ผู้เข้มขลังน้ำมันกันภัย พระครูวิมลสีลาภรณ์ (ครูบาสุรินทร์ สุรินโท)
วัดหลวงศรีเตี้ย ต.ศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน
โดย รณธรรม ธาราพันธุ์กระบวนวัตถุมงคลที่มีอภินิหารนอกเหนือไปจากคงกระพันกันเขี้ยวงา แคล้วคลาด เมตตา มหาอุด ซึ่งเป็นฤทธิ์ระดับ
‘มาตรฐาน’ นั้นดูจะหาได้ยาก อภินิหารดังกล่าว เช่น เฝ้าบ้านให้เห็นเป็นตัวตน มีเสียงร้องเตือนได้ ฯลฯ เป็นของมีฤทธิ์เกิน
‘มาตรฐาน’ ด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนวิชาเฉพาะในแต่ละสำนัก และต้องเป็นบารมีของแต่ละองค์ที่จะทำได้หรือไม่อีกด้วย
หากของขลังที่
‘ขลัง’ แปลกไปจากหมู่เพื่อนเขาก็มีอยู่ อาทิ
เข็มทองของสำนักวัดหุบมะกล่ำ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ที่เมื่อฝังเข้าสู่ร่างกายแล้วอภินิหารชนิด
‘มาตรฐาน’ ย่อมมีแน่นอน ทว่าที่เหนือกว่านั้นคือสามารถ
‘วิ่ง’ หรือ
‘สั่น’ เพื่อเตือนภัยล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุได้ราว 3-7 วัน
ถ้าเข็มเคลื่อนที่หรือสั่นแล้วเป็นอันมั่นใจได้ว่าภัยกำลังมาถึงตัว หลวงพ่อท่านก็สั่งว่าให้อยู่กับบ้านอย่าไปไหนอย่างน้อย 3 วัน และไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แต่ต้องสมาทานศีล สวดมนต์ เจริญภาวนาให้มาก ๆ เพื่อเคราะห์หนักจะได้กลายเป็นเบา เรื่องร้ายจะกลายเป็นดี
คนที่ฝืนเจอมานักต่อนัก
ผมเองยังโดน ! แหวนแขน ของ หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม ต.บางขุด อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท ก็ใช่ย่อย เมื่อนำมาอาราธนาและสวมแขน วันดีคืนร้ายเกิดแหวนแขนรัดติ้วคับแน่นขึ้นมา หรือมีอาการรัดแล้วคลายเป็นระยะ ๆ ล่ะก็ จงเตรียมตัวให้ดีเถิด ท่านว่าอันตรายใหญ่หลวงกำลังจะเกิดแก่เรา
ส่วน
ตุ๊กแกหลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ หรือ
ตัว พ.พาน ของหลวงปู่เย็น วัดสระเปรียญ แม้จะร้องได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปทางโชคลาภ มหานิยม มิใช่เตือนเพื่อกันภัยแต่อย่างใด
ยังมีอีกหนึ่งสำนักที่ของขลังในท่านขลังจริงอย่างไม่ลังเลจะสรรเสริญ เพราะประสบการณ์ที่ยาวนานและเชื่อถือได้ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงและมีคนเสาะหาวัตถุมงคลของท่านมิใช่น้อย
ท่านชื่อครูบาสุรินทร์ ครูบาสุรินทร์มีชื่อเดิมว่า สุจา เกิดในสกุล เสมอใจ เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2441 ที่บ้านศรีเตี้ย อ.บ้านโฮ่ง จ.ลำพูน ท่านอุปสมบทเมื่ออายุได้ 21 ปี ที่วัดหลวงศรีเตี้ย โดยมี
พระอธิการญาวิไชย สิริวิชโย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์คำ คัมภีโร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์คันธา คันธวังโส เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่อบวชแล้วท่านได้ศึกษาทั้งปริยัติธรรมและการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน โดยได้ออกธุดงค์ร่วมกับ ครูบาพรหมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ครูบาคำ คันธิโย วัดบ้านดง และ ครูบาเฮือน สิริวิชโย วัดสันเจดีย์ริมปิง
กระทั่งท่านบรรลุในศาสตร์ต่าง ๆ เจนจบ ก็ได้รับอาราธนามาเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ยเมื่อปี พ.ศ. 2474 จนถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2532 สิริอายุได้ 91 ปี
ครูบาสุรินทร์นับได้ว่าเป็นผู้แตกฉานในพระเวทย์วิทยาคุณอย่างเอกอุ เครื่องมงคลที่ท่านสร้างขึ้นนั้นล้วนแต่มีอภินิหารแก่ผู้นำไปบูชาอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ ตะกรุด ผ้ายันต์ แต่ที่ถือเป็นสุดยอดของท่านคือ
น้ำมันงาดำ น้ำมันงาดำของหลวงปู่ครูบาสุรินทร์นั้นท่านได้เล่าเรียนมาจากองค์อาจารย์คือ
ท่านครูบาถาวรเถระ ผู้เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ย อันน้ำมันงาดำนี้หากสร้างได้ถูกต้องตามตำรา จะมีอิทธิฤทธิ์นานัปการอย่างที่เรียกว่าฝอยท่วมหลังช้างทีเดียว ใช้ได้ทั้งอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขายดี ทากันและแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกแตกหักก็ทาเพื่อต่อได้ มีบาดแผลแล้วทาก็จะสมานติดกันในเวลาอันรวดเร็ว ผีเข้าเจ้าสิงก็ป้ายเข้าไปผีจะรีบหลีกลี้ในทันใด เป็นโรคกระเพาะให้กลืนกินเข้าไปจะรักษาแผลในกระเพาะและลำไส้ได้อย่างวิเศษ ฯลฯ และเหนืออื่นใดคือ
เดือดได้ ?!เดือดได้จริง ๆ เมื่อผู้ครอบครองนำไปเก็บรักษาไว้ยังที่สูงในตำแหน่งอันสมควร เช่น บนหัวนอน แล้วมีการสวดมนต์ไหว้พระเป็นนิจสิน หากมีภัยถึงตัวหรือจะเกิดอันตรายจาก มนุษย์ อมนุษย์ ภัยธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้าย แม้แต่อันตรายจากโรคภัยไข้เจ็บในตัว น้ำมันงามหาวิเศษนี้ก็จะเกิดอาการเดือดเป็นฟองขึ้นในขวดได้เองอย่างมหัศจรรย์ที่สุด เดือดปุด ๆ ให้เห็นก็มี เป็นฟองขึ้นเองอย่างฟองสบู่ก็มี มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่คน หากไม่ว่าจะเป็นอย่างใดนั้นก็คือให้เตรียมรับมือจงหนัก
คุณทวี เย็นฉ่ำ หรือ
เจดีย์ทอง นักเขียนชื่อดังได้เคยเล่าให้ผมฟังอย่างออกรสถึงวาระหนึ่งที่เดินทางไปกราบศพ
ครูบาพรหมา พรหมจักโก ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ตอนขากลับได้แวะไปนมัสการครูบาสุรินทร์ สุรินโท ถึงวัดหลวงศรีเตี้ย ซึ่งขณะนั้นครูบาสุรินทร์กำลังจะประกอบพิธีหุงน้ำมันงาดำอยู่พอดี
ในวันงานนั้นมีพระเถรานุเถระมาร่วมพุทธาภิเษกมิใช่น้อย ที่แน่ ๆ ก็มี
ครูบาหล้า จันโทภาโส วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อ.ลี้ จ.ลำพูน เป็นต้น
โดยพระเถระนั่งปรกอยู่ในวิหารหลวง มีการตั้งราชวัติ ฉัตร ธง โยงสายสิญจน์ลงมาอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ภายนอกวิหารตั้งกระทะใบบัวขนาดใหญ่ถึง 9 ใบ ทุกใบกำลังเคี่ยวน้ำมันงาดำควันโขมง และรอบบริเวณก็ตั้งราชวัติ ฉัตร ธง เช่นเดียวกัน กั้นสายสิญจน์เป็นปริมณฑลห้ามสตรีเพศเข้าโดยเด็ดขาด
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีธรรมาสน์หนึ่งปูเบาะและผ้ารองนั่งไว้เป็นอย่างดี มีพานวางสายสิญจน์โยงออกมาอย่างเรียบร้อย และตั้งอยู่ในตำแหน่งประธาน คะเนว่าน่าจะจัดเตรียมไว้ให้พระเถระผู้ใหญ่ หากเริ่มพิธีไปโขแล้วก็ยังไม่เห็นมีใครมา
ไม่นานใครหลายคนก็เริ่มสังเกตโดยเฉพาะพวกมีกล้อง ว่ายกกล้องประทับเล็งไปธรรมาสน์นั้นคราวใด มักได้เห็นเงาคนนั่งอยู่บนนั้นบ่อยครั้ง ต่อมาเมื่อเพ่งหนักเข้าคราวนี้ก็เห็นกันด้วยตาเปล่าหลายคนทีเดียว
เงาดำดังกล่าวมีลักษณะที่ชัดเจนว่าศีรษะโล้น ห่มและพาดผ้าอย่างสังฆาฏิ รูปร่างเป็นคนท่าทางอ้วนใหญ่ไม่น้อย จากลักษณะที่พบเดาได้ว่าน่าจะเป็นพระมากกว่าโยม ทุกคนที่เห็นเก็บความอัศจรรย์ใจไว้ไม่อยู่เล่าขานกันปากต่อปากอย่างรวดเร็ว
ขณะที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นก็เกิดเหตุประหลาดที่นอกวิหาร
กระทะน้ำมันงาดำทั้ง 9 ใบ ค่อย ๆ ทยอยระเบิดทีละใบ... ทีละใบ... สร้างความแตกตื่นและฉงนใจให้พระภิกษุและประชาชนที่มาร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง กระทะระเบิดไปเรื่อยจนเหลือใบสุดท้ายทุกคนที่ลุ้นตัวโก่งก็โล่งใจเพราะเหตุประหลาดยุติลงแต่เพียงแค่นั้น กระทะใบสุดท้ายยังอยู่ดีและดำเนินการเคี่ยวพร้อมปลุกเสกไปได้ตลอดรอดฝั่งจนจบพิธีโดยสมบูรณ์
เหตุการณ์ทั้งหมดสร้างความอัศจรรย์และเสียงวิจารณ์อยู่ไม่น้อย ใครหลายคนอดสงสัยไม่ได้จึงกรูเกรียวกันเข้าไปกราบเรียนถามหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ว่าเงาดำที่เห็นคืออะไรและทำไมกระทะจึงระเบิดได้
หลวงปู่ท่านตอบขรึม ๆ ว่า เงาดำที่เห็นนั้นคือครูบาถาวรเถระปฐมเจ้าอาวาสวัดหลวงศรีเตี้ยผู้เป็นเจ้าของวิชาหุงน้ำมันงาดำนี้ และธรรมาสน์อาสนะนั้นท่านก็ได้จัดถวายไว้ให้ครูบาถาวรผู้เป็นบูรพาจารย์ เพราะได้อาราธนาท่านลงมาร่วมพิธีด้วย
ซึ่งท่านก็มาจริง ๆ และที่น้ำมันระเบิดจนเสียหายใช้การไม่ได้นั้น ครูบาถาวรท่านบอกว่า
ท่านเป็นผู้ระเบิดทิ้งเอง เพราะหากทำมากก็จะเป็นการช่วยคนมากเกินไป เพราะคนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีศีลมีธรรม ช่วยเขาแล้วเมื่อเขารอดตัวพ้นภัย เขาก็จะไปทำไม่ดีขึ้นอีก ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม ท่านประสงค์ให้น้ำมันวิเศษนี้สงเคราะห์แก่คนดีมีศีลธรรมเท่านั้น เป็นสุดยอดเหตุผลโดยแท้ เมื่อได้รู้เหตุผลแล้ววัตถุมงคลในพิธีก็ถูกบูชาไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำมันงาดำที่ทำยากเย็นแสนเข็ญที่สุด และถือเป็นเอกลักษณ์ของวัดหลวงศรีเตี้ยกับครูบาสุรินทร์โดยปริยาย
อานุภาพของน้ำมันงาดำนี้คุณทวี เย็นฉ่ำ ได้เคยประสบกับตนเองเมื่อมีพระภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่โรงพยาบาล และคุณทวีได้มอบน้ำมันงาดำนี้ให้ไว้บูชาที่หัวเตียง ปรากฏว่าบูชาไประยะหนึ่งน้ำมันก็เดือดเป็นฟองขึ้น ท่านเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะท่านก็อาพาธอยู่แล้ว อยู่มาไม่นานท่านก็ถึงแก่มรณภาพ
ทหารหาญของไทยรายหนึ่งชื่อ
สิบเอกเจริญ ทิพย์กาญจนกุล เป็นทหารชุดปฏิบัติการที่สมรภูมิร่มเกล้า พิษณุโลก เมื่อปี พ.ศ. 2532 ก่อนไปรบได้มากราบนมัสการครูบาสุรินทร์เพื่อขอพรและบูชาวัตถุมงคลไปหลายอย่างที่ขาดไม่ได้คือน้ำมันงาดำ
ก่อนออกปฏิบัติการ ส.อ.เจริญจะอาราธนาน้ำมันงาดำขอให้ปกป้องคุ้มครองทุกครั้ง จากนั้นก็จะกินเท่าเมล็ดพุทราและทายังจุดต่าง ๆ ในร่างกายตามที่หลวงปู่สั่ง
วันหนึ่งกองกำลังของ ส.อ.เจริญได้ปะทะกับพวกทหารลาวแดงอย่างจัง พวกมันโจมตีด้วยการปาระเบิดสังหารเข้าใส่ ส.อ.เจริญอยู่ใกล้จุดที่ลูกระเบิดตกที่สุดจึงหลบไม่ทัน โดนผลงานลาวแดงเข้าเต็ม ๆ เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายก็รีบทำการสำรวจตัวเองก่อน ปรากฏว่าไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ทำให้ผู้หมู่มีขวัญและกำลังใจเพิ่มขึ้นเป็นกอง นึกเชื่อมั่นในน้ำมันงาดำและครูบาสุรินทร์อีกเป็นเท่าทวีคูณ ครั้นหันไปดูเพื่อนร่วมชะตากรรมก็พบว่าทหารบางนายเสียชีวิตคาที่ด้วยอานุภาพระเบิด หลายคนบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้างทั่วกัน มีแต่ ส.อ.เจริญเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาการบาดเจ็บเลย
ครั้นเหตุการณ์ศึกร่มเกล้าผ่านไป ส.อ.เจริญก็ตรงแน่วมากราบหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ถึงวัดหลวงศรีเตี้ยด้วยความเคารพอย่างที่สุด อะไรที่ว่าดีของหลวงปู่เป็นอันว่าผู้หมู่เก็บหมดด้วยนับถือสุดหัวใจ
อภินิหารของตะกรุดก็มีมาก ที่สร้างชื่อให้ท่านที่สุดเห็นจะเป็น
ตะกรุดโทนและตะกรุดจำปาสี่ต้น ปกติตะกรุดจำปาสี่ต้นวัดไหน ๆ ทางภาคเหนือเขาก็สร้างกันและจะมีสี่ดอกตามอักขระยันต์ที่บังคับไว้ แต่จำปาสี่ต้นของครูบาสุรินทร์จะมี 5 ดอก 4 ดอกแรกจะอยู่รวมเป็นกลุ่มตามแบบดั้งเดิมแต่ดอกที่ 5 นี้จะอยู่เดี่ยวข้างบนสุด
ท่านบอกว่าดอกเดี่ยว ๆ นั้นคือ
‘ตะกรุดพระสิวลี’ เพราะท่านต้องการให้ลูกหลานมิได้มีแต่ความแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยมเพียงอย่างเดียว แต่ท่านต้องการให้มีโชคมีลาภ จะทำงานทำการค้าขายสิ่งใดก็ให้เป็นเงินเป็นทองร่ำรวยทั่วหน้ากัน จึงถือได้ว่าเป็นตะกรุดจำปาสี่ต้นสำนักเดียวที่แตกกิ่งออกมาเป็น
‘จำปาสี่บวกหนึ่ง’ เหรียญรูปเหมือนของท่านดูเหมือนจะมีเพียง 4 รุ่นที่สืบค้นได้เป็นหลักเป็นฐาน แต่
รุ่นที่น่าสนใจที่สุดคงต้องยกให้เหรียญรุ่น 2 เพราะรุ่นนี้มีจำนวนสร้างราว ๆ 3,000 เหรียญเห็นจะได้
และที่สุดยอดเหนืออื่นใดคือครูบาสุรินทร์ท่านใส่ใจกับเหรียญนี้มาก ด้วยการจัดเตรียมบาตรไว้สองใบ ใบหนึ่งใส่เหรียญที่ศิษย์นำมาถวายจนหมด แล้วท่านก็จะหยิบมาทีละเหรียญ เรียกสูตร เรียกนาม ปลุกเสกอักขระเลขยันต์บนเหรียญอันเป็นยันต์ที่ท่านเป็นผู้กำหนดเองไปเรื่อย ๆ
เมื่อเรียกสูตรปลุกเสกเหรียญในมือจนมั่นใจแล้วท่านก็จะวางลงในบาตรอีกใบที่เตรียมไว้ แล้วก็หยิบเหรียญใหม่ขึ้นมาเสกด้วยวิธีการเดียวกันนี้อีก ทีละเหรียญ... ทีละเหรียญ...
จนในที่สุดเหรียญอันสุดท้ายก็จะย้ายจากบาตรหนึ่งไปสู่อีกบาตรหนึ่ง จากนั้นท่านก็จะทำการปลุกเสกรวมอีกคำรบหนึ่งจึงเป็นอันว่าเสร็จพิธี
สุดยอดไหม ?พิถีพิถันปานนี้ ไม่หา ไม่สน ผมก็ไม่รู้จะแนะนำอย่างไรแล้ว ครูบาสุรินทร์เป็นพระภาคเหนือเพียงองค์เดียวในสายตาผม ที่มองว่าท่านเป็นมหาเถระผู้แตกฉานในวิทยาคุณอย่างแท้จริง ท่านเก่งและเคร่งในวิชาอย่างน่าศรัทธายิ่ง
เหรียญทั้ง 4 รุ่นเป็นของที่ยังพอหาได้ แต่ตะกรุดและน้ำมันงาดำเป็นอะไรที่ดูค่อนข้างยาก หากไม่ใช่จากคนที่เชื่อถือได้แล้วล่ะก็ อย่าได้คิดหามาบูชาเลยครับ ผมกลัวท่านผู้อ่านจะไปเจอ
‘ตะกรูด’ กับ
‘น้ำมันกุ๊ก’ เข้าล่ะสิ
หมายเหตุ – ขอขอบ
คุณคุณอาทวี เย็นฉ่ำ และ
คุณสุธันย์ สุนทรเสวี ที่กรุณาเอื้อเฟื้อข้อมูลและวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาสุรินทร์ครับ