะภาคของฤาษีตาไฟ (บางภาค) และใช้เรียกนามสะดะภาคในมหาฤาษีบางพระองค์ที่มีถือกำเนิดเช่นนี้.
4. พัสนะ : การแบ่งภาคที่มีอยู่ในพระองค์ (แต่ยังคงมีอำนาจฌานหรือบารมีซ้อนอยู่ในพระองค์อีกที) เช่น การพัสนะของพระสดาศิวะตอนกำเนิดจักรวาล แต่ในกายแห่งมหาสดาศิวะ ยังคงมีดวงจิตของพระแม่ศํกติศิวะอยู่ จึงพัสนะแผ่พระองค์ออกมาเพื่อการสร้างจักวาลให้สมบูรณ์ เป็นต้น
5. กิตติภาค : เป็นการแบ่งให้เห็นในหลาย ๆ รูปในครั้งเดียว เช่น พระกฤษณะตรัสบอกพระอรชุนถึงความฝันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระภควคีตาและแสดงบารมีให้พระอรชุนเห็นในขณะที่กำลังทำสงครามที่ทุ่งคุรุเกษตร พระกฤษณะแสดงกฤษดาอภินิหารให้พระอรชุนเห็นพระองค์ในรูปขององค์พระนารายณ์ผู้ซึ่งมีการอวตาลหลายภาค หลายปาง เป็นต้น
6. ปรมาตธาตุ : เป็นการแตกปรมาต (หรือแตกฌานจากจุดๆเดียว) ที่เป็นที่รวบรวมพลังตะอำนาจ จักรา เช่น มหากาลี ทรงกำหนดพลังมหาศักติสร้างเหล่านักรบอันเป็นบริวารนับหมื่นนับแสน จากพระเนตรที่ 3 เพื่อใช้ในการปราบอสูร.
7. นิมาระจิตภาค : การแบ่งโดยใช้อำนาจแห่งจิต (อาจเทียบได้คล้ายการถอดกายทิพย์) ถอดจิตในจิต หรือถอดการละเอียดในการปราณีต ไปกระทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนพระองค์จริง ๆ หลังจากเสร็จภาระหน้าที่ของจิตนั้น ๆ ก็จะกลับมารวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง.
8. อวตาร : การถือการลงมาเกิด เช่น การอวตารของพระนารายณ์ 10 ปางฯลฯ เป็นต้น ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพูดคุยในประสบกราณ์เกี่ยวกับปฏิบัติบูชาสายพระฤๅษีเเละคุรุ ทุกๆ พระองค์ถึงประวัติความเป็นมาหลักเเละวิธีการปฏิบัติตามลักษณะของฤๅษีตาไฟ ซึ่งท่านเหล่านั้นสามารถปฏิบัติสัมผัสฌานตบะหรืออำนาจทิพย์ของพระฤๅษีตาไฟ เพื่อให้เราท่านทั้งหลายที่ใคร่รู้ ใคร่ศึกษา รู้ถึงวิถีเเละเเนวทางการปฏิบัติตนตามสายพระฤๅษีอาจมีข้อเเตกต่างหรือวีถีในการดำรงของเเต่ละร่างเเต่ละสังขาร
ขอท่านทั้งหลายโปรดวิจารณญาณ มัชฌิมาปฏิปทาในการปฏิบัติ การดำรงไว้ ในการครองศีล ท่ามกลางทางสายกลาง เพื่อให้ก่อเกิดปัญญาวิมุตติ อยู่ในบรมสุขอันเเท้จริง
โอม สาธุการ ตัสสะเต
โอมนะโมนะมะสะเต
โอมนะโมคุรุวาสะเต
โอมศรีคุรุเทวานะมามิ
โอมศิริมาตา ปิตานะมามิหังโอม

ที่มา : ชมรมรักพ่อแก่

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 2:28 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
ตำนานพระฤาษี ตอนที่ 1
ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ หมายความว่า ศาสนาพุทธล่วงเลยมาแล้วถึง ๒๕๕๐ ปี นับว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่และมั่นคงมาก แม้ว่าเวลาที่ผ่านมาจะมีเหตุการณ์ต่างๆผันแปรทำให้ศาสนาพุทธสึกกร่อนลงไปบ้างแต่ปัจุบัน
ศาสนาพุทธก็ยังเป็นศาสนาหนึ่งที่มีผู้คนนับถือมากมายและกระจายไปทั่วทุกมุมโลกก่อนศาสนา
พุทธยังมีศาสนาและลัทธิต่างๆอีกมากมายเช่น ศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น
ปัจจุบันศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ใกล้ชิดสนิทสนมจนแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมี
พิธีทางศาสนาพุทธ ก็จะต้องมีพิธีทางศาสนาพราหมณ์ร่วมด้วยทุกครั้งเพราะคน ไทยเราเก่งในการผนวก พระฤษีเป็นคำเรียกขานของคนที่บำเพ็ญเพียรด้วยความอุตสาหะ เป็นความเชื่อของคนว่าต้องการจะหลุดพ้นจากความทุกข์บ้าง ก็ต้องการที่จะสร้างฤทธิ์สร้างบารมี จึงเกิดมีลัทธิมีการตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติตามหลักการ ที่วางไว้พระฤษี เป็นคำที่เรียกคนที่มีพลังจิตเด็ดเดี่ยวมุ่งปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จในอย่าง ใดอย่างหนึ่ง หรือหลายๆอย่าง เช่นสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีวาจาสิทธิ์ และอีก มากมายบางท่านก็เก่งเรื่องยาสมุนไพรเช่น ปู่ชีวกโกมารภ้ทรซึ่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รวมเรียกท่านอยู่ในกลุ่มของฤษีเช่นกัน พระฤษีจัดคัดแยกเอาไว้ ๔ ชั้นหรือ ๔ จำพวก คือ
ชั้นที่ ๑ เรียกว่า ราชรรษี แปลว่า เจ้าฤษีชั้นนี้จะมีความเป็นอยู่ตามพื้นธรรมชาติคือมีความปกติเป็นพื้นฐานเพียงแต่มีความริเริ่ม
และความพยายามที่จะบำเพ็ญเพียรในเบื้องต้นและปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ชั้นที่ ๒ เรียกว่า พรหมรรษี แปลว่า พรพรหมฤษี เมื่อปฏิบัติเพียงพอกับความต้องการ ในเบื้องต้นแล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็น พระพรหม
ชั้นที่ ๓ เรียกว่า เทวรรษี แปลว่า เทพฤษี ผู้ที่ปฏิบัติอย่างมุงมั่นด้วยตบะ จึงมีบารมีมาก พร้อมทั้งมีอิทธฤทธิ์และมีอำนาจมหาศาล
ชั้นที่ ๔ เรียกว่า มหรรษี แปลว่า มหาฤษีชั้นนี้นอกจากมีอิทธิฤทธิ์ที่เกิดจากบารมีแล้ว ยังมีภูมิปัญญามากมีอาคมแก่กล้าเป็นที่สุด
เมื่อนำเอามาเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นชัดเจนว่าทั้ง ๔ชั้นมีความสามรถไม่เหมือนกัน หรือไม่เท่ากัน แล้วแต่การปฏิบัติของแต่ละตนผู้ใดมีความมุ่งมั่นหมั่นเพียรและตั้งใจปฏิบัติ ทำ ได้เท่าใดผลก็จะส่งบุญก็จะบันดาล ให้ไปถึงขั้นนั้นๆ พระฤษีที่ปรากฏในวรรณคดีมีอยู่หลายท่านโดยมากมักเป็นฤษีที่ละจากเรื่องทางโลกมุ่งสู่การ
บำเพ็ญบารมีเป็นที่นับถือแก่มนุษย์และเทพเทวดาทั่วไปยิ่งบำเพ็ญบารมีมากเท่าไรก็มีอำนาจ
วิเศษตามบารมีที่สั่งสมมามากขึ้นเท่านั้น ฤษีตามรากศัพย์ดูเหมือนจะแปลกันว่า เป็นผู้มี ปัญญาอันได้มาจาก พระเป็นเจ้าตามพจนานุกรมฉบับมติชนปี ๒๕๔๗ ว่า ฤษี(รือ-สี) ผู้สละบ้านเรือนออกบำเพ็ญพรต ส่วนฤษีที่ปรากฎชื่อใน ทศฤาษี หรือที่เรียกกันว่าเป็น พระประชาบดี นั้นในมานวธรรม ศาสตร์กล่าวว่ามี ๑๐ ตน คือ
๑.มรีจิ
๒.อัตริ
๓.อังคีรส
๔.ปุลัสยตะ
๕.ปุลหะ
๖.กรตุ
๗.วสิษฐ
๘.ประเจตัส หรือ ทักษะ
๙.ภฤคุ
๑๐.นารท


ตำนานพระฤาษี ตอนที่ 2
แต่บางตำราว่ามีแค่ 7 เรียกกันว่า สัปตฤาษี หรือมานัสบุตร (ลูกเกิดแต่มโนของพระพรหมา) ทั้ง 7 ตน
มีชื่อดังนี้
๑.โคดม (โคตม)
๒.ภรัทวาช
๓.วิศวามิตร
๔.ชมัทอัคนี(บางตำราว่า ชมทัศนี)
๕.วสิษฐ
๖.กศป(กัศย์ป)
๗.อัตริ
ส่วนมหาภารตะระบุไว้ว่า
๑.มรีจิ
๒.อัตริ
๓.อังคีรส
๔.ปุละหะ
๕.กระตุ
๖.ปุลัสตยะ
๗.วสิษฐ วายุปุราณะเติม ภฤคุ อีก ๑ ตน แต่ยังเรียกรวมว่า สัปตฤาษี ส่วนวิษณุปุราณะเพิ่มอีก ๒ ตน คือ
ภฤคุ กับ ทักษะ เรียกแปลกไปอีกว่า พรหมฤาษีทั้งเก้า
ตามชั้นและฐานะของพรฤษีนั้นก็ยังแยกระดับตามศรรพนามออกไป และชั้นที่ได้ยกระดับหรือแยกออกมาอีก
ก็คือ
๑.พระสิทธา
๒.พระโยคี
๓.พระมุนี
๔.พระดาบส
๕.ชฎิล
๖.นักสิทธิ์
๗.นักพรต
๘.พราหมณ์
เมื่อรวมทั้งแปดนามเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือท่านเป็น"ผู้ทรงศีล"ผู้ที่มุ่งหวังตั้งใจบำเพ็ญเพียรตบะ
เพื่อเสริมสร้างบารมี มุ่งหวังในผลสำเร็จ ถึงกับยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันหมด
ในบรรดากลุ่มพระฤษีที่มีชื่อแยกออกไป ก็ยังมีความหมายต่างๆกัน เช่น
๑.พระสิทธา แปลว่า พระฤาคี ประเภทมีคุณธรรมวิเศษ มีหลักฐานมั่นคง ที่สถิตสถานมีวิมานอยู่บนเทือก
เขาและถ้ำ ตามแต่ว่าจะเห็นสมควรในความสะดวกสบายอยู่ในระหว่างพระอาทิตย์ลงมาสู่พื้นแห่งโลก
มนุษย์โดย
กำหนด
๒.พระโยคี แปลว่า เป็นผู้ที่มีความสำเร็จ หรือผู้ที่กำลังศึกษาสังโยค ในด้านหลักวิชาโยคกรรม มักจะเที่ยว
ทรมานตนอยู่ตามเทือกเขาและป่าตามความเหมาะสมในความสันโดษ ที่จะมีและเท่าที่จะเห็นว่าสมควร
๓.พระมุนี แปลว่า ในกลุ่มพราหมณ์ที่มีความพยายาม กระทำกิจพิธีบำเพ็ญด้วยความพากเพียร มุมานะ
พยายามจนกระทั่งพบความสำเร็จ จึงกลายเป็นผู้ที่มีปัญญาและมีความรู้ความสามารถอยู่ในระดับสูง
๔.พระดาบส แปลว่า ผู้บำเพ็ญตนสร้างบารมี มุ่งมั่นในตบะธรรมที่คิดว่าจะเผาผลาญกองกิเลสให้หมดสิ้นไป
ใช้ความพยายามพากเพียร พยายามมุ่งแต่ในทางทรมานร่างกายและจิตใจ เพื่อมุ่งหวังในโลกุตตรสุขที่เป็นผล
แห่งบารมี
๕.ชฎิล แปลว่า นักพรตจำพวกหนึ่ง ที่ชอบเกล้ามุ่นมวยผมเป็นแบบชฎาเอาไว้ หนวดเครารกรุงรังราวกับคน
บ้า ทั้งผ้าที่นุ่งห่มก็รุ่มร่าม ไม่ชอบในการรักสวยรักงาม ทำตนเป็นพราหมณ์รอนแรมอยู่ตามป่าดงพงไพร
๖.นักสิทธิ์ แปลว่า เป็นผู้ทรงศีลที่กึ่งมนุษย์กึ่งเทพ หรือเทวดา พวกนี้มักจะรักสัจจะวาจา มีความเที่ยงธรรม
เป็นที่ตั้งชอบช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอๆ มีที่อยู่อาศัยอยู่ในระหว่างกลางที่ว่างเปล่าและบริสุทธิ์
วัดระยะตั้งแต่ดวงอาทิตย์ลงมาจนกระทั่งถึงโลกมนุษย์ พวกนี้มีอยู่กันเป็นจำนวนมากมายหลายแสนองค์เที่ยว
ตระเวนไปในที่ต่างๆ เพื่อที่จะสอดส่งหาทางลงมาช่วยเหลือมวลมนุษย์
๗.นักพรต แปลว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีเคร่งครัดในการปฏิบัติ ทรงศีลอันประเสริฐมิยอมให้ศีลบกพร่องแต่ประการ
ใด ตั้งใจบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ เพื่อที่จะเสริมสร้างบารมีให้มากๆ อยู่ประจำ ชอบสถิตย์อยู่ตามป่าเขาลำเนา
ไพร และตามถ้ำหน้าผา มักไม่ยอมให้ผู้ใดได้พบเห็น มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แต่มีอิทธิฤทธิ์มาก
๘.พราหมณ์ แปลว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับฤษีเหมือนกัน แต่เป็นด้านการปฏิบัติบูชาบำเพ็ญตบะสร้างบารมีอย่าง
มุ่งมั่นเป็นผู้สละแล้ว สละเรื่องของโลกภายนอกได้หมดแล้วมีความมุ่งมั่นว่าจะต้องออกไปปฏิบัติการช่วยเหลือ
มนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วไป พราหมณ์มักจะชุมนุมรวมกลุ่มกันเป็นหมู่คณะ ตามเทวสถานต่างๆ ด้วยความพร้อม
เพรียงและสามัคคีกันอย่างดี เมื่อมีผู้ใดเชิญให้ช่วยกระทำพิธีให้ไม่ว่าจะเป็นพิธีอะไรที่จะต้องเกี่ยวกับพระฤษีหรือ
องค์เ้ทพต่างๆพราหมณ์ก็ออกไปทำพิธีให้ทันที ไม่เรียกร้องค่าป่วยการหรือค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น ไม่เห็นแก่ลาภ
ไม่เห็นกับประโยชน์ส่วนตัว (นั่นเป็นพราหมณ์สมัยก่อน สมัยนี้ก็คงจะต้องมีค่าใช้จ่ายมากน้อยตามแต่จะเห็นสมควร)
สำหรับพราหมณ์พวกนี้ก็มักมีกันอยู่เป็นจำนวนมาก ชอบฝักใฝ่ในธรรม โปรดสัตว์ ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยความเต็มใจ
เมื่อเสร็จสิ้นจากภารกิจแล้วก็จะเข้าจำศีลภาวนาต่อไปอย่างไม่มีคำว่าพอ


ตำนานพระฤาษี ตอนที่ 3
ต่อจากนี้จะเป็นการลำดับรายชื่อย่อๆ ในส่วนหนึ่งของพระฤษีในแต่ละชั้น จะแบ่งแยกเป็นชั้นๆดังต่อไปนี้
๑.พระฤษีชั้นพรหม พระฤษีในชั้นพรหมนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้ พระฤษีพรหมเมศร์ พระฤษีพรหมมา พระฤษีพรหม
มุนี พระฤษีพรหมนารถ พระฤษีพรหมวาลมีกิ เป็นต้น
๒.พระฤษีชั้นเทพ พระฤษีชั้นเทพนั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้ พระฤษีบรมโกฏิ พระฤษีประลัยโกฏิ พระฤษีนารอด พระ
ฤษีนารายณ์ พระฤษีนาเรศร์ พระฤษีอิศวร พระฤษีพิฆเนศ พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์ พระฤษีปัญญาสด พระฤษีตาไฟ
พระฤษีหน้าวัว พระฤษีหน้าเนื้อ พระฤษีปัญจสิขร (หรือพระประคนธรรพ) บางทีเรียกว่า พระประโคนทัพ) เป็นต้น
๓.พระฤษีชั้นมนุษย์ พระฤษีชั้นมนุษย์ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน เช่น พระฤษีโกเมน พระฤษีโกเมท พระฤษีโกมุท
พระฤษีสัตตบุตร พระฤษีสัตบัน พระฤษีสัตบงกช พระฤษีโคบุตร พระฤษีโคดม พระฤษีสมมิตร พระฤษีลูกประคำ เป็นต้น
๔.พระฤษีชั้นอสูร พระฤษีชั้นอสูรก็มีตามรายชื่อดังนี้ ท่านท้าวคีรีเนศร์ ท่านท้าวเวสสุวัณ ท่านท้าวหัสกัณฑ์ ท่าน
ท้าวหิรัญฮู พระฤษีพิลาภ พระฤษีพิรอด ท้าวพลี หิรัญยักษ์ อนันตยักษ์ วาณุราช วาหุโลม เป็นต้น

รูปร่างลักษณะของพระฤษีพรหมเมศร์
พระฤษีพรหมเมศร์มี ๔ พระพักตร์เหมือนกับพรพรหมโดยทั่วไป พระเศียรเป็นกรวยเช่นเดียวกับเศียรพระฤษี
ทั้งหลาย มี ๘ กร พระพักตร์สีทอง ผิวกายสีทอง นุ่งห่มด้วยผ้าโขมพัตถ์ (ผ้าสีขาวอย่างดี ที่สะอาดบริสุทธิ์)
พระฤษีพรหมเมศร์นี้ ท่านมีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์มากมาย ทั้งในด้านบุญฤทธิ์บารมี ก็ไม่มีผู้ใดจะเทียบเทียม
ท่านได้ ชอบช่วยเหลือมวลมนุษย์และสรรพสัตว์โดยทั่วๆไป ด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดีงามของท่าน


ตำนานพระฤาษี ตอนที่ 4
ประวัติของพระฤษีพรหมบุตร

จะกล่าวถึงกุมารหนึ่ง นามว่า พรหมบุตร ซึ่งเกิดแต่พรหมนารีนางหนึ่ง หลังจากที่กุมารเจริญวัยขึ้นมาก็ไต่ถามมารดาถึงเรื่อง
ของผู้เป็นบิดาและก็ได้ความตามเรื่องราวที่มารดาเล่าให้ฟังโดยละเอียดว่า พรธฤษีพรหมเมศร์นั้นเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่บัดนี้
มารดาไม่สามารรถที่จะขึ้นไปอยู่บนพรหมโลกได้อีกแล้ว เพราะเป็นคำสั่งห้ามของเจ้าสวรรค์คือ พระิอิศวร นั่นเอง มิหนำซ้ำยัง
ขับไล่ให้มาอยู่ในภาคพื้นดินอีกด้วย พระพรหมบุตรในระหว่างนี้ก็กระทำตนเป็นพระฤษีบำเพ็ญตบะบารมีอยู่ในป่าหิมพานต์ เมื่อ
รู้เรื่องราวจากมารดาก็โกรธ และมีความน้อยใจเป็นอย่างมากจึงคิดมุ่งแต่บำเพ็ญตบะเพื่อสร้างบารมีให้แก่กล้าและสูงขึ้นๆ เรื่อยๆ
ทั้งจะต้องมีทั้งอำนาจ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ ด้วยพระคาถาอาคมที่แข็งแกร่งและแก่กล้าจะต้องเอาชนะพระฤษีทั้งหลายให้ทั่วทุก
ชั้นได้สำเร็จ จึงพยายาม พากเพียร บำเพ็ญ อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานแสนนานในระยะเวลาถึงหนึ่งพันปี ก็บังเกิดบุญฤทธิ์ และ
บารมีที่มุ่งมั่น ทำให้มีฤทธิ์อำนาจ มีคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์มีภูมธรรมอยู่ในชั้นสูงไม่มีผู้ใดจะเทียบได้พระฤษีพรหมบุตรจึงเป็น
หนึ่งในความสำเร็จ
เมื่อพระฤษีพรหมบุตร มีความเก่งกล้าเป็นที่หนึ่งในจักรวาลและแดนพิภพแล้ว ก็มีใจกำเริบด้วยฤทธิ์เดช ด้วย
ความที่ยังมีใจเจ็บแค้นพระอิศวรเจ้าสวรรค์ จึงออกเที่ยวหาหมู่พระฤษีทั้งหลาย ที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าทั้งหมด เมื่อ
พบกับองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม พระฤษีพรหมบุตรก็ด่าและท้าทายพระฤษีเหล่านั้นมาต่อสู้ จนพระฤษีทั้งหลายพา
กันหวาดกลัวและเข็ดขยาด เพราะไม่สามารถต่อสู้ได้ ต่างไม่เป็นอันทำตบะเพราะความเกรงกลัว ต่างพากันหลบหนี
ซุกซ่อนมิยอมให้ได้พบเห็น เพราะหากพบกันครั้งใดภัยก็จะเกิดขึ้นครั้งนั้น ยิ่งทำให้พระฤษีพรหมบุตร กำเีริบ คิดว่า
ตนเก่งกล้าไม่มีผู้ใดออกมาต่อกรได้
ด้วยความคับแค้นแน่นอยู่ในอกจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระทำการแก้แค้นให้กับมารดา และหมายใจที่
จะให้มารดากลับขึ้นไปอยู่บนพรหมโลกอีกครั้งหนึ่งให้จงได้เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วจึงแสดงอิทธิ
ฤทธิ์เหาะขึ้นไปสู่ยังพรหมโลกเมื่อขึ้นมาแล้วก็สืบเสาะหาพระฤษีพรหมเมศร์ผู้ที่เป็นบิดาหวังว่า
เมื่อได้พบกันแล้วจะเจรจากันได้โดยง่าย แต่กลับตรงกันข้ามพระฤษีพรหมเมศร์กลับปฏิเสธไม่ยอมรับถึงแม้พระฤษีพรหมบุตรจะพยายาม
ขอร้องสักเพียงใดเพื่อให้มารดากลับขึ้นมาอยู่บนพรหมโลกให้ได้ มิเพียงไม่ยอม
เท่านั้นยังประกาศขับไล่พระฤษีพรหมบุตรรีกลับลงไปจากพรหมโลกอีกด้วย
เมื่อเกิดความโกรธขึ้นมาก็ลืมตัวว่าพระฤษีพรหมเมศร์นั้นคือบิดา ไม่ยอมรับแล้วยังขับไล่อีก จึงท้าทายให้ต่อสู้กัน
ตัวต่อตัวด้วยวาจาที่แสนโอหังและหยิ่งผยอง ไม่ยอมลดละให้กับผู้เป็นบิดาหวังจะต้องรู้แพ้รู้ชนะให้ได้ด้วยความอาฆาต
มาดร้ายต่อผู้เป็นบิดาเป็นอย่างมาก
การต่อสู้ได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างมีฤทธิ์เดชด้วยกัน แม้จะต่อสู้กันตัวต่อตัวก็ทำให้สวรรค์ทั้งพรหมโลกและชั้น
อื่นๆจนถึงพื้นภิภพสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับจะพังพินาศไป

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 2:31 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
พระฤษีพรหมประทาน
ในตำนานพระฤษีองค์นี้มิได้ระบุถึงภูมิกำเนิด เป็นเพียงแต่ว่าท่านเป็นพระพรหมองค์หนึ่ง ที่อยู่ในวิมานพรหมโลก
ท่านมีศรัทธาอันแก่กล้าจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญด้วยความหวังตั้งใจที่จะเสริมสร้าง พระบารมี จึงสละความสุขทั้งหลายทั้งปวง
มาเป็นพระฤษี แต่กระนั้นก็ยังมีจิตใจอารีย์ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่แด่ชนทั้งหลาย ท่านมักจะสอดส่องลงมายังโลกมนุษย์
เป็นประจำ หากพบว่าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความทุกข์ยากเกิดขึ้น ท่านก็จะต้องประทานพรของท่านลงไปช่วย
เหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน กำลังได้รับความทุกข์ยากเหล่านั้นให้กลับกลายเป็นความสุขความเจริญสืบต่อไปด้วยเมตตา
และบารมีของท่านอย่างเปี่ยมล้น
ดังนั้นเมื่อใครมีความทุกข์ใดๆหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงรำลึกถึงและบนบานศาลกล่าวกับท่านแล้วความทุกข์นั้นๆ
ก็จะห่างหายไปในที่สุด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระฤษีพรหมปรเมศฎ์
สำหรับพระฤษีพรหมปรเมศฎ์นี้ท่านเป็นผู้สำเร็จในภาคปฏิบัติอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีอิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไป
กว่าพระพรหมฤษีองค์อื่นๆ ความเป็นอยู่ของท่านก็มีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่มีนิสัยดุและเสียงดังเป็นที่สุดท่านเป็นพระพรหม
ฤษีที่มี ๔ หน้า ๘ มือ เช่นเดียวกัน ใบหน้าของท่านจะมีสีเขียว ลำตัวสูงใหญ่เศียรทั้ง ๔ ของท่านรวมเป็นเศียรเดียวกัน
เรียกว่าเศียรแฝด แต่ทว่าหน้าทั้ง ๔ นั้น อยู่คนละด้าน ซึ่งตรงกับทิศทั้ง ๔ มวยผมบนพระเศียรขมวดมุ่นขึ้นไปเป็นรูปชฎา
และเป็นปล่องโพรงตรงกลางเช่นเดียวกับพระฤษีทั่วไป
ท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้าและเข้มแข็งสามารถที่จะเสกหรือสร้างอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้อง
การทุกอย่าง พระพรหมฤษี
ปรเมศฎ์ ท่านนึกสนุกขึ้นมาจึงเสกคาถาสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาตัวหนึ่งคือ กุ้ง ที่เราเห็นกันทุกวันนี้
สำหรับองค์พระฤษีพรหมปรเมศฎ์นั้นก็ต้องนับว่าท่านเป็นผู้มีคุณกับมนุษย์ไม่น้อยเพราะท่าน
สร้างกุ้งขึ้นมาเป็นอาหาร
ของมนุษย์จนปัจจุบัน กุ้งกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจของมนุษย์ไปแล้ว ในด้านฤทธิ์อำนาจบารมีของท่านก็นับว่าเลิศไม่แพ้
ใครเหมือนกันเป็นที่เคารพและยำเกรงของบรรดาพระพรหม พระพรหมฤษี กระทั่งชั้นเทพ เทวดา นางฟ้า ลงมาจนถึง
มนุษย์ ครุฑาวาสุกรี คนธรรพ์ วิชาธร กินนร เพชรพระยาธร แทตย์ และอสูรย์ แต่จะว่าไปท่านก็มิใช่ว่าจะดุเพียงอย่างเดียว
เท่านั้นท่านใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นหากท่านใดต้องการจะให้ท่านช่วยเหลือก็ลองจุดธูปบอก
กล่าวท่านดู บางทีความสำเร็จอาจจะเป็นของท่านก็ได้ ของอย่างนี้ถ้าไม่ลองไฉน จะรู้เล่าจริงไหมคะ ท่านผู้อ่าน..
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระฤษีพรหมประสิทธิ์

พระฤษีองค์นี้เป็นผู้ที่มีฝีไม้ลายมือในทางวิชาอาคมไสยศาสตร์และการกระทำในสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีไม่มีใครเกินและ
ท่านก็ยังได้เป็นผู้ที่ถ่ายทอดวิชาการของท่านทั้งหมดให้กับบุคคลโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา อสูร คนธรรพ์ วิทยาธร
รากษส และผู้ที่มีความต้องการจะศึกษาหาความรู้ ท่านก็จะประสิทธิ์ประสาทวิทยาอาคมและความรอบรู้ในด้านวิชาการแขนง
ต่างๆให้ ตามแต่ความต้องการของผู้ที่มีความต้องการของผู้ที่ใคร่จะศึกษา นับว่าท่านผู้นี้ก็มีเมตตาบารมีต่อโลกทั้งหลาย ช่วย
สร้างสรรค์จรรโลงทั้งสามโลก ให้มีสง่าราศรีและมีความเจริญด้วยพระบารมีของท่าน
ดังนั้นพวกเราก็ควรจะเคารพและรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านด้วยการกราบไหว้บูชา
ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และใช้
เครื่องหอม เป็นสิ่งสักการบูชาด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และซาบซึ้งพระคุณของท่านอย่างแท้จริง แล้วท่านก็จะตอบสนอง
ด้วยการประทานพรให้กับพวกเราให้สำเร็จผลสมกับความหวังตั้งใจที่จะมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียน
ในแต่ละแขนงวิชา และท่านก็ยัง
จะปกป้องคุ้มครองภัยให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ท่านจะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญงอกงามตามอัธยาศัย
ขอเพียงแต่ให้พวกเรามีความเคารพนบนอบ ท่านอย่างจริงใจ มิใช่ว่าหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีสัจจะวาจาที่แน่นอน บน
บานอะไรไว้เมื่อสำเร็จสมประสงค์แล้วก็ทำเป็นเฉย ดังนั้นแล้วไม่เพียงแต่ท่านจะไม่อวยพรเท่านั้น ท่านยังจะต้องสาปแช่ง
และลงโทษอีกด้วย..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพรหมนิมิตร

พระฤษีองค์นี้แหละที่ท่านได้เป็นเทพเจ้าแห่งความฝันทั้งปวง ตามประวัติตั้งแต่เดิมมา ท่านเป็นพระฤษีที่มีบารมีมากมายอีกพระ
องค์หนึ่ง มีความสามารถหายตัวลงไปเข้าฝันบอกเหตุดีเหตุร้ายทั้งหลายให้กับมนุษย์ได้รู้ตัว ตามตำนานแห่งความฝันตั้งแต่อดีตกาล
หลายพันปีมาแล้ว ในครั้งนั้นความฝันจะเป็นความจริงเสมอ มิใช่จะฝันแบบไร้สาระ เหมือนเช่นทุกวันนี้ อย่างเช่น เมื่ออดีตจะฝันว่าเป็น
อะไรก็จะเป็นไปตามความฝันทุกประการ เช่น ฝันว่าจะได้แก้วแหวนเงินทองก็จะต้องได้ หากฝันว่าหัวขาดแขนขาด ก็จะต้องขาดจริงๆ
ตามความฝันเสมอไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งมีมานพผู้หนึ่งได้เลี้ยงนกขุนทองเอาไว้และมีความกตัญญูเป็นอย่างมาก วันหนึ่งมานพนั้นได้ฝันไปว่ามีโจรมาปล้นที่
บ้านและได้ฆ่าตนเองจนตายจึงเกิดความกลัดกลุ้มได้เล่าให้เจ้านกขุนทองฟังและบอกว่าไม่มี
ใครสามรถที่จะช่วยได้ เจ้านกขุนทองจึง
หัวเราะและพูดว่า"ทองนี่แหละที่จะช่วยพ่อได้" มานพหนุ่มเกิดความหมั่นไส้คิดว่าเจ้าขุนทองแกล้งพูดเพื่อเอาใจมากกว่าจึงเกิดอา
รมณ์ฉุนเฉียวเกิดขึ้นร้องด่าเจ้าขุนทองเป็นครั้งแรก "ไอ้นกบ้า ไอ้นกระยำ ไอ้นกขี้โม้ เสือกไม่เข้าเรื่อง" เจ้านกขุนทองหัวเราะงอ
หายอีกครั้งหนึ่งเพราะขำในท่าทางของมานพ แล้วพูดอีกครั้งด้วยเสียงอ่อยๆว่า" นั่นซี ไหมล่ะ ทีเขาจะช่วยก็หาว่าขี้โม้เสียอีกแน่ะ"
มานพจึงถามทั้งๆที่มิได้มรความหวังเลยสักนิดเดียวว่า" เจ้าจะช่วยได้จริงเหรอ ไหนลองบอกมาซิว่าจะช่วยด้วยวิธีไหน" เจ้าขุน
ทองจึงพูดว่า"ไหนๆพ่อก็เลี้ยงทองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ป้อนข้าวป้อนน้ำจนโต ทองยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อเลย ขอให้ทองได้
ทดแทนบุญคุณสักครั้งเถอะนะพ่อ" มานพหนุ่มเริ่มงุนงงสงสัยมากขึ้นกับท่าทางที่จริงจังและมีน้ำหนักทำให้อยากรู้มากขึ้น"เจ้า
ทองเจ้าจะทำอะไร" เจ้าทองตอบว่า"ก็จะช่วยพ่อจะพยายามทำลายความฝันให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระจะไม่ให้
ความฝันกลายเป็นจริงอีกต่อไป ทองจะบินขึ้นไปหาพระฤษีพรหมนิมิตรแล้วแกล้งยั่วหลอกล่อให้ถอนคำพูดในเรื่องฝันเป็นจริง ให้เป็นฝันเล่นๆหลอกๆ ยกเลิก
กันเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อก็จะไม่ถูกโจรปล้น และพ่อก็จะไม่ตายไงล่ะ"
เมื่อได้รับอนุญาตจากมานพหนุ่มเจ้านกขุนทองก็บินผงาดลิ่วขึ้นไปทันทีจุดหมายคือพรหม
โลก มันบินสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปทุกขณะ
ด้วยความมานะพยายามแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ จะต้องทำงานให้สำเร็จให้ได้ ในที่สุดเจ้าขุนทองก็ทำสำเร็จมาถึง
พรหมโลกจนได้แม้จะเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาด หิวโหยจนแทบไร้เรี่ยวแรง แต่กำลังใจ พลังแห่งความกตัญญู ทำให้มาถึงชั้น
พรหมโลกจนได้ จึงรีบมุ่งไปที่สำนักของพรฤษีพรหมนิมิตร แต่ขณะนั้นท่านกำลังเข้าฌานอยู่ จึงเป็นโอกาสที่เจ้าขุนทองได้พักผ่อน
ให้หายเหนื่อยบ้าง ก็พอดีพระฤษีพรหมนิมิตรออกจากฌาน เจ้าขุนทองก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เลยไป รีบบินมาเกาะกิ่งไม้ไม่ห่างจาก
พระฤษีเท่าใดนัก "สวัสดีจ้าพระคุณเจ้าที่เคารพ"พระฤษีสดุ้งโหยง เพราะอยู่ๆก็มีเสียงเหมือนมนุษย์ดังขึ้นใกล้ๆสงสัยว่ามนุษย์ที่ไหน
จะมีความสามรถขึ้นมาบนพรหมโลกได้ จึงส่ยตามองหาเจ้าของเสียง"เอ๊ะ..ไม่เห็นมีใครเลยนี่ แล้วเสียงมันดังมาจากไหนกันหว่า"
พระฤษีบ่นพึมพำ เจ้าขุนทองจึงนึกขำในท่าทางของพระฤษีจึงหัวเราะออกมาดังๆ เล่นเอาพระฤษีสดุ้งโหยง มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบ เจ้าขุนทองจึงขยับตัวจากกิ่งไม้กระโดด
เข้ามาเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆพระฤษี"สวัสดีจ้าพระฤษีที่เคารพ ทองขอทำความเคารพท่าน
ด้วยความจริงใจเจ้าข้า"พระฤษีจึงมองเจ้าขุนทองด้วยความสงสัย"เออ..นี่เจ้าทองเจ้ามาที่นี่
เพื่อต้องการอะไรกัน"เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าตาตื่นน้ำเสียงกังวลแล้วพูดว่า"ทองมาจาก
โลกมนุษย์น่ะด้วยความซื่อสัตย์และจงรักพักดีต่อพระคุณเจ้า มีเรื่องสำคัญที่จะนำข่าว
มาบอกประเดี๋ยวจะสายเกินไป" พระฤษีพรหมนิมิตรฟังเจ้าทองพูดด้วยความงุนงง"เอ..มันเรื่องอะไรกันหว่า มันเกี่ยวกับ
ข้าด้วยหรือวะ"เจ้าขุนทองเห็นท่าทางของพระฤษีก็ยิ้มอยู่ในที"ทองถามพระคุณเจ้าสัก
หน่อยก่อนว่าความฝันนั้นเป็นจริงหรือไม่"พระฤษีพรหมนิมิตรไม่ทันคิดอะไรก็ตอบว่า
"มันก็จริงน่ะซีวะ ประกาศิตข้อนี้มีมานมนานกาเลแล้วเจ้าถามทำไมหรือ" เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าเซื่อง
ซึม"เฮ้อ..สงสารพระคุณเจ้าเหลือเกินที่ทองพยายามบินขึ้นมาบนพรหมโลกด้วยความเหน็ด
เหนื่อยสายตัวแทบจะขาดก็เพื่อที่จะบอก
ท่านให้รู้ตัวก่อนจะได้หาทางแก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์"พระฤษีจึงพูดว่า"เอ้าเล่ามาเถอะว่า
เรื่องมันเป็นอย่างไร เผื่อว่าข้าแก้ไขได้จะ
ได้รีบแก้ไขให้ทันเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่" เจ้าขุนทองได้ทีจึงพูดว่า"นายของทองฝันเมื่อวันก่อนว่าเขาได้
เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจได้ครอบครองทั้งสามโลก เท่านั้นยังไม่พอเขายังรู้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรจะต้องไปเกิดเป็นม้าไว้สำหรับให้เขาขี่
อีกด้วยทองจึงเป็นทุกข์ เพราะเรื่องนี้มันไม่สมควร อย่ายิ่ง ทองจึงรีบบินมาส่งข่าวกับท่านเพื่อจะหาทางแก้ไขได้ทันต่อเหตุการณ์
และทันต่อเวลาที่ท่านจะกลายเป็นม้า ไปเสียก่อน"
พระฤษีพรหมนิมิตรได้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเจ้าขุนทองเล่าจบจึงโวยวายลั่นว่า"เฮ้ย..ไม่ได้ๆ ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้
แต่เอ..แล้วจะทำยังไงกันล่ะหว่า.." พระฤษีหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วก็นึกขึ้นมาได้ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในความชาญ
ฉลาดของตัวเองประกาศออกไปเสียงดังฟังชัดว่า"เอ้า..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะยกเลิกความฝันที่เป็นความจริง ให้เป็นความฝันที่
เหลวไหล ไร้สาระ ความฝันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดาจะต้องเป็นเช่นนั้นตามคำประกาศิตของข้า"
นับจากนั้นมาความฝันจึงกลายเป็นความฝันที่ไม่จริงตามคำประกาศิตของพระฤษีพรหม
นิมิตร เจ้าขุนทองมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง
จึงลากลับมายังโลกมนุษย์กลับมาหามานพหนุ่มผ็มีพระคุณ เล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด มานพหนุ่มจึงรอดพ้นความตายได้ เพราะ
เจ้าขุนทองยอดกตัญญูนั่นเอง และยิ่งเพิ่มความรักเจ้าขุนทองมากขึ้น ทะนุถนอมปรนเปรอด้วยอาอารอย่างดีเป็นการตอบแทนคุณ
คุณงามความดี เท่านั้นยังไม่พอ ยังซื้อสร้อยคอทองคำมาคล้องคอให้อีกเพื่อเป็นบำเหน็จรางวัลแห่งความดี และเพื่อจะได้ประกาศ
เกียรติคุณให้ชาวโลกทั้งหลายได้รู้ว่าเจ้านกขุนทองตัวนี้ได้กระทำความดีและมีความซื่อสัตย์
กตัญญูรู้คุณเจ้าของ จึงได้รับรางวัลอัน
ล้ำค่านี้
นับตั้งแต่นั้นนกขุนทองทุกตัวจะต้องมีสายสร้อยที่ข้างหู และบริเวณคอของมันที่เป็นสีเหลืองๆนั่นแหละคือสร้อยทองที่มันได้รับ
รางวัลจากมานพผู้เป็นนายของมันและเมื่อมีลูกหลานเหลน สืบต่อมามันก็จะมีสีเหลืองติดตัวเช่นเดียวกัน
นับได้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรองค์นี้มีความเก่งกล้าไม่น้อย ทั้งคาถาอาคมและวาจาประกาศิต ท่านมีบารมีมาก และนับว่ามีคุณต่อ
มวลมนุษย์ไม่น้อย สมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคารพบูชาและขอพรจากท่าน บางทีท่านอาจจะัเมตตา แล้วส่งคำประกาศิตมาถึงท่าน
ทำให้ชีวิตของท่านสุขสมบูรณ์ขึ้นมาก็เป็นได้ การเคารพบูชาผู้ควรเคารพบูชามิใช่เรื่องเสียหายมิใช่หรือ..

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 2:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
พระพรหมฤษีวิสิษฐ์

เป็นพรหมฤษีที่มีคุณงามความดี เป็นที่หนึ่งของชาวโลกทั้งสามโลก ท่านมีเมตตาธรรมสูง ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเท่า ทั้งใน
ด้านบารมีก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์พร้อมทั้งหลักวิชาการ ในด้านคาถาอาคมก็เปี่ยมยอดตลอด
กาลหากท่านต้องการทำมงคลใดๆ ก็จงอย่าลืมอัญเชิญท่านเสียล่ะ ไม่ผิดหวังแ่น่อน....

พระฤษีวสิษฐ์ สวมเทริดฤาษีแบบผ้าโพกสีขาวขลิบทอง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระฤษีจตุทิพยเนตร

พระฤษีองค์นี้ ท่านมีญาณเป็นพิเศษสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้เสมอ ด้วยกระแสจิต
สมาธิอันแน่วแน่ของท่าน ไม่ว่าผู้ใดจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ท่านก็จะรู้จะเห็นได้โดยตลอดเสมอไป ไม่
ว่าจะเป็นในพรหม ในเทวโลก ในโลกมนุษย์ ในเมืองบาดาล ในสวรรค์หรือในนรก ท่านจะเห็นการ
กระทำของแต่ละบุคคลได้ไม่ยากเลย ท่านจึงได้รับฉายาใหม่จากพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงประ
ทานในความเก่งกล้าของท่าน ให้เป็นรางวัลในความดีเด่นว่า พระฤษีจตุทิพยเนตร
รูปร่างหน้าตาของท่านก็คล้ายกับพระอิศวร เพราะมี ๓ ตา เหมือนกัน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระองค์เป็นผู้ทรงคุณค่าด้วยพระบารมีอันมากล้นมุ่งแต่ส่งเสริมธรรมะ มุ่งจะทำลายอธรรมให้พินาศสิ้นมิให้หลงเหลืออยู่อีกเลย
ด้วยอำนาจและบารมีได้แบ่งภาคลงมาเป็นพระมุนีภพผู้เป็นพระสวามีของพระสตีผู้เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดีเมื่อครั้งที่พระทักษะ
ประชาบดีได้ทำพิธียัญญกรรมครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เชิญบรรดาเขยทั้งหมดให้มาร่วมในพิธีมงคลครั้งนี้ทั้งหมด เว้นแต่พระมุนีภพเท่านั้นทั้ง
ยังประณามและประจานว่าแต่งตัวเป็นคนบ้า นุ่งผ้าบังสกุล ใช้กระดูกและกระโหลกคนเป็นสังวาลย์ หนวดเครา ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียด
ชอบคบหาพวกภูติผีปีศาจ มั่วสุมกันในกลุ่มผีเป็นสมัครพรรคพวกดูแล้วไม่สมเกียรติอันใดแล้วก็ยังจะสร้างความเสื่อมเสียให้ได้รับความ
อับอายขายหน้าอีกด้วย
พระสตีจึงมีความน้อยใจจึงทำลายชีวิตของตนเองด้วยการกระโดดลงไปในกองไฟที่ใช้ในการทำพิธีนั่นเอง พระมุนีภพรู้เรื่องเข้า
ว่าพระชายาได้สิ้นใจตายไปแล้วด้วยความรักที่มีต่อพระนางจึงมีความโกรธแค้นพ่อตา พระองค์จึงกระทำเทวฤทธิ์แบ่งภาคออกจาก
พระโอษฐ์เป็น พระวีรภัทร ปางนี้เรียกวา ปางวีรภัทร ไปทำลายล้างพิธียัญญกรรมของพระทักษะประชาบดี ทรงแผลงศรวีรภัทรถูกเหล่า
เทวดาล้มตายเป็นจำนวนมากศรีษะของพระทักษะประชาบดีขาดกระเด็น ด้วยความโกรธ พระวีรภัทรจึงโยนเอาศรีษะของพระทักษะประ
ชาบดีเข้ากองไฟ มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีไป ต่อมาภายหลังเหล่าเทวดาเสนาผู้ใหญ่ในสวรรค์ จึงมากราบทูลอ้อนวอนขอลุแก่โทษ
พระวีรภัทรจึงอภัยให้ กระทำเทวฤทธิ์ให้เทวดาที่ตายนั้นกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างเดิม แล้วตัดเอาหัวแพะต่อให้กับพระทักษะประชาบ
ดีให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แต่ใบหน้าและเศียรต้องกลายเป็นแพะ
และพระวีรภัทรก็กลับคืนร่างรวมตัวเข้าเป็นพระมุนีภพ แล้วเดินทางไปยังป่าหิมพานต์ทรงตั้งมั่นในการบำเพ็ญตบะสร้างพระบารมี
ต่อไปและก็เป็นที่รู้กันว่า พระฤษีอิศวรพระองค์นี้ก็คือ พระอิศวรหรือพระศิวะ นั่นเอง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพรหมมินทร์

ท่านเป็นพระพรหมฤษีที่มีใจเป็นธรรม เป็นพี่ชายแท้ๆของพระฤษีพรหมเมศร์ มิค่อยยุ่งเกี่ยวกับ
ผู้ใดนัก ท่านเคร่งครัดต่อการปฏิบัติถ้าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความต้องการที่จะให้ท่านช่วยก็จง
บอกกล่าวขอพรจากท่า่น บางทีท่านอาจจะเมตตาช่วยเราให้ได้รับความสำเร็จก็อาจเป็นไ้ด้ ท่านมี
ลักษณะเช่นเดียวกับพระพรหมทั้งหลายทั่วไปคือ มี ๔ หน้า ๘ มือ แต่รู้สึกว่าหน้าของท่านจะแก่กว่า
องค์อื่นๆ หนวดเครายาวรุงรังส่วนผมนั้นมุ่นเป็นชฎาสูงขึ้นไปแบบเดียวกับพวกชฎิล เรียกว่ามวยขมวด
กรวดเกล้า พระเมาลี...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระฤษีตาไฟ

พระฤษีองค์นี้ก็มี ๓ ตา อีกเช่นเดียวกัน ท่านมีอำนาจและมหิทธิฤทธิ์มากมายจนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับท่าน ตาที่ ๓ ของท่านอยู่ที่หน้าผากเช่นเดียวกับพระอิศวรท่านจะหลับสนิทตลอดเวลา ถ้าหากว่าเผลอเผยอเปลือกตาที่ ๓ นั้นออก ลืมขึ้นมาครั้งใดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็จะต้องมอดไหม้เป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด ด้วยประกายไฟอันแรงกล้าจากดวงตาที่ ๓ ของท่านแต่ในด้านอุปนิสัยใจคอของพระฤษีตาไฟนี้ ท่านมีนิสัยดุมากเสียงดัง แต่ส่วนภายในนั้นสิไม่มีใครจะใจดีเหมือนท่าน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสริมสร้างในด้านของบารมี พูดกันง่ายๆก็คือ ปากร้ายแต่ใจดี
หากใครประสงค์จะให้ท่านช่วยเหลืออะไร ก็ควรใช้ดอกไม้ธูปเทียนเคารพบูชาสักการะต่อท่านแล้วจะบนบานอย่างไร ก็จงตั้งใจบอกกับท่านไปตามตรง สิ่งที่ไม่ผิดวิสัย ไม่เหลือวิสัย ท่านก็จะต้องช่วยเราให้สำเร็จผลได้...
สำหรับพระฤษีตาไฟ ด้วยความเอื้ออารีย์ ของท่าน จึงได้รับฉายาใหม่ว่า..." พระฤษีเนตรอัคคี "

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีไชมินี

พระฤษีองค์นี้มีความเก่งกล้า รอบรู้ในคุณธรรมได้ทั้งหมด และมักจะนำเอามาแสดงเป็นปุจฉา
วิสัชนา เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มีความรู้ และเพื่อจะนำเอาไปปฏิบัติได้ถูกต้อง และพระฤษีผู้นี้
ยังมีความสามารถนอกเหนือผู้อื่น ที่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถทำได้ นั่นคือ ท่านรู้ภาษานกทุกชนิด
และพูดคุยส่งภาษาโต้ตอบกับนกได้ทุกชนิดทุกประเภทอีกด้วย..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีมารกัณเฑยะ

หรืออีกนามหนึ่งคือ พระมารกัณไฑย พระฤษีองค์นี้เป็นผู้แต่งหนังสือและคัมภีร์ที่มีชื่อว่า มารกัณ
เฑยะปุราณะ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยเรื่องของนกแสนรู้ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี และได้แสดงเอาไว้เป็นเรื่องราวพิศ
ดารตามคำวิสัชนาของพระมหาฤษีทั้งหลาย ที่ได้มีการประชุมขึ้นมาแต่ละครั้งก็จะต้องมีการสัมมนา
แสดงธรรมกันเป็นส่วนใหญ่ด้วย นกแสนรู้ก็พากันมาตอบปัญหาธรรมของพระฤษีทั้งหลาย พระมารกัณ
ไฑย เห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงได้จดจำ นำเอาบทความของการเจรจานั้นๆมาบันทึกแล้วก็พิจารณา
เรียบเรียงขึ้นมาเป็นเรื่องราว แสดงไว้เป็นคัมภีร์และนิทานอันเป็นหลักโลกอุปโลกน์ ขึ้นมาไว้ให้เป็น
สมบัติของชนรุ่นหลังสืบต่อเนื่องกันมา ได้ดำเนินการแต่งขึ้นเมื่อประมาณ ราวศตวรรษที่ ๑๖๑๗
ของพุทธกาลที่ผ่านมาก็นับว่าพระฤษีองค๋นี้เป็นผู้อนุรักษ์ของเดิมเอาไว้อย่างดีเยี่ยม นับว่ามีคุณอีก
ท่านหนึ่ง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีวยาสมุนี

พระฤษีพระองค์นี้เป็นผู้มีไหวพริบและปฏิภาณ มีมันสมองเป็นเลิศ มีความสามารถยอดเยี่ยมเป็น
ผู้นิพนธ์คัมภีร์มหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในส่วนหนึ่งของพรหมาณตาปุราณะ ซึ่งแปลว่า มหาภารตะ
การแต่งนั้นก็ดัดแปลงมาจากรามายณะนั่นเอง แต่ที่ยาวๆของรามายณะก็ตัดให้สั้นเข้าทั้งคัมภีร์จะเป็น
การเล่าเรื่องพระราม และสรรเสริญพระรามตลอด คัมภีร์นี้ก็ดัดแปลงออกเป็น ๗ กัณฑ์เรียกเหมือนกับ
ในรามายณะทั้งหมด ด้วยการย่อเรื่องราวและใจความให้สั้นลง จึงได้นามใหม่ของคัมภีร์นี้ว่า อาธยาต
มรามายณะ แต่ก็มิได้เป็นหนังสือหรือคัมภีร์ที่มีความสำคัญเท่าใดนักเพียงแต่ใช้สวดและอ่านกันตาม
ธรรมดาๆ นี่เอง
แต่ก็ยังนับได้ว่า พระฤษีวยาสมุนี ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีเกียรติประวัติช่วยสร้างสรรค์จรร
โลงโลกให้โสภาขึ้นมาอีก...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

คือองค์ประทานที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ และมีบารมีสูงแถมยังมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เมื่อ
แรกเริ่มเดืทีท่านได้สร้างบารมีในการบำเพ็ญพรต อยู่ทั่วทุกสถานที่เช่น ในโลกมนุษย์ ในเมืองบา
ดาล ในขอบเขตดินแดน แห่งจักรวาบโดยทั่วไป เช่น ในป่าหิมพานต์ เขาไกรลาส สัตบงกช หิมวัน
บรรพต เขาพระสุเมรุราช เขาคิชกูฎ และตามป่าดงดิบทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าหากว่ามีความ
เงียบสงัดสะดวกสบายในการปฏิบัติบูชาแล้ว ท่านก็มักจะเลือกเอาสถานที่นั้นๆ เป็นสถานที่บำเพ็ญ
พรตตบะเรื่อยๆไป ไม่ยอมอยู่เป็นที่เปลี่ยนแปลงรูปการณ์และสถานที่ไปตามลำดับ ไม่ผิดอะไรกับ
พระธุดงค์ชอบในทางสันโดษ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์อันสำคัญ
และแล้วความสำเร็จก็บังเกิดกับท่านด้วยอานิสงส์แห่งพระบารมีที่ท่านได้พยายามสร้างมาตั้งแต่
ต้น จึงบันดาลให้ท่านสำเร็จและหลุดพ้นจากโลกีย์วิสัย จึงได้ขึ้นไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่ในวิมาน
ทิพย์แห่งพรหมโลก แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังไม่ยอมละเว้นสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์คือ ภูมธรรมอันนี้
ท่านจึงได้สำรวม กาย วาจา และใจ ทำกริยาในการบำเพ็ญต่อไปอีก ก็เพราะว่าท่านได้ทราบและ
มองเห็นเด่นชัดแล้วว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่ในโลกทั้งสามโลก ที่จะเที่ยงแท้แน่นอน และมีคุณค่าเท่า
กับบารมีธรรม....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ท่านผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีอาคมอันแก่กล้าและศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งฤทธิ์เดชและอำนาจมาก โดยการหายตัว
และดำดิน(แทรกแผ่นดิน)ได้ เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติอีกท่านหนึ่ง เมื่อแรกเริ่มเดิมที ท่านก็เป็น
มนุษย์เช่นเดียวกัน เป็นพระฤษีธรรมดา ที่เคร่งครัดปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมประโยชน์ สร้างตบะบารมี
อย่างแน่วแน่ จนกระทั่งค้นพบพระอาคมอันมหาวิเศษ จึงมีอำนาจมากเพียบพร้อมไปด้วยอิทธฤทธิ์
และบุญฤทธิ์ ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ แล้วในที่สุด เมื่อถึงกาลกิริยาจากโลกมนุษย์แล้ว จึงได้
ไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่บนวิมานพรหมโลก แต่ก็ยังมิได้หยุดหย่อนลงไปแต่เพียงเท่านั้น ท่านยัง
ใช้ความเพียรพยายามเร่งสร้างตบะธรรมอันเป็นบารมีต่อไปอีก หวังว่าจะได้สูงขึ้นไปอีก ในด้านภูมิ
ธรรม ท่านจึงได้รับฉายานามว่า พระฤษีพรหมโลกา...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์

ท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีฤทธาศักดานุภาพมาก และมีบารมีสูงส่งเพียบพร้อมไปด้วยเมตตาธรรมเป็น
ที่รักของมวลมนุษย์ทั่วไป นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการร่ายรำและในการแสดงต่างๆ เป็น
อย่างดีตลอดจนในด้านดีดสีตีเป่าท่านก็มีความเชี่ยวชาญ มีความดีเด่นเป็นหนึ่งตลอดมา มิใช่เพียงแค่
แสดงหากท่านยังได้ประดิษฐ์คิดท่าทางในลีลาของ การร่ายรำและการแสดงต่างๆ ตลอดจนกระทั่งทำ
นองเพลง ในการดีดสีตีเป่าท่านก็คิดขึ้นมาทำเป็นตำราเอาไว้เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดไว้ให้พวกเราได้ศึกษา
แล้วเก็บเป็นสมบัติติดตัวเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการทำมาหากินสืบไป
พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์ ท่านมีความสามารถในด้านทางศิลปินมากอีกพระองค์หนึ่ง..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีประโคนธรรพ

ท่านนี้เดิมเป็นเพียงคนธรรพ์ เป็นนักดีดพิณฝีมือเอกบนสวรรค์มีความสามารถเป็นที่หนึ่งในนาม
ของปัญจสิขรณ์ นอกจากนั้นท่านยังได้ให้วิชาในทางศิลปินของท่านถ่ายทอดมาให้กับพวกเราเอาไว้
ใช้บรรเลงและในการแสดงอีกด้วย ในวงการศิลปินจึงมีความเคารพนับถือกันโดยทั่วไป ทำการกราบ
ไหว้บูชากันเป็นเนืองนิตย์ ในนามของพ่อครู ปัญจสิขรณ์ และก็มีชื่อให้เรียกกันตั้งแต่สมัยนั้นอีกชื่อ
หนึ่งคือ พระคนธรรพ์ ครั้นต่อๆมาก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเรียกเพี้ยนกันออกไป กลายเป็น
พระประโคนธรรพ์ และมาในปัจจุบันนี้ตัวการัน หายไปเลยกลายเป็น พระประโคนธรรพ จนถึงทุกวัน
แต่ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดเข้าใจเถิดว่าจะเป็นชื่ออะไร ผิดเพี้ยนไปอย่างใด แต่ก็เป็นองค์เดียวกัน
นั่นเอง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีปัญญาสด

พระฤษีองค์นี้เป็นเทพบุตรรูปหล่อที่สุด แต่รักในการบำเพ็ญบารมี มีความสามารถพิเศษในด้าน
ปัญญาและความทรงจำและยังชอบประดิษฐ์เพลง เนื้อเพลง การขับร้อง ต่างๆ ทั้งในทางร้องและทำ
นองรำได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นกลอนสดหรือกลอนด้น ในสารพัดกระบวนเพลง จึงเป็นที่รู้จักและยก
ย่องกันโดยทั่วไปสำหรับในวงค์เทพและท่านยังมีหน้าที่พิเศษคือ เมื่อครบ ๗ วัน พระฤษีปัญญาสดจะ
ต้องขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ประดิษฐ์เนื้อร้องทำนองเพลงที่ไพเราะแล้วขับร้องเป็นกลอน
สดถวายแด่องค์พระอิศวร
จึงเป็นที่โปรดปรานขององค์พระอิศวร และเทพเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ ทั้งอิทธิฤทธิ์และอภินิ
หารของท่านก็นับว่ายอดเยี่ยม ทั้งยังมีเมตตาธรรมลงมาทำการอบรมสั่งสอนให้ชาวโลกมนุษย์รู้จัก
ร้องรำทำเพลง เป็นการขับกล่อมต่อเนื่องกันมา จึงนับได้ว่าท่านมีพระคุณต่อชาวโลก ที่ทา่นได้สร้าง
สรรค์ในสิ่งแปลกใหม่ ให้มีเสียงเพลงเข้ามาค้ำจุนโลก ทำให้โลกสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอีกมาก เราจึง
ไม่ควรลืมท่าน ควรเคารพกราบไหว้ท่านเสมอๆ จึงจะสมควรกับคุณงามความดีของท่าน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอังคต

พระฤษีองค์นี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญตบะธรรมได้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพาลี กษัตริย์ผู้ครอบครอง
เมืองกีดกินษ์นคร(เป็นบุตรของพระอินทร์) ในกาลครั้งหนึ่ง หลังจากท้าววิรุฬหกถอดสังวาลย์นาค ฟาด
ตุ๊กแกสารภูตาย แล้วเขาไกรลาสก็ทรุดเอียง ทศกัณฑ์มาชลอให้ตั้งตรงได้ก็ขอพระอุมาเอาไปหมายจะ
ได้เป็นชายา แต่พระนารายณ์หาอุบายลงมาขัดจังหวะ จนกระทั่งทศกัณฑ์ต้องนำพระอุมาไปคืน แล้วจึง
ทูลขอ นางมณโฑ (มณฑก) พระอิศวรก็ประทานให้ทศกัณฑ์จึงอุ้มนางมณโฑเหาะไป ก็บังเอิญพาลี
เห็นเข้าก็จึงโกรธ โดยหาว่าพาผู้หญิงเหาะข้ามหัว จึงขว้างพระขรรค์เหาะขึ้นไปสู้รบกับทศกัณฑ์ แล้ว
แย่งเอานางมณโฑไปได้
ต่อมาทศกัณฑ์ก็ไปหาพระฤษีผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ช่วย ส่วนพระอาจารย์ก็แนะนำให้ไปหาพระฤษี
อังคต ในที่สุดพระฤษีอังคตก็เกลี้ยกล่อมให้พาลีคืนนางมณโฑ แต่ในขณะนั้นนางมณโฑได้ตั้งครรภ์
ถึง ๗ เดือน ยังไม่ครบกำหนดคลอด พระฤษีจึงทำพิธีใช้คาถาสะเดาะเอาลูกในท้องของนางมณโฑ
ออก แล้วนำไปฝากไว้ในท้องแพะ แล้วพาลีก็ส่งนางมณโฑคืนให้กับทศกัณฑ์ไป เมื่อครบกำหนด
พระฤษีก็แหวะท้องแพะเอาทารกนั้นออกมา มีรูปร่างเป็นลิงเหมือนพ่อ กายมีสีเขียวเหมือนพ่อแต่
ทว่ามีฤทธิ์มาก พระฤษีจึงตั้งชื่อให้คล้ายกับท่านเองว่า องคต
นี่คือประวัติดั้งเดิมของพระฤษีอังคต ท่านมีความเก่งกล้าสามารถมาก

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอรรคต

พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในดินแดนเขตติดต่อกันกับป่าทัณฑก ท่านก็มีอิทธานุ
ภาพ ไม่เกรงกลัวใครเช่นเดียวกัน ชอบสันโดษจึงได้มาบำเพ็ญอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ และท่านก็ยังมีหน้า
ที่ซึ่งพระอิศวรได้มอบหมาย ให้ท่านเป็นผู้เก็บรักษาเกราะทิพย์เอาไว้ จนกระทั่งถึงสมัยของพระนา
รายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม เดินทางผ่านมาทางอาศรมก็ให้พระฤษีนำเอาเกราะทิพย์อันนี้ถวายให้
กับองค์พระราม เพื่อจะได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวในการปราบปรามยักษ์ตรีบูรัม...
พระฤษีอรรคต หรือ อังคตะ หรือ อัตคต หรือ อคัต สวมชฎาดอกสีลำโพงสีกรัก...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีหิมพานต์

คือ พระหิมวัต พ่อตาของพระอิศวรนั่นเอง พระชายาชื่อ นางเมนา หรือ เมนกา นั่นเอง มีพระ
ธิดาคือ พระคงคาและพระอุมา พระฤษีผู้นี้เป็นผู้มากด้วยพระบารมี มีจิตใจเยือกเย็น มีเมตตาธรรม
สูง ไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น แต่ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลสำหรับผู้ได้รับความเดือดร้อนมีแต่ให้มิใช่
ผู้ขอ ท่านบำเพ็ญตบะธรรมชั้นสูงอยู่ในป่าหิมพานต์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ถ้าหากคิดจะไปหาเพื่อ
เป็นการเยี่ยมเยือนและนมัสการท่านก็เชิญได้ที่อาศรมของท่าน วิธีนั้นง่ายมากเพียงแต่่ตั้งจิตให้มั่น
แล้วภาวนาคำว่า " พุทโธพุทโธพุทโธ "..ทำจิต ให้สงบ ไม่ช้าท่านก็จะได้พบกับพระฤษีหิมพานต์...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีทุรวาส

พระฤษีองค์ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปต่อกรและรบกวนท่าน ก็เพราะว่าท่านมีอิทธิ
ฤทธิ์มากมายทั้งคาถาและวาจาประกาศิต ถ้าหากใครดีกับท่านแล้วท่านก็จะส่งเสริมตลอดไปแต่หาก
ท่านลองโกรธผู้ใดแล้วไม่ว่าผู้นั้นจะมีฤทธิ์เดชสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถสู้ฤทธิ์เดชของท่านได้เลย
ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือว่าพระิอินทร์ก็จะต้องพากันหน้าแตกไปตามๆกัน เพราะไม่สามารถที่จะป้องกัน
ในฤทธิ์เดชของท่านได้
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านได้ออกจากฌานแล้ว ท่านก็เข้าไปในป่าหิมพานต์เพื่อจะหาอาหารและ
ผลไม้ บังเอิญได้พบเทพธิดาที่สวยงามนางหนึ่ง นางได้นำพวงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกไม้สดจากสวรรค์
นำมาถวายองค์พระฤษีทุรวาส พระฤษีก็รับพวงมาลัยนั้นมาแล้วนางฟ้าก็ลากลับไป
พระฤษีก็สดชื่นแจ่มใสที่พวงมาลัยดอกไม้สดนั้นส่งกลิ่นหอมอบอวล ไม่มีดอกไม้ในโลกที่จะ
เปรียบเทียบในกลิ่นหอมของดอกไม้จากสวรรค์นี้ได้ แล้วในที่สุดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้นก็เริ่มออก
ฤทธิ์ทำให้มีอาการคลุ้มคลั่ง เที่ยวร้องเพลงและเต้นรำไปในอากาศอย่างสนุกสนาน โดยมิได้รู้สึกตน
เองเลยสักนิดเดียว ในขณะที่พระฤษีเต้นๆรำๆ และร้องเพลงเหาะมาในอากาศนั้น ก็บังเอิญพระอินทร์
ได้ทรงช้างผ่านมาทางนั้นและก็พบกับพระฤษีพอดี เมื่อพระฤษีขณะคลั่งไคล้ใหลหลงลืมตัวอยู่นั้นเห็น
พระอินทร์ก็จำได้ จึงได้ถวายพวงมาลัยดอกไม้สดพวงนั้นให้กับพระอินทร์ พระอินทร์ก็รับด้วยความ
เต็มใจ แล้วจึงนำเอามาวางไว้บนหัวช้างเอราวัณ เมื่อช้างเอราวัณได้กลิ่นดอกไม้นั้นแล้ว ก็เกิดอาการ
คลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับพระฤษี จึงเอางวงจับพวงมาลัยนั้นมากระทืบๆ จนพวงมาลัยนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี
ฝ่ายพระฤษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นแล้วก็โกรธ เข้าใจว่าพระอินทร์ดูถูกและเหยียดหยามจึงได้เอา
ดอกไม้นั้นไปให้ช้างกระทืบเล่น ด้วยความโกรธจนตาแดงก่ำ เลยสาปให้พระอินทร์และเทวดาที่ร่วม
มาด้วย มิหนำซ้ำยังส่งคำสาปไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้พระิอินทร์และเทวดาถอยกำลังมีฤทธิ์น้อย
ลงไป เมื่อใดที่จะต้องมีการสู้รบกับพวกอสูร ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็จะต้องพ่ายแพ้กับอสูรย์อย่าง
ยับเยิน ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็พากันตกใจอ้อนวอนและขอโทษกับพระฤษี เพราะว่ามิได้มีเจตนา
เช่นนั้น เป็นความผิดของช้างต่างหากที่ได้กระทำลงไปเช่นนั้น
พระฤษีทุรวาสก็ไม่ฟังเสียงโดยอ้างว่า เป็นพระอินทร์ทำไมบังคับช้างไม่ได้ พระฤษีก็ไม่ยอมให้
อภัยใดๆทั้งสิ้น ว่าแล้วก็เหาะจากไปจากที่นั้นโดยเร็ว นับแต่บัดนั้นมาทั้งพระอินทร์และเทวดาจึงไม่
มีฤทธิ์เหมือดังแต่ก่อน เมื่อเกิดสงครามกับพวกอสูรทุกครั้ง จะต้องพ่ายแพ้แก่พวกอสูรทุกครั้งไป
ต่อจากนั้นพระนารายณ์จึงคิดแก้ไขให้มีการกวนน้ำอมฤตกันขึ้นมา เพื่อจะให้พระอินทร์และเทวดา
ได้ดื่มกัน เพื่อจะได้มีฤทธิ์เหมือนดังเดิม
ก็นับได้ว่าพระฤษีทุรวาสองค์นี้ก็เป็นหนึ่งที่ควรจะรู้จักท่านเอาไว้.....

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 3:02 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
พระฤษีนนทิ

สำหรับพระองค์นี้ก็เป็นเทวดาที่รูปหล่อ แต่มีความสำคัญในวงการศิลปินเกี่ยวข้องกับการเป็น
ครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกับพระฤษีที่มวลมนุษย์เราได้มีจิตผูกพัน และทำการเคารพกราบไหว้บูชา
เพราะถือว่าท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีพระคุณกับนักแสดง และนักดนตรีไม่น้อยเลยทีเดียว ก็เพราะวิชา
การแสดงและดนตรีไทยนั้นท่านก็ได้ถ่ายทอดหลักวิชาในตำแหน่งหนัาที่ของท่านที่มีความชำนาญ
ในด้านการแสดงและร้องรำทำเพลงตลอดจนกระทั่งหน้าทับตะโพน และไม้กลองในเพลงต่างๆที่มี
ลีลาในทำนองเพลงแต่ละเพลงไม่เหมือนกัน นั่นแหละเป็นวิชาการของท่านทั้งนั้น
สำหรับประวัติที่สำคัญของพระนนทินี้ ท่านเป็นนักตีหน้าหนัง เช่น กลองตะโพน กลองแขก
(กลองคู่ หรือ กลองมลายู) และประเภทเครื่องกลองที่ขึงด้วยหนังทั่วๆไปทุกชนิดท่านมีลีลาและฝี
มือดีตีเก่งมากทีเดียว รับรองว่าใครๆที่ว่าเก่งก็ยังสู้ท่านไม่ได้ และท่านก็ยังเก่งในเรื่องบทกลอนและ
ทำนองเพลงอีกด้วยตีไปร้องไปในขณะเดียวกันได้อย่างทะมัดทะแมงและแคล่วคล่องว่องไว ด้วย
ความชำนาญอย่างเห็นได้ชัด
ท่านมีหน้าที่เป็นนักดนตรีประจำพระองค์ขององค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ ไม่ว่าจะมีงานใดๆ
ในสวรรค์ท่านก็จะต้องได้รับเชิญให้ขึ้นไปทำหน้าที่บรรเลง และแสดงทุกครั้งที่ชาวสวรรค์ได้จัดขึ้น
มาในทุกๆชั้น ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ชั้นใดๆ ก็จะต้องไปทั้งนั้น
กิตติศัพท์และเกียรติคุณของท่านโด่งดังและขจรขจายไปไกลแสนไกลไม่ว่าจะเป็น เทวโลก
พรหมโลก หรือโลกมนุษย์ ก็ย่อมจะต้องรู้จักพระนนทิกันได้ดี และยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งในขณะ
ที่พระอิศวรเสด็จไปไหนๆ พระนนทิผู้นี้ ก็จะต้องแปลงกายเป็นโคเผือก คือ โคอุศุภราช หรือ อุศุ
ราราย์ ในทุกๆครั้ง เพื่อเป็นพาหนะทรงสำหรับประจำพระองค์ของพระอิศวร
สำหรับนักดนตรีหรือนักแสดง ก็ควารที่จะหมั่นกราบไหว้บูชาและระลึกถึงในฐานะที่ท่านเป็นครู
ผู้แรกเริ่มถ่ายทอดวิชามาให้พวกเราได้หากินกัน..อีกผู้หนึ่ง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีรามเทพมุนี

พระฤษีองค์นี้ก็มีเวทย์มนต์ และอาคมขลังศักดิ์สิทธิ์มากเช่นกัน เมื่อครั้งที่ท้าวทศรถคิดใคร่ทำพิธี
อัศวเมธ(ปล่อยม้าอุปการ บูชายันต์ด้วยม้า) ก็ได้เชิญพระวสิษฐ์มหาฤษีมาเป็นปุโรหิต อำนวยการใน
พิธีครั้งนั้น และก็ยังได้อัญเชิญพระฤษีรามเทพมุนีองค์นี้มาเป็นผู้ช่วยปุโรหิต ในการบวงสรวงขอพระ
โอรสในพิธีครั้งนั้นด้วย แล้วในที่สุด พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเป็นพระราม โดยเกิดมาเป็นโอรสของ
ท้าวทศรถในภายหลัง สำเร็จตามความมุ่งมาตรปรารถนาทุกประการ....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสิงหล

พระฤษีองค์นี้เป็นเทวดาที่ชอบปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นที่ตั้ง ด้วยจิตใจที่ปราศจากความยินดี
ทั้งหลายทั้งปวง ในสิ่งที่เป็นสมบัตินอกกาย หวังที่จะเสริมสร้างด้วยความมุ่งมั่นมานะพากเพียรพยายาม
ที่จะทำให้สำเร็จผลสมประสงค์ ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าดงดิบแห่งเทือกเขาหิมาลัยไม่สนใจเรื่องภาย
นอก หากใครมุ่งมั่นที่จะสร้างบารมีเดินไปในทางบำเพ็ญสมาธิฌาน ก็บอกกล่าวขอความสำเร็จจากท่าน
แล้วท่านก็จะต้องช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมในความสำเร็จให้ทุกรายไป...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสุขวัฒน์

เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดอยู่ที่เชิงเขาไกรลาสท่านมุ่งมั่นบำเพ็ญเป็นเนืองนิตย์
จนกระทั่งเกิดอภินิหารขึ้นมาบริเวณหน้าอาศรมของท่าน คืออยู่ดีๆก็มีต้นไผ่เกิดขึ้นและงดงามโตเร็ว
วันเร็วคืน จนกระทั่งมีความสูงเทียมเท่ายอดเขาไกรลาส พระฤษีก็เห็นเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะว่าไม่
เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย พระฤษีจึงไม่รอช้าจึงรีบตัดต้นไผ่นั้นแล้วนำขึ้นไปเฝ้าเพื่อ
ถวายพระอิศวรด้วยเห็นว่าเป็นของแปลก
พระอิศวรทรงรับเอาไม้ไผ่นั้นไว้และทรงพอพระทับเป็นยิ่งนัก จึงนำเอาต้นไผ่นั้นมาทำเป็นคัน
ธนู ประดิษฐ์ประดอยทำอย่างสวยงามเมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงทดลองโก่งคันธนูด้วย
กำลังของพระองค์ คันธนูนั้นก็ทานกำลังของพระอิศวรไม่ไหว จึงหักออกเป็นสองท่อนจึงทรงตกพระ
ทัยและมีความเสียดายเป็นอย่างมากจึงหยิบเอาคันธนูท่อนปลายขว้างลงไปยังพื้นแผ่นดินแห่งมนุษย์
ในบัดดลนั้นเองปลายธนูที่ตกลงมาถึงพื้นดินก็บังเกิดเป็นลิง ชื่อ นิลเกสรหรือชามพูวราช ขึ้นมาในบัด
ดลนั้นเอง ต่อจากนั้นพระอิศวรก็ยกต้นคันธนูขว้างลงไปยังแผ่นดินอีกด้วยเดชะแห่่งความศักดิ์สิทธิ์ต้น
ธนูก็พลันบังเกิดเป็น พญาอสูรชื่อว่า เวรัมภ์
เวลาผ่านไปนานพอสมควร วานรและอสูรทั้งสองที่เกิดขึ้นจากธนูไม้ไผ่ของพระอิิศวรต่างก็ขึ้นเฝ้า
พระอิศวรและบังเอิญพบกันโดยมิได้นัดหมาย ต่างก็ดีใจที่ได้พบกันในฐานะที่มีกำเนิดมาจากแหล่ง
เดียวกัน ทั้งวานรและอสูรก็มีความสัมพันธ์เสมือนหนึ่งว่าเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน นานๆมาพบกันจึง
ดีใจเป็นของธรรมดา
องค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า ต่อไปวานรกับอสูรจะต้องเกิดการสู้
รบกัน แต่แล้วฝ่ายวานรจะต้องเป็นฝ่ายมีชัย เพราะเกิดมาจากคันธนูท่อนปลาย ส่วนอสูรจะต้องพ่าย
แพ้ก็เนื่องว่าเกิดจากโคนธนูนั่นเอง ในกาลต่อมาพระนารายณ์อวตารลงไปบังเกิดเป็นพระราม นิลเก
สรหรือชามพูวราช จึงเป็นพลลิงของพระราม ส่วนเวรัมภ์จอมอสูรจึงตกเข้าไปอยู่ในกลุ่มของทศกัณฑ์
แห่งเมืองลงกา ในที่สุดก็ทำสงครามกัน ยักษ์แพ้ ลิงชนะ ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ
ส่วนไม้ไผ่ที่พระฤษีนำเอามาถวายพระอิศวรได้ทำเป็นคันธนูนั้น ต่อมาก็ได้ตั้งชื่อต้นไผ่ชนิดนั้นว่า
ไผ่ษีสุข หรือ ไผ่ฤษีสุข ด้วยสาเหตุที่พระฤษีสุขวัฒน์เป็นผู้พบและนำมา เลยใช้ชื่อของพระฤษีนั้น
เป็นชื่อไม้ไผ่นั้นไปเลย.....
พระฤษีสุขวัฒน์ สวมชฎาดอกลำโพงสีอิฐแดง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีปรเมศ

สำหรับชื่อของพระฤษีองค์นี้ก็คล้ายคลึงกับ พระอิศวรและพระพรหม คือ พระอิศวรจะใช้ตัวอักษร
ว่า ปรเมศร์ แต่พระพรหมจะใช้อักษรว่า ปรเมศฎ์
แต่องค์ที่จะแนะนำอยู่นี้ ไม่มีตัวอะไรการันต์ทั้งนั้น พระฤษีองค์นี้ท่านได้บำเพ็ญตบะบารมีอยู่ที่ภูเขา
ตรีกูฏ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับท่านท้าววิรุฬหกมหาราช ซึ่งเป็นมหาราชหนึ่งในจำนวนสี่องค์ที่เป็นผู้ดูแล
และครอบครองพระนครใหญ่ ทางด้านทิศใต้ของสวรรค์ชั้นที่ ๑
สวมชฎาดอกลำโพงบำเพ็ญพรตอยู่ที่เขาตรีกูฎ....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีกาศยปมุนี

สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็มีอิทธิฤทธิ์และบารมีสูงสามารถสร้างอภินิหารต่างๆได้ คาถาอาคมก็มีมากใน
เมื่อท่านมุ่งมั่นที่จะกระทำ ไม่ว่าสิ่งใดๆก็จะต้องได้สมกับความต้องการและมักจะสำเร็จผลทุกครั้งไป
ท่านนี้ก็ได้รับเกียรติจากท่านท้าวทศรถเชิญให้ท่านมาร่วมกระทำ พิธีอัศวเมธในครั้งนั้นด้วยอีกพระองค์
หนึ่ง ในจำนวนกลุ่มพระฤษีที่เก่งกล้าทั้งหมด ได้ผนึกแรงร่วมใจกันจึงบันดาลให้พิธีนี้สำเร็จสมความพระ
ประสงค์ทุกประการ...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระโคดมพรหมฤษี

ตามประวัติของพระฤษีองค์นี้เมื่อเริ่มแรกเดิมทีเป็นพระมหากษัติรย์ผู้ครอบครองเมืองสาเกตมี
นามว่า ท้าวโคดม ได้สละสมบัติออกมาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ยตบะสร้างบารมีอยูในอาศรมกลางป่า
ท่านผ่านเรื่องร้ายๆมามากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งนกกระจาบสองผัวเมียซึ่งอาศัยทำรังอยู่ที่เคราของพระ
ฤษีได้เกิดการทะเลาะกันนางนกกล่าวหาว่า สามีของตนแอบไปมีเมียใหม่ ฝ่ายนกกระจาบผู้สามีก็ได้
กล่าวปฏิเสธพัลวัลแล้วได้เอ่ยปากพูดลามมาถึงพระฤษีโคดมว่า "ถ้าหากฉันนอกใจเธอจริงๆขอให้
บาปของพระฤษีโคดมทั้งหมดจงมาเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิด" เล่นเอาพระฤษีโคดม ที่กำลังนั่ง
หลับตาฟังเหตุการณ์อยู่เงียบๆถึงกับสดุ้งโหยง แล้วร้องถามออกไปดังๆว่า "ฉะ..ชัดฉ้า..มันจะมาก
ไปแล้ว นี่เจ้านกกระจาบตัวน้อยๆเจ้าอาศัยหนวดของข้าทำรังยังไม่พอยังจะมาลบหลู่ดูถูกกันอีกหรือ
หว่า" นกทั้งคู่เลยเลิกทะเลาะกัน นกตัวผู้คำนับพระฤษี "หามิได้พระเจ้าข้า มิได้ลบหลู่ดูถูกแต่อย่าง
ไร พูดไปแต่ความเป็นจริงทั้งนั้น" พระฤษีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสงสัย "แล้วทำไมถึงว่าข้ามีบาป
ก็ข้าบำเพ็ญตบะมาตลอดและมิหนำซ้ำพวกเจ้ายังมาทำรังอยู่ในหนวดของข้า ก็ไม่ได้เสียค่าเช่า ยังจะ
หาว่าข้ามีบาปอีกหรือ"
นกกระจาบจึงพูดต่อว่า"ก็ทำไมท่านจะไม่บาปล่ะเพราะท่านเป็นถึงพระราชาไม่มีปัญญาที่จะมีโอ
รสหรือธิดา สืบราชสมบัติต่อไปได้ ในการที่ท่านมาบวชเป็นพระฤษีอยู่ในป่าเช่นนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัว
ชัดๆที่ทำให้ต้องขาดวงค์ของกษัตริย์ ที่จะต้องปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป นี่แหละคือสิ่งที่เป็นบาป
และก็เป็นบาปหนักด้วย" เมื่อพระฤษีได้ฟังเช่นนั้น ก็นิ่งพิจารณาดูแล้วก็เห็นเป็นจริงตามคำที่นกกระ
จาบกล่าวหา จึงทำให้เบื่อจากการเป็นพระฤษี หวังจะสึกออกไปครอบครองบ้านเมืองเหมือนอย่างเดิม
แต่ครั้นจะย้อนกลับไปที่เมือง ก็ยังมีความละอายใจตนเอง จึงจัดตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ จนกระ
ทั่งได้บังเกิดนางงามขึ้นมานางหนึ่ง พระฤษีก็ดีใจตั้งชื่อให้นางนั้นว่า"นางกาลอัจนา"
พระฤษีก็อยู่กับนางกาลอัจนาอย่างมีความสุขภายในอาศรมในป่านั่นเอง และต่อมานางได้ตั้ง
ครรภ์และคลอดออกมาเป็นผู้หญิงชื่อว่า นางสวาหะ
นี่คือประวัติย่อๆของพระฤษีโคดม และท่านก็ได้ผ่านเรื่องร้ายๆมามากมายจนกระทั่งต้องเพิ่มตบะ
สร้างบารมีสูงสุดจึงได้บังเกิดเปฯ พระโคดมพรหมฤษี ตามความต้องการ พระฤษีองค์นี้ท่านก็มีความ
ศักดิ์สิทธิ์และสามารถสาปผู้ใดให้เป็นอะไรก็ได้ตามปากประกาศิตของท่าน หากท่านผู้อ่านหมั่นกราบ
ไหว้บูชาเป็นประจำท่านก็อาจประทานพรมาให้ก็เป็นได้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพรหมจักร

สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็เป็พระฤษีในชั้นพรหมอีกท่านหนึ่งที่มีทั้งฤทธิ์เดชาและศักดานุภาพมาก
มาย ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีเวทย์มนต์คาถามหาวิเศษเก่งกล้าเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวโลกทั้ง
หลาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพระฤษีที่ยิ่งใหญ่ อีกพระองค์หนึ่ง ท่านมีความเมตตาธรรมสำหรับปวงชนทั่วไป
ไม่ชอบกลั่นแกล้งรบกวน รังแกซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ท่านมีสัจจะเป็นที่ตั้ง คอย
ค้ำจุนโลกให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
ดังนั้นพวกเราทั้งหลายก็ไม่ควรที่จะมองข้ามท่าน ควรที่จะกราบไหว้บูชากันให้ทั่วถึงด้วยดวงจิต
ที่มุ่งมั่นขอประทานพรและบารมีจากท่าน แล้วความสุขความเจริญก็จะบังเกิดกับผู้บูชาอย่างแน่นอน..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสิงขรณ์

พระฤษีองค์นี้ท่านหนักในการบำเพ็ญตบะบารมีเป็นอย่างมาก ท่านไม่ค่อยวุ่นวายกับผู้ใดนัก
สำหรับอาศรมที่อยู่อาศัยนั้นอยู่ในป่าทึบ ไม่ค่อยมีเทวดาหรือมนุษย์เข้าไปรบกวน ท่านมุ่งมั่นไปในทาง
บารมีธรรมคิดหวังตั้งใจว่าจะต้องให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ชั้นพรหมให้ได้ ในด้านจิตใจท่าน
ใจดีมากใครขออะไรก็ได้ คาถาอาคมของท่านก็ขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก หากท่านผู้อ่านจะลองขออะไร
จากท่านก็ลองดูนะคะ เพราะพระฤษีที่ใจดีนั้น บางทีเราขออะไรก็มักจะได้ โดยเราเองก็คาดไม่ถึง
ทุกอย่างในโลก มักจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีประไลยโกฏิ

พระฤษีพระองค์นี้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่า เพื่อหวังสำเร็จฌานบารมีแล้วจะได้ไปบังเกิดบน
สวรรค์ ตั้งใจปฏบัติกรรมฐานบำเพ็ญพรตด้วยความมานะพยายาม มุ่งมั่นในนิพพานอย่างเดียวด้วยใน
ระหว่างนั้นมวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังเดือดร้อน และกังวลเรื่องอาหารการกินมนุษย์ทุกคนต้องดิ้นรน
แสวงหาสิ่งของเพื่อประทังความหิวโหยแต่ก็รู้สึกว่าจะหายากเหลือเกินแม้แต่องค์พระฤษีประไลยโกฏิ
เองก็เถอะ ท่านก็ยังมิวายกังวลห่วงใยประชาชนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน มองหาช่องทางใดก็ไม่มีความ
สามารถช่วยได้ จึงต้องนิ่งบำเพ็ญพรตต่อไป
ด้วยอภินิหารและบุญญาธิการของท่านจึงปรากฏเหตุการณ์มหัศจรรย์ขึ้นมา พายุใหญ่พัดกระหน่ำ
รุนแรงต้นไม้ใหญ่น้อยหักระเนระนาดต่อจากนั้นฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมขังรอบๆ
อาศรมของพระฤษี แล้วทั้งพายุและฝนก็สงบลงไปในที่สุด
เหตุการณ์อภินิหารในครั้งนี้ก็มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุฝนนั้นตกลงมาแถวบริเวณหน้าอาศรม
ตั้งแต่เชิงบันไดไปจนถึงสระน้ำเมล็ดข้าวสาลีฝังอยู่ในดินที่มีน้ำท่วมอยู่นั้นก็เริ่มกระเทาะเปลือกแตก
ออกมาเป็นต้นงอกงามเขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณ มองดูสวยงามยิ่งนัก พระฤษีประไลยโกฏิก็มีความปลื้ม
ปิติยิ่งนักจึงเฝ้าดูต้นไม้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรเหล่านั้น
จนกระทั่งต้นข้าวแตกรวง และสุกเหลืองอร่ามในเวลาต่อมา ทั้งยังส่งกลิ่นหอม พระฤษีก็มีความ
ยินดีรำพึงกับตนเองว่า"มันเป็นผลอะไรกันหว่า ช่างมีกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกินไม่รู้ว่ามนุษย์จะกินได้
หรือเปล่า เราจะต้องคอยดูว่าจะมีนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้านกกากินได้มนุษย์ก็กินได้เมื่อ
นั้นมนุษย์ก็จะมีอาหารการกินเพิ่มขึ้น" แล้วพระฤษีก็เฝ้าดูอยู่เงียบๆ
ต่อมาอีกไม่นานก็มีนกกระจาบตัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าบินมาจากไหนได้ลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลีจนอิ่ม
และก่อนบินกลับมันยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย แล้วอีกไม่นาน ก็มีนกกระจาบฝูงใหญ่พากัน
บินลงมาที่ต้นข้าวสาลีต่างพากันจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวจ้อกแจ้กจอแจ ฟังไม่
ได้สรรพ เมื่อพวกมันกินอิ่มแล้ว ก่อนกลับทุกตัวยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย
พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ คิดในใจว่า ต่อไปนี้มวลมนุษย์จะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องอาหารการ
กินอีกแล้วเพราะจะมีอาหารเพิ่มขึ้น รอจนกองทัพนกกระจาบไปหมดแล้ว พระฤษีก็ลงจากอาศรมเก็บ
รวบรวมเอารวงข้าวสาลีขึ้นมาไว้ในอาศรม เพื่อจะได้ขยายพันธุ์ต่อไปให้ได้มากๆ จะได้พอเพียงกับ
ความต้องการของมนุษย์ ในปีต่อมาพอถึงฤดูกาลที่ฝนตกลงมา พระฤษีท่านก็ไถนาแล้วเอาเมล็ดข้าว
สาลีหว่านไปทั่วพื้นดิน พอออกรวงก็เก็บเอามาไว้เป็นพันธุ์ ท่านทำอย่างนี้ทุกปีจนพันธุ์ข้าวสาลีมาก
ขึ้นพอกับความต้องการ
ก็นับได้ว่าพระฤษีประไลยโกฏิท่านมีบุญคุณกับมวลมนุษย์อย่างมากมายในด้านของโภชนาการ
หากท่านไม่สนใจหรือถือว่าธุระไม่ใช่ไม่เก็บพันธุ์ข้าวสาลีเอาไว้ ป่านนี้ก็อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้
เพราะนกกระจาบฝูงใหญ่และความรอบคอบของพระฤษีกับความปรารถนาดีของท่านจึงทำให้มนุษย์
มีข้าวสาลีเป็นอาหารมาจนทุกวันนี้ นี่แหละคือฝีมือของพระฤษีทำนาองค์นี้แหละ ควรที่พวกเราจะต้อง
กราบไหว้รำลึกถึงคุณความดีของท่านตลอดไป....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีชนกจักรวรรดิ

พระฤษีองค์นี้เป็นกษัตริย์แห่งนครมิถิลา ก็คือ ท้าวชนก นั่นเอง ได้สละสมบัติออกมาบำเพ็ญ
พรตอยู่ในป่าวันหนึ่งเมื่อพระฤษีออกจากฌานแล้วก็ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ เห็นดอกบัวใหญ่ลอยน้ำมา
พระฤษีก็มีความสงสัยว่าดอกบัวอะไร ทำไมถุงใหญ่เช่นนั้น ด้วยไม่เคยมีและไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
จึงได้เก็บดอกบัวนั้นขึ้นมาจากน้ำ ก็เห็นผลบแก้วอยู่ในดอกบัว พระฤษีก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น จึงเข้าฌาน
ดูก็รู้ว่าในผอบนั้นมีเด็กหญิงที่มากด้วยบุญญาบารมีอยู่ในนั้น
เมื่อพระฤษีรู้เช่นนั้นแล้วก็เปิดผอบแก้วนั้นออก แล้วจึงอฐิษฐานจิตให้นิ้วของท่านมีน้ำนมไหล
ออกมา เพื่อจะได้ให้พระธิดาดื่มกิน เลี้ยงมาจนกระทั่งเห็นสมควรแล้วจึงนำเอาพระธิดานั้นไป ฝากให้
พระธรณีเลี้ยงเอาไว้ ครั้นต่อมาเมื่อพระฤษีเบื่อจากการบำเพ็ญคิดจะกลับพระนครก็ชักชวนบริวารของ
ท่าน ไปขุดผอบแก้วที่ฝังเอาไว้ แต่ถึงแม้จะใช้ความพยายามขุดกันสักเท่าใด ก็หาได้พบผอบแก้วนั้น
ไม่ เล่นเอาพระฤษีถึงกับเหงื่อหยดจึงต้องทำพิธีบวงสรวงขอจากเทพธิดาและพระธรณีแล้วให้คนสนิท
เข้าไปในนครมิถิลา แล้วนำเอาคันไถ ออกมาทำการไถนาหาผอบแก้วต่อไป นี่แหละเป็นที่มาของคำ
ว่าพระฤษีไถนา
ในที่สุดก็ได้ผอบแก้วขึ้นมาจากใต้ดินตามความต้องการ พระฤษีจึงประทานนามให้ว่า สีดา แปล
ว่าได้ขึ้นมาจากรอยไถ แล้วพระฤษีก็ลาเพศจากฤษีกลับเข้าไปครองนครมิถิลาเหมือนอย่างเดิม ใน
นามของท้าวชนก และสถาปนาสีดานั้น ให้เป็นราชบุตรตรีบุญธรรม แล้วจึงเลี้ยงดูอย่างเป็นสุขตลอด
ไป......

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 03 ส.ค. 2009 3:03 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 22 มิ.ย. 2009 10:19 am
โพสต์: 536
คือมันเยอะมากเลยคับ ก๊อบมาไม่ไหว ไว้ต่อคราวหน้านะครับ

ส่วนที่มาทั้งหมด

นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว...

หนังสืออ้างอิง...ตำนานพระฤษีของ อ. ว จีนประดิษฐ์ จากเวบ ชมรมรักพ่อแก่

_________________
085-8433717
https://www.facebook.com/BuMEvE


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 31 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO