มาร่วมสนทนากันในหมู่สมาชิก แลกเปลี่ยนเรื่องราวที่ท่านประสบมาได้ที่นี่ครับ
ตอบกระทู้

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 3:07 pm

น่าจะถูกใจเจ้าของกระทู้นะครับ (วันเกิดอีกต่างหาก) :D :D

ขอบพระคุณครับผม

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 3:44 pm

มารอตามคับ

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 10:45 pm

พระฤษีนาวัน

เป็นพระฤษีที่มีเมตตาธรรม บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่าแห่งภูเขาดงพญาไฟ ที่เต็มไปด้วย
ไข้ป่าและอันตรายนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่า ก็ล้วนแล้วแต่ดุร้ายทั้งสิ้น
ทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด และอสรพิษต่างๆ ก็มีอยู่มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมี ผีโป่ง ผีป่า ผีกระสือ
ผีกระหัง ผีกองกอย ผีปอบ มีทั้งยาเบื่อยาสั่งสารพัดที่ล้วนแต่อันตราย แต่พระฤษีนาวันท่านก็มิได้เกรง
กลัวแต่อย่างใด คงนั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมเท่านั้น หากไม่จำเป็นก็จะไม่ออกไปไหน นอกจากจะ
ออกไปหาน้ำและผลไม้เอามาเป็นเสบียงไว้ฉันท์เท่านั้น ท่านมองเห็นว่าอันชื่อดงพญาไฟนั้นไม่เหมาะ
ท่านจึงปรึกษาหารือกันหลายฝ่ายได้ผลสรุปให้เปลี่ยนมาเป็น ภูเขาดงพญาเย็น มาจนถึงทุกวันนี้...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระมหาเทพฤษีเทวราตมุนี

ในประวัติของเทพฤษีองค์นี้ก็มีอยู่ว่า ท่านเป็นต้นตระกูลของนครมิถิลา ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งเหล่าเทวดา
ทั้งหลายต่างก็มีความสงสัยกันว่า ในระหว่างพระอิศวรและพระนารายณ์ใครจะเก่งกว่ากัน จึงขอร้องให้
ทั้งสองพระองค์มาประลองฤทธิ์กัน พระอิศวรทรงแผลงศรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกไป แต่ก็ทำอะ
ไรพระนารายณ์ไม่ได้ เพียงแต่พระนารายณ์ตวาดคำเดียวเท่านั้น ลูกศรนั้นก็อ่อนปวกเปียกลงไป เหล่า
เทวดาจึงยกให้พระนารายณ์เป็นผู้ที่เก่งกล้า ในที่สุดพระอิศวรก็ทรงน้อยพระทัย และทรงกริ้วธนูและลูก
ศรอันนั้นจึงทรงประทานให้กับพระมหาเทพฤษีเทวราตมุนีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงตกทอดลงมาถึง
ท้าวชนกมาในสมัยพระรามโก่งศรจนกระทั่งศรหัก แล้วได้นางสีดาไปเป็นชายา ส่วนศรของพระนา
รายณ์นั้นได้ตกอยู่กับพระฤษีฤจิก แล้วมอบให้พระฤษีชมทัศนี จนกระทั่งตกมาเป็นสมบัติของปรศุราม..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีคิชฌกูฎ
ท่านผู้นี้ก็เป็นเทพฤษีที่มีบารมีมากมาย ได้บำเพ็ญตบะธรรมอยู่ในป่าลึกใกล้กับป่าหิมพานต์ อาศรม
ของท่านอยู่บนภูเขาที่เรียกว่า เขาคิชฌกูฎ ท่านมีนิสัยดุเสียงดัง ถ้าหากว่าไม่สบอารมณ์ หรือว่าโมโห
มากๆ นัยตาท่านจะแดงก่ำราวกับเลือดทีเดียว แต่เดิมทีพระฤษีคิชฌกูฎนี้ มิใช่มนุษย์และมิใช่เทวดา
เป็นแต่เพียงพวกแทตย์ หรือทานพ ผู้ซึ่งมีร่างกายเป็นเทวดา แต่หน้าตานั้นดุปานยักษ์ ซึ่งก็เป็นเชื้อสาย
ของพระกัศยปะเทพบิดรเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะดุราวกับยักษ์มาร แต่ภายในจิตใจของท่านดีเอามากๆทีเดียว
ใครจะบนบานศาลกล่าวในด้านการเจ็บป่วย ท่านก็มักจะรับบนท่านจะช่วยเสมอไป เพราะว่าท่านเป็น
หมอยาเก่งในทางสมุนไพรและคาถาอาคมมากมายยากที่จะหาผู้ใดมาเทียบได้
หากท่านต้องการให้ท่านช่วยรักษาโรคก็จงตั้งจิตอฐิษฐานบนบานกับท่าน ขอให้ท่านช่วยรักษา
โรคร้ายให้กับเรา แต่เมื่อรักษาหายแล้วก็อย่าลืมแก้บน เพราะมีอยู่ไม่น้อย ที่ตอนบนก็บนได้แต่ตอน
จะแก้ก็ลืมเสียงั้นแหละ รู้จักคำว่าติดสินบนไหม ใครที่ติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะเกิดเรื่องไม่ดี
เสมอและบางรายที่ไปเจอเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฮี้ยนๆ ก็อาจถึงกับชีวิตได้ ไม่เชื่อก็จงอย่าลบหลู่ ขอเตือน
ด้วยความหวังดี

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีไพรวัน

ตามประวัติของพระฤษีไพรวันนี้ ท่านใจดีมาก มีเมตตาสูง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หากเดือด
ร้อนหรือได้รับความทุกข์ ท่านจะต้องช่วยเหลือทั้งหมดอย่างเสมอภาค โดยมิได้คิดรังเกียจหรือเดียด
ฉันท์แต่ประการใด ปกติท่านจะจำศีลภาวนาบำเพ็ญตบะ สร้างบารมีอยู่ที่ป่าหิมพานต์โดยตลอดไป ด้วย
จิตมุ่งมั่นเคร่งต่อการปฏิบัติ ไม่ตึงไม่หย่อน ชอบสันโดษอยู่แต่ในอาศรมเพียงองค์เดียว...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีบรมครูพระพิลาภ(พระฤษีวิราธ)

ณ.ภูเขายอดทองที่มีนามว่า เหมกฏบรรพต ยังมีองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆในไตรโลกพระองค์ท่านมีพระบารมีมาก และยังเป็นผู้ที่ทรงศีลที่มั่นคงในการบำเพ็ญท่านมีนิสัยรักและห่วงใยมวลมนุษย์เป็นอย่างมาก ชอบช่วยเหลือทุกผู้ทุกนามที่เฝ้าขอพรท่าน แล้วก็จะต้องสำเร็จ

ผลเกือบจะทุกรายแต่ขอให้ผู้ขอนั้นเป็นคนดีที่มีศีลธรรมอยู่ประจำสันดาน มีสัจวาจา มั่นคงท่านก็จะช่วยเหลือเสมอ ตรงข้ามกับคนที่ชอบกระทำความผิดคิดชั่วไม่มีศีลธรรมไม่มีสัจจะ ไม่ละอบายมุข ท่านก็จะ ลงโทษให้ถึงกับย่ำแย่สำหรับรูปกายของท่านผิวเนื้อสีขาว นุ่ง

ห่มผ้าโขมพัสตร์มีลูกประคำสร้อยนวมคอ ถือไม้เท้าคดๆงอๆ เกล้าผมมวยแบบพรามณ์ที่เราท่านทั้งหลายได้เคยเห็นมีหนวดและเคราสีขาวยาวเฟื้อยรุงรังราว
กับรังนกกระจาบแต่ว่ามีนิสัยจิตใจดีมากยาก ที่จะหาองค์ใดมาเปรียบเทียบ ในกาลครั้งหนึ่งพระองค์ก็ได้มองเห็นว่าได้มียักษ์อันธพาลเกิดขึ้นมาเที่ยวเบียดเบียนทั้งสามโลก
ให้ได้รับความเดื่อด ร้อนวุ่นวายและในไม่ช้าองค์พระนารายณ์ก็จะต้องอวตารลงไปปราบจึงคิดหาทางช่วยพระนา
รายณ์ จึงทรงอวตาลลงไป ก่อนแต่พักอยู่เพียงแค่สวรรค์ชั้นที่หนึ่งเท่านั้น(ชั้นจาตุมหาราชิกา)ในเขตของท้าวกุเวรหรือ
ท้าวเวสสุวัน ใช้ชื่อว่า พระฤษีวิราธ ได้บำเพ็ญตบะด้วยความมุ่งมั่นสร้างบารมีให้สูงขึ้นจนกระทั่งในที่สุดก็มีความสามารถแก่กล้า องค์พระพรหมาจึงเสด็จลงมาประทานพระพรให้อยู่ยงคงกระพันมิให้ต้องตายด้วยอาวุธทั้งหลาย
ทั้งปวงแล้วต่อจากนั้นท่านก็ได้มุ่งมั่นบำเพ็ญติดต่อกันไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ในขณะนั้นก็ยังมีนางรัมภาผูเป็นบาทบริจาริกาของท่านท้าวเวสสุวันได้เข้ามาเก็บดอกไม้ผลไม้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโกมุท

พระฤษีองค์นี้ท่านมีกำเนิดมาจากเกสรของดอกบัว ที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำคงคามหานที ท่านมีบุญญาธิ
การอันสูงส่ง ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีก็ไม่ต้องห่วง ท่านเก่งกาจสามารถมากทั้งคาถาอาคมและเวทมนตร์
อันขลังที่มีความศักดิ์สิทธิ์ก็มีมาก ใครๆก็มักจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนกับพระฤษีองค์นี้กันทั้งนั้นท่าน
อยู่ที่ในป่าหิมพานต์ นั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมทั้งวัน ท่านผู้อ่านอยากไปพบกับท่านไหมคะ..
การเดินทางไปหาพระฤษีทุกๆพระองค์ที่ในป่าหิมพานต์ ก็จะต้องอาศัยพาหนะพิเศษเพียง 2 ขบวน
เท่านั้น คือขาไปหนึ่งขบวน ขากลับอีกหนึ่งขบวน เวลาที่เหมาะแก่การเดินทางคือกลางคืนดึกสงัด
เงียบสนิท เมื่อตั้งจิตดีแล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆและลึกๆ พาหนะ 2 ขบวน นั้นก็คือ พุท
โธ นั่นเอง
ลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ ฝึกบ่อยๆเป็นประจำแล้วท่ายจะพบว่าการไปเที่ยวป่าหิม
พานต์เพื่อพบกับพระฤษีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด.....
และเที่ยวไปในป่า ก็ บังเอิญมาพบกับพระฤษีวิราธด้วยไฟราคะอันร้อนเร่าจึงเกิดเป็นความรักและความต้องการขึ้น
มาทั้งสองฝ่ายในทันทีทันใดนั้นเอง(พระฤษีสมัยก่อนนั้นยังสามารถมีภรรยาได้)ทั้งพระฤษีวิราธ
และนางรัมภาได้ประพฤติผิดในกาม จึงได้ร่วมรักร่วมสังวาสกันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่ายและยังได้เป็นชู้กันเรื่อยมาอีกเป็นเวลา
นานแ่ต่ว่าช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวไปปิด มัน จะมิดได้อย่างไรกันจึงได้ล่วงรู้ไปถึงท้าวเวสสุวันเข้าจนได้เนื่องจากในขบวนการพวกนางที่ได้
เป็นข้าบาทบริจารืกาด้วยกันนำเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ท่านท้าวเวสสุวันไดทรงทราบจึงทรงพิ
โรธอย่างสุดที่ยับยั้งเอาไว้ได้ จึงเรียกตัวนางรัมภาเข้ามาสอบสวนทวนพยานค้นหาหลักฐานจนต้องสารภาพอย่างสิ้นเชิงตาม
ความเป็นจริงทุกอย่าง และลงโทษนางใน สถานหนักแล้วยังสาปให้พระวิราธต้องกลายเป็นรากษส(ยักษ์)ที่มีความดุร้ายอยู่ภายในป่าทัณฑก เที่ยวอาละวาดจับ สัตว์กินเป็นอาหารจนกว่าจะพบกับองค์นารายณ์อวตาลลงมาเป็นพระรามแล้วให้พระรามฆ่าตาย
ด้วยน้ำมือจึงจะหมดสิ้น เคราะห์กรรมและคำสาปจึงจะได้กลับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมอีก พระฤษีวิราธจึงต้องลงมาอยู่ในชั้นดิน มีชื่อว่า ยักษ์พิลาภสำหรับพ่อครูพิลาภหรือพระฤษีพิลาภ(วิราธ)ผู้นี้ ยังได้เป็นพ่อครูใหญ่ที่สุดในวงการศิลปินของไทย ทุกๆประเภท เช่น

ครูโขน ครูละครครูลิเก ครูเพลงทรงเรื่อง ครูปี่พาทย์มโหรี ครูแตร ครูอังกะลุงครูหุ่นกระบอก ครูละครเล็กแม้แต่กระทั่งครูตะตั้ว ครูกลองยาวก็จะต้องเป็นศิษย์ของพ่อครูพิลาภทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรของสายศิลปินไทย
จริงๆแล้วไม่มีใครกล้าที่จะลืมอัญเชิญท่านให้มาเป็นประธานทุกครั้งไปหลังจากที่ท้าวเวสสุวันได้
สาปให้เป็นยักษ์ที่ดุร้ายท่านก็รอคอยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งองค์พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเดินทางเข้ามาในป่าทัณฑกนั้นพญายักษ์พิ
ลาภก็หมายที่จะจับกินเป็นอาหาร จึงได้เกิดการต่อ สู้กันขึ้นแต่ทำอย่างไรพระรามก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายได้ในที่สุดก็ได้หยุดพักไถ่ถามประวัติ
กันขึ้น แต่ยักษ์พิลาภก็ยังปิดบังไม่ยอมเล่าความจริงให้พระรามฟัง ก็เพราะรู้ว่าเป็นพระรามแต่ก็ยังแอบซ่อนความดีใจเอาไว้อีกด้วย บอกเพียงแต่ว่าท้าวเวสสุวันท่านได้สาปไว้และที่ฆ่าไม่ตายก็เพราะพระพรหมท่านทรงประทานพร
ไว้จนกว่าจะพบกับพระรามแล้วยอมให้ พระรามฆ่าให้ตายด้วยน้ำมือนั่นแหละจึงจะตายได้สมใจ แล้วได้กลับไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมว่าแล้วก็ชี้ทางให้พระรามที่จะเดินทางไปยังกรุงลงกาเพื่อ
ที่จะตามหานางสีดาให้พบแล้วต่อจากนั้นก็ให้พระรามและพระลักษณ์ช่วยกันขุดหลุมให้ลึกแล้ว
ให้ตนเองลงไปในหลุมและให้ฝังตนให้ตายทั้งเป็นจึงได้ตายสมความปรารถนา ในยุคของพระรามนั่นเอง ก็เป็นอันว่าพ่อครูพิลาภได้กลับขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนวิมานสวรรค์ตามเดิมแต่ทว่าท่านก็มิได้ทอดทิ้ง
ลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ในเมืองมนุษย์กันอีกจำนวนมาก ท่านคอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือคุ้มกันปกปักรักษา ได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่อดไม่อยากก็เพราะบารมีของท่าน พ่อครูพิลาภ หรือ พระฤษีพิลาภนั่นเองโดยเฉพาะในการจัดงานไหว้ครูของศิลปินก็จะต้องอัญเชิญ

เศียรพ่อครูพิลาภ
องค์นี้ขึ้นตั้งปูด้วยผ้าขาวเป็นอันดับแรกของบรรดากระบวนเศียรพระฤษีทุกๆพระองค์(ทั้งภาค
ยักษ์และภาคพระฤษี)...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสัตบงกฎ

นี่ก็เป็นพระฤษีอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ในอาศรมชายป่าหิมพานต์ ด้านเชิงเขา
สัตบงกฏ ท่านผู้นี้ได้สำเร็จและเป็นผู้วิเศษที่สามารถเข้าฌานและอดอาหารได้ครั้งละเป็นสิบๆปี คงหลับ
ตาภาวนาอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งหนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน มองดูแล้วทั้งผมและหนวด
เครารกรุงรังราวกับคนบ้า หากใครพบกับท่านก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นใคร และภายใน
ของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านมีบารมีมากคาถาอาคมเวทมนตร์ขลัง ทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ก็เป็น
หนึ่งในขบวนการพระฤษีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ตลอดจนกระทั่งการกระทำ และคำสาปที่เป็นมหา
อำนาจอันลึกลับและก็บังเกิดผลที่เกินคาดและคุ้มค่ามากมาย
ในบรรดาผู้ที่ได้รู้จักกับพระฤษีองค์นี้ก็มักจะเรียกกันติดปากว่า พระฤษีสัตบงกฏก็เนื่องจากท่าน
บำเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาสัตบงกฏ ก็เลยนำเอาชื่อภูเขามาตั้งให้เป็นชื่อของท่าน....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระพรหมฤษีอคัสตยะ

ในกาลครั้งหนึ่งสมัยเมื่อไตรดายุค พระฤษีอคัสตยะ ได้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ป่านี้มีความ
กว้างยาวถึง ๑๐๐ โยชน์ แต่ก็เป็นที่แปลกประหลาดที่หามนุษย์และสัตว์ในป่านี้มิได้เลย เป็นป่าที่ปราศ
จากสิ่งมีชีวิต วันหนึ่งพระฤษีได้เที่ยวไปในป่า พบกุฏิร้างอยู่ที่ริมสระใหญ่ภายในป่านั้น พระฤษีอคัสตยะ
ก็เข้าไปอาศัยในอาศรมนั้น พักอยู่คืนหนึ่งพอรุ่งขึ้นเมื่อออกจากฌานแล้วก็จะลงไปสรงน้ำในสระนั้น ก็
พบว่ามีศพลอยอยู่ในน้ำ แล้วอีกครู่หนึ่งต่อมาก็มีเทพบุตรขี่รถมายังขอบสระนั้นแล้วลากเอาศพนั้นขึ้น
มากินเนื้อหนังจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เทพบุตรนั้นก็ลงอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
ด้วยความสงสัย พระฤษีจึงถามเทพบุตรนั้นว่า เพราะอะไรจึงทำเช่นนั้น เทพบุตรก็บอกว่า เมื่อ
ครั้งก่อนตัวเองชื่อว่า เศวต เป็นโอรสของ ท้าวสุเทพ พระราชาผู้ครองนครวิทรรภ เมื่อท้าวสุเทพสิ้น
พระชนม์แล้วท้าวเศวตก็ขึ้นเสวยราชย์แทนสืบต่อมา พลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว โหรก็ทำนายว่าชะตา
ถึงฆาต จึงทรงมอบสมบัติให้กับพระอนุชา แล้วก็ออกบวชบำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีอยู่ในป่าแห่งนี้อาศัย
อยู่ในอาศรมริมสระนั่นแหละจนกระทั่งละสังขาร ได้ขึ้นไปเกิดอยู่ชั้นเทวโลก แต่ถึงจะมีความสุขกาย
สุขใจแต่ก็ยังมิวายที่จะหิว จึงต้องขึ้นไปถามพระพรหมมา ท่านก็แนะนำว่าเรื่องนี้เป็นเพราะว่าเคร่งต่อ
การปฏิบัติอย่างเดียวเป็นแต่เพียงมุ่งทรมานร่างกายมิได้บำเพ็ญในสิ่งที่เป็นทานบารมี จึงมิได้อิ่มทิพย์
เหมือนเทวดาองค์อื่นๆ ก็จะต้องกินเนื้อของตัวเองต่อไป จนกว่าว่าเมื่อใดจะพบกับพระพรหมอคัสตยะ
แล้วทำการทักษิณาด้วยอาภรณ์แล้ว เมื่อนั้นแหละจึงจะพ้นทุกข์ได้เสวยทิพย์
พอพระเศวตเทพบุตรเล่าเรื่องจบแล้วก็เปลื้องอาภรณืออกมาทำการทักษิณาแด่พระพรหมฤษีอคัส
ตยะ พระฤษีก็รับอาภรณ์นั้น ก็เป็นว่าพระเศวตสิ้นกรรมได้ไปเสวยทิพย์ในเทวโลกโดยสมบูรณ์ตลอด
ไป ส่วนพระพรหมฤษีอคัสตยะ จะต้องบำเพ็ญตบะที่อาศรมแห่งนั้นไปจนกว่าองค์พระนารายณ์จะอว
ตารลงมาเป็นพระรามแล้วเดินทางมาถึงอาศรมนั้น พระฤษีทำการทักษิณาแด่พระรามแล้ว นั่นแหละ
พระฤษีก็จะสิ้นกรรมกลับขึ้นไปเสวยทิพย์ในชั้นพรหมโลกเช่นเดียวกัน
ดังเรื่องราวที่เป็นตำนานสืบทอดต่อเนื่องกันมา ประวัติของพระฤษีแต่ละองค์ ท่านก็จะมีลีลาและ
หน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุที่พระฤษีมีกันอยู่มากมาย ยากที่จะเรียงลำดับรายชื่อได้ จึงจัดแบ่งแยก
ออกมาแต่ละชั้นเพื่อจะได้ไม่จำซ้ำซ้อนกัน คือ......

๑.พระฤษีในชั้นพรหม จะเป็นแต่เพียงพรหมฤษี
๒.พระฤษีในชั้นเทพ จะเป็นเพียงเทพฤษี
๓.พระฤษีในชั้นดิน ก็จะเป็นเพียงมนุษย์ฤษี

แต่ละชั้นจะไม่มีการปนเปกัน จึงต้องจัดแบ่งแยกให้อธิบายง่ายเข้า สำหรับพระฤษีในชั้นพรหมนั้นมิใช่
มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายล้านหลายโกฏิพระองค์ จึงได้บอกว่า พระพรหมในพรหมโลกมักจะเป็นพระ
ฤษีแทบทั้งสิ้น เพราะว่าพระพรหมท่านเป็นผู้ปฏิบัติ ในบารมีฌานกันทุกพระองค์ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือก
เอาแต่เพียงองค์ที่มีประวัติเท่านั้นที่จะนำเอามาเล่า.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระดาบสสินี ฤษีหน้ากวาง(สีดา)

พระฤษีองค์นี้เป็นผู้หญิง มิใช่ฤษีปิตน จำเดิมแต่พระรามฆ่าทศกัณฑ์แล้ว ก็รับนางสีดามาอยู่ใน
อยุทธยาแล้ว นางอดูล ปีศาจ เป็นญาติกับทศกัณฑ์ ซึ่งนางก็มีใจเจ็บแค้นพระรามกับนางสีดา จึงได้
แปลงกายเป็นนางงามเข้ามาถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้นางสีดา ครั้นแล้วก็หาอุบายให้นางวาดรูปทศกัณฑ์
จนกระทั่งพระรามมาเห็นเข้าก็โกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำเอานางสีดาไปประหารแล้วควักเอาดวงใจมา
ให้ดู พระลักษณ์ฟันด้วยพระขรรค์ก็บังเกิดเป็นพวงดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดาพระลักษณ์จึงปล่อย
นางสีดาไป พระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายนอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปถวายพระราม แล้ว
พระอินทร์ก็ยังแปลงกายเป็นมหิงส์(ควาย) ให้นางสีดาทรงขี่ไป จนกระทั่งถึงอาศรมพระฤษีวัชมฤค
(คือพระฤษีวาลมีกิหรือพระฤษีหน้าวัว) พระฤษีทราบเรื่องแล้วจึงให้สีดา ได้ถือเพศเป็นดาบสสินีโดย
ปลอมแปลงกำบังกายให้เป็นพระฤษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย จนกระทั่งนางสีดาคลอดพระโอรส
คือ พระกุศ(หรือพระมงกุฎในรามเกียรติ์) แล้วจึงฝากให้พระฤษีวาลมีกิเลี้ยงเอาไว้ในอาศรม นางก็
ไปบำเพ็ญตบะอีกทางหนึ่ง
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางสีดาจะไปอาบน้ำก็ได้พบกับลิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดจากกิ่งไม้
มากิ่งไม้นี้ นางสีดาก็หวังดีจึงร้องบอกนางลิงว่าให้ระวังลูกจะตก นางลิงก็บอกว่าลูกที่อยู่ใกลัแม่ถึงจะ
อย่างไรก็ยังช่วยได้ทันและยังเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าลูกจะเป็นอะไร แต่ส่วนนางสีดานั่นสิฝากลูกเอาไว้
กับพระฤษี ห่างไกลสายตาของผู้เป็นแม่ลูกจะเป็นอะไรก็ไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น ก็พระฤษีท่านมัวแต่
หลับตาภาวนาอยู่ หากว่าสัตว์ร้ายมาคาบเอาลูกไปกินแล้วใครจะเป็นผู้รู้เห็น
นางสีดาได้ยินนางลิงว่าเช่นนั้นก็เห็นว่าจริงของนางลิง จึงเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา นางจึงกลับไปยัง
อาศรมพระฤษีแล้วอุ้มเอาลูกชายมาอาบน้ำด้วย เหตุที่พระฤษีมัวแต่นั่งหลับตา ท่านจึงไม่เห็นและก็
ไม่รู้ว่านางสีดาได้มาอุ้มเอาลูกของนางไปแล้ว
ครั้นพระฤษีวาลมีกิได้ออกจากฌานลืมตาขึ้นมาแล้วก็มองหาพระกุศไม่พบ ถึงแม้จะเที่ยวตามหา
จนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พระฤษีตกใจมาก ท่านคิดว่าสัตว์ร้ายจะต้องย่องเข้ามาคาบเอา
พระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่านางสีดาจะมาหาว่าท่านทำลูกของนางหาย จะรอช้าไม่ได้แล้ว
รีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนแล้วจะได้ทำการชุบ
ด้วยพระคาถาต่อไป พอดีพระฤษีวาดรูปเสร็จยังมิทันได้เสกคาถา นางสีดาก็อุ้มลูกขึ้นมาบนอาศรม
นางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤษีวาดขึ้นมานั้นมีความสวยงามน่ารักมาก พระฤษีพอรู้ว่าพระกุศไม่ได้หายไป
ไหนก็ดีใจจะทำการลบรูปพระกุมารที่เขียนนั่นเสีย นางสีดาก็ไม่ยอมให้ลบ ขอร้องให้พระฤษีชุบขึ้นมา
จะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระกุศ พระฤษีก็ตามใจนางสีดา จึงทำการชุบกุมารนั้นขึ้นมา รูปร่างหน้าตาเป็น
พิมพ์เดียวกันกับพระกุศ ให้ชื่อว่า ลบ
นี่คือประวัติความเป็นมาของดาบสสินีหน้ากวาง.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีนารอด


พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์
รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระ
นามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลง
มาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้ง
อยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมี
ความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้ว
ท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววัน
มักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์
แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่อง
นี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็
คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่
แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่ง
มั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์
มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อย
ชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอ
พบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดี
ท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็
จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้ม
ครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....

พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำ
เพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวน
นางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบัง
เอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมาน
เผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีกาลสิทธิ

สำหรับพระฤษีองค์นี้จงใช้ความสังเกตุให้ดี ที่ว่ามีชื่อเหมือนกับพระฤษีหน้าเสือกาลสิทธิ์ ผิดกันที่ตรง
การันต์เท่านั้น ท่านก็เป็นผู้้มีความศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่ง ประวัติเดิมของท่านเป็นถึงวงศ์พรหม ได้ลงมาจำ
ศีลภาวนา อยู่ที่ภูเขาที่มีรังกากายสิทธิ์อยู่บนยอดเขา แลัวต่อมาก็สร้างเมืองใหม่ในบริเวณภูเขานั้น และ
เปลี่ยนจากชื่อรังกากายสิทธิ์มาเป็น เมืองลงกา จนกระทั่งตกทอดมาจนถึงชั้นทศกัณฑ์ พระฤษีกายสิทธิ
ก็ไม่ยอมโยกย้ายไปไหน ยังคงบำเพ็ญตบะอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลาหลายพันปี ในบรรดาอสูรทั้งหลายต่างมี
ความเคารพท่านมาก แม้แต่ทศกัณฑ์เองก็มีความเคารพ จึงมีความเป็นอยู่ที่นั่นตลอดไป
พระฤษีกาลสิทธินี้ ท่านมีอานุภาพมากมีคาถาอาคมวิเศษและศักสิทธิ์มาก มีทั้งอิทธิฤทธิ์และปา
ฏิหารย์จนกระทั่งเป็นที่เลื่อมใสกันทั่วไปและต่างก็มีความเกรงกลัวในบารมีและฤทธิ์เดชของท่านไม่มี
ผู้ใดกล้าไปรบกวนหรือลองของกับท่านเลย
เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาแล้ว เป็นพระรามยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ทศกัณฑ์ยัง
ได้อ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ไปอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระรามเลิกทัพกลับไป ใน
ครั้งนั้นพระอินทร์ได้ใช้ให้พระวิศกรรม(วิศนุกรรม) ลงมานิมิตสุวรรณพลับพลาไว้ที่ภูเขาคันธมาทน์นั้น
เพื่อที่จะให้พระรามและพระลักษณ์ เมื่อลาเพศจากพระฤษีจะได้มาพักอาศัยอยู่ที่นั่น และทศกัณฑ์ใน
ร่างของพระฤษีกาลสิทธิก็หวังจะมาลวงพระราม บอกว่านางสีดาเมื่อถูกยักษ์ลักพาตัวเอาไป ไหนเลย
จะมีความบริสุทธิ์เหมือนเดิมอีกคงจะแหลกเหลวแน่ๆ
แต่พระรามมีความมั่นใจ อธิบายให้พระฤษีปลอมนั้นฟังว่า อันนางสีดานั้นคือพระลักษมีอวตารลง
มาเกิด ถึงแม้จะตกน้ำก็ไม่ไหล ตกในกองไฟก็ไม่ไหม้ และจะไม่มีราคีในสิ่งที่จะทำให้มัวหมอง ดังนั้น
จึงจะต้องอยู่เพื่อฆ่ายักษ์ให้ได้ให้ยักษ์ตายกันหมดแล้วนั่นแหละจึงจะยกกองทัพกลับไป ฝ่ายภิเภกนั้น
รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ครั้นจะทูลให้พระรามทรงทราบว่านั่นคือพระฤษีปลอม แต่ก็ถูกทศกัณฑ์สะกดตรึง
เอาไว้ จึงพูดอะไรไม่ได้ เพราะอ้าปากไม่ขึ้นจึงเฉยไว้
พระฤษีปลอมก็ยังตื๊อที่จะให้พระรามยกทัพกลับให้ได้ จนกระทั่งเหล่าสวาวานรพากันสงสัย บัน
ดาลให้มีความโกรธหมายที่จะกระโดดเข้าไปฆ่าเสีย พระรามพระลักษณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้ ฤษีจำแลงจึง
กลัวความลับจะแตกก็ต้องจำลาพระรามนั้นกลับไป.....

พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลีบบัว (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเข้ามาในกองทัพพระ
รามเพื่อมาดูลาดเลา)
พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเมื่อตอนอยู่
เขาคันธมาทน์)

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโคศก

พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะในป่าแห่งเมืองสิงขร สำหรับความเป็นมาเกี่ยวกับพระฤษีโคศกก็คือ
ในอดีตกาลมีเทวดาองค์หนึ่งซึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของพระอิศวร เป็นเทวดาที่มีความเกียจคร้าน งานหนักไม่
เอา งานเบาก็ไม่สู้ ไม่เอาใจใส่อะไรทั้งนั้น พระอิศวรท่านจึงทรงพิโรธเลยสาปให้ลงไปเป็นยักษ์ชื่อว่า
ท้าวอุณาราช ครอบครองเมืองสิงขร ในเขตป่าอนุญาตให้คอยจับสัตว์กินเป็นอาหาร เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์
มากใครฆ่าก็ไม่ตาย ตราปใดที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามเดินทางมาพบแล้วใช้ต้นกกเป็น
ศรแผลงออกไปปักอก ตรึงเอาไว้กับแผ่นศิลาอยู่เช่นนั้นตลอดไป อีกนานเป็นเวลาถึงแสนโกฏิปี
เมื่อกองทัพพระรามเดินทางมาถึงสวนของท้าวอุณาราช ในเขตป่าแห่งเมืองสิงขรนั้น นนทกาล
ซึ่งเป็นยักษ์ภารโรงผู้ดูแลสวนเห็นเข้าก็ตรงเข้าไปหมายที่จะจับพวกลิงเอามากินเล่น แต่ก็ไปเจอลิงที่
มีฤทธิ์มากกว่ายักษ์จึงถูกรุมล้อมไล่ตียักษ์ จนกระทั่งนนทกาลต้องรีบหนีไปฟ้องต่อท้าว อุณาราช
เมื่อท้าวอุณาราช รู้เรื่องก็โกรธจึงจัดกองทัพออกไปเอง ครั้นมาพบกับพระรามก็ทำสงครามกัน แต่จะ
ทำอย่างไรก็ไม่ชนะพระรามได้ ฝ่ายพระรามและพลวานรจะฆ่ายักษ์ อุณาราชด้วยวิธีไหนๆก็ไม่ตาย
จึงร้อนถึงพระฤษีโคศก ผู้ที่พระอิศวรสั่งความลับไว้ให้บอกกับพระรามเพื่อจะได้ปราบยักษ์อุณาราช
ได้สำเร็จ พระฤษีจึงต้องกำบังกายเข้ามาในกองทัพ แล้วจึงนำเอาความลับที่พระอิศวรสั่งเอาไว้บอก
กับพระรามโดยเฉพาะ
ฝ่ายพระรามเมื่อรู้ความลับในการปราบยักษ์แล้วจึงมิได้รอช้า รีบไปถอนเอาต้นกกมาทำเป็นลูกศร
แผลงออกไปปักอกยักษ์ตรึงไว้กับหลักศิลาได้สำเร็จ เมื่อศรปักอกยักษ์ตอกตรึงไว้กับแท่นหิน ท้าว
อุณาราชก็สิ้นฤทธิ์ แต่ก็มิวายที่จะโกรธและอาฆาตต่อไปอีก พระนารายณ์อวตารจึงสาปให้มีไก่แก้ว
มาเกิดกับนนทรีถือค้อนใหญ่เฝ้าท้าวอุณาราชเอาไว้ถึงแสนโกฏิปี
ถ้าหากว่าศรต้นกกนั้นเคลื่อนที่ถอนเขยื้อนยามใดก็ให้ไก่แก้วเนรมิตนั้นขันขึ้นเป็นการบอกสัญญาณ
ให้รู้ แล้วนนทรีก็จะต้องเอาค้อนเหล็กใหญ่ มหึมานั้นมาตอกต้นกกซ้ำลงไปให้แน่นอย่างเดิมอยู่เช่น
นั้นตลอดไปและในบริเวณนั้นยังห้ามมิให้ผู้ใด เอาน้ำส้มสายชูเข้าไปเป็นอันขาด เพราะว่าน้ำส้มสายชู
นี่แหละ ถ้าราดลงไปที่ต้นกกเมื่อใด ต้นกกนั้นก็จะถอนหลุดออกไป แล้วยักษ์ที่ดุร้ายก็จะเป็นอิสระ
กลับมาอาละวาดได้อีก
ยักษ์ตนนี้ ปัจจุบันนี้ยังถูกต้นกกปักตรึงอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นเมืองนพบุรี ของหนุมานมาตั้ง
แต่เริ่มต้นและยักษ์ตนนั้นเรียกกันว่า ท้าวกกขนาก
ก็นับได้ว่าพระฤษีโคศกนี้มีคุณต่อชาวโลกมากมาย หากว่าไม่ได้ท่าน พระรามก็ไม่รู้จะปราบยักษ์
ได้ด้วยวิธีไหน ก็เพราะว่าฆ่ามันไม่ตาย.....

พระฤษีโคศกสวมชฎายอดบายศรีลายหนังเสือ พระฤษีผู้บอกพระรามสังหารท้าวอุณาราช

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปู่ฤษีนารายณ์

พระฤษีนารายณ์พระองค์นี้แหละที่ทุกวงการยอมรับนับถือกัน ดังนั้นไม่ว่าจะทางไสยศาสตร์
นาฏศิลป์ ดนตรี หรือหมอนวดแผนโบราณ จะต้องเรียกขานขอประทานพรพระบารมีของท่านอยู่ร่ำ
ไป ส่วนประวัติในความเป็นมาก็มิได้ลึกลับอะไรนัก สาเหตุที่จะเกิดมาเป็นพระฤษีนารายณ์ก็เมื่อครั้ง
ที่พระนารายณ์ได้กระทำเทวฤทธิ์ อวตารลงมาเป็นพระกบิลนั่นเอง ทรงบำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ เพื่อ
จะปราบกุมารทั้งหกหมื่น อาวุธที่ร้ายแรงสำหรับพระฤษีนารายณ์หรือพระกบิลก็คือ ไฟกรดอันแรง
กล้า ที่ได้มอดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่นตายจนหมดสิ้น
ส่วนอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่านนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ทำลายผู้กระทำความดี มีแต่ช่วยส่งเสริม
และช่วยเหลือโดยตลอด ด้วยพระเมตตาปราณีเป็นล้นพ้น ฝูงชนมักจะนิยมกราบไหว้บูชากันเป็นส่วน
ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลใดๆ ก็จะต้องทำการอัญเชิญให้ท่านเสด็จลงมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป ก็จะ
ได้เป็นมงคลอันดีงามสำหรับงาน หรือว่ากิจการที่กระทำนั้นให้บังเกิดผลสำเร็จสมความมุ่งหมายทุก
ประการ.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีวชิระ

***พระฤษีวชิระผู้นี้ท่านมีวิชากบคือ "เทพมณโท"...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอุศัพเนตร

***พระฤษีอุศัพเนตร ท่านก็เป็นพระฤษียาอีกผู้หนึ่ง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีนาไลย

***พระฤษีนาไลย พระฤษียา ผู้เป็นบรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณอีกผู้หนึ่ง..

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสุกทันต์

***พระฤษีสุกทันต์ หรือพระฤษีฟันขาว เป็นบรมครูแห่งว่านยาไทยอีกผู้หนึ่ง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโยฮัน

***พระฤษีโยฮัน หรือ นักบุญเซ็นต์จอห์น ผู้รับประทานน้ำผึ้ง ตั๊กแตนแทนข้าว
แลจาริกอยู่ ณ.ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ดินแดนแห่งอูฐ....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอัษฎง

พระฤษีพระองค์นี้ แต่แรกเป็นเทวดาอยู่ที่เทวโลก ถึงแม้ว่าจะมีความสุขด้วยสมบัติทิพย์ในทิพย
สถาน ก็เห็นว่ามันไม่เป็นสิ่งจีรังยั่งยืน อันสมบัติทิพย์ทั้งหลายเหล่านั้น มิได้ทำให้หลุดพ้นไปได้เลย
ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้นจากทุกโลกไปได้ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะอีกต่อไป ถึง
แม้จะเป็นเทพบุตร เทวดา ก็ยังหนีไม่พ้นกฏแห่งกรรมที่จะต้องสิ้นอายุขัยแล้วจะต้องไปเกิดเป็นอะไรใน
ภายหน้าหรือโลกหน้า หรือชาติหน้าก็ยังคาดคะเนกันไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่มีฌานวิเศษที่จะรำลึกชาติได้
หรือมองเห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้าได้ดังนั้นจึงทำให้เทพบุตรองค์นี้เบื่อในความเป็นอยู่ทั่วๆไป
แล้วเทพบุตรองค์นี้ก็เหาะลงมาอยู่ในป่าหิมพานต์ หาทำเลที่เหมาะที่สุดเนรมิตอาศรมขึ้นมา แล้ว
จึงมุ่งมั่นบำเพ็ญตบะธรรมตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ยอมกลับขึ้นไปบนสวรรค์อีกเลย ด้วยดวงจิตที่แน่วแน่และ
ขยันหมั่นเพียร เคร่งอยู่ในฌานบารมีธรรมเป็นเวลานานถึงพันปี จึงได้บรรลุธรรมวิเศษ มีความสามารถ
ทั้งด้านอิทธิฤทธิ์และก็มากด้วยบารมี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิเพียงพอกับความต้องการ ท่านยังสร้างบารมี
ท่านด้วยการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แด่บรรดาสรรพสัตว์และมวลมนุษย์ ตลอดจนกระทั่งพระฤษีชี
พราหมณ์ในป่า ถ้าหากว่าท่านพบว่าู้ใดได้รับทุกข์หรือมีความเดือดร้อนใดๆแล้ว ท่่านก็มักยื่นมือเข้าไป
ช่วยเหลือเสมอ ด้วยการรับเอาภาระหน้าที่นั้นๆไปจัดการให้สำเร็จเรียบร้อยทุกครั้งไป ก็เพราะเหตุนี้
เองจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของมวลมนุษย์ และฤษีชีพราหมณ์หรือผู้ทรงศีลทั่วไป ชื่อเสียงของท่าน
ก็แผ่ขยายออกไปอีกไกลแสนไกลแม้แต่สัตว์ป่าที่แสนจะดุร้ายก็ยังมีใจภักดิ์ดีต่อท่านไม่มีการมารบ
กวนท่านเลย ก็เพราะท่านมีเมตตาธรรมอยู่ในชั้นสูง ท่านนี้แหละคือ พระฤษีอัษฎงคมุนี
ถึงแม้จะเป็นเทวดามีวิมานอยู่ ก็ยังยอมเสียสละลงมาทนลำบากอยู่ตามป่าตามเขาที่เต็มไปด้วยอัน
ตรายร้อยแปด แล้วในที่สุดท่านก็พบกับความสำเร็จสมหวังทุกประการ สมควรที่เราจะดูและเอาเป็น
ตัวอย่างในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่าน....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโคตะมะและพระฤษีโคบุตร

ผลสุดท้ายเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงพระอิศวรผู้เป็นเจ้า ท่านจึงต้องเสด็จมาห้ามทัพ แล้วจึง
สอบสวนเรื่อราวหาสาเหตุกันต่อไป ในเมื่อองค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทราบเหตุผลต้นปลายอย่างชัดเจน
แล้ว จึงตัดสินคดีลงโทษนางเทพธิดาและนางฟ้าทั้งร้อยแปดนางนั้น ให้ลงจากสวรรค์ไปสถิตถ์อยู่ตาม
ต้นไม้ใหญ่ๆในเมืองมนุษย์ ให้กลายเป็นนางไม้ด้วยกันทั้งหมดในกลุ่มนั้น แต่ก็ยังมิเพียงพอความต้อง
การ จึงลงโทษพระฤษีโคบุตรอีกด้วย เพราะว่าเป็นต้นตอก่อให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาในครั้งนี้ด้วยเสน่ห์ที่
แรงกล้า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าจึงประกาศประกาศิตให้แยกหัวออกจากตัวไปคนละทาง จะได้ไม่เกิดเรื่อง
ราวเช่นนี้ขึ้นมาอีก แต่ก็มิให้ตาย ยังทรงมีเมตตาในการที่ได้ถวายดอกไม้จึงเพียงแค่สั่งสอนและมิให้
ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่าง ให้หัวของพระฤษีโคบุตรนั้นยังอยู่ในที่อาศรมเหมือนเดิม และมิหนำซ้ำยังได้สาป
ให้ตัวไปอยู่ในถ้ำแห่งเขาฤษยมุกให้กลายเป็นค้างคาวอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น ให้ออกหากินได้แต่เพียง
ในเวลากลางคืน และในเวลากลางวันก็มิต้องทำอะไร ไม่ต้องออกมาทำมาหากินทั้งนั้น ให้เกาะอยู่
เฉยๆ ห้อยหัวลงมาแล้วก็นอนพักผ่อนอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งวัน เมื่อองค์พระิอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงมีศิวะบัญ
ชาแล้วก็เสด็จกลับสวรรค์....
ท่านพระฤษีโคบุตรนี้มีเสน่ห์ที่ร้อนแรงมาก จนกระทั่งนักแสดงทั้งหลายโดยทั่วๆไป มักนิยมปั้น
เศียรของพระฤษีโคบุตรนั้นเอาไว้ใช้ในการครอบ เพื่อจะเพิ่มอิทธิมงคลและมีเมตตามหานิยมให้คนดู
หลงใหลใฝ่ฝันศิลปินส์ประเภทนี้ก็มี โขน ละคร ลิเก พอถึงตรงจุดนี้ ท่านผู้อ่านจะต้องร้องอ๋อ พวกลิเก
เสน่ห์แรง เห็นไปที่ไหนสาวๆติดกรอ บางทีตามมาด้วยก็มี จะขอเตือนเอาไว้ให้เป็นคิดว่าบรรดาพวก
ศิลปินที่รูปหล่อๆน่ะ ก็เปรียบได้กับค้างคาวที่อยู่ในถ้ำ(คือตัวของพระฤษีโคบุตรนั่นเอง) ได้แต่ิออกหา
กินในเวลากลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็ห้อยหัวนอนงานการอะไรก็มักจะทำไม่เป็น เกียจคร้านในทุก
วิถีทาง ได้แต่นั่งกินนอนกินเพราะว่าชันษาของเขาอย่างนั้น สำหรับผู้ที่ไปหลงรักก็จงคิดทบทวนให้ดี
และก็จงระวังให้ดี บางทีคุณอาจจะไม่มีอะไรเหลืออีกเลยก็อาจจะเป็นได้

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพุทธชฎิล

***พระฤษีพุทธชฎิลนี้ ท่านเป็นบรมครูแห่งวิชาแร่ ผู้หนึ่ง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีมาฆะ

***พระฤษีมาฆะ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำหนาว...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีหลีเจ๋ง

***พระฤษีหลีเจ๋ง พระฤษีท่านนี้ท่านเป็นเซียนจีน ผู้อยู่หนึ่งในแปดเซียน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสมิทธิ

***พระฤษีสมิทธิ พระฤษีท่านนี้ เป็นบรมครูแห่งการนวดแผนโบราณอีกท่านหนึ่ง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพยาธิประลัย

***พระฤษีพยาธิประลัยท่านนี้ เป็นบรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณอีกท่านหนึ่ง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอัลลกัปปกะ

***พระฤษีอัลลกัปปกะ ท่านเป็นผู้แตกฉานในโหราศาสตร์ และมีมนต์พิณ
บังคับช้าง "หัสดีกันต์" และได้ถ่ายทอดให้กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี
สมัยพุทธกาล...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอะแหม่

***พระฤษีอะแหม่ พระฤษีท่านนี้มีนิ้วมือสิบเอ็ดนิ้ว และถือพรตบูชาพระศิวะมหาเทพ...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโควินท์

เป็นพระฤษีที่อยู่ในป่าแห่งเมืองไกยเกษ เมื่อครั้งที่ ท้าวคนธรรพ์ ผู้ครองเมืองดิสศรีลิน แล้ววิรุฬพัท
ผู้เป็นโอรสได้เที่ยวไปในราวป่าแล้วเลยเข้าตีเมืองไกยเกษ ส่วนท้าวไกยเกษสู้ไม่ได้จึงทิ้งเมืองหนีไป
อยู่กับพระฤษีโควินท์องค์นี้ จนกระทั่งพระกุศกับพระลบออกมาทำศึก พระกุศฆ่าท้าวคนธรรพ์ พระลบ
ฆ่าวิรุฬพัท แล้วก็เข้าไปกราบนมัสการพระฤษีโควินท์ แล้วจึงรับท่านท้าวไกยเกษไปส่งเมือง กลับขึ้น
ครองราชย์โดยปราศจากศัตรูอีกต่อไป
พระฤษีโควินท์ ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณอีกองค์หนึ่ง ซึ่งปกป้องคุ้มครองอันตรายให้กับท่านท้าวไกย
เกษ มิให้ศัตรูพบเห็น จนกระทั่งพ้นอันตราย......

พระฤษีโควินท์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีศรภังค์


พระฤษีตนนี้ได้บำเพ็ญพรตจนสำเร็จมรรคผลจะได้ไปถึงพรหมโลกแล้ว
แต่จะไปพรหมโลกได้ก็จะต้องถึงวาระดับขันธ์จากร่างในปัจจุบันก่อน พระ
ฤษีศรภังค์ก็ไม่รอเวลาสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ กลับร้อนใจอยากไปเร็วกว่า
นั้น จึงเดินเข้ากองไฟเผาตัวเองเสียเลย
วิธีการอย่างนี้ฝ่ายไสยศาสตร์ในสมัยนั้น ถือกันว่าเป็นของดีควรกระทำ
ทางพุทธศาสนาเห็นว่าเป็นบาปหนักหนา พระพุทธองค์ทรงบัญญัติโทษ
เป็นมนุสสวิคหะปาราชิก ห้ามเด็ดขาด

พระฤษีศรภังค์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก หรือยอดบายศรีลายหนังเสือ
บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าฑัณฑก...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พะฤษีอจนคาวี,พระฤษียุทธอักขระ,พระฤษีทะหะ,พระฤษียาคะ

*** เป็นพระฤษีที่ปรากฏอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ พระฤษี 4 ตนที่สร้างกรุงอโยธยา
พระฤษี 4 ตน เดิมอาศัยอยู่ในชมภูทวีป ณ.ป่าทวารวดีได้บำเพ็ญพรตนาน
นับแสนปี เมื่อสร้างเมือง ณ.ที่อาศัยของพระฤษีเดิม จึงใช้ชื่อของพระฤษีทั้ง
4 ตนและชื่อป่ามารวมกัน แล้วตั้งชื่อว่า"ทวาราวดีศรีอยุทธยา" มีท้าวอโน
มาตันเป็นปฐมกษัตริย์...

พระฤษีทั้ง 4 ตน สวมชฎาดอกลำโพง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโรมสิงห์,พระฤษีวตันตะ,พระฤษีวชิร,พระฤษีวิสุทธิ

*** พระฤษี 4 ตน ที่ชุบชีวิตนางมณโฑ เรื่องย่อมีอยู่ว่านางนาคได้สมสู่กับงูดิน
พระฤษีทั้ง 4 เห็นเข้าจึงใช้ไม้เคาะหลังเตือนนางนาค นางจึงโมโหและอับอาย
และเกรงพระบิดาจะล่วงรู้ความลับนี้จากพระฤษี จึงแอบไปคายพิษไว้ใน
อ่างน้ำนมที่นางแพะได้มาบีบใส่ถวายพระฤษีทุกวัน
ขณะนั้นนางกบที่อาศัยอยู่ ณ.อาศรมพระฤษี เห็นเหตุการณ์โดยตลอด
นางซึ่งเคยได้รับแบ่งน้ำนมจากพระฤษีทั้ง 4 ตนอยู่เสมอ คิดแทนพระคุณ
จึงได้กระโดดไปในอ่างน้ำนมจนถึงแก่ความตาย
พระฤษีกลับมาเห็นนางกบตายก็สงสารเลยชุบชีวิตให้ นางกบเลยเล่า
เรื่องนางนาคคายพิษในอ่างน้ำนม พระฤษีเห็นความกตัญญูของนางกบ
เลยทำพิธีชุบนางกบให้เป็นมนุษย์ ชื่อว่า นางมณโฑ แต่เนื่องจากนางมณโฑ
เป็นผู้หญิง จะอยู่อาศรมด้วยกันนั้นไม่ได้ จึงนำนางไปถวายเป็นข้ารับใช้
พระอุมาเทวี ตอนหลังได้ถูกทศกัณฑ์ ขอไปเป็นชายาของตน.....

พระฤษีทั้ง 4 ตน สวมชฎาดอกลำโพง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 10:46 pm

พระฤษีนารท เป็นโอรสของพระพรหมธาดา เป็นเทพฤษี และเทวทูต ยังชำ
นาญในด้านการดนตรี ได้ริเริ่มทำพิณขึ้นมาใช้ เป็นผู้รอบรู้ในอดีต ปัจจุบัน
อนาคตข้างหน้า(เรียกว่า ตริกากัชณะ คือผู้รอบรู้ในกาลทั้งสามโลก)
หน้าสีกลีบดอกบัวหรือสีเนื้อ ถือเป็นบรมครูแห่งการดนตรีทั้งหลาย ชอบ
ดีดพิณไม่ชอบอยู่ติดที่ มักท่องเที่ยวไปดีดพิณไปพร้อมกับนำเรื่องที่ได้
ประสบมาเล่าให้ฟังด้วย คนที่หัดดนตรีมักทำหัวโขนพระฤษีนารทมุนีไว้บูชา

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีหน้าแพะ(พระทักษะประชาบดี)

นี่ก็คือสรรพนามของพระทักษะประชาบดี ด้วยเหตุที่พระมุนีภพหรือพระวีรภัทร
ในภาคหนึ่งของพระอิศวร ที่ได้ลงมาตัดหัวแพะเอามาต่อให้จึงเรียกว่า พระฤษี
หน้าแพะ
พระทักษะประชาบดี มีธิดาถึง ๖๔ นางด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่่มคือ...

ในกลุ่มแรก ตามจำนวน ๒๔ นาง ยกให้เป็นชายา พระยมทั้งหมด ๑๓ นาง และ
ตั้งแต่นางที่ ๑๔-๒๔ นาง ก็ล้วนแต่เป็นพระชายาของพระฤษี ทั้งนั้น คือ...

๑๔.นางขยาติ เป็นพระชายาของ พระฤษีภฤคุ
๑๕.พระสตี เป็นพระชายาของ พระมุนีภพ (พระอิศวร)
๑๖.นางสภูติ เป็นพระชายาของ พระฤษีมรีจิ
๑๗.นางสมฤดี.เป็นพระชายาของ พระฤษีอังคีรส
๑๘.นางปรีติ เป็นพระชายาของ พระฤษีปุลัสตยะ
๑๙.นางกษมา เป็นพระชายาของ พระฤษีปุลหะ
๒๐.นางสันติ เป็นพระชายาของ พระฤษีกรตุ
๒๑.นางอนสูยา เป็นพระชายของ พระฤษีอัตริ
๒๒.นางอูรยา เป็นพระชายาของ พระฤษีวสิทฐ์
๒๓.นางสวาหา เป็นพระชายาของ พระฤษีวหนิ
๒๔.นางสวธา เป็นพระชายาของ พระฤษีปิตฤ

พระฤษีทั้งหมดที่เป็นบุตรเขยของพระทักษะประชาบดี(ฤษีหน้าแพะ) ล้วนแต่
มีอิทธิฤทธิ์ และอำนาจบารมีสูงกันทั้งนั้นแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย
ที่นักบวช คือ พระฤษีสมัยนั้นมีเมียได้
พระธิดาของพระทักษะประชาบดี พวกที่ ๒ มีทั้งหมด ๒๗ นาง ก็ยกให้เป็นพระ
ชายาของพระจันทร์ทั้งหมดและยังเป็นดาวนักษัตรอีกด้วย
ส่วนพระธิดา พวกที่ ๓ มีทั้งหมด ๑๓ นาง ก็ยกให้เป็นพระชายาของพระกัศยป
ซึ่งพระองค์นี้ก็มีตำแหน่งหน้าที่เป็น พระฤษีกัศยป อีกเช่นกัน
ท่านก็คงทราบดีแล้วว่าทำไมถึงมีพระฤษีเป็นหน้าแพะ......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพรหมจุลี

ท่านเป็นพระราชบิดาของ ท่านท้าวพรหมทัต ผู้ยิ่งใหญ่และมีคุณธรรมแห่ง นครกามปิลย์ ท้าวพรหมทัตเป็นมานัสบุตร ซึ่งเกิด
ขึ้นด้วยใจของพระจุลีพรหมฤษีคำว่ามานัสบุตรและการเกิดขึ้นด้วยใจนั้นมิใช่ว่าจะเป็นเรื่องเหลวใหลเนื่องจากผู้ที่สำเร็จในตบะฌาน
ได้ขึ้นไปปฏิบัติอยู่บนสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นชั้นเทพหรือชั้นพรหมท่านจะมีบารมีมากมายถึงขั้นที่ว่าต้องการอะไรก็จะต้องได้สมกับเจตนา
มโนนึก ที่เรียกกันว่า เสวยทิพย์สมบัติ ในที่นั้นจะต้องกลายเป็นทิพย์ทั้งหมด เช่น อยู่่ปราสาททิพย์ วิมานทิพย์ บัลลังก์ทิพย์ แท่น
ทิพย์(ทิพยอาสน์) อาหารทิพย์ โภชนาทิพย์ เสื้อผ้าอาภรณ์ทิพย์ กายทิพย์ และกายก็ยังเป็นทิพย์ตลอดเวลาเมื่อต้องการสิ่งใดก็จะ
ได้สิ่งนั้นมาทุกครั้งที่ต้องการ
เมื่อท่านต้องการที่จะมีบุตรหรือธิดา ก็เพียงแต่สัมผัสกันด้วยใจคือมีความนึกคิดว่าจะมีเ้ท่านั้นเองก็จะเกิดขึ้นมาตามความต้อง
การ มิต้องมีการสัมผัสกันด้วยกายเหมือนมนุษย์
ในกาลครั้งนั้น ยังมีกษัตริย์ที่สละสมบัติอีกพระองค์หนึ่งซึ่งตั้งตน บำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีทรงพระนามว่า พระกุศนาภ มีพระราช
ธิดาทั้งหมดถึง ๑๐๐ นาง แต่ละนางมีความงดงามต้องตาต้องใจ ของผู้ที่ได้พบเห็นและความงามนี้ก็เท่าเทียมกันทุกนางด้วย อยู่มา
วันหนึ่ง ซึ่งจะต้องบังเอิญให้เกิดเหตุอันที่จะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติ นางทั้งร้อยได้ออกมาจากสถานที่อยู่อาศัย เพื่อออกไปเที่ยว
เล่นและเก็บดอกไม้ผลไม้ในป่ากันอย่างสนุกสนานต่างก็กระเซ้าเย้าแหย่กันมาตลอดทาง พอดีมาพบกับพระพายในระหว่างทางไนป่า
เปลี่ยวพระพายเห็นนางทั้งร้อยมีความสวยงามเป็นที่น่ารักและถูกใจจึงตรงเข้าไปขอความรัก และขอร่วมรักกับนางทั้งร้อยนั้น แต่
ทุกนางก็ไม่มีใครยอมตกลงมิหนำซ้ำยังช่วยกันรุมล้อมทำการขับไล่ให้พระพายไปจากที่นั่น พระพายทั้งโกรธและอายจึงกลั่นแกล้ง
สาปให้นางทั้งร้อยกลายเป็นนางค่อม(กันยากุพชา)กันทั้งหมดทุกนาง แล้วพระพายก็จากไปโดยไม่หันมามองอีกเลยว่านางทั้งร้อย
จะบังเกิดความทุกขอย่างไร
นับแต่นั้นมา นครหลวงของพระกุศนาภจึงมีนามเรียกขานกันต่อๆมาว่า นครกานยกุพช์ เพราะเป็นเมืองที่อยู่ของ กันยากุพชา
นางค่อมทั้งร้อยนั่นเอง ท่านท้าวกุศนาภก็มีความคั่งแค้น ที่พระธิดาของท่านต้องกลายมาเป็นนางค่อมโดยการกลั่นแกล้งของพระ
พาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ในที่สุดพระกุศนาภก็ยกพระธิดาพิการทั้งร้อยนางใหักับท่านท้าวพรหมทัตกษัตริย์แห่ง นครกามปิลย์
ไปเป็นชายา ด้วยเหตุที่ว่าท่านท้าวพรหมทัต ท่านเป็นมานัสบุตร คือ บุตรที่เกิดจากใจพระจุลีพรหมฤษี จึงเป็นผู้ที่มีบารมีมาก
ดังนั้นพอท่านท้าวพรหมทัตรับนางทั้งร้อย แล้วพากลับเข้าสู่พระราชฐานแล้ว เพียงแต่สัมผัสแตะต้องตัวนางค่อมเท่านั้น ทุกนางก็
กลับกลายเป็นหญิงผู้มีรูปโฉมงดงามหายจากการพิการหมดสิ้นทั้งร้อยนาง
นี่คือประวัติย่อๆของพระพรหมฤษีจุลี ที่มีทั้งอภินิหารและบารมีอันล้นพ้นหากท่านผู้อ่านมีศรัทธาและนับถือท่านก็ทำพิธีกราบ
กราบไหว้ขอพรบารมีจากท่าน บางทีท่านอาจจะประทานให้ก็ได้....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระอาฬารดาบสกาลามโคตร(ผู้เป็นพระอาจารย์เอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)

ท่านเป็นพระอาจารย์เอกของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุ
บันนี้ ท่านก็ยังละสังขารจากโลกมนุษย์ ขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนทิพย์วิมานในชั้น
พรหมโลกนี้ด้วยเหมือนกัน จนกว่าจะสิ้นอายุขัย
ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้วก็ทรงดำริที่จะไป
แสดงธรรม และก็คิดว่าจะแสดงธรรมในที่ใดกับผู้ใดก่อน ซึ่งจะโปรดเป็น
คนแรก
เมื่อพระองค์ระลึกได้ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงออกผนวชใหม่ๆ ก็ได้อา
ศัยพระอาฬารดาบสนี้ เป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนในสิ่งต่างๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ท่าน
สอนนั้นจะไม่บรรลุก็ตามก็ยังจัดว่า พระอาฬารดาบสท่านนี้ ก็ยังนับว่ามีพระ
คุณอันยิ่งใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความฉลาด กิเลสน้อย
ปัญญาก็ดี มีความสามารถที่จะรู้ได้เร็วกว่าผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงคิดที่จะทรง
แสดงธรรมโปรด เพื่อที่จะให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงเล็งทิพย์ญานดู ก็รู้ว่าท่านพระอาฬารดาบสได้
ละสังขารตายไปเสียแล้ว ก่อนหน้าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เพียง ๗ วัน เท่านั้น
แล้วขึ้นไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม อยู่ในชั้นที่ ๑๙ นั่นเองจึงหมดโอกาสที่จะ
แสดงธรรมโปรด ให้บรรลุธรรมขั้นวิเศษ ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต่อไปไ ด้
เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะได้สดับรับฟัง
พระอาฬารดาบสจึงหมดโอกาสที่จะได้เป็นพระอรหันต์ และหมดโอกาส
ที่จะให้พระพุทธเจ้า นำพามุ่งสู่ ศิวาโลกแดนพระมหานิพพานได้อีกแล้ว จึง
ต้องเสวยทิพย์อยู่ในวิมานอากาศเป็นอรูปพรหม ต่อไปถึงแปดหมื่นมหากัปป์.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสุเมธ

พระฤษีองต์นี้บำเพ็ญพรตอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ท่านสามารถใช้คาถาอาคม
ของท่านในการล่องหนหายตัว ผูกจิต สะกดจิต สะกดทัพ เรียกลม เรียกฝน
เรียกน้ำ เรียกไฟ ได้ตามความต้องการของท่าน ก็นับได้ว่าในดินแดนแห่ง
ป่าหิมพานต์นั้น ยากนักที่จะมีพระฤษีองค์ใดมีความสามารถ เสมอเหมือนกับ
พระฤษีสุเมธได้
ดังประวัติและเรื่องราวของท่าน หลังจากที่มหายมยักษ์ หรือท้าวศากย
วงศา ผู้ครอบครองเมืองบาดาลได้สวรรคตไปแล้ว ท้าวไมยราพณ์ผู้เป็นโอรส
ก็ขึ้นครองบาดาลสืบไป ในด้านวิชาความรู้ก็ยังมีน้อยนัก จึงต้องไปร่ำเรียน
วิชาอาคมกับพระฤษีสุเมธ อยู่ในอาศรมแห่งป่าหิมพานต์นั้น พระฤษีก็อบ
รมสั่งสอนให้ไมยราพณ์ได้ท่องบ่นมนตร์ที่สำคัญๆ จนกระทั่งเชี่ยวชาญและ
มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี ทั้งในด้านคงกระพันชาตรี ล่องหน กำ
บังกาย หายตัว สะกดทัพ สะกดจิต ผูกใจ เรียกฝน เรียกลม เรียกน้ำ เรียก
ไฟ ได้อย่างแม่นยำครบถ้วนทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความขยันหมั่นเพียรและ
เอาจริงเอาจัง และไมยราพณ์ก็มีนิสัยดี ว่านอนสอนง่าย จึงทำให้พระฤษีสุเมธ
มีความรักต่อไมยราพมาก ไม่ว่าจะมีอะไรก็ไม่ปิดบังนำเอามาถ่ายทอดอบ
รมสั่งสอนให้จนหมดสิ้น ในที่สุดพระฤษีสุเมธก็ทำพิธีถอดดวงใจให้ไมยราพณ์
เพื่อจะได้อยู่ยงคงทน
ใครฆ่าก็ไม่ตาย พระฤษีทำพิธีสะกดจิตวิญญานและดวงใจด้วยการนั่งบริ
กรรมพระคาถาไศยาคมด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยตบะและบารมี
ฌานของท่าน ครั้นแล้วในไม่ช้านักดวงใจของไมยราพณ์ก็ลอยออกมาทาง
ปาก แล้วจึงกลายเป็นแมลงภู่ บินวนเวียนอยู่รอบปรำพิธี เป็นการทักษิณา
วัฏครบ ๓ รอบ แล้วพระฤษีสุเมธก็เรียกให้แมลงภู่บินเข้ามาใกล้ จับใส่ผอบ
แล้วจึงส่งให้ไมยราพณ์ ให้นำเอาไปเก็บซ่อนไว้มิให้มีผู้ใดรู้เห็น ที่ในถ้ำลึก
ยอดเขาตรีกูฏ พร้อมทั้งกำชับว่าอย่าบอกใครเป็นอันขาด ไมยราพณ์จะได้
มีชีวิตอยู่ยืนยงถาวรสืบต่อไป ทั้งหนังก็เหนียวใครฆ่าไม่ตาย ไม่มีใครทำ
ลายชีวิตไมยราพณ์ได้
นี่ก็คือประวัติอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธาบารมีของพระฤษีสุเมธ....

พระฤษีสุเมธ สวมชฎาดอกลำโพง หรือเทริดยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็น
อาจารย์ของไมยราพณ์ บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาป่าหิมพานต์....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีครรคยมุนี

ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับพระฤษีองค์นี้ก็คือ ท้าวยุธาชิต โอรสของท้าว
อัศวบดี มีปุโรหิตประจำคือ พระฤษีอังคีรส ซึ่งพระฤษีครรคยมุนีนี้ก็เป็นบุตร
ของพระฤษีอังคีรสเชื่อมโยงกันดังนี้
วันหนึ่งท้าวยุธาชิตได้ให้พระฤษีอรรคคย ไปร้องเรียนให้พระรามทราบว่า
บัดนี้ในปัญจนัทยเทศ มีคนธรรพ์ที่ดุร้ายอยู่เป็นจำนวนสามสิบโกฏิ ได้รบกวน
และรังแกชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนกระทั่งฤษีชีพราหมณ์ในป่าของแคว้น
เกกัยชนบทเป็นประจำได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก ขอให้พระรามไป
ช่วยปราบคนธรรพ์นั้นด้วยเถิด หากขืนปล่อยเอาไว้เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้อง
มีความดุร้ายมากขึ้นไปอีก
พระรามจึงให้พระภรต พร้อมด้วยพระตักษ์และพระบุษกร ผู้ที่เป็นโอรส
ของพระภรตทั้งสอง ให้ยกกองทัพไปปราบคนธรรพ์และพระรามยังกำชับ
ว่า ถ้าหากชนะศึกปราบคนธรรพ์ได้แล้ว ให้แบ่งเมืองให้กับพระตักษ์และพระ
บุษกรคนละครึ่งพระนคร พระภรตกับพระโอรสทั้งสองก็ยกกองทัพไป สม
ทบกับกองทัพของท้าวยุธาชิต แล้วก็ปราบคนธรรพ์สามสิบโกฏิได้สำเร็จ
พระพรตก็จัดแบ่งปัญจนัทยเทศออกเป็นสองเขต แล้วจึงสร้างพระนครให้
พระตักษ์เป็นนครหลวง มีนามว่า นครตักษศิลา มาในภายหลังเรียกเพี้ยน
ไปเป็น ตักกะศิลา แล้วก็สร้างเมืองหลวงให้กับพระบุษกร มีนามว่า นครบุษ
กราวดี มาจนถึงบัดนี้
ทั้งสองพระนครและพระราชาใหม่ ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรมจึง
เป็นที่รักของปวงประชาราช และยังส่งเสริมบรรดาผู้ทรงศีลอีกด้วย ได้จัด
สร้างสถานที่แล้วอัญเชิญให้พระฤษีในป่าทั่วๆไป ให้มาบำเพ็ญตบะสร้าง
บารมี ภายในเขตแดนทั้งสองพระนคร
พระฤษีทั้งหลายก็ประทานพรให้กับพระราชาใหม่ทั้งสองพระนครให้อยู่
เย็นเป็นสุขหมดสิ้นทุกข์ภัยจากมารร้ายทั้งปวง ทั้งพระฤษีก็มีความเป็นอยู่
ที่สะดวกสบายไม่มีรากษสและอสูรมาคอยรังแกรบกวนให้ได้รับความเดือด
ร้อนอีกเลย....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสมมิตร

ท่านผู้นี่ได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าจนมีชื่อเสียงโ่ด่งดังเลื่องลือไปไกล ก็
เพราะความดีความชอบและการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดของท่าน จนเป็นที่ยก
ย่องกันในวงการพระฤษี สำนักของท่านเลยกลายเป็นสำนักใหญ่โตที่มีผู้สน
ใจและฝากตัวเป็นศิษย์ ต่างก็เข้ามาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ญตบะสร้างบารมี
อยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ฤษีฤสมมิตร
พระอาจารย์ท่านก็อบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความรักและ
เมตตา สั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรมประกอบกันไป เพื่อจะให้ศิษย์ทั้งหลายได้นำเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าสิ่งใดและสิ่งใดไม่ควร
เมื่อพิจารณาได้เช่นนั้นแล้วก็จะนำเอาเข้ามาสู่หลักการณ์การปฏิบัติกันต่อ
ไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีก็จะเก็บเอาไว้ให้อยู่ยงคงทนต่อไป ถ้าเห็นว่าสิ่งใด
ไม่ดีท่านก็จะต้องรีบสลัดตัดออกไปให้พ้น ดังนั้นบรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงมี
ความศรัทธาเลื่อมใสต่อองค์อาจารย์ฤษีฤสมมิตรไม่เปลี่ยนแปลงต่างก็อยู่
ในโอวาทเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอาจารย์
แต่ก็นั่นแหละ ที่ไหนมีดีที่นั่นก็มักมีชั่วคละเคล้าปะปนกันไปไม่มากก็น้อย
ในกลุ่มคนจำนวนมากยากนักที่จะให้ดีไปหมดทุกคน ย่อมจะต้องมีคนที่
แหกคอกนอกคำสั่งสอนกันบ้างล่ะ เพียงแต่ว่าจะมากน้อยเท่าใด นั่นก็เป็น
อีกเรื่องหนึ่ง......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีวาปุระมุนี

ท่านผู้นี้ก็มีความสามารถอีกท่านหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนเกลอกับ พระฤษีมุสิก
มุนี และอยู่ในถิ่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักอาจารย์เดียวกันอีกด้วย
ตอนเช้าหลังจากพระฤษีทั้งสองออกจากฌาณสมาบัติแล้ว มักจะออกมา
นั่งสนทนาธรรมกัน ที่บริเวณกองไฟหน้าอาศรม ผิงไฟระงับความหนาวกัน
อยู่ทุกวัน
ฝ่ายเจ้าลิงทะโมนใหญ่ เมื่อหนีฝนมาอย่างทุลักทุเลทั้งเปียกชุ่มทั้งหนาว
สั่น เมื่อมันเห็นพระฤษีทั้งสองกำลังนั่งผิงไฟกันอยู่ มันก็ดีใจเดินตรงเข้าไป
จะผิงไฟบ้าง เพื่อจะได้ประทังความหนาว แต่แล้วมันก็ต้องหยุดชะงัก มีความ
คิดขึ้นมาว่า ถ้าหากว่ามันจะเข้าไปร่วมผิงไฟกับพระฤษีด้วยลักษณะเช่นนี้
ที่ไหนพระฤษีทั้งสองท่านจะยอมให้เข้าไปร่วมกับท่าน ดังนั้นมันจึงคิดหาเล่ห์
เหลี่ยมที่จะต้องเข้าไปผิงไฟให้ได้และแล้วสมองของมัน ก็พลันมีความคิดขึ้นมา
ได้อย่างหนึ่ง ที่ว่ามันจะต้องปลอมแปลงเป็นพระฤษี
แล้วเข้าไปนั่งผิงไฟนั่นแหละจึงจะสำเร็จเมื่อคิดได้เช่นนั้นมันจึงลัดเลาะไป
รอบๆอาศรม เก็บเอาเปลือกไม้เก่าๆของพระฤษีที่ทิ้งเอาไว้มาห่มครองให้กับ
ตัวมัน แล้วจึงหาไม้เท้า คดๆงอๆ ทำท่าทางให้เหมือนพระฤษี แล้วเดินเข้า
ไปผิงไฟด้วย มันแสดงกิริยาท่าทางวางมาตรไม่ผิดเพี้ยนจากพระฤษีเลย
สักนิด
ฝ่ายพระฤษีวาปุระก็แปลกใจที่อยู่ๆก็มีพระฤษีแปลกหน้าเข้ามานั่งผิงไฟด้วย
ถึงแม้จะเพ่งมองและใช้ความสังเกตุ อย่างไร ก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักมาแต่ก่อน
หรือไม่ มองกันไปมองกันมา เจ้าลิงทะโมนมันก็วางท่าได้สมบทบาท พระ
ฤษีวาปุระจึงถามพระฤษีมุสิกขึ้นว่า "เอ..พระฤษีผู้นี้ดูทีท่าว่าจะไม่เคยเห็น
หน้ามาแต่ก่อนนี้เลยนี่ ท่านมาอย่างไรกัน" พระฤษีมุกสิกก็โบกมือช้าๆแล้ว
กล่าวออกไปตามตรงว่า "มันใช่ฤษีที่ไหนกัน ลิงต่างหากล่ะ มันเป็นสัตว์เด
รัจฉาน ไม่สมควรจะให้เข้ามา"
เมื่อพระฤษีวาปุระทราบเช่นนั้นก็คว้าได้ไม้เท้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวด
เร็ว เจ้าลิงทะโมนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ คิดว่าพระฤษีจะต้องเอาแน่ด้วยความ
กลัวมันเลยลุกขึ้นกระโดดโครมหมายจะหนีไปให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็ว แต่
อนิจจาแทนที่มันจะหนีออกไปจากกองไฟนั้น ด้วยความเผลอของมันที่มิ
ทันได้ระวังเอาไว้ก่อน มันดันกระโดดพรวด เข้าไปในกองไฟผ้าเปลือกไม้
ที่มันห่อหุ้มคลุมอยู่นั้นเลยเกี่ยวพันกับกองฟืน ไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา มันจะดิ้น
สักเท่าใดก็ดิ้นไม่หลุดด้วยไฟอันร้อนแรงที่กำลังลุกโชนอยู่นั้น ก็เลยไหม้ร่าง
ของมันจนกระทั่งขาดใจตาย ร่างของมันดำเป็นตอตะโก
"ก็สมควรแล้วกับชีวิตของลิงชั่วๆ ที่มันฆ่าตัวเอง ไม่มีใครเขาทำมันเลย"
พระฤษีวาปุระกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินกลับอาศรม ต่อจากนั้นมาก็ไม่มีลิงมา
รบกวนพระฤษีอีกเลย......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีมุสิกมุนี

*** ท่านผู้นี้ก็มีวิชาอาคมและตบะฌานเก่งกล้า มุ่งมั่นในบารมีธรรม จึงได้มุ่ง
ออกบวชเป็นพระฤษี แล้วมาสร้างอาศรมอยู่ในป่าหิมพานต์ เพื่อหามุมสงบที่
เหมาะสมในการบำเพ็ญ และยังเป็นเพื่อนเกลอของพระฤษีวาปุระมุนีอีกด้วย...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีทธิวามุนี

*** ท่านผู้นี้แต่เริ่มแรกเดิมทีเป็นพ่อค้านำสินค้าไปต่างประเทศ ก็บังเอิญเกิด
มรสุมทำให้เรือแตก จึงได้เกาะขอนไม้ลอยไปติดเกาะแห่งหนึ่ง จึงขึ้นไปบน
เกาะนั้น และก็ไม่มีทางใดที่จะกลับบ้านหรือถิ่นกำเนิดได้จึงบำเพ็ญตนถือเพศ
เป็นพระฤษีอยู่ในเกาะกลางทะเลนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งได้บรรลุ
ฌานขั้นต่ำ จึงมีความมุ่งมั่นมานะพยายามบำเพ็ญตบะต่อไปเพื่อหวังใน
ผลสำเร็จ จะได้กลับถิ่นเดิมได้.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีคาวินท์

พระฤษีองค์นี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์อีกท่านเป็นพระฤษีที่ชรามาก
บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าด้วยความมุ่งมั่นเคร่งในการปฏิบัติ
วันหนึ่ง วานรนิลราช ในขบวนการทหารของพระรามเข้ามาถึงอาศรม ใน
ขณะที่พระฤษีกำลังหลับตาเข้าฌานอยู่ ด้วยความซุกซนของวานรและมีนิ
สัยสนุกสนานคึกคะนอง มองเห็นไม้เท้าของพระฤษีวางอยู่ข้างๆ ก็คิดจะแกล้ง
ล้อพระฤษี จึงได้ขโมยไม้เท้าไปซ่อนไว้ เมื่อพระฤษีออกจากฌานแล้วก็หา
ไม้เท้าไม่พบ จึงโกรธ นิลราชแล้วจึงสาปไปว่า ไม่ว่านิลราชจะทิ้งอะไรลงไป
ในทะเลหรือว่ามหาสมุทร สิ่งของนั้นจะต้องจมนิ่งอยู่กับที่ จะไม่มีการลอย
หรือขยับเขยื้อนไปทางไหนจนกว่าจะได้รับใช้อาสาทำงานให้กับพระราม
เมื่อไหร่ จึงจะพ้นคำสาป
ก็นับว่าไม่เบาเลยทีเดียวสำหรับฤทธาศักดานุภาพของพระฤษีคาวินท์พระ
องค์นี้.....

พระฤษีคาวินท์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก นิลราชได้นำไม้เท้าไปซ่อนใน
น้ำด้วยนึกสนุก พระฤษีจึงสาปว่าหากนำสิ่งใดทิ้งในน้ำก็ขอให้ของสิ่งนั้นจม
อยู่กับที่ เมื่อพระรามจองถนนจึงให้นิลราชรับก้อนหิน นำไปถมเพียงผู้เดียว
จึงพ้นคำสาป....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอินทรปัต

พระฤษีองค์นี้เป็นชาวเมืองพาราณสี ที่ออกไปบวชตนเป็นพระฤษีบำเพ็ญ
ตบะอยู่ในป่า จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญ ในด้านวิชาความรู้ทั้งอิทธิฤทธิ์และ
บารมี ท่านมีความสามารถที่จะเหาะเหินเดินอากาศไปทุกหนทุกแห่งได้ตาม
ความต้องการ
อยู่มาวันหนึ่งมีพระโอรศของกษัตริย์ที่ไม่รักในการครอบครองราชสมบัติได้
พาพระชายามาอยู่ในป่าหิมพานต์ทางด้านริมฝั่งน้ำพระคงคามหานที เช้า
พระโอรสก็ออกไปป่าเพื่อหาผลไม้และเผือกมัน เอามาเก็บเอาไว้บริโภคใน
เวลาเย็นก็จะเดินกลับมายังที่พัก เป็นอย่างนี้ทุกวัน
วันหนึ่งหลังจากที่พระโอรสออกไปป่าแล้ว นางผู้เป็นพระชายาก็ติดไฟขึ้นเพื่อจะต้มเผือกมันเอาเก็บไว้ให้พระสวามีได้
เสวยเมื่อเวลากลับมาในตอนเย็น ควันที่ก่อไฟนั้นได้กระจายเกลื่อนขึ้นไปใน
อากาศ เป็นขณะเดียวกันกับที่พระฤษีอินทรปัตเหาะมาทางนั้นพอดีก็รู้ว่าในบริเวณนี้
มีคนอยู่จึงเหาะลงมาเพื่อหวังจะได้พักเหนื่อย นางที่กำลังต้มเผือกอยู่นั้นก็
มีความยินดี จึงต้อนรับพระฤษีพร้อมทั้งนำผลไม้เผือกมันมาถวายให้กับพระ
ฤษีฉัน ด้วยว่านางนั้นมีรูปร่างสวยงามบาดตาบาดใจพระฤษียิ่งนัก จึงฉันไป
พลางคุยไปพลางและก็มองไปพลาง จึงมีความคิดเตลิดเปิดเปิงไปในทาง
ที่ผิดศีลธรรมเนื่องด้วยเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาแทรกแซงเพียงแค่คิดเท่านั้น
ก็ยังทำให้บารมีฌานของพระฤษีนั้นเสื่อมถอยลงไปได้ ครั้นว่าฉันอิ่มแล้วก็
ยังไม่ค่อยอยากจะออกไปจากที่นั้น ยังนั่งคุยกับนางอยู่นานจนกระทั่งเย็น
ก็ยังไม่ยอมไป ได้เวลาพระโอรสผู้เป็นพระสวามีของนางนำเอาผลไม้กลับ
มาจากป่า พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ลุกหนีไปส่วนพระโอรสก็จะแกล้งพระฤษี จึง
ทำเป็นหยิบดาบ แล้ววิ่งไล่กวด พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ตกใจคิดว่าภัยจะมาถึง
ตัวแน่ๆ จึงตั้งท่าหมายจะเหาะทะยานหนีขึ้นไปในอากาศ แต่ด้วยอำนาจของ
กิเลสและตัณหาราคะปกคลุมอยู่ในใจจึงทำให้ฌานบารมีเสื่อม ในขณะที่จะ
กระโดดขึ้นไปจึงเหาะไม่ได้เหมือนอย่างแต่ก่อน จึงหล่นตูมลงไปในแม่น้ำ
พระคงคามหานทีนั่นเอง แต่เดชะที่ยังมีบารมีมากอยู่จึงไม่จมน้ำ ยังคงยืน
นิ่งอยู่ในน้ำนั้นได้ เมื่อพระโอรสเห็นดังนั้นก็ให้นึกขำจึงกล่าวขึ้นมาดังๆว่า
"ดูเถอะผู้ทรงศีลผู้มีบารมีมากๆ ในขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ยังมาปล่อย
ใจให้กิเลสมันมาครอบคลุมจิตใจเอาไว้ได้ เมื่อพบกับสิ่งที่ยั่วยวนก็อดใจไม่
อยู่ เผลอไผลหลงลืมตัวจนกระทั่งฌานเสื่อม ตบะแตกป่นปี้ มันน่าขำสิ้นดี"
พระฤษีได้ฟังเช่นนั้นก็ระลึกถึงตัวเองได้ จึงสำรวมกิริยาให้เป็นปกติ แล้ว
ในที่สุดฌานบารมีของพระัฤษีก็กลับมาเหมือนเดิม แล้วจึงเหาะขึ้นไปในอากาศ
ทะยานหนีไปโดยเร็ว
พระโอรสเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ทรงระลึกได้ว่าสิ่งยั่วยวนทั้งหลายทั้งปวงนั้น
มันไม่จีรังยั่งยืนมีแต่ทางเสื่อมเสีย มีแต่ความมืดทั้งแปดด้านอย่างเช่นพระ
ฤษี เมื่อมาพบหญิงงามเข้าแล้ว ถึงกับต้องทำให้ตบะแตกฌานเสื่อมลงไป
นั่นมันเป็นเพราะอะไรมิใช่สิ่งนี้หรอกหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วพระโอรสจึงพานางผู้เป็นพระชายากลับไปส่งให้อยู่ในเมืองตามถิ่นฐานบ้าน
เดิมของนางแล้วพระองค์เองก็มุ่งหน้าไปสู่ป่าหิมพานต์อีกครั้ง แล้วจึงบวช
ตนเป็นพระฤษีถือเพศพรหมจรรย์ บำเพ็ญตบะ สร้างบารมีอยู่ในป่า แห่งนั้น
ตลอดจนชั่วอายุขัย.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีกสิรมุนี,พระฤษีวชิรามุนี,พระฤษีวาโปนะมุนี,พระฤษีมกันติมุนี

พระฤษีกสิรมุนี ท่านผู้นี้เคยเป็นข้าราชบริพาร ของท่านท้าวพรหมทัตแห่ง
เมืองพาราณสี ที่เกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงสละโลกภายนอกออกบวช
เป็นพระฤษี บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์ พร้อมทั้งน้องชายอีก ๓ คน ก็พา
กันไปบวชเป็นพระฤษีทั้งหมด

พระฤษีวชิรามุนี ผู้ที่เป็นน้องรองจากกสิร ก็ลาท่านท้าวพรหมทัตติดตาม
พี่ชายมาบวชเป็นพระฤษีด้วย บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์เช่นเดียวกัน

พระฤษีวาโปนะมุนี ผู้นี้ก็เป็นน้องรองจากวชิราลงมา ก็มีความเห็นชอบ
ในทางธรรมว่าเป็นความสว่างในภายหน้า จึงออกมาบำเพ็ญตบะในเพศพระ
ฤษีอีกผู้หนึ่ง

พระฤษีมกันติมุนี ผู้นี้เป็นน้องคนสุดท้องในจำนวน ๔ คน ก็เห็นดีเห็นงาม
ในเพศสมณะจึงสละทางโลกเข้ามาพึ่งทางธรรม บวชตนเป็นพระฤษีกับเขาบ้าง

แรกเริ่มเดิมทีทั้ง ๔ คน พี่น้องก็เป็นพราหมณ์ประจำสำนักของท่านท้าว
พรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี แต่มีความคิดว่าการอยู่เป็นพราหมณ์รับราชการ
อยู่นั้น สิ่งที่ได้มันทำให้สุขกายสบายใจก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงความสุข
ได้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น มันเป็นการโกหกหลอกลวงทั้งนั้น เหมือนกับการ
แสดงโขน ละครที่ครอบเอาไว้ด้วยหัวต่างๆ ที่เรียกว่า"หัวโขน" จึงได้มียศ
มีอำนาจสูง และจะครอบให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ครั้นแสดงจบแล้วก็จะต้องถอด
หัวโขนนั้นออก มันก็คือคนธรรมดาไม่มีอำนาจ ไม่มีฤทธิ์เหมือนอย่างที่มี
หัวโขนสวมอยู่ ก็จะต้องเดินดินกินข้าวแกงต่อไป มันไม่มีความสว่างไสวที่
จะส่องนำทางไปยังโลกหน้าได้เลย หากหลงงมงายติดอยู่ในกองกิเลสอย่าง
ที่เป็นและที่เห็นกันอยู่จำเจแล้ว ก็คงไม่มีทางหลุดพ้นไปได้เลย
เมื่อทั้ง ๔ พราหมณ์พี่น้องตกลงกันดังนั้นแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบทูลลา
ออกจากข้าราชการ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ต่างฝ่ายต่างสร้างอาศรม
แล้วสำรวมใจบำเพ็ญธรรมประโยชน์กันอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ จึงมีความอด
ทนเป็นที่ตั้ง ทั้งมานะพยายามหวังว่าจะต้องกระทำให้สำเร็จ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็ย่อมอยู่ที่นั่น ทั้ง ๔ พระฤษีจึงได้
สำเร็จในอภิญญาฌานกันทั้งหมด แต่ก็ยังมิได้เพียงพอยังคงปฏิบัติกันต่อ
ไปไม่หยุดยั้ง
เวลาผ่านล่วงเลยไป จนกระทั่งพระฤษีกสิร พระฤษีผู้พี่ใหญ่ก็ได้ถึงกาล
กิริยา ดับขันธ์ทิ้งร่างกายขึ้นไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในเทวโลก แต่เทพบุตร
นั้นก็ยังมีความรำลึกนึกถึงน้องชายในอดีตชาติทั้ง ๓ อยู่ทุกขณะ จึงลงมา
เยี่ยมพระฤษีที่เป็นน้องทั้ง ๓ เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด คงปฏิบัติเช่นนั้น
ตลอดมา
ต่อมาพระฤษีวชิรามุนีก็เกิดเป็นโรคแทรกแซงขึ้นมา มีอาการหนาวสั่น
จนกระทั่งร่างกายผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแต่ก็ยังมีความเพียร
ในการบำเพ็ญไม่ยอมเลิกล้ม
ฝ่ายเทพบุตรผู้เป็นพี่ใหญ่ในอดีต ก็ลงมาหาอีกเช่นเคย เมื่อเห็นอาการ
ของพระฤษีผู้ที่เคยเป็นน้องเช่นนั้นก็มีจิตสงสาร จึงประทานขวานเพชรอัน
ศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระฤษีวชิรามุนีแล้วสั่งว่า จงเก็บรักษาขวานเพชรกายสิทธิ์
เล่มนี้เอาไว้ให้ดีจะใช้ให้ไปหาฟืนมาสุมไฟผิงกันหนาวก็ได้ หรือว่าจะใช้ให้
ไปทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เทพบุตรสั่งเสร็จก็รีบเหาะกลับไปวิมานในสวรรค์ พระ
ฤษีวชิรามุนีก็ค่อยมีความสุขสดชื่นขึ้นมาได้ แล้วมุ่งมั่นในการบำเพ็ญตบะ
ต่อไป
ต่อมาอีกวันเทพบุตรก็ลงมาเยี่ยมน้องชายอีกคนที่ชื่อพระฤษีวาโปนะ
พร้อมทั้งถามว่า มีความเดือดร้อนในเรื่องอันใดบ้าง พระฤษีก็บอกว่า ความ
เป็นอยู่ในที่นี้ก็สบายดีอยู่หรอก แต่ทว่าในป่านี้มีความกันดารมาก จึงขาดแคลน
อาหารที่จะบริโภค เทพบุตรจึงประทานหม้อทิพย์ให้กับพระฤษีแล้วสั่งว่าถ้า
หากต้องการนมข้นหรือเนยใส ก็ให้อธิษฐานแล้วคว่ำหม้อกายสิทธิ์นี้ลงไป
ต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะไหลออกมาจากหม้อไม่หยุด จนกว่าจะสั่งว่าพอ
สั่งพระฤษีเสร็จแล้วเทพบุตรก็เหาะกลับสวรรค์ไป
วันต่อมา เทพบุตรก็เหาะลงมาหาพระฤษีมกันติผู้มีอดีตเป็นน้องคนสุดท้อง
แล้วก็ถามว่ามีความเดือดร้อนอะไรบ้าง พระฤษีก็บอกว่าเป็นดินแดนแห่งป่า
หิมพานต์ก็มีแต่ความสงบเงียบสงัด แต่ว่าอาศรมนี้อยู่ห่างไกลจากผู้อื่น จึง
เดือดร้อนแต่เรื่องสัตว์ร้ายที่จะคอยมารบกวนเท่านั้น เทพบุตรจึงมอบกระดิ่ง
วิเศษให้กันพระฤษี แล้วสั่งว่าหากมีสัตว์ร้ายเข้ามารบกวนก็จงเขย่ากระดิ่ง
นี้ขึ้นแล้วสัตว์เหล่านั้นมันก็จะตกใจกลัวแล้วพากันหนีไป และศัตรูที่ร้ายๆ
เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งนี้แล้วก็จะต้องอ่อนน้อมยอมเป็นมิตรและบรวารของเรา
แต่จงอย่าใช้ในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ภัยมันจะเกิดขึ้นมาได้ ว่าแล้วเทพบุตรก็
เหาะกลับสวรรค์เช่นเคย
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระฤษีทั้ง ๓ พี่น้องก็มีแต่ความสุขสะดวกสบายใน
การบำเพ็ญตบะ เพราะมีของกายสิทธิ์คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีเศรษฐบุตร

พระฤษีพระองค์นี้มีอิทธิฤทธิ์และบารมีสูงส่ง เป็นพระอาจารย์ของทศกัณฑ์ เดิมทีพระฤษีองค์นี้
ก็เป็นวงค์พรหมอีกองค์หนึ่งซึ่งได้ลงมาบำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในโลกมนุษย์(ในรามเกียรติ์เรียก
ว่าพระฤษีโคบุตร)
ทศกัณฑ์ได้ร่ำเรียนวิชาจากพระฤษีเศรษฐบุตรจนเก่งกล้าสามารถ มีความชำนาญทั้งคาถาอาคม
เวทย์มนตร์อันขลังและศักดิ์สิทธิ์สามารถกำบังกายหายตัวได้ จะย่อตัวให้เล็กลงก็ได้ จะทำให้
ตัวใหญ่เท่ากับภูเขาก็ได้ และจะแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นตามความต้องการ และยังสอน
ให้ยิงธนูเก่งอีกด้วย
ในครั้งหนึ่งทศกัณฑ์ได้ร่ำลาพระฤษีเที่ยวเล่นไปในป่า ด้วยการเหาะขึ้นไปในอากาศจนกระทั่ง
มาถึงนคร มหิษมดี ในแคว้นไหหัยชนบท พบสวนดอกไม้ของอรชุนก็เหาะลงไปในอุทยานนั้น
แล้วจึงเที่ยวเก็บดอกไม้และผลไม้เล่นเป็นที่สนุกสนานด้วยความซุกซนและฮึกเหิม ด้วยยังเป็น
วัยรุ่นที่มีจิตใจภาลสันดาลต่ำ จึงกลั่นแกล้งหักต้นไม้ ถอนต้นไม้ในสวนนั้นอย่างสนุกมือ
ในขณะนั้นก็พอดีพระอรชุนออกมาในอุทยานและพบว่าทศกัณฑ์หักต้นไม้เล่นทำให้ได้รับ
ความเสียหาย ท้าวอรชุนก็โกรธจึงเข้ามาต่อว่า แต่แทนที่ทศกัณฑ์จะเกรงกลัวกลับหยิ่งยโส
โอหัง ในที่สุดก็เกิดกา่รต่อสู่กันขึ้นทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความสามารถด้วยกันทั้งคู่จึงสู้กันอยู่เป็น
นานและแล้วในที่สุดท่านท้าวพันมือ(อรชุนมีมือถึงพันมือ)ได้ทีจึงแผลงศรพญานาคเข้าไปมัด
ทศกัณฑ์ ถึงแม้ว่าจะดิ้นรนหรือใช้คาถาอาคมในการแก้มัดก็ไม่สำเร็จ เพราะพระอรชุนเก่งกว่า
จึงจับตัวทศกัณฑ์พาไปตระเวนไปในอากาศเพื่อที่จะประจานให้ใครๆได้รับรู้ในความชั่วช้าเลว
ทรามของทศกัณฑ์ ในระหว่างนั้นก็บันดาลให้เสียงกึกก้องกัมปนาทบนท้องฟ้า ตามระยะทาง
ที่ท้าวอรชุนพาทศกัณฑ์เหาะมาทั้งแผ่นฟ้าสะท้านสะเทือนไปตลอดทาง
พระฤษีเศรษฐบุตรได้ยินดังนั้นก็ตกใจและสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จึงสำรวมจิตเข้าฌาณ
ดู ก็รู้ว่าทศกัณฑ์ผู้เป็นศิษย์ได้เสียท่าท่านท้าวอรชุนเสียแล้วพระฤษีรู้ดังนั้นจึงรอช้ามิได้รีบร่าย
เวทย์สำแดงฤทธิ์เหาะตามไปเพื่อที่จะหาทางช่วยเหลือศิษย์ ครั้นมาทันกันพระฤษีก็อ้อนวอนท้าวอรชุนขอร้องให้ปล่อยทศกัณฑ์ด้วยบอกว่าทศกัณฑ์นั้น
ยังเป็นเด็กนัก ยังไม่รู้จักผิดถูกแต่อย่างใด ซึ่งก็มีนิสัยซุกซนไปตามประสาของเด็กทั่วไปจง
ขอได้โปรดอภัยโทษในครั้งนี้ด้วยเถิดจะได้เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ เพราะว่าในอนาคตข้างหน้า
เด็กคนนี้จะได้เป็นใหญ่เป็นโตถึงขั้นเป็นเจ้านครลงกาองค์ใหม่เลยทีเดียวแหละ จงนึกว่าปล่อย
ลูกนกลูกกาเอาบุญสักครั้งเถิด
ท้าวอรชุนก็ใจอ่อน ยอมปล่อยทศกัณฑ์ถวายกับพระฤษีเศรษฐบุตร แล้วจึงอโหสิไม่เอาโทษ
และยังได้กระทำสัจจะวาจาเป็นไม่ตรีกันทั้งสองฝ่ายเสร็จพระฤษีก็พาทศกัณฑ์ศิษย์รักกลับไปยังอาศรม
แต่ในตำนานแห่งพระคัมภีร์รามายณะฉบับบสันสกฤต ได้ระบุชื่อพระฤษีองค์นี้ไว้คือ พระฤษี
ปุลัสตยะมุนี แต่ในรามเกียรติ์เรียกว่า พระฤษีโคบุตร
ถึงแม้ชื่อเสียงจะผิดเพี้ยนกันไปบ้างก็จงอย่าไปสนใจอะไรมากนัก ก็เพราะว่ามากคัมภีร์
มากตำนาน มากคนแต่ง ก็ต้องมากเรื่องมากราวเป็นอย่างนี้แหละ แต่เมื่อลงท้ายแล้วก็เป็นจุด
หมายเดียวกัน......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสัตยพรต

พระฤษีองค์นี้เดิมเป็นพระมหากษัตริย์แห่งแคว้น ทระวิระ พระองค์มีศรัทธา มุ่งมั่นในทางธรรมเป็นที่ตั้ง
จึงทรงถือเพศเป็นพระฤษี มีความพยายามบำเพ็ญตบะสร้างบารมี เคร่งครัดอยู่ในศีลธรรม ชอบสันโดษ
และภิกขาจารไปทั่วๆ เสวยแต่น้ำเป็นอาหารไม่ยอมเสวยอย่างอื่นที่เป็นอาหารหนัก จึงมีบารมีเพิ่มพลังขึ้น
มาอย่างมหาศาล
วันหนึ่งหลังจากที่พระฤษีออกจากตบะฌานแล้ว จึงเสด็จลงไปยังฝั่งแม่น้ำ กฤตะมาลา หวังว่าจะ
ชำระล้างร่างกายและชำระบาปทั้งปวงให้หมดสิ้นไป พระฤษีจึงเอาพระหัตถ์กวักน้ำขึ้นมาหวังจะได้ดื่ม
กินประทังชีวิต แต่อะไรกันนั่น น้ำที่วักขึ้นมามีลูกปลาตัวน้อยๆที่มีความสวยงามติดมาด้วย พระฤษีจึง
ชงักไม่ยอมเอาน้ำเข้าปากเพราะกลัวจะผิดศีล พระฤษีหยุดพิจารณาปลาตัวนั้นอยู่นาน และแล้วลูกปลา
ตัวนั้นก็ได้กล่าววิงวอนกับพระฤษีเป็นภาษามนุษย์ " หลวงตาเจ้าขา อย่าได้ปล่อยให้ฉันลงน้ำเลยนะ
ถ้าหากหลวงตาปล่อยฉันลงน้ำไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่รอด จะต้องกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ที่ใหญ่กว่า
เป็นแน่สงสารฉันเถอะ หลวงตาผู้ใจดีอย่าปล่อยเลยนะตานะ" พระฤษีได้ยินเช่นนั้นก็สงสารอย่างสุด
ซึ้ง เลยนำเอาปลาตัวนั้นขึ้นไปเลี้ยงไว้ในหม้อที่อาศรม
วันรุ่งขึ้นพระฤษีก็เดินไปดูปลาน้อยในหม้อ ก็ต้องตกใจเพราะว่าปลาช่างโตไวเสียจริงๆ โตจนกระทั่ง
เต็มหม้อ ปลาขอร้องว่า " ตาจ๋าตา ที่อยู่ของฉันช่างเล็กและคับแคบเหลือเกิน รู้สึกว่าอึดอัดเป็นที่สุด
จะขยับตัวก็ไม่ได้ ตาจ๋า ช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้ใหญ่กว่านี้เถิด " ครั้นแล้วพระฤษีก็เอาปลาไปปล่อยลง
ในสระ แต่แล้วชั่วขณะเดียวเท่านั้นปลาก็โตเต็มสระ พระฤษีก็เอาไปปล่อยในทะเลสาป แต่ก็โตเต็ม
ทะเลสาปอีก พระฤษีจึงต้องเอาปลาไปปล่อยในมหาสมุทร ปลาจึงกล่าวกับพระฤษีว่า " ในมหาสมุทร
นั้นทั้งกว้างทั้งใหญ่โตและลึกเป็นที่สุด ไหนเลยฉันจะรอดพ้นอันตรายได้ มีทั้ง นาค จระเข้ และเหรา
สารพัดรวมอยู่ในนั้น"
พระฤษีก็มีความฉงน คิดทบทวนดูอย่างถ้วนถี่แล้วจึงลงความเห็นว่า จะต้องมีอะไรซ่อนเร้นอยู่
เป็นแน่ทีเดียว เพราะเห็นว่าผิดหลักธรรมชาติเป็นอย่างมาก เมื่อพระฤษีท่านใคร่ครวญจนถ้วนถี่แล้ว
ท่านจึงกล่าวออกไปว่า " ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านทรงจำแลงกายมาเป็นปลาด้วยกิจอันใดหรือ" ปลาพระ
ผู้เป็นเจ้าจึงเปิดเผยความจริงว่าเป็นองค์พระนารายณ์อวตารลงมาช่วยเหลือมนุษย์ ด้วยอีก ๗ วันน้ำ
จะท่วมโลก ท่านจะส่งเรือสำเภาใหญ่มาให้ ขอให้พระฤษีจงปฏิบัติตาม ให้นำพระฤษีลงไปในเรือนั้น
๗ องค์ จงเก็บพืชพันธุ์ธัญญาหารและสรรพยาต่างๆอย่างละเล็กละน้อยให้ครบถ้วน และจงเลือกสรร
บรรดาสัตว์อย่างละคู่เอาลงไว้ในเรือนั้น พร้อมทั้งมนุษย์ชายหญิงอีกคู่หนึ่ง ท่านจะพาไปให้พ้นจาก
ภัยพิบัติในครั้งนี้ ขอให้พระฤษีจงเตรียมตัวจัดเตรียมข้าวของเอาไว้ให้ครบถ้วน เมื่อถึงวันนั้นจะมารับ
แล้วปลาก็หายวับไป
ครั้นถึงตามกำหนดที่นัดหมาย พระนารายณ์ในร่างปลาก็ปรากฏขึ้น ได้ประทานเรือสำเภาใหญ่มา
ให้อีกลำหนึ่ง พระฤษีสัตยพรตก็มิได้รอช้า รีบเกณฑ์ข้าวของทั้งคนทั้งสัตว์ลงในเรือสำเภาครบจำนวน
แล้วเอาพญานาคมาเป็นเชือกผูกหัวเรือทางด้านหาง ส่วนทางด้านหัวก็ผูกกับปลาอวตาร ปลาใหญ่นั้น
ก็นำพาลากจูงเรือให้แล่นไปในมหาสมุทร และก็สอนธรรมกับพระฤษีตลอดไป พอเรือสำเภาใหญ่แล่น
ออกจากท่าไปแล้ว ฝนแสนห่าก็ตกลงมาทั้งวันทั้งคืนในระยะเวลาอันยาวนานติดต่อกันถึง ๓ เดือน
น้ำในมหาสมุทรก็หนุนขึ้นมา จึงทำให้น้ำท่วมโลก มนุษย์และสัตว์พากันตาย พืชพันธุ์ธัญญาหารก็มิ
ได้หลงเหลืออีกเลย เมื่อมองไปก็จะมีแต่น้ำกับฟ้าไม่เห็นฝั่ง พระฤษีก็นั่งปฏิบัติธรรมมาในเรือ พระนา
รายณ์ก็นำเอาเรือนั้นมาโยงไว้ที่ภูเขามัสยะ แล้วก็อบรมสั่งสอนทั้งในทางโลกและทางธรรม ให้พระ
ฤษีได้จดจำนำเอไปปฏิบัติ ครั้นได้เวลา ปลาพระนารายณ์ก็พาเรือสำเภาใหญ่นั้นกลับมา ก็เป็นเวลาที่
พระพรหมาทรงตื่นขึ้นจากบรรทมพอดี น้ำที่ท่วมโลกก็แห้งแล้ว เรือก็ถึงฝั่งพอดี แล้วปลาพระนารายณ์
ก็ดำน้ำหายไป พระฤษีก็เกณฑ์ทั้งมนุษย์และสัตว์ฺขึ้นฝั่ง ทั้งพืชพันธุ์ต่างๆ ก็นำเอาไปเพาะปลูกฟื้นฟู
ขึ้นใหม่ ทั้งมนุษย์และสัตว์อย่างละคู่นั้นจึงได้เพาะพันธุ์กันเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ นี่แหละที่มี
ชีวิตเกิดมาอยู่ในโลกนี้ได้ก็เพราะ พระนารายณ์และพระฤษีสัตยพรตนั้น มีพระคุณกับมนุษย์และสัตว์
มากที่สุด ในฐานะที่เป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งหลาย นามเดิมของพระฤษีสัตยพรตนั้นก็คือ พระมนู
ไวรัสวัต หลังจากที่เป็นพระบิดาของมวลมนุษย์แล้ว ท่านจึงได้นามใหม่ว่า พระประชาบดี .......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีประทิศไพ

พระฤษีองค์นี้ก็มีความศักดิ์สิทธิ์และมีฤทธิไกรมากมายทั้งไสยศาสตร์และ
บารมีมากด้วยคาถาอาคมและมนต์วิเศษ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีตำแหน่งเป็น
อาจารย์ของหนุมาน ทหารเอกของพระราม ที่มีความเคารพและนับถืออย่า่ง
จริงจัง ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งภูเขาเหมติวัน
เมื่อหนุมานสู้รบกับยักษ์บรรลัยกัลป์ซึ่งมีฤทธิ์มาก ใครจะจับตัวไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะบรรลัยกัลป์ทำพิธีชุบตัวด้วยน้ำมันว่าน จึงทำให้ตัวลื่นจับก็ไม่อยู่ หนุมาน
จึงเหาะไปถามพระฤษีประทิศไพ พระฤษีท่า่นก็กลัวบาปไม่ยอมบอก แต่ท่าน
ก็หยิบทรายฝุ่นมาโรยเล่นให้เห็นเป็นปริศนา หนุมานไวปัญญา จึงตีปัญหาแตก
แล้วก็เหาะกลับไปสู้กับยักษ์ แล้วในที่สุดก็ฆ่ายักษ์ตายสมความต้องการ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีโพธิสัตว์

เป็นพระฤษีที่ศักดิ์สิทธิ์ในชั้นเทพอีกองค์หนึ่ง ท่านเป็นเทพที่มุ่งมั่นในทาง
บำเพ็ญ ทั้งทางศีลทางธรรม และทางบารมีทานรวมพร้อมอยู่ในท่าน มีพร้อม
หมดทุกอย่าง จนกระทั่งได้บรรลุธรรมชั้นสูง จึงได้เลื่อนขั้นและฐานะขึ้นมา
เป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อคอยเวลาและโอกาส ที่จะอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ แล้ว
ตรัสรู้ธรรมนำเอามาสั่งสอนปวงชน เป็นผู้นำของศาสนาที่เรียกว่าศาสดา
หรือพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปในอนาคตกาลข้างหน้า ที่จะต้องมีขึ้นมาใหม่
อีก ตามวาระเวลาและคิวที่รอคอย เรียงกันตามลำดับ
สำหรับปวงชนหากมีสิ่งใดขัดข้อง ก็บนบอกกล่าวกับท่านได้ บูชาด้วย
ดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเนืองนิตย์ ท่านก็จะต้องประสิทธิ์ประสาทพระพรให้
ได้สำเร็จผล
หากท่านต้องการจะไปปิดทองหรือถวายพวงมาลัย ไปที่องค์จำลองของ
ท่านก็ได้ หรือจะแก้สินบนอย่างไรก็เห็นว่าสะดวกและสมควรยิ่ง จงเดินทางไปที่วัดเกตุมดีศรีวราราม (เส้นทางจะไปแม่กลองจะต้องผ่าน)
แล้วจะได้พบกับพระฤษีโพธิสัตว์นี้ เป็นรูปปั้นสถิตย์อยู่ภายในกำแพงแก้ว
ในซุ้มประตูด้านทิศตะวันออก ของพระธาตุเกตุมดี
ที่วัดแห่งนี้ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหลายอย่างอยู่ภายในวัด เช่น พระธาตุเกตุมดี
พระพุทธสิหิงค์ มหาราชทั้ง ๔ พระองค์ พระสิวลีมหาเถระ ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์
ธรรมบัณฑิต พ่อหมอโกมารภัติ และพระฤษีพนาวัน

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีบรมโกฏิ

พระฤษีองค์นี้ท่านก็ชอบสันโดษ อยู่ในอาศรมกลางป่าอีกเช่นเดียวกันท่านก็มีทั้งเมตตาบารมีและ
อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์มากมาย ชอบช่วยเหลือและส่งเสริมมวลมนุษย์ที่กระทำแต่ความดี หากทำชั่วท่านก็
จะสาปแช่งตามตำแหน่งหน้าที่ของท่าน ที่ได้รับคำสั่งจากพระอิศวร ให้ดูแลมวลมนุษย์ถ้าหากว่าผู้ใดได้
รับความเดือดร้อนเพราะถูกกลั่นแกล้งรังแกท่านก็จะสาปแช่งผู้ที่ชอบกลั่นแกล้งรังแก หรือทำตัวเป็น
อันธพาลให้ได้รับกรรม มีแต่ความวิบัติมาบังเกิด หากผู้ใดทำดีท่านก็จะดลบัลดาลให้ได้รับผลดี ในทำ
นอง"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" สิ่งนี้เป็นที่แน่นอนที่สุดท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์จะต้องพิจารณาอย่างถ่องแท้แน่
นอนแล้วเสมอ
ดังนั้นหากผู้ใดมั่นใจว่าตัวเองได้ทำความดี และยึดมั่นอยู่ในความดีแล้ว มีศีลธรรมประจำใจแล้ว
ก็จงขอพรจากพระฤษีบรมโกฏิเถิด แล้วท่านจะต้องสำเร็จสมประสงค์ ถ้าหากมีผลสำเร็จตามความประ
สงค์ที่ได้บนบานกับพระฤษีบรมโกฏิเอาไว้ หากจะทำพิธีแก้บนด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และทองคำเปลว
ก็ได้ ให้นำเอาสิ่งของที่ตั้งใจว่าจะถวายกับท่านไปพบกับท่านได้เสมอ ที่ในวัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม
(วัดโพธิ์ท่าเตียน) จะมีรูบปั้นพระฤษีบรมโกฏิให้พวกเราได้กราบไหว้บูชา.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีชลหุ

พระฤษีองค์นี้ก็มีฤทธิ์มากมีทั้งอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ แฝงไว้ด้วยอำนาจลึกลับมากมายมีประวัติ
ดังนี้
เมื่อครั้งที่ท้าวสัคร ได้ทำพิธีอัศวเมท คือปล่อยม้าอุปการแล้ว พระอินทร์ก็แปลงกายลงมาขโมย
ม้าตัวสำคัญนั้นไปซ่อนไว้ ท้าวสัครจึงใช้พระกุมารทั้งหกหมื่น ซึ่งเป็นโอรสของพระองค์ทั้งหมดไป
เที่ยวค้นหาม้า พระกุมารทำการขุดพื้นลงไปถึงหกหมื่นโยชน์แล้วก็ยังมิได้พบม้า จึงพยายามขุดลึก
ลงไปอีก พระนารายณ์ก็ทรงเกรงว่าโลกจะทะลุพินาศสิ้น จึงอวตารลงมาเป็นพระกบิล ลงไปบำเพ็ญ
ตบะอยู่ใต้พิภพ เมื่อพระกุมารหกหมื่นขุดลงไปพบพระกบิลก็โกรธคิดว่าพระกบิลขโมยเอาม้ามา จึง
ตรงเข้าไปหมายจะทำร้าย
ในที่สุดพระกบิลก็ทำเป็นไฟกรดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่นตายกันหมด ท้าวสัครจึงคิดที่จะเชิญ
พระแม่คงคาลงมาจากสวรรค์เพราะน้ำพระแม่คงคานี้ถ้าหากว่่าไหลไปชำระอัฐิของพระกุมารทั้งหกหมื่น
แล้ว ก็จะหมดบาปได้ไปสวรรค์กันทั้งหมด
ท้าวสัครจึงมอบราชสมบัติให้กับพระนัดดาเป็นผู้ครอบครอง ส่วนพระองค์ก็ออกไปบำเพ็ญตบะ
เพื่อจะทำพิธีอัญเชิญพระคงคาให้ลงมาจากสวรรค์ ตอนนี้จึงมีพระฤษีเพิ่มขึ้นอีก คือ พระฤษีสัคร
สำหรับพิธีอัญเชิญน้ำพระคงคาลงมาจากสวรรค์ ก็ยังมิได้สำเร็จสมความตั้งใจ แต่ก็ยังดำเนินต่อ
เนื่องกันไปเมื่อท้าวสัครสิ้นพระชนม์แล้ว ท้าวอังศุมานก็บำเพ็ญพรตเป็น พระฤษีอังศุมาน และต่อมา
จนกระทั่งบังเกิดเป็น พระฤษีทิลีป ต่อมาก็ถึง พระฤษี ภคีรถ สืบต่อเนื่องลำดับวงค์สกุลกันลงมาผล
สุดท้ายก็มาสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรสนั่นเอง พระคงคาเสด็จลงมาจากสวรรค์โดยพระอิศวรเอามวย
ผมรับพระคงคาเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้น้ำท่วมโลก หรือว่าโลกพังทลายลงมา ด้วยอิทธิฤทธิ์และความ
รุนแรงของพระคงคา พระคงคายังคงไหลเวียนอยู่บนพระเศียรของพระอิศวร กระทั่งในที่สุดพระอิศวร
ก็สยายพระเกษาปล่อยให้ไหลออกมา แล้วจึงไหลไปทางสระวินทุ พระคงคาแยกออกเป็น ๗ สาย
คือไหลไปทางทิศบูรพา ๓ สาย จึงได้ชื่อว่า แม่น้ำจักษุ แม่น้ำสีดา แม่น้ำสินธุ ไหลไปทางทิศประ
จิมอีก๓ สาย ที่ได้ชื่อว่าแม่น้ำนลินี แม่น้ำปาพนี แม่น้ำปุพนีส่วนสายกลางนั้นก็ไหลไปตามรอยรถของท้าวภคีรถ ที่เรียกกันว่าแม่น้ำพระคงคามหานทีที่เป็นแม่
น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ สามารถใช้ล้างบาปชำระกรรมต่างๆ ได้ครบทั้งสิ้นและมีความนิยมกันมาก ด้วยสาเหตุ
ที่ต้นน้ำเชื่อมโยงมาจากสวรรค์
และแล้วพระคงคาก็ไหลเรื่อยไปตามรอยรถของท้าวภคีรถเรื่อยไปมิหยุดยั้ง พระฤษีและเทวดา
พร้อมทั้งมนุษย์ต่างก็มีความยินดีรีบพากันมาอาบกินเพื่อจะได้เป็นที่ชำระล้างบาปสรรพกิเลส ทั้ง
หลายทั้งปวงให้หมดไป พระคงคาไหลไปตามทาง จนกระทั่งท่วมอาศรมและปรำพิธีของพระฤษีชลหุ
จึงสร้างความโกรธแค้นให้กับพระฤษี จึงทำอิทธิฤทธิ์อ้าปากกว้างกลืนแม่น้ำคงคาเข้าไปในปากจนหมด
สิ้น มาภายหลังท้าวภคีรถก็ขอร้องและอ้อนวอนพระฤษีชลหุ จนเกิดความรำคาญจึงปล่อยพระคงคา
ไหลออกมาทางหู
ตั้งแต่นั้นมาพระคงคาจึงได้ชื่อใหม่ว่า ชานหวี โดยถือกำเนิดมาจากหูของพระฤษีชลหุ และยังเรียก
กันว่าพระคงคาเป็นธิดาของพระฤษีชลหุอีกด้วย
ก็นับว่าพระฤษีชลหุนี้มากด้วยฤทธิ์และบารมี มีความเก่งกล้าสามารถ เป็นที่เกรงกลัวกันโดย
ทั่วไป ท่านที่ได้ศึกษาทางด้านไสยศาสตร์ก็ควรที่จะรำลึกนึกถึงท่านเอาไว้มากๆ ท่านก็จะประทาน
อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ และบารมีของท่านให้กับผู้ที่มีความสนใจที่ใคร่จะศึกษา และร่ำเรียนในวิชา
แขนงนี้ จะได้มีความเก่งกล้าสามารถเหมือนเยี่ยงเช่นพระองค์ท่านต่อไปในอนาคต......

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีพังตรุ

ท่านผู้นี้คือเทวดาตกสวรรค์ ครั้งอดีตกาลเป็นข้าช่วงใช้ของพระอิศวรบน
เทวโลก มีหน้าที่เฝ้าอุทยานของพระอุมา ในอุทยานนั้นมีมะม่วงที่รสอร่อย
เป็นพิเศษ และก็ออกผลทุกฤดูมิได้ขาด (มะม่วงทิพย์) ในระหว่างที่พระอิศวร
และพระอุมายังมิได้เข้ามาในอุทยานนั้น เทวดาผู้นี้ก็เก็บผลมะม่วงมากินเล่น
และยังได้เก็บเอาไปแจกจ่ายให้กับเหล่าเทวดาอื่นๆ นำไปขว้างปากันเล่นจน
กระทั่งหมดเกลี้ยงต้น
บังเอิญถึงคราวเคราะห์ของเทวดาผู้นี้ พระอิศวรก็เสด็จเข้ามาในอุทยาน
อย่างไม่เป็นทางการ ก็เห็นว่าผลมะม่วงเกลื่อนกราดไปหมดและเมื่อดูบนต้น
ก็ไม่เหลือเลยแม้แต่ลูกเดียว พระอิศวรจึงเรียกเทวดาผู้นี้มาสอบถามในที่สุด
ก็รับสารภาพว่าตนเองได้เก็บเอามากินแล้วก็แจกจ่ายให้เทวดาอื่นๆ นำเอา
มาขว้างปากันเล่น พระอิศวรได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงทำโทษเทวดาผู้นั้น ด้วย
การขับไล่มิให้อยู่บนเทวโลกอีกต่อไป ให้ไปเป็นฤษีอยู่ที่เชิงเขาไกรลาศเป็น
เวลาถึงหนึ่งหมื่นปี และให้มีจิตใจที่วิปลาส ได้หน้าลืมหลัง สติไม่ค่อยจะดี ให้
มีอาการคลุ้มคลั่งและบ้าๆบอๆ อยู่อย่างนั้นตลอดไปจนกว่าจะพ้นคำสาป ก็
คิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านได้มากพอดู สำหรับ
ลีลาของพระฤษีชั้นเทพนี้ก็ยังมีอีกมากมายแต่ก็มิค่อยมีสาระเท่าใดนัก จึง
จะขอผ่านเลยไปจะได้เริ่มแนะนำพระฤษีในชั้นดินกันต่อไป..
แต่ว่าพระฤษีในชั้นดินของเรานี้มักจะไม่ค่อยเก่งเท่าใดนัก เพราะไม่ใช่
พระพรหม ไม่ใช่เทวดาจึงมีฤทธิ์ไม่สู้จะมากนัก ยังมีกิเลสครอบงำใจกันอยู่
เป็นส่วนมาก ยังตัดไม่ขาดจากทางโลกและจิตใจก็ยังไม่เป็นปกติ ยังมีความ
โลภเป็นบ่อเกิด จึงต้องมีการชิงดีชิงเด่นกัน อิจฉาริษยากลั่นแกล้งและรังแก
ซึ่งกันและกัน ไม่ชนะด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาชนะด้วยกล มนตร์คาถาหรือมายากล
ต่างๆที่นำเอาเข้ามาประกอบในการกระทำนั้นๆ จะมีพร้อมทั้งในด้านบารมี
และอิทธิฤทธิ์และเดียรัจฉานวิชา.....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีครูแพทย์

....วิชาการแพทย์แผนโบราณมีหลักฐานการจดบันทึกมานานกว่า ๔,๐๐๐ ปี
มาแล้ว มีการรวบรวมเป็นคำภีร์ ชื่อว่า อายุรเวทย์ ซึ่งได้รวมความรู้เรื่อง การตรวจโรค
การบำบัดด้วยยา การผ่าตัด การป้องกันโรค ในตำนานกล่าวว่า พระฤษีอินทร์
สอนให้พวกฤษี และฤษีสอนให้แก่ศิษย์สืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน ในตำนานฤษีที่ได้
เรียนวิชาแพทย์มาจากพระอินทร์แยกเป็นสองสาย

สายแรก ฤษีภรัทวาชะ กับ ฤษีอาเตรยะ ซึ่งสืบทอดกันมาถึงสมัยพุทธกาล
เป็นรุ่นสุดท้าย ( พ.ศ.๖๖๓-๖๘๓)

สายที่สอง ฤษีธันวันตรี ซึ่งสืบทอดมาถึงสมัยพุทธกาล เป็นรุ่นสุดท้ายเช่นเดียวกัน
โดยมี นาคชุน เป็นผู้รวบรวมแก้ไขเพิ่มเติม วิชาแพทย์เหล่านี้ใช้สืบต่อกันมา

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีตาวัว

เดิมที พระฤษีตาวัวนั้นเป็นพระภิกษุอยุ่ในบวรพุทธศาสนา ตาบอดทั้ง
สองข้าง แต่ชอบเล่นแร่แปรธาตุ เล่นปรอท หุงปรอท จนในที่สุดก็ประ
สบความสำเร็จด้วยอำนาจกสิณอภิญญา ได้ปรอทสำเร็จมาก้อนหนึ่ง
เรืองแสงในตัวได้ มีอิทธิฤทธิ์มากมายสารพัด มีอยู่คราหนึ่งปรอทบังเอิญ
เกิดพลัดตกลงไปในโถส้วม ท่านก็ใช้ให้ลูกศิษย์ควานหา และกำชับว่า
จับก่อนที่มันจะเรืองแสงในตัวขึ้นมาลูกศิษย์ก็กลั้นใจควานหาปรอทจน
กระทั่งพบด้วยความรักและเคารพในตัวอาจารย์ และถามอาจารย์ว่า
ท่านมีฤทธิ์มากมายเช่นนี้ไฉนไม่รักษาดวงตาของท่านให้หาย
ท่านคิดได้ดังนั้นจึงให้ลูกศิษย์ไปหาศพคนตายมาใหม่ๆ แต่หาเท่าไร
ก็ไม่พบ พบแต่ซากวัวที่ตายจึงได้ควักดวงตาทั้งสองออกมาแทน เมื่อพระ
อาจารย์ได้มา ก็จัดแจงเอาตาวัวใส่เข้าในเบ้าตาของตนเองแล้วใช้ปรอท
สำเร็จคลึงที่ดวงตาทั้งสอง ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เพราะดวงตาวัว
ที่ใส่เข้าไปแทนกลายเป็นดวงตาจริงๆ แต่กลับมีลักษณะเหมือนตาวัว
ท่านก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ขอบใจลูกศิษย์
และเนื่องจากอุปนิสัยของท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุท่านจึงลาสิกขาบท
ออกจากความเป็นพระภิกษุแล้วมาเป็นฤษี ซ่อนกายอยู่ในป่า และได้นาม
จากคนทั่วไปว่า " พระฤษีตาวัว " แถมยังเป็นสหายสนิทของพระฤษี
ตาไฟอีกด้วย...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปู่เจ้าสมิงพราย...

มาจากตำนานเก่าแก่ของไทยเรื่อง "พระลอ"กล่าวถึงปู่เจ้าสมิงพราย
ว่า เป็นชายชราอายุนับร้อยๆปีนุ่งขาวห่มขาวผมหนวดขาว ห้อยลูก
ประคำเส้นใหญ่ๆจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำเพียงผู้เดียว มีอาคมกล้าแข็ง
ด้วยฤทธิ์ ธิดาเจ้าเมืองแมนสรวง คือ "เพื่อน แพง" ให้ความเคารพ
นับถือมาก ภายหลังมีจิตปฏิพัทธ์ต่อ"พระลอ" โอรสเมืองอื่นซึ่งเป็นคู่
อริกัน เพื่อน-แพง ให้ปู่เจ้าสมิงพรายใช้อิทธิฤทธิ์ เสกไก่แก้วให้พระ
ลอตามไก่แก้วนั้น จนพบกับพี่น้องสาวเพื่อน-แพง สมความปรารถนา
ท่านสามารถรักษาการเจ็บป่วยจาก การถูกของ ถูกกระทำ จากอำ
นาจไสยศาสตร์มนดำอย่างได้ผล....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษี ชาวาลี

เป็นพงศ์ฤษีจากพระฤษีกศป ท้าวทศรฐได้นิมนต์ฤษี 5 ตน มาในพิธีอัศวเมธ มี...

พระฤษีกศป พระฤษีฤษยศฤงค์ และพระฤษีชาวาลี ส่วนอีก 2 ตน ไม่ปรากฏนาม

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสนัตกุมาร

เป็นพรหมฤษี ได้เป็นคนทำนายไว้ว่าพระนารายณ์จะอวตารมาเป็นพระราม
ปราบยักษ์นนทุก ที่เป็นทศกัณฐ์

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษี วิภาณฑก

เป็นพรหมฤษี มีบุตรชื่อพระฤษยศฤงค์ ต่อมาได้เป็นฤษีเช่นเดียวกัน
เป็นวงศ์ฤษีกศป

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษี สัตยพรหม..

เป็นพระพรหมที่ตั้งมั่นในสัจจาอธิษฐาน ท่านมีสัจจะและความจริงใจเป็นที่ตั้ง เกลียด
คนคดโกง เกลียดคนกะล่อน คนขี้ฉ้อตอแหล และคนตลบตะแลง ส่งเสริมแต่คนที่ทำความ
ดี สร้างกรรมดีมีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ฉ้อฉลด้วยเล่ห์กลต่างๆ ท่านจะคอยคุ้มกันและช่วย
เหลือมิให้ตกต่ำหรือต้องตายอยู่ในกองทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นอันขาด
หากหมั่นกระทำแต่ความดี สักวันผลแห่งกรรมดีจะตอบสนอง หากกระทำแต่ความชั่ว
สักวันผลแห่งกรรมชั่วก็จะตอบสนองเช่นกัน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีตุลสิทาส

ในยุคหลังอันเป็นกลียุค พระฤษีผู้นี้เป็นต้นคิดและดัดแปลงแต่งคัมภีร์รามายณะขึ้นมา
ใหม่ เพื่อประสงค์ให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาสันสกฤตได้มีโอกาศได้รับส่วนผลบุญกุศลอันส่วนควร
ที่จะได้รับสำหรับผู้ที่ได้อ่านหรือได้สวดหรือได้ฟังเรื่องราวรามายณะนั้นมาบ้าง พระฤษี
ตุลสีทาส ผู้นี้จึงคิดแต่งเรื่องรามายณะขึ้นมาใหม่ซึ่งเปลี่ยนเป็นภาษาเบงกอล ที่ใช้พูด
กันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะว่าในกลียุคนี้ ผู้ที่รู้ภาษาสันสกฤตจริงๆแล้วก็เหลืออยู่น้อยคนเต็ม
ที และท่าได้แต่งขึ้นมาโดยมิได้ตัดต่อแต่ประการใด คงเปลี่ยนแปลงแต่ภาษาและอักขระ
เท่านั้น คงดำเนินเรื่องราวไปตามแนวของพนะฤษีวาลมิกิอย่างเดิมและได้ตั้งชื่อคัมภร์
ใหม่นี้ว่า ฉบับฮินดี และพระฤษีตุลสีทาส ก็ยังได้รับฉายาใหม่ว่า พระฤษีวาลมิกิ แห่งกลี
ยุค สำหรับหนังสือหรือคัมภีร์รามายณะฉบับฮินดีนี้ ก็รู้สึกว่ามีผู้นิยมกันมาก จึงเป็นที่แพร่
หลายไปตามชนบทของประเทศอินเดีย จึงจัดได้ว่ามีความนิยมสูงมีผู้สนใจไม่แพ้เรื่อง

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอจนคาวี...

เป็นผู้มีความรู้และความสามารถอยู่ในชั้นของผู้สำเร็จฌานชั้นสูง มีทั้งอิทธิฤทธิ์
และบารมีควบคู่กันไป และยังมีพระฤษีอีกองค์คือ...


พระฤาษียุทธอัคร...

เป็นผู้ที่มีทั้งคุณธรรมและเมตตาธรรม พร้อมทั้งการปฏิบัติที่ทำให้บรรลุในดวงธรรม
ทั้งหลายทั้งปวงได้สำเร็จ และก็ยังมีพระฤษีอีกองค์คือ...


พระฤษีทหระ...

นี่ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีคุรงามความดี ที่อยู่ในเพศสมณะและผู้ทรงศีล ไม่ยินดียินร้าย
ในทรัพย์ภายนอก ต้องการเพียงทรัพย์ภายในเท่านั้นจึงได้มุงมั่นบำเพ็ญตบะสร้างบารมี
มิได้หยุดหย่อนจึงได้สำเร็จฌานบารมีบรรลุในธรรมอันสูงค่า มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์ และ
อิทธิฤทธิ์นานาประการ....



พระฤษียาคมุนี..

นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง เช่นเดียวกัน ท่านมีทั้งด้านความเก่งกล้า ด้วยคาถาอาคม และเมต
ตามหานิยมไม่ยิ่งหย่อน เป็นผู้สำเร็จในธรรมธีรคุณที่ท่านได้เทิดทูนและปฏิบัติบูชา ด้วย
ความมานะพยายามอันแสนจะยากลำบาก ผลสุดท้ายก็ได้สำเร็จผล

พระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้มีอาศรมใกล้ๆกัน ในป่าเดียวกันและเขตเดียวกันมิหนำซ้ำ
ยังเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมต่อกันอีกด้วย ท่านมักจะไปมาหาสู่กันอยู่เสมอๆเพื่อที่จะได้ปรึก
ษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในด้านของภูมิธรรม เมื่อท่านได้ผนึกกำลังร่วมใจกัน
เป็นหมู่คณะแล้ว จึงไม่มีใครกล้ามารุกรานราวีให้ได้รับความเดือดร้อนด้วยอิทธิฤทธิ์ของ
ทั้ง 4 พระฤษีนี้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาสำหรับผู้ที่เคยพบเห็นมาแล้ว และในด้านกิติศัพย์
ก็เป็นที่เล่าลือกันทั่วๆไป จึงมีแต่ความสงบสุขตลอดมา
สำหรับเหตุการณ์และประวัติของท่านที่ยังจารึกเอาไว้ ตราบจนทุกวันนี้ ส่วนมาก
ปวงชนก็มักจะเรียกกันจนติดปาก และเรียกกันอยู่บ่อยๆเสียด้วย
ครั้งหนึ่งซึ่งนานมาแล้ว ก่อนหน้าที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม ได้มีเรื่อง
ราวเกิดขึ้นมาเกี่ยวกับพระฤษีทั้ง 4 พระองค์นี้ พระนารายณ์ได้บรรทมสินธุ์อยู่บนบัลลังก์
อนันตนาคราชในทะเลกเษียรสมุทรท่านได้กระทำเทวฤทธิ์ ซึ่งเป็นกิจวัตรของท่าน ด้วย
การท่องบ่นมนต์สำคัญจึงได้บังเกิดมีดอกปทุมชาติ(ดอกบัว)ดอกใหญ่มหึมาขึ้นมาจากพระ
นาภี(สะดือ)ขององค์พระนารายณ์ ดอกบัวนั้นค่อยๆคลี่ขยายกลีบบานออก จึงปรากฏเป็น
พระพรหมองค์หนึ่งยืนอยู่ในดอกบัว พร้อมทั้งยังชูพระกุมารองค์หนึ่งแล้วจึงส่งให้พระนา
รายณ์ ฝ่ายองค์พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าก็อุ้มเอาเทวกุมารนั้นมาขึ้นเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้า
สวรรค์ แล้วก็ทูลถวายพระราชกุมารต่อพระอิศวรพร้อมทั้งเล่าสาเหตุ ในการบังเกิดเป็น
พระกุมารโดยตลอด ฝ่ายพระอิศวรท่านได้รับฟังจากคำที่พระนารายณ์เล่ามา ก็ให้มีความ
สงสัยเป็นอย่างมากจึงทรงส่องทิพย์ฌานดูก้รู้ถึงเหตุผลด้วยกุมารนี้ต่อไปในภายหน้าก็จะ
ได้สืบวงค์ขององค์พระนารายณ์ พระอิศาวก็ทรงดีพระทัยเป็นที่สุด จึงสั่งให้พระอินทร์
และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้ติดตามกระทำหน้าที่เป็นโยธาธิการอีกเป็นจำนวนมากให้
ลงไปยังโลกมนุษย์แล้วหาสถานที่เหมาะๆทำการก่อสร้างเมืองให้ใหญ่โตและสวยงามอัน
วิจิตรพิศดารเพื่อจะมอบให้กับกุมารนี้ ให้เป็นกษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองต่อไปในภายหน้า
ฝ่ายพระอินทร์และพระวิศณุกรรมและเทวดาผู้เป็นบริวารก็ยกขบวนเหาะทยานลงมา
ที่ป่าประชุมศรีทวาราวดีซึ่งสถานที่แห่งนั้นมีต้นชุมเห็ดชุกชุม แล้วพระอินทร์และบริวารก็
ได้พบกับพระฤษีทั้ง 4 องค์ คือ พระฤษีอจนคาวี พระฤษียุทธอัคร พระฤษีทหระ พระฤษี
ยาคมุนี ด้วยพระฤษีทั้ง 4 นี้ยังได้บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าแห่งนั้นพระอินทร์จึงได้ปรึกษาหารือ
กับพระฤษีในเรื่องการจัดสร้างพระนครให้กับพระกุมาร พระฤษีทั้ง 4 ก็ดีใจและเห็นด้วย
กับคำบอกเล่าของพระอินทร์ จึงได้ช่วยอำนวยความสะดวกและรับเป็นธุระช่วยสร้างเมือง
ในครั้งนี้เพื่อจะให้ได้มาตรฐานสวยงามราวกับเมืองสวรรค์ จึงจัดแจงหาฤกษ์ยามและกำ
หนดนัดหมายวันและเวลามงคล
ครั้งถึงข้างขึ้น เดือน 6 ปีขาล วันจันทร์เป็นธงชัยจึงเนรมิตขึ้นมาเป็นเมืองหลวงที่
ใหญ่โตและสวยงาม ล้วนไปด้วยแก้ว 7 ประการแล้วทรงขนานนามพระนครนี้โดยการเอา
ชื่อพระฤษีทั้ง 4 องค์มารวมกัน คือ อจนควี ใช้คำว่า อ...ยุทธอัคร ใช้คำว่า ยุ...ทหะระ ใช้
คำว่า ท...ยาคะ ใช้คำว่า ยา...เมื่อนำอักษรเข้ามารวมกันก็จะเป็น อ-ยุ-ท-ยา อ่านได้ใจ
ความว่า อยุทยา แล้วเปลี่ยนมาเป็น อยุธยา จึงลงมติกันเป็นเอกฉันท์ให้นำเอาชื่อป่าชุม
เห็ดนั้นเข้ามารวมด้วย จึงได้กลายเป็น พระนครหลวงที่มีชื่อว่า กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา
เพื่อที่จะได้สืบสันติวงค์ขององค์พระนารายณ์ และยังได้ประทานนามให้กับพระกุมารองค์
นั้นว่า ท้าวอโนมาตัน เป็นกษัตริย์พระองค์แรกของกรุง กรุงทวาราวดีศรีอยุธยา และอภิ
เษกกับนางวิกา แห่งกาโรนครในทวีปอุดรเป็นพระชายา แล้วต่อจากนั้น ท้าวอโนมาตันก็
ปกครองนครมาโดยสันติสุขสืบต่อมาจนถึงยุคพระราม....
รามายณะของพระฤษีวาลมิกิแต่ประการใดเลย...
สำหรับพระฤษีตุลสิทาสนี้เริ่มแรกเดิมทีเป็นแค่เพียงพราหมณ์ ถิ่นกำเนิดอยู่ในเมือง
กานยกุพช์ เคยได้เป็นศิษย์เอกของพระฤษีวาลมิกิมาตั้งแต่แรกเริ่มจึงได้มีปัญญาแลปฏิ
ภาณไหวพริบเป็นผู้ที่มีความสามารถอีกท่านหนึ่ง หลังจากพระฤษีวาลมิกิได้ละสังขาร
ขึ้นไปบังเกิดอยู่ชั้นพรหมมีตำแหน่งเป็นพระพรหมฤษีไปแล้วจึงทำให้ ตุลสีทาส ได้ดำเนิน
รอยตามแบบพระฤษีที่เป็นครูอาจารย์ จึงปฏิบัติตนบำเพ็ญพรตอยู่ในเพศพระฤษีตั้งแต่นั้น
มา ได้เริ่มแต่งคัมภีร์รามายณะ ฉบับฮินดีใหม่นี้ที่นคร อโยธยา เมื่อพุทธศักราชได้ 2118
ปี มาละวะสังวัตได้ 1631 ปี ท่านชอบเป็นพระฤษีภิขาจาร ย้ายสถานที่บ่อยๆ โดยมักจะ
อยู่ในเมืองพาราณสี แล้วย้ายไปอยู่อโยธยาบ้าง ที่เขาจิตรกูฏบ้าง...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีสินธู...พระฤษีสุทน...พระฤษีสนธิ...พระฤษีมิลินทร์...

ด้านเชิงเขาพระสุเมรุราชซึ่งเป็นดินแดนติดด่อในระหว่างเขาไกรลาสและป่าหิมพานต์
ยังมีพระฤษที่กำลังจะกล่าวถึงอีก 4 องค์ ที่ท่านมีความเก่งกล้าสูงด้วยบารมีธรรมอยู่ด้วย
กันเป็นหมู่คณะและมีความสามารถเท่าเทียมกัน

พระฤษีสินธู ผู้มีความเก่งกล้าสามารถเป็นผู้นำหมู่คณะ
พระฤษีสุทน เป็นพระฤษีที่มีตบะธรรมอันลึกล้ำ
พระฤษีสนธิ เป็นอีกองค์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากด้วยบารมี
พระฤษีมิลินทร์ เป็นผู้สร้่างสรรค์คุณงามความดีในทุกอย่าง

พระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ท่านรักใคร่สามัคคีมีความปรองดองกันอย่างดี ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆ
เกิดขึ้นกับองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านก็จะต้องหันหน้ามาปรึกษาหารือกัน เพื่อที่จะหาทางแก้ไข
เหตุการณ์ต่างๆและช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ทันต่อเวลา ถึงแม้จะถือเพศเป็นพระฤษี แต่
ก็ยังมีพวกมีพ้องยังจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ในฉันท์พี่น้องที่ซื่อสัตย์ต่อกัน
ที่บริเวรอาศรมของพระฤษีทั้ง 4 องค์นี้ ก็ยังมีอ่างแก้วใบใหญ่ที่เทวดาลงมาเนรมิตให้
พระฤษีทั้ง 4 ออกจากฌานในยามเช้าก็จะต้องมานั่งคุยปรึกษาหารือสนทนาธรรมกันโดย
ตีวงรอบอ่างแก้วใบนั้นทุกเช้าและทุกวันเป็นประจำ
ภายในป่าหิมพานต์ย่านนั้นก็ยังมีฝูงแม่โคนม 500 ตัว อาศัยอยู่และเที่ยวหากินอยู่
ในบริเวรนั้น ทุกเช้าฝูงแม่โคเหล่านั้นก็จะพากันมาที่อาศรมแล้วก็หยดน้ำนมลงในอ่างแก้ว
ใบนั้น เพื่อถวายให้พระฤษีฉัน ทั้ง 4 พระฤษีก็มานั่งสนทนาธรรมแล้วก็ดื่มน้ำนมโคนั้นทุก
วันพร้อมกัน เป็นกิจวัตรประจำวัน
ในบริเวรนั้นยังมีนางกบตัวหนึ่ง ซึ่งหมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วน้ำนมโค เมื่อพระฤษีออก
มาฉันครั้งใด ก็จะต้องตักเอาน้ำนมนั้นให้นางกบได้กินด้วย จนอิ่มหนำสำราญไม่ต้องออก
ไปหากินที่ไหน
วันหนึ่งพระฤษีทั้ง 4 เมื่อออกจากฌานแล้วก็ชวนกันออกไปหาผลไม้ในป่าเอามาเก็บ
ไว้ฉันและหาเก็บดอกไม้มาใส่ที่บูชา พระฤษีทั้ง 4 ก็พากันเดินออกไปเรื่อยๆ
ยังมีธิดาพญานาคนางหนึ่งชื่อ อนงค์ เป็นธิดาของ พญากาลนาค ผู้ครอบครองเมือง
บาดาลในวันนั้นนางนาคอนงค์ก็หนีบิดาขึ้นมายังป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะหาคู่ครองที่ถูกใจ
ในป่านั้นนางก็เที่ยวไปทุกหนทุกแห่งแต่ก็หาไม่พบ แล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุ นางนาค
อนงค์ก็เที่ยวมาใกล้อาศรมพระฤษีทั้ง 4 พบกับงูดินตัวหนึ่ง นางนาคอนงค์ก็สิ้นคิดเพราะหา
คู่ไม่ได้ นางจึงร่วมรักกับงูดินตัวนั้น โดยไม่คิดคำนึงว่าศักดิ์ศรีของนางนั้นสูงกว่างูดินตั้ง
มากมาย เมื่อนางต้องการอยากจะได้ ความอายก็จึงไม่เกิด จึงมั่วกับงูดินพันกลมอยู่ที่ดง
หญ้าข้างทางระหว่างป่าหิมพานต์ ก็นับว่านางนาคอนงค์ผู้นี้ก็มีความสุขไปได้ชั่วขณะหนึ่ง
และพอดีขณะนั้นพระฤษีทั้ง 4 เดินมาพบเข้าก็ปลงอนิจจัง ว่านางนาคอนงค์ ทำไมจึง
ทำตัวเช่นนั้นมันไม่สมควรเลย ด้วยความจำเป็นพระฤษีทั้ง 4 จึงใช้ไม่เท้าที่ติดมือมานั้น
เขี่ยที่ขนดหาง เพื่อหวังว่าจะให้นางนาคอนงค์ได้รู้สึกสำนึกในศักดิ์ศรีของตนเอง ว่ามัน
ห่างกันราวฟ้ากับดิน
พอนางนาคอนงค์รู้สึกตัวก็ให้มีความอายต่อพระฤษีทั้ง 4 เป็นที่สุดไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ดี นางนาคอนงค์จึงรีบแทรกแผ่นดินหนีไปเมืองบาดาลโดยเร็ว พระฤษีทั้ง 4 เห็นเหตุการณ์
ก็หัวเราะกัน หึ..หึ..แล้วพากันกลับอาศรม
ฝ่ายนางนาคอนงค์เมื่อหนีไปแล้วก็ให้มีความเจ็บแค้นพระฤษีทั้ง 4เนื่องจากความอาย
นางจึงคิดจะแก้แค้นพระฤษีให้จงได้ จึงต้องขึ้นมาจากบาดาลอีกครั้ง แล้วจึงคอยดูทีท่าเพื่อ
หาช่องทางเล่นงานพระฤษีทั้ง 4ด้วยความโกรธแค้นใหเจงได้
พอได้โอกาสในยามดึกสงัด นางนาคเห็นว่าไม่มีผู้ใดรู้ผู้ใดเห็น จึงตรงไปที่อ่างแก้วที่ใส่
น้ำนมโคใบนั้น แล้วจึงคายพิษอันแรงกล้าลงไป เพราะนางรู้ว่าตอนเช้าพระฤษีทั้ง 4 จะต้อง
มาฉันน้ำนมแล้วจะต้องดื่มเอาพิษของนางเข้าไปด้วย พระฤษีทั้ง 4 องค์จะต้องตายไม่เหลือ
แม้แต่องค์เดียว เมื่อนางนาคอนงค์คายพิษใส่อ่างแก้วเรียบร้อยแล้วก็กลับเมืองบาดาลด้วย
ความมั่นใจ
แต่เดชะบุญบารมีที่พระฤษีทั้ง 4 ยังมิถึงฆาต การกระทำของนางนาคอนงค์ ไม่รอด
พ้นสายตาของกบที่หมอบนิ่งอยู่ข้างอ่างแก้วไปได้ นางกบก็คำนึงคิดทบทวนด้วยความ
กตัญญูรู้คุณพระฤษีทั้ง 4 ที่มีความเมตตาแบ่งน้ำนมให้กินทุกวัน นางมีความซาบซึ้งใน
บุญคุณเป็นล้นพ้น ในการครั้งนี้ไมาสามารถที่จะทนดูพระฤษีผู้มีพระคุณต้องดื่มพิษร้ายของ
นางนาคอนงค์แล้วต้องตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้เป็นอันขาด จะต้องตอบแทนพระคุณของ
ท่าน นางกบน้อยจึงตัดสินใจกระโดดลงบไปในอ่างแก้วที่มีน้ำนมผสมพิษร้ายของนางนาค
และสิ้นชีวิตลอยอยู่ในอ่างนั่นเอง
ครั้นได้เวลาในตอนเช้า พระฤษีทั้ง 4 องค์เมื่อออกจากฌานแล้วก็พากันมานั่งที่รอบ
อ่างนมเพื่อที่จะได้ดื่มน้ำนมเช่นเคยแต่แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็ต้องตกตะลึงตาค้าง เมื่อเห็นนาง
กบน้อยนอนตายลอยอยู่ในอ่างน้ำนมนั้น
...." ตะกละสิ้นดี " พระฤษีสุทนรำพึงขึ้นมาเบาๆ...
...." ก็เพราะความตะกละแท้ๆเลยต้องตกลงไปตาย " พระฤษีมิลินทร์พูดด้วยการปลงอนิจ
จัง...
...." เราก็ได้เลี้ยงดู แบ่งให้กินจนอิ่มทุกวัน ไม่น่าจะตะกละอย่างนี้เลย " พระฤษีสนธิพูด
ขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก
แต่แล้วพระฤษีสินธูผู้ซึ่งเป็นผู้ได้สติและมีปัญญากว่าใครๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย
เป็นเชิงปรึกษาหารือกันว่า " อาจจะต้องมีเหตุร้ายอะไรบางอย่างเชื่อว่านางกบนี่คงจะมิได้
ตายเพราะความตะกละหรอก มันคงจะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ "...
คำพูดของพระฤษีสินธูทั้งเชื่องช้าและราบเรียบ แต่ทว่าเมื่อฟังดูแล้วก็ดูจะมีเหตุผล
ไม่น้อย ทำให้พระฤษีทั้ง 3 ถึงกับอึ้งอย่างใช้ความคิดพระฤษีสินธูจึงกล่าวต่ออีกว่า "เรา
ควรจะต้องพิสูจน์กันให้รู้แน่ว่าอะไรคืออะไรกันแน่ "...พระฤษีสุทนเห็นด้วย จึงก้มลงไป
หยิบเอานางกบน้อยขึ้นมาแล้ววางลงตรงหน้า จากนั้นพระฤษีทั้ง 4 ก็นั่งล้อมกันเป็นวง
ช่วยกันเป่ามนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ชุบให้นางกบฟื้นขึ้มาทันที
นางกบน้อยค่อยๆกระดิกกายแล้วก็ฟื้นขึ้มาในที่สุด พระฤษีทั้ง 4 ก็สอบถาม นางกบ
น้อยก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง ตั้งแต่นางนาคอนงค์ลอบเข้ามาคายพิษเอาไว้ในอ่าง
น้ำนมเพื่อที่จะฆ่าพระฤษีทั้ง 4 ให้ตายแต่ด้วยใจของนางกบมีความกตัญญูรู้คุณที่พระฤษี
ได้เลี้ยงตนมานาน จึงได้ตัดสินใจกระโดดลงไปตายเสียเองดีกว่าที่จะทนเห็นพระฤษีทั้ง
4 องค์ต้องมาตาย
เมื่อพระฤษีไดฟังนางกบเล่าก็นึกรู้ได้ทันทีว่านางนาคผู้ที่ได้เที่ยวสมพาสกับงูดินนั่นเอง
ที่มันมีความอายแล้วแทรกแผ่นดินหนีไป มันจึงคิดย้อนกลับมาแก้แค้น และนางกบตัวนี้มัน
ก็แสนที่จะมีน้ำใจอันประเสริฐเลิศล้นและงดงามนักจึงได้ปรึกษาหารือกันและเตรียมของ
ขวัญมอบให้แก่นางกบ โดยช่วยกันหาฟืนในป่าใบไม้กิ่งไม้แห้งนำมาสุมให้เป็นกองโตและ
ช่วยกันติดไฟสุม พระฤษีทั้ง 4 องค์ ก็นั่งหลับตาบรอกรรมพระคาถาอาคม ทำพิธีกันอยู่
พักใหญ่ๆก็เห็นว่าพอจะเข้าขั้นและใช้ได้แล้วจึงลืมตาแล้วหันมาจับตัวเอานางกบน้อยนั้น
โยนเข้าไปในกองไฟเพื่อที่จพชุบนางให้กลายเป็นคน แล้วพระฤษีทั้ง 4 ก็หลับตาภาวนา
ต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและมานะพยายามที่จะต้องทำพิธีนี้ให้สำเร็จ
เวลาล่วงเลยไปไม่นานนักดินฟ้าอากาศที่แจ่มใสในยามเช้า ก็กลับกลายเป็นมืดมิด
เหมือนประหนึ่งว่าจะมีเหตุอาเภทอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง พระพายก็พัดกระพือมาอย่างแรง
หมุนคว้างเป็นวงกลมคล้ายกับเป็นลมบ้าหมูไม่มีผิด หมุนติ้วอยู่บริเวณกลางกองไฟแห่ง
เดียว อีกไม่นานนักก็มีกลุ่มควันสีขาวปนด้วยสีเทาจางๆหมุนคว้างขึ้นมาตามแรงของลม
ที่กำลังพัดกระพือและยิ่งหมุนเร็วขึ้นไปในทุกขณะ เมื่อกลุ่มควันจางลง ภาพที่เห็นก็คือ
หญิงรูปงามนางหนึ่งยืนพนมมือสงบนิ่งอยู่กลางกองไฟ ซึ่งบัดนี้ไม่มีฟืนไฟเหลือให้เห็นอีก
เพราะลมได้พัดพาไปจนหมดสิ้นแล้ว พระฤษีทั้ง 4 ค่อยๆลืมตาขึ้นมองนางกบน้อยที่บัดนี้
ได้กลายเป็นหญิงรูปงาม นางเยื้องกรายเข้ามาก้มกราบพระฤษีด้วยความเคารพ พระฤษี
ทั้ง 4 ก็ให้พร พร้อมกับช่วยอบรมสั่งสอนต่างๆนาๆแล้วพร้อมใจกันตั้งชื่อให้ว่า นางมณฑก
( เพราะอดีตชาติของนางเป็นกบจึงมีนมโตข้างเดียว ) ชื่อนางมณฑกนี้ต่อมาก็เรียกกัน
ผิดๆ เลยเป็น นางมณโฑ ไปเลย
หลังจากที่ปรนนิบัติพระฤษีไม่นานนัก พระฤษีทั้ง 4 ก็พานางมณฑกขึ้นไปถวายพระ
อิศวร เพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดีต่อไป พระอิศวรท่านก็ทรงรับเอาไว้ แล้วมอบให้เป็นนางกำ
นัลของพระอุมา
ด้วยว่านางมณฑกเป็นผู้ที่มีจิตใจซื่อสัตย์บริสุทธิ์ มีความกตัญญูรู้คุณ ไม่มีนิสัยเจ้า
แง่แสนงอนเหมือนหญิงอื่น นางมณฑกมีความขยันขันแข็ง และยังเอาอกเอาใจประจบเก่ง
พระอุมาจึงรักและถ่ายทอดวิชาให้ สั่งสอนอบรมในด้านเวทมนต์คาถา จนกระทั่งนางมณ
ฑก มีวิชาติดตัวกลายเป็นนางฟ้าผู้ใกล้ชิดกับพระอุมาและพระอิศวรมากที่สุด มีความสุข
อยู่บนสวรรค์เพราะความดีที่ทำเอาไว้นั่นเอง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีอินทสมานโคตร...

พระฤษีองค์นี้เป็นศิษย์แสบของพระฤษีสมมิตร ในจำนวนศิษย์ทั้งหมดก็เห็นว่า มีผู้นี้แหละ
ที่มีนิสัยดื้อรั้น ไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งสอน มีนิสัยที่ชอบเอาแต่ใจเป็นใหญ่ พระอาจารย์จะห้าม
หรือตักเตือนอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง เมื่อลองได้คิดว่าจะทำอะไรแล้วละก็จะต้องทำให้ได้ไม่
สนใจคำต้กเตือนสั่งสอนเป็นคนดื้อรั้นที่จะต้องให้สำเร็จดังที่ตนคิดไว้
วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตรได้ออกไปทำธุระในป่าก็ได้พบกับลูกช้างตัวเล็กๆหลงแม่ จึง
นำเอาลูกช้างนั้นมาเลื้ยงไว้ที่บริเวรอาศรมของท่าน เมื่อพระฤษีทั้งหลายทราบ ก็ไปบอกพระ
อาจารย์ว่า การที่จะเอาลูกช้างมาเลี้ยงนั้นไม่สมควร เพราะว่าวิสัยของช้างนั้นมันเป็นสัตว์ที่
ดุร้าย บางตัวก็ดีบางตัวก็ร้ายดื้อรั้นเช่นเดียวกับพระฤษีบางองค์หรือคนบางคน ขึ้นชื่อว่าสัตว์
ที่ดุร้ายแล้ว ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องทำอันตรายต่อเราผู้เป็นเจ้าของได้เสมอ ดังคำโบ
ราณที่กล่าวเอาไว้ว่า ...ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก...
ยามดีก็จะอยู่ เมื่อยามโกรธก็จะต้องเป็นศัตรูกับเราวันยังค่ำ แล้วในที่สุดมันอาจจะฆ่าเจ้า
ของเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ยากเลย พระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อถูกพระอาจารย์ว่าก็ตอบเลี่ยงๆไป
ว่า การที่เอาลูกช้างมาเลี้ยงไว้ก็เพราะมีใจเมตตาสงสาร ให้มันกินอย่างอุดมสมบูรณ์ดีเสีย
กว่าที่มันจะหากินอยู่ในป่าเสียอีก เพราะมันอาจจะหาอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ
ของมันก็ได้
พระฤษีสมมิตรก็ชักแม่น้ำทั้งห้าขึ้มาชี้แจงอีกว่า พวกเราเป็นแต่เพียงผู้ปฏิบัติ ไม่น่าที่จะ
ต้องเอาบ่วงมาแขวนคอไม่สมควรจะเอาสิ่งผูกพันอันทำให้เป็นกังวล เราจะต้องบำเพ็ญเพียร
ในตบะมากกว่าจะทำกิจอย่างอื่น ไม่เหมือนกับนักเลี้ยงช้างอาชีพหรือที่เรียกกันว่าควานช้าง
เขามีเวลาปฏิบัติเอาใจใส่ในตัวช้างเฝ้าอบรมสั่งสอนฝึกหัดให้ช้างรู้ภาษาแล้วก็จะมีกิริยา
เชื่องและอ่อนโยนได้ตามความต้องการ อีกประการช้างนั้นเป็นสัตว์ที่เกิดในป่าตามธรรมชาติ
ในป่านั้นเต็มไปด้วยอาหารของพวกมัน พวกมันจะไม่อดตายแน่นอนปล่อยให้มันเข้าไปอยู่ใน
ป่าไปอยู่ตามประสาของพวกมันเถิดแล้วจะได้หมดภาระ มีเวลาบำเพ็ญเพียรได้เต็มที่
แต่พระฤษีผู้เป็นศิษย์ก็มิยอมเชื่อฟังคงยังจะเอาชนะกับพระอาจารย์ให้ได้ จึงทำให้พระ
ฤษีสมมิตรหมดอาลัยตายอยากไม่พูดอะไรอีก เดินเลี่ยงไปเสียทางอื่นพระฤษีอินสมานโคตรก็ยังคงเลี้ยงช้างอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งช้างมันเติบโตอย่างเต็มที่ ทำให้มีความต้องการอา
หารมากขึ้น จนกระทั่งพระฤษีหาให้มันไม่ทัน
และแล้วก็ถึงคราวที่จะต้องเกิดเหตุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้วันหนึ่งพระฤษีอินทสมานโคตร
เข้าไปในป่าเพื่อจะได้หาผลไม้นำเอามาเก็บไว้ฉันเองบ้างให้ช้างกินบ้าง จึงต้องเพิ่มจำนวน
ผลไม้ให้มากขึ้น ทั้งภายในป่าบริเวณใกล้ๆอาศรมก็ชักร่อยหรอลงไป จึงต้องเดินทางเข้า
ไปในป่าลึก ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมากแต่ก็ยังหาไม่ได้ตามต้องการจึงใช้ความพยายาม
เที่ยวหาไปเรื่อยๆยังไม่กลับมาอาศรมเป็นเวลาถึง 3 วัน ทางฝ่ายช้างที่พระฤษีเลี้ยงเอาไว้
เมื่อถึงเวลาก็มีอาการกระสับกระส่ายเพราะความหิวที่ไม่มีอาหารและผลไม้กิน ด้วยความ
หิวบวกกับอารมณ์โกรธ เลยเกิดอาการคลุ้มคลั่ง ตรงเข้าทำลายล้างเครื่องใช้ภายในอา
ศรม ของพระฤษีพังพินาศหมดสิ้น มิหนำใจยังรื้ออาศรมเอาลงมาเหยียบย่ำจนไม่มีชิ้นดี
แล้วยืนซึมคอยทีอยู่
ฝ่ายพระฤษีอินทสมานโคตร เมื่อหาผลไม้ได้กับความต้องการแล้ว ก็หอบเอาผลไม้กลับ
มายังอาศรม ยังไม่ทันจะถึงดีเจ้าช้างตัวนั้นกำลังมีความโกรธ พอเห็นพระฤษี มันก็วิ่งรี่เข้า
มาเอางวงจับร่างพระฤษีอินทสมานโคตรฟาดกับต้นไม้ร่างแหลกเหลวตายอย่างน่าอนาถ
แล้วช้างก็วิ่งหนีเข้าป่าไป
ในบรรดาพระฤษีทั้งหลายเมื่อรู้เรื่องจึงรีบพากันมาแจ้งข่าวร้ายให้พระฤษีสมมิตรผู้เป็น
พระอาจารย์ให้ทราบข่าวทันที แล้ทั้งหมดก็พากันไปที่เกิดเหตุ พระฤษีสมมิตรก็สั่งให้บรรดา
พระฤษีผู้เป็นศิษย์หาฟืนเอามาสุมไฟแล้วทำการเผาศพของพระฤษีอินทสมานโคตร แล้วก็
ร่วมกันสวดส่งวิญญาณกันทั้งหมด เมื่อไฟที่เผาศพสงบลงแล้วพระฤษีสมมิตรจึงสั่งสอน
สานุศิษย์ต่อไปว่า...คนโง่เท่านั้นที่ชอบคบกับคนพาล หากคนที่ฉลาดก็ย่อมที่จะหลีกเลี่ยง
ไม่คบกับคนพาล ขึ้นชื่อว่าคนพาลแล้วต่อให้คยกันอย่างสนิทสนมมานานเพียงใด สักวันเขา
ผู้นั้นก็ย่อมจะให้ร้าย( ใส่ร้ายป้ายสี ) ให้ทุกข์ให้โทษ หาความเดือดร้อนมาให้ และมักจะทำ
อันตรายแก่เราได้เสมอไม่วันใดก็วันหนึ่ง สมกับคำที่ว่า คบคนพาล ก็จะพาไปหาผิด คบบัณ
ฑิต ก็จะพาไปหาผล... และเมื่อเราเป็นศิษย์ที่ดีก็ควรจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์มิใช่
จะดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเอง อาจารย์นั้นย่อมจะรู้เหตุการณ์ต่างๆมาก่อนศิษย์ ย่อมจะมีประสบ
การณ์มากกว่าศิษย์ อันคนโง่นั้นเปรียบได้กับพระฤษีอินทสมานโคตรและคนพาลนั้นก็เปรียบ
เช่นช้างนั่นเอง....

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระฤษีทิศาปาโมกข์...

เป็นพระฤษีืั้มีชื่อเสียงโด่งดังอีกท่านหนึ่ง ในสำนักนี้มีศิษย์ที่เข้ามารับการศึกษาและ
บำเพ็ญตบะอยู่เป็นจำนวนถึง 500 คน ไม่ว่าจะเป็นพระราชา เศรษฐีและคนธรรมดา ก็มัก
จะส่งบุตรหลานมาเรียนวิชาอยู่ในสำนักนี้ทั้งนั้นในจำนวนนี้ก็ยังมีศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐีที่มีแต่ความเฉลียวฉลาดได้เดินทางมาศึกษาเป็นคนสุดท้ายของสำนัก
ทิสศาปาโมกข์นี้เขาผู้นี้มีชื่อว่า สัญชีวมานพ เป็นคนที่เอาใจใส่ต่อการศึกษา มีความขยัน
หมั่นเพียร ร่ำเรียนได้เก่งกว่าใครๆ ในที่สุดก็เป็นที่รักของอาจารย์และยังมีกิริยา มารยาท
อ่อนน้อมนิ่มนวลเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ จนกระทั่งพระฤษีทิศาปาโมกข์ถ่ายทอด
วิชาการให้หมดสิ้น เพื่อหวังว่าเมื่อท่านละสังขารไปแล้วก้จะได้ สัญชีวมานพ ผู้นี้เป็นต้ว
แทนสืบต่อไปในภายหน้าอาจารย์จึงสอนเวทมนต์คาถาต่างๆให้เช่น การชุบคนที่ตายไป
แล้วให้ฟิ้นขึ้นมาอีก และในจำนวนศิษย์ทั้ง 500 คนนั้นยังไม่มีใครที่จะได้วิชาแขนง
นี้มาก่อนเลย ดังนั้นสัญชีวมานพจึงได้กลายเป็นหนึ่งของศิษย์ในจำนวนนั้น จึงได้รับการ
แต่งตั้งให้เป็นถึง พระฤษีสัญชีวมุนีมุ่งบำเพ็ญตบะสร้างบารมี อยู่กับพระอาจารย์เรื่อยมา
วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่จะเกิดเหตู พระฤษีสัญชีวมุนีและเพื่อนๆจำนวน 400 องค์ที่อยู่สำ
นักเดียวกันได้พากันเข้าป่าหาผลไม้ และหาฟืนมาเก็บไว้ในยามจำเป็นในขณะที่พากัน
เดินเข้าไปในป่านั้น ก็พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนตายในป่า ตัวมันใหญ่มาก พระฤษีสัญชืว
มุนีคิดขึ้นมาว่าเราจำต้องทดลองวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ ว่าวิชานั้นจะนำเอา
มาใช้ได้ผลหรือไม่ จึงบอกความประสงค์กับเพื่อนที่มาด้วยกันว่าจะทดลองชุบชีวิตเสือ
โคร่งตัวนี้ดูซิว่าจะฟื้นมาได้จริงหรือไม่ เมือตกลงกันเช่นนั้นแล้ว เพื่อนที่มาด้วยกันจึงต้อง
หลบขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ก่อน เนื่องจากกลัวว่า ถ้าหากเสือโคร่งฟื้นขึ้นมาจริงๆจะเกิดอัน
ตรายได้ พระฤษีสัญชีวมุนีมานั่งใกล้ๆเสือโคร่งตัวนั้นแล้วหลับตาบริกรรมคาถาตามที่ได้
เรียนมาจากพระอาจารย์ สักพักเสือโคร่งก็ค่อยๆกระดิกฟื้นขึ้นมา ด้วยความหิวโหยของ
เสือโคร่ง พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นเหยื่ออันโอชะอยู่ตรงหน้า มันไม่ปล่อยให้โอกาวดีผ่านไป ลุก
ขึ้นแล้วกระโจนเข้าตะครุบพระฤษีสัญชีวมุนีทันที ในขณะที่พระฤษีสัญชีวมุนียังคงนั่งนื่ง
หลับตาบรกรรมคาถามิได้มองเห็นเลยว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวแล้วไม่ทันได้ระวังตัว เสือ
โคร่งนั้นมันจึงกินพระฤษีอย่างเอร็ดอร่อยต่อหน้าต่อตาเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสร้างความตก
ตะลึงให้กับเพื่อนพระฤษีเหล่านั้นสุดที่จะอธิบาย
ในที่สุดเสือโคร่งมันกินอาหารจนอิ่มแล้วก็เดินเข้าป่าหายไป บรรดาพระฤษีเมื่อเห็นว่า
ปลอดภัย ก็รีบลงมาจากต้นไม้ แล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบนำข่าวร้ายไปบอกพระอาจารย์
พระอาจารย์เมื่อรู้ข่าวร้ายจากลูกศิษย์ ก็ถึงกับตะลึงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ...น่าเสียดาย น่าเสีย
ดายจริงๆยังไม่ทันอะไรเลยก็ตายเสียแล้ว เสียดายความเก่งกล้าของเขา เสียดายความ
ขยันหมั่นเพียรของเขาเสียดายยังมิได้ให้วิชาป้องกันต้วจึงต้องมาตายโดยรู้เท่ามิถึงการณ์
ท่านทั้งหลายก็จงจำกันเอาไว้าให้ดีเถิดว่า ในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยวิชาที่เรียนมาก็ต้อง
ใช้ให้ถูกกับสถานที่และให้ถูกจังหวะไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้องเกิดภัยร้ายแรงมาถึงตัวเรา
จนได้อย่างที่เห็นที่แหละ...
พระฤษีผู้เป็นอาจารย์สั่งสอนบรรดาศิษย์นี่ก็เป็นอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่งในการช่วย
เหลือผู้อื่นและคบมิตรที่มีความดุร้าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งสิ่งที่เรามีเจตนาดีก็จะได้รับผลตอบ
แทนด้วยภัยอันมหันต์ยากที่จะป้องกัน...

---------------------------------------------------------------------------------------------------------

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 10:48 pm

ที่มาทั้งหมด

นำเสนอข้อมูลโดย...กุหลาบขาว... จากเวบ ชมรมคนรักพ่อแก่

หนังสืออ้างอิง...ตำนานพระฤษีของ อ. ว จีนประดิษฐ์

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 10:55 pm

ข้าน้อยขอคารวะท่าน 3 จอก :grt:

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 11:50 pm

ขอบคุณมากครับคุณบุ๋ม มีความเพียรจริง ๆ ครับ น่ายกย่องมาก หวังว่าจะเป็นที่ถูกใจน้องเอสซี่นะ

และที่สำคัญที่น่ารักมาก คือคุณบุ๋มนำเรื่องราวมาจากไหน ก็บอกไปตามนั้น ไม่ได้รับสมอ้างว่าคิดเองค้นเอง

ขอบคุณอีกครั้งครับ :D

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

จันทร์ 03 ส.ค. 2009 11:51 pm

สุดยอดคับ ขอบคุณคับ

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

อังคาร 04 ส.ค. 2009 12:22 am

เยี่ยมครับ
ขอแสดงความนับถือ :P

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

อังคาร 04 ส.ค. 2009 10:01 am

สุโค่ยมากครับ :grt:

Re: อยากทราบประวัติพระฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ (และพระฤาษีองค์อื่นๆๆ)

อังคาร 04 ส.ค. 2009 11:29 am

:grt: :grt: สุดยอดคับป๋ม ขอบคุณ :grt: :grt:
ตอบกระทู้