นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 19 เม.ย. 2024 8:32 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ก.พ. 2009 3:39 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง) วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวน สะพานขาว)
ตอน ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป


โดยคุณศิษย์กวง

1.jpg


สัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องพบกับสภาวะ ๔ อย่าง คือ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย..”

ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ล้วน “เป็นความทุกข์” เพราะเมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ยังต้องไป “เวียนว่ายตายเกิด” ในภพชาติต่างๆ หาสูญสิ้นไม่....

“การทำบาปด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี แม้จะกระทำในที่ลับไม่มีผู้ใดรู้ ก็ยังมีผู้หนึ่งรู้จนได้ ผู้นั้นคือ....ตนเอง....”

2.jpg



กรุงเทพมหานครย้อนหลังไปประมาณ ๗๐ ปี ชื่อของ “องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง)” อดีตเจ้าอาวาส “วัดสมณานัมบริหาร” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “วัดญวน สะพานขาว” เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์ญวน สังกัดอนัมนิกาย ที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพุทธศาสนา

ความเมตตาของท่านนอกจากการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้นคือ “การอัญเชิญวิญญาณ” และ “การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ” เช่น เทพ เทวดา วิญญาณของนักบวชที่ล่วงลับไปแล้ว ฯลฯ.....
3.jpg



วัดสมณานัมบริหาร..เป็นวัดฝ่าย”อนัมนิกาย..” เดิมชื่อ “วัดเกี๋ยงเพื้อกตื่อ” ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ชาวญวนที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้สร้างขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสมณานัมบริหาร"

029.jpg



อนัม....แปลว่า ญวน หรือเวียดนาม คนที่มีเชื้อสายของประเทศเวียดนามเราเรียกว่าคนญวน หรือคนอนัม ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในเมืองไทยและมีการสร้างวัดขึ้น

เราจึงเรียกวัดเหล่านั้นว่า วัดญวน หรือวัดอนัม ซึ่งคำว่า “อนัม หรือ ญวน หรือ เวียดนาม” จึงเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “อนัมนิกาย” จึงสามารถแปลได้ว่า...

“การถือพระพุทธศาสนาอย่างเมืองญวน”

4.jpg



แต่เนื่องจากพระญวนในประเทศเวียดนามกับพระญวนในประเทศไทยไม่ได้มีการติดต่อกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็ถือคติและธรรมเนียมตามประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้นพระญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงหันมายึดถือตามแนวของพระสงฆ์ไทยในบางเรื่อง เช่นการไม่ฉันข้าวเย็น การครองผ้าสีเหลือง ฯลฯ

026.jpg


ซึ่งลักษณะแบบนี้จะแตกต่างจากพระสงฆ์ในประเทศเวียดนามหรือประเทศจีน คือพระสงฆ์ที่นั่นสามารถฉันข้าวเย็นได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอื่น ๆ เพียงแต่”ข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นและกิจของสงฆ์ที่พึงทำ”ก็ยังคงปฏิบัติตามแบบในประเทศเวียดนามเหมือนเดิม เช่น ประเพณีการทำกงเต็ก หรือการให้ความเคารพและเชื่อถือในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆ

5.jpg


หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยอมรับของลูกศิษย์และคนทั่วไปว่ามีความสามารถในการเชิญวิญญาณ ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองมีความสนใจในเรื่องของจิตและวิญญาณ ท่านจึงได้เริ่มค้นคว้าและทดสอบอยู่หลายปี จนท่านสามารถเชิญวิญญาณลงมาประทับบนร่างทรงได้...

ท่านอธิบายว่าการประทับทรงนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้โดยตรงและเป็นวิธีการแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณได้ชัดเจนกว่าวิธีการในแบบอื่นๆ
6.jpg


“ผลของการเชิญวิญญาณ จะทำให้เราพบว่าวิญญาณนั้นๆ มีสภาพอย่างไรและวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไร...”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐสุด คือ “อริยสัจ ๔” ซึ่งเป็นทางที่ทำให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากมวลทุกข์ ไปสู่จุดหมายปลายทางคือ “พระนิพพาน” คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใน “วัฏฏะสงสาร” อีกต่อไป...

เรื่องของ “การเวียนว่ายตายเกิด” หรือ “การสืบภพชาติ” มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาและก็มีเรื่องจริงให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การระลึกชาติ ฯลฯ

จะว่าไปแล้วถึงเรื่องเหล่านี้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิทานหรือนวนิยายสำหรับใครบางคน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงเชื่อถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง.....

7.jpg


“อาตมาภาพได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยการเรียนรู้จากวิญญาณหรือที่เราเรียกกันว่า “สิ่งไม่มีตัวตน” ซึ่งถ้าเราปฏิบัติให้ถูกวิธีแล้วก็จะได้รับผลที่ปรากฏตามมา ส่วนว่าใครจะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่ความวินิจฉัยของแต่ละคน...”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงมักจะถ่อมตนเสมอว่าท่านเองเป็นเพียงนักปฏิบัติและชอบศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าในลัทธิ..

“มหายานแห่งอนัมนิกาย...”

ท่านได้ใช้หลักที่ว่า...

“เชื่อเป็นแม่บทแห่งความสำเร็จ”

สำหรับเป็นหลักในการปฏิบัติ

และท่านก็เชื่อต่ออีกว่ามนุษย์เราทุกคนล้วนตกอยู่ในอำนาจสามประการคือ “กิเลส กรรม และวิบาก” ด้วยหลักที่ว่าเมื่อชีวิตและร่างกายแตกดับแล้ว จิตวิญญาณย่อมเกิดสืบภพชาติต่อไปอีก อดีตวิญญาณของคนเราต้องมีแน่ ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดที่ว่า “การติดต่อกับวิญญาณ” สามารถกระทำได้
8.jpg



พูดถึงเรื่องของการติดต่อกับวิญญาณหรือที่เราจะเรียกง่ายๆ ว่าการติดต่อกับภูตผีอะไรทำนองนี้ ผมเคยเรียนถามกับท่านพระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร องค์ปัจจุบัน ว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องผีมีจริง แทนคำตอบท่านกลับถามผมว่า..

“โยมต้องถามตัวเองก่อนว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า”

แน่นอนครับคำตอบคือ... “เชื่อ”

การสนทนาจึงดำเนินต่อไปว่า ตามทัศนคติความเชื่อของชาวญวนพื้นฐานโดยทั่วไปเชื่อในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีกรรมที่เราเรียกกันว่า “กงเต็ก”

ท่านว่าพิธีกงเต็กมีมานานเนกาเลแล้ว...ซึ่งผมเองก็คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะคติความเชื่อในพิธีกงเต็กนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการประกอบพิธีอยู่เสมอ นัยว่าเพื่อเป็นเกียรติ เป็นประโยชน์แก่ผู้ถึงแก่กรรม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพิธีกงเต็กเสมอๆทั้งในงานราษฏร์และงานพิธีของหลวง

9.jpg



คำว่า “กงเต็ก” ประกอบด้วยสองคำรวมกันครับ

คือคำว่า “กง” ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน หมายถึง การกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบซึ่งเป็นประโยชน์แทนวิญญานผู้มรณะ

และคำว่า “เต็ก” หมายถึง กุศลกรรมอันเกิดจากกรรมดี

พิธีกงเต็กตาม”ธรรมเนียมของชาวญวน” จะประกอบไปด้วย ๕ ขั้นตอนคือ ชุมนุมเทวดา เชิญวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในโคมจำลอง เปิดมณฑลพิธี สวดแผ่เมตตาและส่งข้ามสะพาน....

และด้วยเหตุที่ว่าพิธีกงเต็ก มี”บทอัญเชิญเทพเจ้าและวิญญาณ” หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการติดต่อกับวิญญาณครับ ความสำเร็จที่ได้จากเคล็ดลับอันนี้จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์นี้ครับ เรื่องมีอยู่ว่า....
10.jpg



ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธีกงเต็กให้แก่ นายฮ้วย แซ่หลือ โดยพิธีเริ่มในเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากได้ดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนต่างๆครบถ้วนแล้ว

ในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทรงโปรดประทานโอกาสให้ดวงวิญญาณของนายฮ้วย แซ่หลือมาสิงสถิตย์ในโคมจำลอง(ที่สถิตของวิญญาณ-ตามพิธีกรรม) เพื่อที่ว่าวิญญาณจะได้ฟังธรรมและรับการแผ่ส่วนบุญกุศลจากบรรดาบุตรของนายฮ้วย....

หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเล่าว่า ในขณะนั้นเกิดนิมิตเห็นแสงสว่างขนาดเท่าไฟฉายส่องแสงเป็นลำและพุ่งตรงมาที่ท่าน ซึ่งในลำแสงนั้นท่านสังเกตว่ามีจุดเล็กๆเคลื่อนที่เข้ามายังตัวท่าน และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ จนท่านสังเกตเห็นว่ามันเป็น..

"ภาพของวิญญาณในร่างมนุษย์"

000.jpg



ซึ่งภาพนั้นเป็นร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮงและกางเกงปั่งลิ้นสีดำ ลักษณะของร่างกายผอมและหลังค่อมเล็กน้อย เมื่อดวงวิญญาณนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่านสักพักก็หายไป ด้วยความประหลาดใจท่านจึงนำเอาลักษณะของชายชราคนนี้ไปถามกับบรรดาลูกๆของผู้ตาย คำตอบที่ได้รับคือชายคนนั้นคือ “...นายฮ้วย แซ่หลือ...” นั่นเอง....

หลวงพ่อเล่าว่า ขณะที่ท่านคิดว่าจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อใช้เป็นคติสอนคน..

ท่านได้เกิดความวิตกว่ายังมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในเรื่องหล่านี้ ดูได้จากปัญหาข้อถกเถียงในเรื่องของ “การเข้าทรง” ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ....เชื่อถือได้ขนาดไหน

031.jpg



ครับ...ท่ามกลางมรสุมของความเคลือบแคลงว่า “เชื่อได้หรือไม่” ในที่สุดหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านได้ตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนประสบการณ์ทางวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่

ท่านกล่าวด้วยความมั่นใจว่า.....ท่านไม่กลัวเรื่องที่ว่าคนจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพระงมงายไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องที่ท่านทำมันไม่ใช่การทำลาย แต่มันเป็นเรื่องของการทำประโยชน์ และที่สำคัญมันเป็นการเผยแพร่ในเรื่องของจิต วิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนบาปบุญคุณโทษ...

11.jpg



“อาตมาเผยแพร่ด้วยความสุจริตใจ ด้วยศีลของพระพุทธองค์ ด้วยสัจจะของพระภิกษุ ถ้าจะมีผู้กล่าวหาว่าอาตมาทำเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเอง อาตมาขอเจริญพรเสียก่อนในที่นี้ว่า

อาตมามีบารมีของตัวเองมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกให้เกิดมลทินแก่ตัวเอง บารมีที่ว่านี้คือบารมีขององค์พระพุทธเจ้าที่อาตมาได้อาศัยอยู่ในขณะนี้....”

“การสละตัวเข้าเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า และประพฤติตามธรรมของพระองค์ เท่านี้ก็เป็นบารมีที่น่าภูมิใจมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาบารมีอะไรอีกแล้วสำหรับอาตมา...”


12.jpg



ความกล้าหาญของหลวงพ่อบ๋าวเอิงในการเลือกที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของคนหลายคน ทำให้เรื่องราวที่เป็นเหมือนนวนิยายกลายเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาอีกยาวนาน...

ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๑ หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้รับนิมนต์จากคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อกวนอู ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปประกอบพิธี”เทวาภิเษกเบิกพระรัศมี เจ้าพ่อกวนอู” โดยมีการตกลงกันว่าหลวงพ่อแค่เพียงแต่ประกอบพิธีทางศาสนาให้ครบถ้วนและถูกต้องตามวิธีการเท่านั้น

13.jpg



ส่วนเรื่องของการเชิญเจ้าพ่อกวนอูเพื่อให้มาประทับทรงลุยไฟเป็นเรื่องของศาลเจ้า โดยท่านให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ มันเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกวนอูเองว่าจะกระทำได้หรือไม่ และถ้าวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ท่านก็จะดลบันดาลลงประทับทรงลุยไฟเอง...

แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสร็จพิธีของท่าน คณะกรรมการศาลเจ้าได้ขอร้องไม่ให้ท่านกลับ และขอร้องให้ท่านเชิญวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูด้วย

เนื่องจากการจัดงานครั้งนี้คณะกรรมการได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ลงไปมาก จึงอยากขอชมเป็นบุญตาว่าความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเทพเจ้าทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะเจ้าพ่อกวนอูนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริง...

14.jpg



เรื่องนี้จบลงตรงที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนิมนต์ครั้งนี้ได้ ท่านว่ามันเป็นลักษณะของการเสี่ยง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีความคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในทางเชิญวิญญาณเจ้าพ่อเจ้าแม่ลุยไฟเลย ครั้นถึงเวลาลุยไฟจริงๆ ท่านว่าแทบจะเป็นลมเพราะนึกว่าถ่านที่นำมาใช้ในพิธีลุยไฟจะใช่แต่เพียงถังสองถัง แต่นี่กลับมีมากถึงหลายเล่มเกวียน...

15.jpg



“ข้าพเจ้าตกตลึงและจิตใจเต้นเป็นตีกลอง เหงื่อกาฬไหลทันที ไม่สามารถจะนำมาบอกเล่าได้อย่างไรถูก ยืนงงอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ผู้คนก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนต่อไหนเต็มลานไปหมด มองดูแล้วใจหาย....”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงเล่าว่า...ท่านจุดธูปสวดมนต์ภาวนาตั้งเป็นหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าพ่อกวนอูจะเสด็จลงมาประทับทรงสักที และเมื่อหันกลับไปมองดูคนที่เข้ามาร่วมพิธี ท่านว่าถ้าแทรกแผ่นดินได้ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลย...

อีกอย่างถ้าเจ้าพ่อกวนอูไม่ยอมเสด็จลงมาลุยไฟเห็นทีจะต้องกราบถวายวัดและคืนตำแหน่งสมภาร คิดไปคิดมาท่านก็คิดถึงพระคาถาอัญเชิญวิญญาณในพิธีกงเต็ก..

ท่านว่าพระคาถานี้มีเพียง ๑๔ คำและสำหรับพระญวนแล้วนับว่าเป็นหญ้าปากคอกเลยทีเดียว ท่านจึงสั่งให้พระที่มาด้วยสวดขึ้น ขณะที่ตัวท่านได้ถือธูปสำรวมจิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อกวนอู...

16.jpg



“ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ ขอให้เข้าประทับร่างทรงคนหนึ่งคนใดลุยไฟให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาประชาชนในกาลบัดนี้เถิด....”

สรุปรวบรัดว่าหลวงพ่อบ๋าวเองสามารถอัญเชิญวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูให้ประทับทรงและลุยไฟได้สำเร็จ แต่ท่านว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นยังไม่ได้ทำให้ท่านมั่นใจ เพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบบังเอิญชั่วครั้งชั่วคราว

ดังนั้นเมื่อท่านกลับมาถึงวัดท่านจึงได้จัดการบวงสรวงบูชาเจ้าพ่อกวนอูที่ศาลภายในวัดสมณานัมบริหาร และเมื่อท่านทำพิธีเชิญ ผลที่ได้รับคือท่านสามารถอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูได้จริง...ครับเล่าลือกันว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ปากน้ำโพ

“ถนนทุกสายล้วนมุ่งตรงสู่วัดญวน”

17.jpg



จะว่าไปแล้วปัญหาที่ว่า “วิญญาณมีจริงหรือไม่” ได้เป็นข้อถกเถียงกันมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว..

การถกเถียงกันนี้เราสามารถแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อว่าวิญญาณมีจริง ปัญหาที่ตามมาจึงไม่เกิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งสิครับไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง แน่นอนมีปัญหาข้างเคียงเหมือนเงาตามตัว

ตามความคิดของผม ผมเชื่อว่าวิญญาณมีจริง เพียงแต่การที่เราจะค้นคว้าหาความรู้และความจริงในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากความสามารถของมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา เพราะอะไรหรือครับ ตอบง่ายมาก....

“เพราะวิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ”

ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาจับในเรื่องของวิญญาณ(ตามที่เห็นในรายการโทรทัศน์) มันก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นวิญญาณหรือได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจน ดังนั้น...

“วิญญาณจึงเป็นสิ่งเร้นลับแก่มนุษย์ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้...”

จะว่าไปแล้วพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศานา ได้กล่าวรับรองความจริงในเรื่องของวิญญาณไว้...

แต่ก็สอนให้เราไม่ยึดถือในเรื่องดังกล่าวเพราะเรื่องของวิญญาณเป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์ต้องติดตรึงอยู่ในสงสารวัฏ....

18.jpg



ว่ากันว่า “เมื่อรูปร่างกายดับ ชีวิตดับ จิตวิญญาณนั้นจะต้องไปสร้างภพใหม่ หาร่างใหม่ตามกำลังบุญและบาปที่ได้กระทำไว้….”

พูดถึงเรื่อง”วิญญาณ” คำว่าวิญญาณเป็นภาษามคธ แปลว่า “รู้แจ้งหรือรู้ชัดและมีอยู่ในคนหรือสัตว์ทั่วไป” จัดเป็นนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เทวดา ผีสางนางไม้ ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณครองและมีลักษณะที่เรียกว่า “เกิดและดับ..”

และเมื่อเราพูดถึงวิญญาณ ก็คงต้องพูดถึงเรื่องจิตด้วยครับ เพราะคำสองคำนี้ใช้ผสมผสานปนเปกันไปหมด บางคนก็ว่าจิตกับวิญญาณคือคำๆเดียวกัน บางคนก็ว่าจิตและวิญญาณ ความหมายหรือนัยยะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเองก็ภูมิความรู้ต่ำไม่สามารถอธิบายได้ คงต้องรอผู้ที่รู้มาให้คำจำกัดความที่ชัดเจนน่าจะเหมาะสมกว่าครับ..

แต่อย่างไรก็ตามผมเคยอ่านบทความหนึ่ง เขียนไว้ว่า

“จิตเปรียบเหมือนน้ำ” และ

“วิญญาณเปรียบเหมือนคลื่น”

คลื่นเกิดจากอำนาจลมและอากาศ เกิดขึ้นแล้วยุบดับลง ไปเกิดเป็นคลื่นลูกใหม่ แล้วก็ดับไปอีก นัยยะนี้วิญญาณก็เช่นกัน เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเกิดกับอารมณ์ก็จะดับไปพร้อมอารมณ์ แต่จิต.....จิตเป็นตัวยืน เปรียบเหมือนกับน้ำที่ยืนทรงตัวเป็นแดนเกิดของลูกคลื่น...ฉะนี้แล.....

19.jpg



ผมได้สอบถามจากลูกศิษย์เก่าๆของหลวงพ่อบ๋าวเอิง เขาว่าหลวงพ่อท่านเก่งมากในเรื่องสมาธิจิต สามารถอัญเชิญวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วให้มาเข้าทรงได้ พิธีกรรมในการอัญเชิญ หลวงพ่อจะให้ญาติพี่น้องของผู้ถึงแก่กรรมเข้ามาร่วมพิธีหลายๆคน ยิ่งมากยิ่งดี

ท่านว่าหนึ่งคือเหมือนเป็นพยาน

สองคือเมื่อวิญญาณมาถึงจะสามารถหาร่างที่ลงได้อย่างเหมาะสม....

แน่นอนครับว่าไม่ผิดหวังเพราะมีการลงทรงทุกครั้งที่เชิญ คนที่วิญญาณลงในร่างจะมีความรู้สึกวูบวาบและดำดิ่ง ซึ่งหลวงพ่อบ๋าวเอิงบอกว่าหากวิญญาณได้ลงครบอาการทั้งสามสิบสอง นั่นแหละคือการลงทรงที่สมบูรณ์..

นอกจากการอัญเชิญวิญญาณลงร่างแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อคือการอัญเชิญให้วิญญาณมาปรากฏเป็นรูปร่างบนนิ้วหัวแม่มือ...

สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากคือ"อำนาจจิตและบารมี"ของท่านที่มีมาก จนทำให้ท่านสามารถที่จะจิ้มให้ภาพนี้ปรากฏขึ้นที่นิ้วมือของใครก็ได้ พูดง่ายๆ คือ

"จิ้มตรงไหนขึ้นตรงนั้น.."ทำนองนี้ครับ

030.jpg



การอัญเชิญวิญญาณให้มาปรากฏบนนิ้วมือนั้นได้ก่อให้เกิดเรื่องสำคัญของวงการแพทย์ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนๆบางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเรื่องนี้โดยแท้จริงแล้ว..

ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้แหละ.....คือจุดกำเนิด....



20.jpg



เป็นที่ทราบกันดีครับว่า “ชีวกโกมารภัจจ์” คือนายแพทย์ที่รักษาพระพุทธเจ้า ในอดีตเรามักจะลืมเลือนและไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับท่านนัก เรื่องราวของท่านจึงค่อนข้างถูกกลืนหายไปจากความทรงจำ...

อยากให้เพื่อนๆลองตั้งคำถามกับตัวเองดูครับ..

”เคยเห็นรูปของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ไหมครับ”...

แน่นอนอีกเช่นกันรอยยิ้มริมมุมปากแทนคำตอบว่าเคยเห็น.....แต่รูปนี้มีที่มาที่ไปครับ

a.jpg



รูปนี้และรูปหล่อนี้เกิดจากการที่หลวงพ่อบ๋าวเอิง อัญเชิญให้มาปรากฏบนนิ้วมือเพราะท่านต้องการปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ไว้สำหรับเคารพบูชาในฐานะที่ตัวหลวงพ่อเองท่านเป็นพระที่รักษาโรคแก่คนทั่วไปด้วย..

ท่านเล่าว่าได้ติดต่อช่างปั้นคนหนึ่งชื่อว่า “นายโชติ สโมสร” ขณะนั้นนายโชติกำลังรับปั้นรูปหล่อหลวงพ่อคง ของสำนักท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี

21.jpg



นายโชติได้ตกลงรับงานนี้และได้นำดินน้ำมันมาลองปั้นโดยหะแรกเข้าใจว่าท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นชาวจีน เพราะเห็นว่าหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเป็นคนญวน รูปปั้นจึงน่าจะออกมาในลักษณะแบบนั้น และด้วยเหตุผลที่เกิดจากการคิดไปเอง นายโชติจึงได้ปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ออกมาเป็นหน้าตาแบบคนจีน

เมื่อทราบว่าตนเองปั้นผิดเพราะท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพราหมณ์ หน้าตาต้องเป็นแบบอินเดีย ครั้นจะเริ่มใหม่...ก็เกิดปัญหา...คือนายโชติจินตนาการไม่ออก

หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงตัดสินใจที่จะอัญเชิญท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์มาปรากฏบนนิ้วมือของท่านเพื่อให้นายโชติได้เห็นอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น นายโชติได้บันทึกไว้ดังนี้ครับ...

“ผมได้ชวนคุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ มาเป็นเพื่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อมาถึงวัดหลวงพ่อได้ให้พวกผมขึ้นไปบนกุฎิพร้อมกับท่าน หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกินและแปลกกว่าความคาดหมายของผม..

หลวงพ่อได้จุดธูปและปักตามที่บูชาต่างๆในกุฏิ จากนั้นท่านได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย...

027.jpg



หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุดแล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้าก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาวและจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้นๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...

หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น..

ผมใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วยก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ....”

22.jpg



เชื่อกันว่ารูปท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่ถือกำเนิดจากฝีมือของนายโชติ สโมสร และอำนาจพลังจิตของหลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็น...

”รูปหมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ปรากฏเป็นลักษณะองค์จริงครั้งแรกของโลก...”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า

“บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์...”

พ่นมาขนาดนี้ เชื่อว่าเพื่อนๆคงจะคุ้นกับคำว่า “บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์”เป็นอย่างดี...

ดังนั้นจงอย่าแปลกใจเลยครับที่ทุกวันนี้จะมีชาวต่างชาติที่ให้ความเคารพท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์แวะเวียนเข้ามากราบไหว้ สักการะ ขอพรกับรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้เสมอๆ

23.jpg



ปัจจุบันหลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้มรณภาพไปนานหลายปีแล้วครับ สรีระของท่านถูกฝังไว้ในวิหารโดยมีรูปหล่อเหมือนเท่าองค์จริงของท่านตั้งทับเอาไว้...

เพื่อนๆ ท่านใดใคร่เข้าไปขอพรจากท่านก็เชิญได้เลยครับ แล้วท่านอาจจะพบกับคำว่า "ความศักดิ์สิทธิ์มีจริง.."

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ..ท่านได้ทุ่มเทกับเรื่องราวของจิต วิญญาณและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือและมีการพิมพ์เผยแพร่แจกเป็นวิทยาทาน โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนอ่านเข้าใจในเรื่องพวกนี้และเชื่อมั่นในเรื่องของ"บาปบุญคุณโทษ..."

24.jpg



“พูดถึงเรื่องการทำบุญ จะเอาบุญมาล้างบาปเห็นเป็นไม่ได้ ทำกรรมใดกรรมนั้นก็ติดตัวไป ใช้หนี้กรรมเรื่อยไป..

การทำบุญทุกครั้งไม่ต้องขอร้องวิงวอนให้ผลบุญสนองอย่างนั้นอย่างนี้ ผลแห่งการสร้างบุญที่ได้สร้างไปในทางใดก็ให้ผลในทางนั้น....

และจุดมุ่งหมายหรือทางที่บุญจะให้ผลดีที่สุดคือพระนิพพาน ไม่มีการเกิดมาใช้หนี้กรรมอีกต่อไป....”

aa.jpg



ครับ...หากเพื่อนๆ เชื่อว่า"ชาตินี้มีจริง"ก็คงจะไม่ปฏิเสธและเชื่อว่า"ชาติหน้าก็มีจริง"เช่นกัน....

ชาวพุทธมีความเชื่อว่าหากได้ปฏิบัติตามพระธรรม จะทำให้บุคคลผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบางทีอาจสามารถก้าวเข้าไปสู่สภาวะอันสูงสุดคือ “นิพพาน”

การที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิญญาณอย่างถ่องแท้ถือว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราควรศึกษาและรับทราบไว้บ้าง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะตามคติชาวพุทธเชื่อมั่นว่า...

“การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญเป็นอันมาก สามารถที่จะกระทำความดีได้ตลอดเวลา”

ว่ากันว่า.."อานิสงส์ของการทำความดีมีมาก" ..เพราะ

“ความดีถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองตัวเรา”

ดังนั้นพวกเราจึงควรรีบปฏิบัติธรรมและสร้างสมบุญกุศลไว้เป็นเครื่องประดับวิญญาณของตัวเรา เพราะความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป....สวัสดีครับ

25.jpg



ขอกราบขอบพระคุณ พระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร หลวงพี่จักรพันธุ์(เถี่ยนเหว่) ที่เมตตาให้ข้อมูลและคำแนะนำ / คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำที่มีประโยชน์ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจทีมีให้เสมอครับ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ก.พ. 2009 4:11 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณสำหรับผู้เขียน และขอบคุณสำหรับผู้ลากมาด้วยครับ :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ก.พ. 2009 4:26 pm 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ขอบคุณเช่นกันครับ

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 05 ก.พ. 2009 8:02 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
เยี่ยมยอดครับ.ขอบคุณครับที่นำเรื่องราวดีดีแบบนี้มาให้อ่านกัน

มีรูปเล็กๆอยู่ 1 รูปในบทความ ที่มีพระภิกษุจีน 2 รูปอยู่ซ้ายขวา พระภิกษุไทย 1 รูป
อยากถามว่าพระภิกษุไทยรูปนั้นคือหลวงพ่อโอภาสีหรือไม่ครับ :)
ถือว่าเป็นรูปที่หาดูได้ยากมากครับ

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 1:42 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
ขอบคุณเด็กลึกลับ ที่กรุณาเข้าไปลากเรื่องนี้
ขอบคุณท่านรณธรรม สำหรับคำแนะนำและการให้คำอธิบายกับเรื่องที่ไม่เข้าใจ
สำหรับคำถามของคุณอาร์ต ตามรูปนี้..
19.jpg


ซ้ายมือ เป็นพระจีนครับ ตามข้อมูลทราบว่าท่านเก่งพอตัวและอยู่วัดจีนแห่งหนึ่ง ในละแวกนั้น(ใกล้วัดญวน)
ต้องขออภัยเพราะไม่ทราบว่าวัดไหนจริงๆ
องค์กลาง คือหลวงพ่อโอภาสีครับ
องค์ขวามือ คือท่านหลวงพ่อบ่าวเอิงครับ
:P
พรุ่งนี้(๖ ก.พ.) ที่วัดญวนได้จัดงานพิธีสวดนพเคราะห์ ตามความเชื่อในเรื่องของศาสตร์แบบญวน
กำหนดงานจะเริ่มสวดเวลาประมาณ สองทุ่ม แต่ในช่วงเช้าจะมีพิธีเทกระจาดและพิธีกรรมบางอย่าง
จึงขอเรียนเชิญ เพื่อนๆ ที่มีปีเกิดที่เรียกว่า ปีชง อะไรแบบนี้ หรือต้องการเสริมสิริมงคลให้กับตัว
ในงานนี้จะมีการแจกฮู้ให้กับผู้เข้าร่วมในพิธี ความสำคัญอยู่ที่ว่า "ฮู้" นี้จัดทำขึ้นแบบปีต่อปี
ผู้ที่ประสงค์จะเข้าร่วมในพิธี ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรไปครับ เพียงขอให้ใส่ชุดขาวไปอย่างเดียว
พิธีกรรมของวัดญวน ได้ชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการยอมรับมานานแล้วครับ
วัดญวน อยู่ฝั่งตรงข้ามสนามม้านางเลิ้งครับ หรือจะเข้าทางด้านตลาดโบ้เบ้ ก็ได้ครับ :P


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 6:54 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
เมื่อวานหลังจากอ่านแล้ววันนี้เวลาเที่ยงวันโดยประมาณข้าพเจ้าก็ถึงหน้าวัดโดยปริยาย

ด้วยความคิดที่จะไปขอผงธูปในกระถางธูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้าขององค์ปฐมท่านหมอ ชีวกโกมารภัจจ์ ยิ่งทราบว่าที่วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของรูปหล่อท่านปู่ ชีวกโกมารภัจจ์ แล้ว จึงจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องไปนำผงธูปของท่านมาผสมในกระถางธูปที่บูชาท่านอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า(เออ..รู้สึกจะกระด้างไปหน่อย :mrgreen: )และเพื่อเป็นการเชื่อมต่อความศักดิ์สิทธิ์อีกนัยหนึ่ง

หลังจากที่กราบไหว้และเดินเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆเป็นที่เรียบร้อย จึงได้เข้าไปพูดคุยกับหลวงปู่(เจ้าอาวาส)พอสังเขป และได้บอกกับท่านว่าจะขอผงธูปไปบูชาที่บ้าน หลวงปู่ก็เมตตาอนุญาติและบอกว่าได้ทำถูกต้องแล้วที่มาขออนุญาติกับท่านก่อนแถมยังสัพหยอกกับผมอีกว่า "บางทีคืนนี้โยมอาจจะได้เห็นท่านมานะ" นั่นแน่ :shock: :shock: :shock: (เอ่อ..แล้วผมควรจะดีใจ มั้ยนี่) แต่ถ้าเห็นจริงๆก็ดีสิครับจะได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ซะเลย(ประโยคนี้ผมพูดเสียงเบาๆในลำคอนะครับ)

หลวงปู่(เจ้าอาวาส)บอกว่า วันนี้ช่วงบ่ายจะมีพิธีพะเก็ง คือ ลงชื่อ วัน เดือน ปีเกิดของผู้เข้าร่วมพิธี เพื่อเสริมดวงเป็นสิริมงคล สะเดาะเคราะห์ โดยเฉพาะคนที่เกิดปีชงสมควรอย่างยิ่งในการเข้าร่วมพิธี เคราะห์ใหญ่ก็จะกลายเป็นเล็ก เคราะห์เล็กก็จะหมดไป ส่วนในช่วงเย็นหรือหัวค่ำก็มีพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ และในพระอุโบสถก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานแล้ว ยังมีพระพรหมประดิษฐานอยู่หน้าพระประธานด้วยซึ่งหาดูที่อื่นไม่ได้แน่และพระพรหมองค์มีประวัติที่ไม่ธรรมดาแน่ครับถึงได้ประดิษฐานอยู่ที่นั่น ซึ่งคงต้องรบกวนให้อ.ต่อ มาอธิบายเองจะดีกว่า ซึ่งผมเองก็จะได้รับความรู้ไปด้วย :D ส่วนทางด้านซ้ายมือของเราที่หันหน้าให้พระประธาน คือ รูปหล่อองค์ปฐมของบรมครู หมอชีวกโกมารภัจจ์ ทางด้านขวามือก็เป็น พระมหาโพธิสัตว์ กวมอิม

ก็เอาเป็นว่ารายละเอียดต่างๆนั้นบทความด้านบนก็ได้ลงไปพอสังเขปแล้วส่วนเรื่องพระพรหมในโบสถ์นั้นก็คงต้องให้อ.ต่อมาอธิบายให้ด้วยครับ :D

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 7:00 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
เยี่ยมยอดทั้งนั้เลยครับ มิเสียแรงเป็นแฟนพันธุ์แท้ :mrgreen:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 7:27 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
มีภาพพระพรหมในโบสถ์มาให้ดูกัน อุโบสถที่วัดนี้ไม่ได้เข้าไปดูง่ายๆนะครับ เพราะว่าใน1ปีเปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้ไม่กี่ครับเองครับ :)
CIMG3209.jpg


CIMG3209.jpg


พระพรหมองค์นี้แหละครับ
CIMG3212.jpg


CIMG3211.jpg


CIMG3213.jpg


ไม่ธรรมดาครับ
CIMG3208.jpg


เข้าใจว่าช่วงนี้พระอุโบสถยังเปิดให้เข้าไปกราบไหว้สักการะไปถึงวันมาฆบูชา ถ้ามีเวลาก็เชิญนะครับ :D
แล้วจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่ธรรมดา อะเฮ้อ...ไม่ธรรมดา ;)

_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 7:46 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 18 ต.ค. 2008 1:59 am
โพสต์: 265
อาร์ต เขียน:
มีภาพพระพรหมในโบสถ์มาให้ดูกัน อุโบสถที่วัดนี้ไม่ได้เข้าไปดูง่ายๆนะครับ เพราะว่าใน1ปีเปิดให้ประชาชนเข้าไปกราบไหว้ไม่กี่ครับเองครับ :)
CIMG3209.jpg

CIMG3209.jpg

พระพรหมองค์นี้แหละครับ
CIMG3212.jpg

CIMG3211.jpg

CIMG3213.jpg

ไม่ธรรมดาครับ
CIMG3208.jpg

เข้าใจว่าช่วงนี้พระอุโบสถยังเปิดให้เข้าไปกราบไหว้สักการะไปถึงวันมาฆบูชา ถ้ามีเวลาก็เชิญนะครับ :D
แล้วจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่ธรรมดา อะเฮ้อ...ไม่ธรรมดา ;)



ยืนยันตามพี่อาร์ตครับว่าภายในไม่ธรรมดาจริงๆ และงดงามมากครับ

ภายในนอกจากองค์พระประธานแล้วยังมี พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกวมอิม, พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์, พระพรหม, ท่านพ่อหมอ
ชีวกโกมารภัจจ์, รูปเหมือนองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 06 ก.พ. 2009 10:57 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร 18 พ.ย. 2008 12:42 pm
โพสต์: 144
ขอบคุณ สำหรับความรู้ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ที่กรุณานำมาเผยแพร่ ซึ่งนานมากแล้วที่ไม่ค่อยพบ

สำหรับรูปนี้เล็ก ที่มีรูปท่านและ หลวงพ่อโอภาสี ผมเคยเห็น 2 ครั้ง ครั้งแรก ที่มูลนิธิอุบลรังสี เจ้าแม่กวนอิม ตรงพุทธมณฑลสาย 4
และอีกครั้งที่เพื่อนรุ่นน้องนำมาให้ดู เนื่องจากผมบอกว่าอยากเห็นรูปหลวงพ่อโอภาสี เก่า ๆ หน่อย สำหรับหลวงพ่อองค์ทีอยู่ข้าง เพื่อนผมบอกว่าเป็นพ่อบุญธรรม ของเขา เนื่องจากท่านกรุณารับเพื่อนผมที่เป็นเด็กกำพร้าเลี้ยง และ เมตตาส่งเสียจนเรียนสำเร็จ ผมเองก็จำชื่อท่านไม่ได้ แต่เพื่อนให้รูปหล่อองค์เล็กของท่านไว้เป็นที่ระลึก 1 องค์ก่อน เขาจะย้ายไปทำกิจการส่วนตัวที่เชียงใหม่ ยังไม่เจอกันอีกเลย

และ ขอขอบคุณ สำหรับข่าวงานวัดญวน วันอาทิตย์นี้จะเข้าไปกราบท่านที่วัด ขอบคุณมากครับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 08 ก.พ. 2009 12:38 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
โมนาด้วยจ้า ได้ข่าวอะไรอย่างไร รบกวนมาเล่าสู่กันฟังบ้างเน้อ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 08 ก.พ. 2009 12:10 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ 18 ต.ค. 2008 1:59 am
โพสต์: 265
ขออนุญาตนำลิงค์จากเวปพลังจิตมาให้ชมกันครับ

http://board.palungjit.com/showthread.php?p=516846


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 08 ก.พ. 2009 11:58 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
เอาพระคาถาบูชา "บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์" ไปก่อนนะครับ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ)

โอม นะโม ชีวะโก สิะระสา อะหัง กะรุณิโก สัพพะสัตตานัง โอสะถะ ทิพพะมันตัง ปะภาโสสุริยาจันทัง โกมาระวัตโตปะกาเสสิ วันทามิ ปัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนาโหมิ ฯ.


พระคาถานี้ต้นฉบับเดิมเป็นของ องสรภาณมธุรส (บ๋าวเอิง) ท่านได้มาจากสมาธิเมื่อครั้งที่ "เทพเจ้าสุวรรณรัตน์" เสด็จลงมาเยี่ยมท่าน บอกว่าเป็นพระคาถาบูชาบรมคุรุแพทย์ชีวกโกมารภัจจ์ และยังใช้เสกน้ำ เสกข้าว เสกอาหารรับประทานเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ผู้ที่ป่วยอยู่เมื่อได้ทำบ่อย ๆ ก็หายได้เร็วไว ผู้ที่ยังไม่ป่วยเมื่อทำบ่อย ๆ ก็มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนนาน ไม่เจ็บป่วยง่าย

ถ้าสวดบูชาองค์ท่าน ก็สวด ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ ถ้าเสกอาหารเป็นยา ก็สวด ๗ จบครับ

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 10 ก.พ. 2009 5:41 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 1:09 pm
โพสต์: 139
:mrgreen: พี่ต่อครับ พระคาถาบูชาพระสิวลี, พระสังกัจจายน์ และพระอุปคุต ที่เคยขอไว้

น้องยังไม่ได้รับทางเมล์เลยขอรับ

ขอความกรุณาทั่นพี่ขึ้นเป็นกระทู้ใหม่เลยได้ไหมครับ เพื่อนๆ ท่านอื่นจะได้อานิสงส์นี้ไปด้วย :ilu:

_________________
ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร อยู่ในภพที่สูงส่งเพียงไร ก็หนีความทุกข์ไม่พ้น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 10 ก.พ. 2009 9:11 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
มารอด้วยคน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ก.พ. 2009 1:09 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
UltraChai เขียน:
:mrgreen: พี่ต่อครับ พระคาถาบูชาพระสิวลี, พระสังกัจจายน์ และพระอุปคุต ที่เคยขอไว้

น้องยังไม่ได้รับทางเมล์เลยขอรับ

ขอความกรุณาทั่นพี่ขึ้นเป็นกระทู้ใหม่เลยได้ไหมครับ เพื่อนๆ ท่านอื่นจะได้อานิสงส์นี้ไปด้วย :ilu:



:o หา .. จริงดิ แต่พี่ส่งไปแล้วนะครับ ใครต่อใครเขาก็ได้รับกันทั้งนั้น นี่เห็นว่าสวดจนมีเงินเป็นสิบล้านกันไปหลายคนแล้วนะนี่ ทำไมน้องยังไม่ได้เล่า

ได้ครับ เดี๋ยวพี่จะขึ้นโพสท์เป็นกระทู้ใหม่เลยนะครับ แหม จัดให้มี "บอร์ด" ใหม่ ว่าด้วยเรื่อง "พระคาถา" ต่าง ๆ ซะเลยดีไหมนี่ ? :lol: :lol: :lol:

(อันนี้ต้องปรึกษาบรรดา "สมาชิก" แล้วให้สมาชิกช่วยกันเรียกร้อง "กดดัน" เจ้าของเว็บเองแล้วล่ะครับ :lol: :lol: :lol: )

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ก.พ. 2009 1:22 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
เห็นด้วยกั๊บ เห็นด้วย :mrgreen:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ก.พ. 2009 1:46 am 
ออฟไลน์
Administrator
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 11:37 am
โพสต์: 6391
ทั้งกด ทั้งดัน จนได้บอร์ดใหม่แล้วครับ :lol:

_________________
089 969 9445 @ anytime
line ID navaraht


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ก.พ. 2009 2:58 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
มาแล้วนะครับ น้องUltraChai น้องพรหมาสตร์ และทุก ๆ ท่าน

forum45/

เราจัดให้คุณแล้ว ไม่ใช่เพียงตั้ง "กระทู้ใหม่" ให้เท่านั้น แต่ถึงขนาดตั้ง "บอร์ดใหม่" ให้เลยตามประสาเจ้าของเว็บใจดีที่ต้องการให้มีการแลกเปลี่ยนทัศนะคติและพระคาถาที่พี่ ๆ น้อง ๆ เคยสวด เคยภาวนาแล้วได้ผลดี ไม่ว่าจะช่วยให้จิตสงบมีสมาธิ มีสติในการทำงานและในการใช้ชีวิตมากขึ้น หรือผ่านพ้นอุปสรรคเลวร้ายมาได้อย่างน่าทึ่ง

ผมเชื่อว่าก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องดี เป็นสิริมงคลทั้งนั้นครับ


เอาเวลามาพูดคำศักดิ์สิทธิ์ ดีกว่ามานั่งพูดคำส่อเสียดนินทากัน ด่าว่ากันนะครับ


เพราะพูดคำมงคลก็เป็นมงคลกับตนเอง พูดคำอัปมงคลก็ย่อมเป็นอัปมงคลกับตนเอง


ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั่วกันครับ :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 11 ก.พ. 2009 8:21 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 29 ก.ย. 2008 12:53 pm
โพสต์: 754
สาธุ สาธุ อนุโมทนาด้วยครับ :D :D

_________________
.........ถ้าเจ้าได้ทุกอย่างอย่างที่คิด
ชั่วชีวิตจะเอาของกองที่ไหน
จะได้บ้างเสียบ้างจะเป็นไร
ช่างหัวใครช่างหัวมันเท่านั้นเอง ..........


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 45 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO