นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน พฤหัสฯ. 09 พ.ค. 2024 12:11 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:05 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เด็กลึกลับเล่นเน็ตไปเล่นเน็ตมา เจอกับเว็บไชต์หนึ่งที่ลงประวัติของท่านเซียนสู ไว้เยอะพอสมควร เลยนำมาคัดลอกให้พี่ๆได้อ่านกันฮะ
ข้อมูลจาก http://www.dharma-gateway.com/ubasok/soo/ubasok-soo-history-index-page.htm
soo-04-02.jpg



อาจารย์สู พรหมเชยธีระ เกิดในบ้านตระกูลชื้อ ที่ตำบลโปชั้งเฮี้ยว อำเภอเก็กเอี๊ยว จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เมื่อปีมะแม เดือนสี่ วันที่สิบสองของจีน ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๔๕๐ มีชื่อเดิมว่า สูเชียง แซ่ชื้อ

อาจารย์สู ได้จากบ้านเดิมมาเมื่อยังหนุ่ม เพื่อแสวงหาความรู้ทางธรรมและหมอโบราณตามสำนักเต๋าขงจื๊อและศาสนาพุทธ จากประเทศจีนได้เดินทางต่อมาในอินโดจีน ท่องเที่ยวหาความรู้ไปในประเทศเวียตนามและเขมร สุดท้ายได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่ออายุได้ ๒๑ ปี โดยใช้ชื่อว่า นายเสียง แซ่ชื้อ ได้มาพำนักที่วัดจีนแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมาได้บวชเป็นเณร มีฉายาว่า “เสี่ยงลก” ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสวดมนต์ ภาวนา มานานนักได้ย้ายมาอยู่ที่วัดเซียนฮุดยี่ จังหวัดชลบุรี

เมื่อมาอยู่เมืองไทยได้ ๓ ปี ก็เดินทางไปสิงคโปร์และสึกที่นั่น ท่องเที่ยวอยู่พักหนึ่ง ก็เดินทางกลับประเทศจีน อยู่ได้เดือนกว่า ก็เดินทางกลับมาเมืองไทยอีก โดยมอบสมบัติทั้งหมดให้น้องชายช่วยดูแลแม่ให้ดี เมื่อเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ได้ไปทำงานอยู่กับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่หัวหิน ได้ค่าจ้างเดือนละ ๑๕ บาท พอเก็บเงินได้ ๕๐ บาท ก็เข้าหุ้นกับคนจีนไหหลำคนหนึ่ง ทำขนมปังขาย โดยในขณะเดียวกัน ก็รับจ้างทำงานกับคนขายก๋วยเตี๋ยวไปด้วย ทำงานอยู่หัวหินได้ ๖ – ๗ เดือน ก็มอบกิจการทำขนมปังให้เพื่อนร่วมงานทั้งหมด แล้วเดินทางมาจังหวัดชลบุรี และอยู่ที่นี่ จวบจนบั้นปลายของชีวิต ท่านอาจารย์ได้ประกอบอาชีพทอดปาท่องโก๋และขายขนมปังเป็นอาชีพหลัก ในบางครั้ง ก็เดินทางไปค้าขายตามภาคเหนือ แถวจังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก

เมื่ออายุประมาณ ๓๔ ปี ได้แต่งงานกับ นางสาวสุนันท์ บุญประเวศ มีบุตร-ธิดา ทั้งหมด ๖ คน คือ

๑. นางฉวีวรรณ จงรุ่งเรือง

๒. นายอรรณพ พรหมเชยธีระ

๓. นายอภิชาติ พรหมเชยธีระ

๔. นางกาญจนา ยงศ์สิริกุล

๕. นางสาวมาลินี พรหมเชยธีระ

๖. เด็กหญิงฐิติมา พรหมเชยธีระ

นับแต่ท่านอาจารย์แต่งงาน ก็ได้ภรรยามาช่วยเหลือในการประกอบอาชีพ และแบ่งเบาภาระในบ้าน ทำให้ท่านอาจารย์มีเวลาในการฝึกกัมมัฏฐาน และสงเคราะห์ผู้อื่น นับว่าภรรยาท่านอาจารย์เป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยให้ท่านอาจารย์ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานและบำเพ็ญบารมีตามที่ท่านมุ่งหวัง

เมื่อท่านอาจารย์อายุได้ ๔๑ ปี ได้พบหลวงพ่อเชย และได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์เรียนกัมมัฏฐาน ต่อมาเมื่อท่านอาจารย์อายุได้ราว ๔๔ ปี ก็เริ่มปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างจริงจัง โดยการแยกที่นอนกับภรรยาของท่านอย่างเด็ดขาด เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ ตอนนั้นภรรยาของท่านเพิ่งตั้งครรภ์ลูกคนสุดท้องได้ราว ๓ เดือน ซึ่งจากนั้นท่านอาจารย์ก็แต่งชุดขาวตลอดมา

เมื่อท่านอาจารย์อายุได้ประมาณ ๕๐ ปี หลังจากหลวงพ่อเชยมรณภาพไม่นานนัก ท่านอาจารย์และครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านที่สร้างขึ้นใหม่ในที่ดินที่เช่าจากวัดกำแพง และได้เลิกประกอบอาชีพทำขนมปัง ท่านอาจารย์ได้เริ่มให้การรักษาโรคแก่คนทั่วไปตามแบบตำรายาจีน ซึ่งถ่ายทอดมาจากต้นตระกูลของท่านที่เมืองจีน และท่านได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอีกด้วยตนเอง ท่านอาจารย์จะเขียนตั๋วยาให้ผู้ป่วยแต่ละคนที่มาขอรับการรักษา ไปซื้อยาต้มกินเอาเอง นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังได้สอนธรรมะ และวิธีการปฏิบัติกัมมัฏฐานให้แก่ผู้ที่สนใจมาซักถามทั้งยังให้คำแนะนำช่วยเหลือแก่ผู้ที่มีเรื่องเดือดร้อนมาปรึกษาท่านด้วยวิธีการที่แยบยลไม่ซ้ำแบบใคร นับเป็นที่พึ่งอันเอกอุของลูกๆ และบรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย
soo-06-01.jpg



ในปี ๒๕๑๔ ท่านอาจารย์ได้อุปสมบทตามปณิธานสุดท้ายที่ท่านตั้งไว้ เมื่อเห็นว่าได้ทำหน้าที่ทุกอย่างสมบูรณ์แล้ว และได้ขึ้นไปบำเพ็ญธรรมอยู่บนเขาปากแรด จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อเชยได้บำเพ็ญธรรมอยู่จนมรณภาพ ไม่นานนักท่านอาจารย์ก็ป่วยเป็นมาเลเรียอย่างร้ายแรง ถึงขั้นขึ้นสมองต้องลงมารักษาอยู่ที่บ้าน เมื่อหายดีแล้วก็กลับขึ้นไปอยู่บนเขาอีก ท่านอาจารย์บวชอยู่ได้ ๑ พรรษาก็ต้องสึก เพราะลูก ๆ และบรรดาศิษย์ ช่วยกันอ้อนวอนขอร้อง เนื่องจากเห็นว่าท่านมีอายุมากแล้ว ไม่อยากให้ท่านไปลำบากอยู่คนเดียวและก็กลัวว่าท่านจะกลับเป็นมาเลเรียอีก

ในบั้นปลายของชีวิต ท่านอาจารย์ได้ใช้เวลาอบรมสั่งสอนลูกหลานและศิษย์ทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านได้สงเคราะห์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นด้วยดีเสมอมา โดยไม่ต้องการทั้งชื่อเสียงเกียรติยศและอามิสใด ๆ ท่านปฏิบัติเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอ แม้นกระทั่งในวันสุดท้ายที่ท่านจากไป

ท่านอาจารย์จากไปด้วยอาการอันสงบ อย่างนักปฏิบัติ เมื่อเวลาประมาณ ๒๐.๔๕ น. ในวันอังคารที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ ในขณะที่ท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่หน้ารูปจำลองของหลวงพ่อเชยในบ้านของท่าน นับเป็นการจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนสำหรับลูกหลาน เนื่องจากไม่มีอาการของโรคใดปรากฏเป็นสัญญาณให้ทราบก่อนเลย

อย่างไรก็ดี ท่านอาจารย์ได้เคยสั่งลูก ๆ ของท่านไว้ว่า "เมื่อท่านจากไปก็ขอให้เผาศพของท่านเสียใน ๓ วัน” ทั้งนี้เพื่อไม่ต้องการให้การจากไปของท่านสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด และท่านอาจารย์ยังให้ลูก ๆ จดกลอนบทหนึ่งของท่านไว้สำหรับติดไว้ที่รูปในงานศพของท่านด้วย คือ

ละครปิดฉาก

ลงเรือข้ามฟาก

ที่นี่เรียบเรียบ

ฝากให้รู้ข่าว

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:13 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
คำไว้อาลัยของท่านเจ้าคุณพระโสภณวชิรธรรม
lp-see-nuan.jpg



แด่ท่านอาจารย์สู พรหมเชยธีระ ในการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ข้าพเจ้าขอย้อนกล่าวถึงความเป็นมาในตัวข้าพเจ้าที่ได้มารู้จักกับท่านอาจารย์สู ในครั้งแรกเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ๒๕๐๑ ซึ่งได้มาพบท่านอาจารย์ที่ห้องแถวชั้นเดียว ด้านหลังตึกที่พักของท่านอาจารย์ รู้สึกท่านอาจารย์อยู่ด้วยความสันโดษตลอดมา การมาพบครั้งนั้น เพราะมีลูกศิษย์ของข้าพเจ้าเดือดร้อนเรื่องคนใช้ขโมยของประดับ และได้หายตัวไปด้วย แล้วได้มีแท็กซี่มาแนะนำว่าท่านอาจารย์สูมีความสามารถในการเรียกคน และเรียกของหาย ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะพบและรู้จักกับท่านอาจารย์สู

วันนั้นรู้สึกจะเป็นวันอาทิตย์ มีแขกจากกรุงเทพฯ ไปรอพบท่านอาจารย์มากมาย ข้าพเจ้ารอเป็นคนสุดท้าย แต่ก็มีคนจะมารับท่านอาจารย์ไปกรุงเทพฯ โดยด่วน และไม่ทันที่จะถามอะไรมาก ท่านอาจารย์ได้หันมาทักกับข้าพเจ้าว่า พระคุณท่านมีธุระอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มีธุระอะไร มากับโยม ท่านอาจารย์สูเอ่ยถามขึ้นว่า เป็นองค์พระหรือยัง ทำให้ข้าพเจ้าฉงนใจในคำถาม คำถามเช่นนี้รู้สึกคม จับใจและลึกซึ้งมาก ถ้าผู้ไม่ปฏิบัติธรรมะจะมองไม่เห็นความสำคัญอันนี้ และกินความกว่างขวางครอบจักรวาล ซึ่งข้าพเจ้ากำลังขวนขวาย ศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่อย่างสุดความสามารถ จึงถือว่าท่านอาจารย์สูเป็นเสมือนพระโพธิสัตว์ที่เทพเจ้าส่งมาจากสวรรค์ บอกทางสว่างแห่งสัจจธรรมให้แก่โลกมนุษย์ นอกจากคนที่มีบุญจริง ๆ ถึงจะเข้าใจความหมายแห่งธรรมะของท่านอาจารย์

ในขณะที่คนกำลังยื้อแย่งตัวท่านอาจารย์ให้ขึ้นรถไปกรุงเทพฯ ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ลดละสายตาจากข้าพเจ้าซึ่งไม่มีคำตอบออกไป และเอ่ยถามขึ้นอีกว่า พระคุณท่านพบหน้าตาตัวเองหรือยัง แล้วท่านก็ขึ้นรถไปเลย เป็นปัญหาแห่งสัจธรรมที่บุคคลพึงค้นพบด้วยวิธีภาวนาในขั้นสมาธิแห่งภูมิปัญญาชั้นสูง ทำให้ข้าพเจ้ามีสมาธิเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ จำเอาคำทั้งสองประการนั้นเป็นปฐมโอวาท บอกหนทางแห่งความสว่างของสัจจธรรมในช่วงชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังมีศรัทธาแรงกล้า เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมอย่างไม่ลดละ

จึงเป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้พบพระโพธิสัตว์แห่งโลกสวรรค์ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยจะจารึกความทรงจำอันนี้ออกสู่บุคคลภายนอกมากนัก ทำให้ข้าพเจ้าได้เดินทางมาศึกษาปฏิปทา แนวปฏิบัติธรรมของท่านอาจารย์สูมีความลึกซึ้งละเอียดยิ่งนัก ในปัญหาธรรมที่ท่านอาจารย์พูด ต้องมีปัญญา ความรู้อย่างละเอียด สุขุม และหมั่นปฏิบัติ ศึกษาในปัญหาธรรมะ ด้วยวิริยะอันแรงกล้า อันมีศรัทธามั่นคงในพระพุทธเจ้า ซึ่งสัจจธรรมของพระพุทธองค์เป็นคำสอนอันอมตะ ยากที่บุคคลที่มีความลุ่มหลงจะพึงเข้าใจ และรู้สภาวะ ทั้งไม่รู้สภาวะ อันเป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรม

ข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะยาวนานพอสมควรซึ่งมีความลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ ในครั้งเมื่อปฏิบัติใหม่ ๆ ท่านอาจารย์สูเคยพูดเสมอว่า เมื่อจิตบริสุทธิ์บางครั้งไม่สามารถบันทึกคุณธรรมแห่งปัญญาแม้แต่ตัวเดียว แต่บางครั้งเกิดญาณสมาธิแก่กล้า สามารถรู้ในความแตกฉานในภูมิปัญญา ก็สามารถจารึกบันทึกจิตที่อยู่ในสมาธิ จิตที่เห็นธรรมในสมาธิได้ดีและเขียนได้ยาว เป็นเรื่องเป็นราว น่าอ่านยิ่งนัก เสมือนหนึ่งได้ละจากโลกมนุษย์ไปเป็นปี ซึ่งธรรมะที่ข้าพเจ้าได้ศึกษากับท่านอาจารย์สู นับว่าเป็นภูมิปัญญาชั้นสูง ยังไม่กล้าที่จะยกบันทึกในการปฏิบัติธรรมเป็นวาระ ๆ นับตั้งแต่ปีแรกที่รู้จัก ซึ่งยากมี่จะมาทำเป็นหนังสือ จึงจะขอกล่าวแต่คำขั้นต้นที่ได้กล่าวไว้ที่ได้พบในครั้งแรก และเป็นปัจฉิมแห่งธรรมะในวันอวสานที่จะจากไป

คือวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๒ เวลาเช้า ประมาณ ๙.๐๐ น. อันเป็นวันที่พันตรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร และพระวรชายาจะทรงเสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จตุรงคเจดีย์ ณ วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร ท่านอาจารย์สูได้เดินทางจากชลบุรี มาพบกับข้าพเจ้าในขณะมี่จะมีพระราชพิธีดังกล่าว ท่านได้มอบปรอทสำเร็จเพื่อน้อมเกล้าถวายแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เป็นคู่บารมีอันจะพึงใช้ประโยชน์ มีค่ามหาศาล และท่านอาจารย์ได้พิจารณาเห็นความสำคัญอย่างถี่ถ้วน แต่ละบุคคลที่ได้รับนั้น นับได้ไม่กี่คน และเป็นบุคคลทั้งนั้นที่มีชื่อเสียง จึงจะไม่ขอกล่าวในที่นี้

ข้าพเจ้าขอถอดคำพูดของท่านอาจารย์ในปัจฉิมสุดท้ายแห่งการจากว่า หลวงพี่ ปรอทเม็ดนี้ ขอน้อมเกล้าถวายสมเด็จเจ้าฟ้าชาย เพื่อเป็นคู่บารมี ไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามของผู้ให้ เป็นปรอทเม็ดสุดท้าย จะไม่ทำให้ใครอีก จากนั้นข้าพเจ้าก็รับของที่จะนำทูลเกล้าถวายไว้ในย่าม ข้าพเจ้าพูดกับท่านอาจารย์ว่า รู้สึกดีใจมากที่ท่านอาจารย์ได้มามอบของสำคัญถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้าชาย และข้าพเจ้าพูดว่า อยากจะให้อาจารย์นำรูปภาพหลวงปู่ขึ้นไปประดิษฐานบนบุษบกที่นั่งวิปัสสนาชาวต่างประเทศ เพราะหลวงปู่ท่านเคยบอกว่า รูปใบนี้นอกจากท่านอาจารย์สูคนเดียวเท่านั้น ที่จะอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบกได้ ซึ่งท่านรอท่านอาจารย์สูเป็นคนสุดท้าย ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงคำพูดทั้งสองคำนี้ เพราะเป็นแห่งการเสด็จพระราชดำเนิน ย่อมมีภาระงานมากจึงเผลอสติไปไม่ได้คิดลึกในความหมาย

แล้วท่านอาจารย์ก็ไปสู่ตึกวิปัสสนาชาวต่างประเทศ แล้วปฏิบัติตามพิธีการนำรูปหลวงปู่ไปประดิษฐานแล้วก็ลงมาพูดกับข้าพเจ้าว่าอยากจะสอนธรรมให้ฝรั่งที่มาปฏิบัติธรรม หลวงพี่แปลได้ไหม ข้าพเจ้าบอกว่ามีลูกศิษย์ที่เป็นล่ามพูดกับฝรั่งได้ ท่านพูดว่าธรรมะนี้ไม่เคยพูดกับใครมาก่อน แต่จะลองสอนฝรั่งดู ถ้าเขาปฏิบัติได้ก็นับว่าเขามีบุญ แต่ถ้าเขาปฏิบัติไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ท่านพูดว่า คุณปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติเพื่อเห็นอะไร ปฏิบัติเพื่อรู้ไปทำไม ฝรั่งก็ตอบตามเป็นวาระ ๆ ว่าอยากจะเห็นสัจจธรรม เห็นปัญญาอันจะพึงรู้แจ้งแทงตลอดในคุณธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าก็พอจะจำได้ว่า

ท่านอาจารย์พูดว่า การปฏิบัติธรรมะมีมากมาย แต่ก็มีอยู่วิธีเดียว คือการต่อสู้กับอารมณ์ ด้วยการชนะนอน ชนะตาย ด้วยการฝึกอารมณ์ จนจิตหัดตายเป็น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจในคำพูดของท่านอาจารย์

จึงถามท่านอาจารย์ว่า ชนะตายเป็นอย่างไร ท่านบอกว่า หมายถึง จิตหลุดจากสภาวะการปรุงแต่งอารมณ์ จนเซลล์ในส่วนต่างๆ ของร่างกายหยุด ยิ่งกว่าหยุด แม้แต่ลมหายใจก็หยุดด้วย ท่านยังพูดว่า ท่านเคยหัดตายมาได้ ๒ เดือน ซึ่งธรรมะท่านอาจารย์ได้พูดเป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง และยังฝากถามอาจารย์ของฝรั่งอีกว่า รู้อารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ไม่รู้อารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ทิ้งทั้งรู้และไม่รู้ เห็นอะไร ซึ่งเป็นคำถามทิ้งท้ายแห่งปัจฉิมโอวาทที่ข้าพเจ้าได้รับยากแต่ผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมะ จะเข้าใจในปัญหาแห่งการเรียนจิตสมาธิ นับว่าเป็นภูมิจิตปัญญาชั้นสูง

และท่านยังเน้นกับข้าพเจ้าว่า หลวงพี่เมื่อไหร่จะหยุดสร้าง อยากจะให้หลวงพี่ฝึกจิตให้ถึงขั้นหัดตายได้ ข้าพเจ้าก็บอกว่า จะพยายามทำจนถึงที่สุด เมื่อเป็นความประสงค์ของท่านอาจารย์ จากนั้นท่านอาจารย์ก็ลากลับชลบุรี ส่วนข้าพเจ้าในวันรุ่งขึ้นก็ได้ขึ้นไปลำพูน เนื่องด้วยวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๒ เป็นวันประเพณีอาบน้ำดำหัว และตัวข้าพเจ้าซึ่งคณะสงฆ์อำเภอป่าซาง พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนทั้งอำเภอ ตลอดถึงเจ้าคณะ พระสังฆาธิการทุกตำบล ได้นัดมาประกอบพิธีอาบน้ำดำหัวพระเถระผู้ใหญ่ เพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะ สัมมานะ ซึ่งกันและกัน ณ วัดหนองเจดีย์ อำเภอป่าซาง ซึ่งเป็นวัดที่ข้าพเจ้าได้พัฒนาขึ้นใหม่ ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุล่วงหน้ามาก่อนเลย คือในคืนวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๒ เป็นวันที่ท่านอาจารย์นั่งสมาธิหัดตายไม่มีวันกลับ โดยเขียนคำโคลองติดใต้ที่นั่งเสื่อกบเล็ก ๆ ว่า “ละครปิดฉาก ลงเรือข้ามฟาก ที่นี่เรียบเรียบ บอกให้รู้ข่าว ไม่ต้องเอาไว้มาก ๓ วัน ๗ วันก็เผา” ทำความตกตลึงใจซึ่งข้าพเจ้าอยู่ถึงลำพูน ไม่อาจติดต่อได้ทางโทรศัพท์ เป็นภาพจิตสังหรณ์จึงทำให้ข้าพเจ้าเดินทางกลับ เครื่องบิน เชียงใหม่ – กรุงเทพ เที่ยว ๙. ๐๐ น. ได้มุ่งตรงไปยังที่พักของท่านอาจารย์ที่ชลบุรี ซึ่งคนขับรถของข้าพเจ้าก็ยืนยันว่าเป็นจริง

เมื่อข้าพเจ้าไปเห็นอาจารย์นั่งสมาธิไปอย่างไม่กลับ มีความรู้สึกในใจว่า เหมือนหนึ่งถือของอยู่ในมือแล้วถูกอะไรกระทบอย่างแรงที่มือ และของสิ่งนั้นได้หลุดตกไปอย่างที่ไม่สามารจะนำกลับคืนมาได้ ข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาบ่นในใจว่า ท่านอาจารย์สู ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่เทพเจ้าบนสวรรค์ส่งมาช่วยข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าพึ่งสร้างวัดเสร็จในวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๒ ซึ่งเป็นวันที่สมบูรณ์แบบตามภาพนิมิตที่ได้มีไว้แต่เดิม ท่านก็จากไปโดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีปัญหาธรรมยังค้างอยู่อีกมาก นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้าเคยมีมาก่อน แม้จะมีคนได้พูดกับข้าพเจ้าอยู่บ่อย ๆ และตัวข้าพเจ้าเองก็รู้อยู่ในใจมาล่วงหน้าแล้วว่า วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๒ จะเป็นวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นการสูญเสียท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นเสมือนแก้วสารพัดนึก เป็นดวงประทีปเคยส่องสว่างรุ่งโรจน์อยู่ในดวงใจของข้าพเจ้า นำความตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก ใช้สัมมาสติเหนี่ยวรั้งจิตใจ สุดวิถีแห่งภูมิจิตที่จะพึงสัมปยุทธดวงจิตไม่ให้หวั่นไหว แน่ละมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสบกับสภาวะที่ท่านได้พูดไว้ว่า ๒ ปีข้างหน้าจะครบวาระ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง แต่ท่านอาจารย์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ลงมาโปรดมนุษย์ และได้บำเพ็ญคุณประโยชน์ในธรรมะแห่งพรหมวิหารครบถ้วนบริบูรณ์ ข้าพเจ้าจึงขอกล่าวคำไว้อาลัยมาก เพราะเหตุที่ว่า ท่านอาจารย์เป็นเสมือนหนึ่งร่มโพธิ์แห่งธรรมะ ร่มโพธิ์แห่งพระโพธิสัตว์ที่ท่านอาจารย์ได้บำเพ็ญบารมีธรรมอย่างเต็มภูมิ ไม่เคยมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ตั้งอยู่ในความสันโดษ วางตัวเป็นอัตตสัมมาปณิธิ รู้จักประมาณในชีวิตที่ดีงาม ไม่ยินดียินร้าย ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จึงน่าอนุโมทนาและสรรเสริญ แก่ท่านผู้ได้พบเห็นและรู้จักกับท่านอาจารย์สู ซึ่งนับว่ามีคุณค่าแก่ชีวิตจนประมาณค่ามิได้ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกมีความเสียดายท่านอาจารย์สูอย่างสุดซึ้ง

แม้ในการทำบุญครบวาระ ๗ วัน ซึ่งได้อาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์มาเป็นองค์แสดงธรรม ท่านได้แสดงธรรมจับใจข้าพเจ้ามาก ท่านได้เทศน์ถึงความที่ข้าพเจ้ามีความลึกซึ่งต่อท่านอาจารย์สู และทรงทราบถึงภูมิจิตของท่านอาจารย์สูว่าเป็นบุคคลพิเศษกว่าบุคคลธรรมดา นับว่าเป็นภูมิจิตชั้นสูง หลังจากนั้นมาข้าพเจ้ายังติดใจปัญหาธรรมที่ท่านอาจารย์สูฝากถามอาจารย์ของฝรั่ง ซึ่งหลายท่านก็คงอยากจะรู้ จึงจะขอยกมากล่าวในที่นี้ เพราะว่าอาจารย์ของฝรั่งนั้นเป็นมหาฤๅษี ชาวอินเดีย ปฏิบัติภูมิจิตชั้นสูง มีปฏิภาณจิต สามารถรู้วาระจิตของคนอื่นได้ ซึ่งข้าพเจ้าก็อยากจะรู้เหมือนกันเพราะว่าข้าพเจ้าได้ทราบว่า วันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๒ เป็นวันที่ฝรั่งได้เตรียมการต้อนรับใหญ่โตมโหฬาร ประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสี ข้าพเจ้าจึงถามว่า พวกฝรั่งเขาเตรียมการต้อนรับใคร เด็กบอกว่าอาจารย์ของพวกฝรั่งเขาจะมาจากอินเดีย ซึ่งข้าพเจ้านึกในใจว่าว่า ไหนว่ารู้วาระจิตของคนอื่น ข้าพเจ้ากำลังมีความไว้ทุกข์ทางคุณธรรมให้ท่านอาจารย์สู คือเป็นวันสูญเสียแห่งข้าพเจ้า ถ้าคิดตามชาวบ้านก็นับว่าเป็นวุ่นวายพอสมควร แต่ข้าพเจ้าก็อยากจะรู้ว่า มหาฤๅษีอาจจะมีความรู้วาระจิตได้อย่างไร ข้าพเจ้าก็ได้จุดธูปนั่งสมาธิ จิตมุ่งไปทางเมืองศรีเกษ อันเป็นที่อยู่ของมหาฤๅษี ข้าพเจ้าพูดว่า เสียใจมากที่ไม่อาจต้อนรับท่านได้ เพราะว่าอาจารย์ของข้าพเจ้าได้จากไปวันนี้ จึงจะต้องไว้ทุกข์ทางจิตใจด้วยการนั่งสมาธิในเวลานอนหลับ อุทิศเป็นธรรมทานสนองคุณท่านอาจารย์ ฉันอาหารมังสวิรัติ ถวายเป็นกุศลสนองคุณท่านอาจารย์ ๗ วัน ถ้าหากรู้ว่าข้าพเจ้าไม่พร้อมที่จะต้อนรับท่านก็อย่าเดินทางมาเลย

แล้วข้าพเจ้าก็กลับไปชลบุรี หลังจากสวดอภิธรรมท่านอาจารย์จบ จึงถามลูกศิษย์ว่า อาจารย์ของฝรั่งมาถึงหรือยัง คุณครูกนกได้ไปถามหัวหน้าฝรั่งว่า อาจารย์มหาฤๅษีมาถึงหรือยัง ได้รับคำตอบว่า ข้าพเจ้าห้ามไม่ให้มา เพราะข้าพเจ้ายังไม่พร้อม ข้าพเจ้าก็บอกว่า พูดเป็นเล่นไปได้ ข้าพเจ้าพูดภาษาเขาเป็นที่ไหน ถึงจะไปห้ามเขาได้ จึงเดินทางไปถามหัวหน้าฝรั่ง ฝรั่งพูดว่า มหาฤๅษี ท่านรู้ทางจิตว่าข้าพเจ้ายังไม่พร้อม เขาจึงยังไม่มา เขางดการมาวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๒ ข้าพเจ้าถามว่าแล้วเมื่อไหร่จะมา ฝรั่งพูดว่า เมื่อข้าพเจ้าพร้อมแล้วมหาฤๅษีจะมาทันที ข้าพเจ้าก็ยิ้มอยู่ในใจว่า สัจจธรรมนี้มีอานุภาพเหลือหลาย ไม่ว่าใคร ๆ ที่ได้ปฏิบัติแล้วจะรู้ผล

จนกระทั่งงานครบวาระ ๗ วันของท่านอาจารย์สู ผ่านไปได้ ๒ วัน ข้าพเจ้าก็ได้จุดธูปภาวนาในใจว่า ข้าพเจ้าพอมีความสุขสบายหายเหนื่อยแล้ว ถ้าอาจารย์มหาฤๅษีอยากจะมาเยี่ยมลูกศิษย์ฝรั่งก็เชิญได้ เพียง ๒ วัน มหาฤๅษีก็มาถึงวัดทุ่งสาธิต ข้าพเจ้าตื่นเต้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคนละภาษา จึงอยากจะถามปัญหาของท่านอาจารย์สูที่ได้ฝากถามไว้ จึงให้คุณประโพธิ เปาว์โรหิต เป็นล่ามแปล ถามว่า อาจารย์ของข้าพเจ้าก่อนจะจากไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ฝากธรรม ๓ ข้อ ให้ถามอาจารย์มหาฤๅษีว่า รู้อารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ไม่รู้อารมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ทิ้งทั้งรู้และไม่รู้ เห็นอะไร ท่านนั่งนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ท่านบอกว่า ผู้ที่ถามปัญหานี้ จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติภูมิชั้นสูง และพูดว่าเห็นนิพพานพุทธภาวะแห่งภูมิปัญญาที่กว้างใหญ่ และยกมือไหว้ว่าสาธุ ทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจและตื่นเต้น จึงคิดว่าสัจจธรรมเป็นของจริง ชาติ ภาษา วรรณะ ไม่สำคัญ แต่สัจจธรรมสามารถจะนำความสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ได้ ด้วยการปฏิบัติฝึกฝนทางจิตใจ ก็จะเป็นอานิสงส์ให้แก่โลกอย่างกว้างขวาง หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ถือว่า พระพุทธองค์ได้ทรงนำความสุขมาสู่โลกมนุษย์อย่างยิ่ง

ฉะนั้นในการจัดงานพระราชทานเพลิงศพของท่านอาจารย์สู พรหมเชยธีระ ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ ลูกหลานเหลน ตลอดถึงคุณแม่ และทายาทรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาเป็นล้นพ้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานไฟเพลิงเป็นกรณีพิเศษ ที่ได้รับครั้งนี้เป็นที่ปิติยินดี โสมนัสในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อาตมาภาพขอถวายพระพร ขอบพระทัยที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ จึงขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพระพรชัย กุศลอันใดที่ได้บำเพ็ญในครั้งนี้ จงเป็นพระบารมีปกเกล้า และขอกราบขอบพระคุณแต่ท่านเจ้าแระคุณสมเด็จพระญาณสังวร และท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ได้มีพระเมตตาธรรม อุปถัมภ์งานพระราชทานเพลิงในครั้งนี้ เป็นอย่างสูง จึงขอกราบของพระคุณแทนเจ้าภาพและคณะศิษยานุศิษย์ และลูก ๆ ทุกคน และขออนุโมทนาของพระคุณแก่คณะกรรมการจัดงานพระราชทานเพลิงศพท่านอาจารย์สู ทุก ๆ ท่าน ตลอดถึงท่านคณะกรรมการจัดพิมพ์หนังสือ ถวายในงานพระราชทานเพิงศพท่านอาจารย์สู ครั้งนี้เป็นอย่างสูง

อนึ่ง กุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ในนามศิษย์ผู้หนึ่ง ได้ถวายบำเพ็ญเป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรม ในนามลูก และคุณแม่ก็ดี ขอเป็นเดชะบารมี มอบแด่ดวงวิญญาณท่านอาจารย์สู พรหมเชยธีระ จะได้โปรดรับทราบและอนุโมทนา ในนามคณะศิษยานุศิษย์ทุก ๆ คน ได้จัดถวายเป็นทักษิณานุประทาน แด่ดวงวิญญาณของท่านอาจารย์สู จงได้ไปเสวยในสุคติภพ บรรลุถึงพระนิพพาน ด้วยเทอญ

ขอเจริญพร

พระโสภณวชิรธรรม

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:21 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
คำไว้อาลัย อาจารย์สู

โดย สวัสดิ์ อุทัยศรี


ข้าพเจ้ารู้จักกับอาจารย์สูแห่งเมืองชล โดยคำแนะนำของท่านเจ้าคุณโสภณวชิรธรรม (ในสมัยที่ท่านยังคงดำรงตำแหน่งสมณศักดิ์เป็นพระครูวชิรธรรมโสภณ) เจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมสาธิต เมื่อราวพ.ศ. ๒๕๑๑ เนื่องจากท่านเจ้าคุณได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเป็นเจ้าภาพจัดการทอดกฐิน ณ วัดสิงห์ทองพรหมาวาส อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นวัดที่อาจารย์สูเป็นผู้สร้าง และได้บรรยายกิติคุณ ของอาจารย์สูให้ข้าพเจ้าฟังหลายอย่างหลายประการ รวมทั้งความเป็นผู้เชี่ยวชาญในทางวิปัสสนาทั้ง ๆ ที่ไม่ได้บวชเป็นพระ ปละเป็นคนจีนซึ่งเดินทางมาประเทศไทยเมื่ออายุมากแล้วด้วย เพราะขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังเสาะแสวงหา ผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้จริง ๆ อยู่พอดี

ข้าพเจ้าได้มาสนใจศึกษาเรื่องธรรมะเมื่ออายุค่อนข้างมากำแล้ว ทั้งยังศึกษาโดยไม่มีอาจารย์เสียอีกด้วย คงเป็นแต่ศึกษาเอาจากตำรับตำราที่ผู้รู้ทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่หลาย ๆ ท่านเขียนเอาไว้เท่านั้น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะได้อ่านตำรับตำราเหล่านั้นมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ก็ยังไม่วายที่จะเกิดปัญหาของธรรมะอันเนื่องจากการเจริญวิปัสสนามีอยู่เป็นประจำ ประกอบกับข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “สูตรของเว่ยหล่าง” ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดยท่านพุทธทาสภิกขุแล้ว รู้สึกว่าวิธีการในการค้นคว้าหาธรรมะที่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นเป็นการรวบรัด ไม่ต้องมีพิธีรีตองให้เยิ่นเย้อ มากมายเหมือนกับสำนักวิปัสสนาปลาย ๆ แห่งในประเทศไทยที่ข้าพเจ้าได้เคยไปทดลองมาแล้ว จึงเป็นการต้องด้วยอุปนิสัยและการปฏิบัติของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก

ข้าพเจ้าคิดว่า คนจีนที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดเช่นอาจารย์สู ก็คงจะได้หลักนี้มาจาก “เว่ยหล่าง” องค์สังฆปรินายกองค์ที่ ๖ ผู้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของจีนไว้เป็นแน่ จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากจะรู้จักอาจารย์สูมากยิ่งขึ้น ท่านเจ้าคุณฯ ได้พาข้าพเจ้าไปพบกับอาจารย์สูในเย็นวันหนึ่ง ณ บ้านของท่าน ซึ่งอยู่ในตลาดเมืองชล ลักษณะเป็นบ้านของผู้มีอันจะกินพอสมควร มีกำแพงสูงล้อมรอบบ้าน ชั้นล่างเป็นห้องโถงโดยตลอด ตรงผนังด้านหลังกลางห้อง มีรูปปั้นลักษณะเป็นจ้าวแบบจีนตั้งอยู่บนแท่นบูชา ทางด้านซ้ายมือมีโต๊ะและเก้าอี้รับแขกซึ่งเป็นแบบธรรมดา ๆ ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง ขึ้นไปชั้นบนทางบันไดซึ่งอยู่ทางขวามือ สิ่งแรกที่สะดุดตาก็คือ มีรูปปั้นพระสงฆ์ไทยตั้งอยู่บนแท่นบูชาตรงกลางห้อง โดยมีคำจารึกว่า “หลวงพ่อเชย” ไว้ด้วย

ตัวอาจารย์สูนั่งคอยต้อนรับอยู่บนเก้าอี้ทางด้านขวาของมุมห้องข้างโต๊ะไม้ พื้นหินอ่อนเก่า ๆ สำหรับวางกาน้ำชา อีกด้านหนึ่งของโต๊ะมีเก้าอี้เหล็กสำหรับรับแขกนั่งอยู่ ๔ – ๕ ตัว มุมห้องทางด้านซ้ายกั้นเป็นห้องเล็ก ๆ ทราบว่าเป็นห้องนอนของอาจารย์สู ไม่มีเครื่องเรือนหรือเครื่องประดับอย่างอื่นอีก สมกับเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีสมถะเป็นอย่างยิ่ง ตัวอาจารย์สู เป็นบุคคลร่างใหญ่ ผิวขาว ท้วม หน้าตาเหมือนอย่างคนจีนทั่ว ๆ ไป แต่ผิวพรรณผ่องใส อันบ่งถึงลักษณะของผู้ที่เจริญวิปัสสนาอย่างเต็มอิ่ม โกนศีรษะ นุ่งขาวห่มขาวแบบจีน คือใส่เสื้อทำด้วยผ้าสีขาวคอกลมแขนสั้นเลยข้อศอก นุ่งกางเกงจีนผ้าสีขาวตัด ๒ ใน ๓ ส่วน พูดจาเสียงค่อนข้างดัง พูดไทยไม่ค่อยจะชัด เมื่อตอนแรก ๆ ฟังแล้วต้องเดาเอามากหน่อย แต่พอผังชิน ๆ ไปแล้วก็พูดเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่ท่านเจ้าคุณแนะนำให้รู้จักกันแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เรียนถามถึงวันและเวลาที่กำหนดทอดกฐินกับเรื่องอื่น ๆ อีกพอสมควร จากนั้นก็ได้เริ่มสนทนาเรื่องธรรมะ ข้าพเจ้าก็ได้เรียนถามปัญหาทางธรรมะต่าง ๆ ที่ข้าพเจ้าติดขัดอยู่นานหลายปี ซึ่งปรากฏว่าอาจารย์สูตอบและชี้แจงได้อย่างคล่องแคล่ว ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนาโดยไม่มีอาจารย์แนะนำหรือสั่งสอน เพราะฉะนั้น ปัญหาในทางธรรมะที่เกิดติดขัดแก่ข้าพเจ้ามักจะไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอื่นเขา และก็ไม่กล้าที่จะเรียนถามอาจารย์อื่น ๆ ด้วย เพราะเกรงว่าจะพูดและฟังกันไม่รู้เรื่อง หรือมิฉะนั้นก็จะได้รับคำชี้แจงกันไปคนละแนวเลย จะทำความยุ่งยากให้แก่การปฏิบัติมากยิ่งขึ้นไปอีก

ข้าพเจ้าพอใจเป็นอย่างมากที่อาจารย์สูสามารถแก้ข้อข้องใจของข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้งหลายข้อหลายปัญหา ถึงแม้ว่าบางปัญหา ท่านจะได้แนะไปตามแนวของท่าน เช่นความยากลำบากในการแยกรูป แยกนามออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งถ้าทำได้แล้ว ความรู้จะสูงพุ่งขึ้นเป็นจรวด จนสามารถที่จะวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย ข้าพเจ้าก็ได้แต่รับฟังไว้เท่านั้น เพราะไม่อยู่ในความสนใจของข้าพเจ้า ที่จะต้องไปเสียเวลาในแรแยกรูป แยกนาม รูปนามจะเกิดหรือจะดับไป ก็เป็นเรื่องของรูปนาม ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบเรียนลัดตั้งแต่เล็ก ๆ มาแล้ว ฉะนั้นสิ่งปลีกย่อยจึงไม่ค่อยจะเอาใจใส่นัก อย่างเช่นในการทำสมาธิ เมื่อเจริญในด้าน วิตก วิจาร ปิติ สุข อันเป็นองค์ประกอบของฌานหนึ่งได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจในลำดับของฌานสอง ฌานสามอะไรอีก โดยไปจับเอาเอกัคคตาเลยทีเดียว ปีติผ่านมาแล้ว สุขผ่านมาแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจอีกต่อไป แล้วก็ปฏิบัติเช่นนี้ตลอดมา โดยไม่ได้หวนกลับไปปฏิบัติฌานหนึ่งอีกเลย ถึงแม้บางครั้งนึกอยากจะกลับไปฌานหนึ่งใหม่ เพราะรู้สึกว่าตื่นเต้นและเป็นสุขดี แต่ก็ทำได้ไม่เหมือนเดิม เพราะทิ้งไปนานและขาดความชำนาญ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เท่าที่ได้กระทำไปเช่นนั้น จะเป็นการถูกต้องหรือไม่ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสันดานเป็นเช่นนั้น

สนทนาธรรมะกันไปสักพักหนึ่ง ท่านก็เรียกภรรยาของท่านให้เอาปรอทมามอบให้แก่ท่าน แล้วท่านก็มอบให้ข้าพเจ้าอีกต่อหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยได้ทราบกิติศัพท์ของปรอทจากบรรพบุรุษของข้าพเจ้ามานมนานแล้วว่า เป็นของวิเศษ สามารถป้องกันอันตรายและโรคภัยไข้เจ็บได้หลายอย่างหลายประการ รวมทั้งมีอิทธิฤทธิ์ในบางประการด้วย ผู้ที่ฆ่าปรอทให้ตายได้ จะต้องเป็นผู้วิเศษอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าได้เคยแสวงหามานานแล้ว แต่ก็ยังไม่พบเห็น จึงคิดเอาเองว่า คงจะเป็นเรื่องที่เล่ากันในด้านอภินิหารอย่างสนุก ๆ เท่านั้น เมื่อมาเห็นในครั้งนี้ว่าเป็นของจริง ทั้งยังได้ไว้เป็นกรรมสิทธิ์อีกด้วย ทำให้ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก และมีความเลื่อมใสในตัวอาจารย์สูเป็นยิ่งขึ้นอีก ในเมื่อได้มีโอกาสมาพบคนดีจริง ๆ เข้าแล้ว ได้คุยกันอยู่หลายชั่วโมง ก่อนที่จะลากลับ อาจารย์สูยังได้เรียกภรรยาท่านขึ้นไปพบอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ได้มอบหลวงพ่อแล้วให้ข้าพเจ้าอีก ๒ องค์ โดยบอกว่าเป็นของเก่าและมีอยู่เป็น ๒ องค์สุดท้าย จะหาไม่ได้อีกแล้ว

ต่อมา ข้าพเจ้าก็ไปมาหาสู่อาจารย์สูอยู่เสมอ และทุกครั้งที่เดินทางผ่านไปทางบางพระ ศรีราชา หรือ ทางด้านนั้น ก็จะต้องแวะคุยกับอาจารย์สูอยู่ตลอดเวลา เรื่องที่คุยกันก็เป็นเรื่องธรรมะทั้งสิ้น นับว่าเป็นการถูกคอกันดี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าถามว่า การทำให้จิตเป็นธรรมชาตินั้น ทำอย่างไร เพราะข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือ

ซึ่งได้พูดถึงทำจิตให้เป็นธรรมชาติอยู่หลาย ๆ ตอน อาจารย์สูได้อุปมาอุปมัยให้ฟังว่า “ก่อนที่เราจะยกหาบของขึ้นใส่บ่านั้น เป็นอย่างไร และในขณะที่เราก็แบกหาบอยู่นี้ เป็นอย่างไร และเมื่อเอาหาบออกจากบ่า วางลงแล้ว เป็นอย่างไร นั่นคือการทำจิตให้เป็นธรรมชาติ” ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ตีความไม่ออก เพียงแต่คิดเอาว่า ก่อนแบกหาบ บ่าก็เบา เอาหาบมาแบก บ่าก็หนัก เอาหาบลงวางคืนไว้ตามเดิม บ่าก็เบาอย่างเดิม ก็คงได้ความเพียงเท่านี้ ไม่ทราบความหมายลึกซึ้งอะไร จนอีกหลายปีต่อมา ข้าพเจ้าค้นพบว่า จิต คือ พลังชนิดหนึ่ง คล้าย ๆ กับพลังไฟฟ้า หรือพลังของอีเลคโทรนิค สมรรถภาพของจิตก็คือ เป็นพลังที่ไปกระตุ้น (Operate) (ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะใช้คำว่าอะไรดีจึงจะตรงความหมายของคำว่า Operate ในภาษาอังกฤษอย่างแท้จริง เพราะถ้าพูดกันในทางวิทยาศาสตร์แล้ว จะหาคำในภาษาไทยที่ได้ความหมายตรงกับคำของฝรั่งอย่างแท้จริงนั้นเป็นเรื่องยากมาก และคำว่า “กระตุ้น” ไปพลางก่อน) มันสมองให้ทำงาน ในด้านความคิด ความจำ ความระลึกนึกถึง และอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่อยู่ในขอบเขตของสมองที่จะทำงาน ออกมาเป็นผลิตผลให้ได้ รวมทั้งปัญญาซึ่งเทียบกันแล้วก็ไม่แตกต่างกันไปกว่าคอมพิวเตอร์ (สมองกล) ที่มนุษย์ประดิษฐ์ คิดทำขึ้นเพื่อช่วยย่นย่อเวลาในการคำนวณหาข้อมูล หาคำตอบ ได้รวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ และในการที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานดังกล่าวนั้นได้ ก็จำเป็นที่จะต้องใช้พลังไฟฟ้าไปกระตุ้น (Operate) ให้ทำงานเช่นเดียวกัน ขาดพลังไฟฟ้าเสียแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีความหมายและจะไม่แตกต่างไปกับเศษโลหะที่ไร้ค่า

สมองของมนุษย์ซึ่งถ้าหากขาดจิต (พลังของจิต) ไปกระตุ้นให้ทำงานแล้ว สมองก็จะมีสภาพไม่แตกต่างไปกว่าก้อนเนื้อ หรือก้อนอวัยวะที่ไม่มีคุณค่า ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อพบว่าจิตเป็นพลังชนิดหนึ่งเช่นนี้แล้ว จากการค้นคว้าต่อไปก็ได้ทราบว่า จิตนอกจากเป็นพลังที่ช่วยให้สมองทำงานได้แล้ว ยังมีคุณสมบัติอย่างอื่นอีก เช่นช่วยทำให้เกิดปัญญา ช่วยให้สิ่งที่มีชีวิตอยู่รอด ช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บบางประการให้แก่สิ่งที่มีชีวิต และเป็นพลังที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดรวมทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ จำเป็นต้องอาศัยอยู่เป็นประจำ จะขาดเสียมิได้ จากนั้นก็ยังพบอีกว่า เหตุใดและทำไม จิตของมนุษย์จึงต้องอยู่ภายในความควบคุมของอวิชชาและตัณหา ไม่อยู่เป็นอิสระเหมือนจิตของพืช ต้นไม้ หรือสัตว์ที่ไม่เซลล์สลับซับซ้อนอื่น ๆ และท่านที่เป็นอริยบุคคล ก็สามารถที่จะทำการปลดปล่อยให้จิตเป็นอิสระ พ้นจากการควบคุม หรือความเป็นทาสของอวิชชาและตัณหาได้อย่างไร นั่นคือการทำให้จิตกลับไปเป็นพลังอิสระ และไปกระจายรวมอยู่กับจิตที่เป็นพลังของสากลจักรวาลซึ่งมีอยู่รอบ ๆ ตัวเราอยู่แล้ว ทำนองเดียวกับพลังไฟฟ้า หรือพลังอีเลคทรอนิคซึ่งวิ่งอยู่ทุกแห่งหนรอบ ๆ ตัวเรานั่นเอง มิได้รวมกันเป็นกลุ่มก้อนภายในขอบเขตบังคับเหมือนเดิม

เปรียบได้กับว่า เมื่อเราเอาถ้วยแก้วจ้วงตักน้ำในมหาสมุทรขึ้นมาแล้วก็ยึดถือไว้ว่าเป็นของฉัน และตราบใดที่น้ำยังคงอยู่ในแก้ว มันก็คงเป็นของฉันตลอดไป แต่ถ้าเราเอาน้ำในแก้วเทกลับคืนลงไปในมหาสมุทร น้ำในแก้วก็จะกระจายไปทางเหนือบ้าง ใต้บ้าง ตะวันออกบ้าง ตะวันตกบ้าง และบางส่วนก็จะกระจายดิ่งลงไปยังก้นมหาสมุทร เราไม่สามารถที่จะเอาแก้วใบนั้นตักน้ำที่เทลงไปให้กลับคืนเข้าสู่ถ้วยแก้วให้ครบถ้วนตามเดิมได้ฉันใด จิตที่ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว ก็จะกระจายปะปนไปกับจิตซึ่งเป็นพลังเดิม และมีอยู่ทั่ว ๆ ไปแล้ว และก็ไม่อาจที่จะรวบรวมมาให้ครบถ้วนเข้าเป็นจิตเดิมได้ หรือไม่อาจรวบรวมส่วนที่เป็นจิตดวงเดิมมาได้เอาเสียเลยแม้แต่น้อยก็ฉันนั้น กังนั้นดวงจิตของบุคคลผู้นั้นจึงเป็นอันสลายไปไปไม่มีอยู่อีก ชาติภพจึงเป็นอันยุติสำหรับอริยบุคคลผู้นั้นเสียแล้ว โดยจุดนี้จึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในปัญหาของอาจารย์สูที่ได้อุปมาอุปมัยในการทำจิตให้เป็นธรรมชาติได้อย่างแจ่มแจ้ง

กล่าวคือแต่เดิมเมื่อจิตเป็นอิสระก็ไม่มีภาระและสามารถที่จะวิ่งไปไหนมาไหนได้ทั่วสากลจักรวาล แต่เมื่อมาถูกอวิชชาสร้างพลังพิเศษหุ้มห่อควบคุมเอาไว้ จิตก็ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของอวิชชาซึ่งเป็นเครื่องมือหรือลูกสมุนของตัณหาและต้องปฏิบัติตามคำสั่งของตัณหาตลอดเวลา โดยมีภาระในอันที่จะต้องคอยผลิตความคิดหรือปัญญา เพื่อช่วยให้ความปรารถนาของตัณหาได้สัมฤทธิ์ผลทุกประการ จึงเปรียบได้กับบ่าที่ต้องแบกหาบอันหนักอึ้งตลอดไป จนกว่าที่จะได้กำจัดตัณหาให้หมดสิ้นไป อวิชชาซึ่งเป็นเครื่องมือ หรือลูกสมุนของตัณหาก็จะสลายไปเอง และพลังที่อวิชชาสร้างเพื่อหุ้มห่อควบคุมจิตไว้ก็จะพลอยสลายตัวตามไปด้วย จากนั้นกรรมซึ่งเป็นพลังอีกชนิดหนึ่งที่ธรรมชาติได้สร้างขึ้นไว้เพื่อหุ้มห่อ พลังหุ้มห่อจิตของอวิชชาในขณะที่อวิชชาเข้าควบคุมจิตอีกต่อหนึ่ง และมีหน้าที่คอยบันทึกความดีความชั่วที่จิตภายใต้ความบงการของตัณหาได้กระทำขึ้นเอาไว้ตลอดเวลาทั้งที่ยังมีอานุภาพที่จะนำดวงจิตนั้นไปสู่ชาติภพ ตามควรแก่กรรมที่ได้กระทำไว้ด้วย ก็จะพลอยสลายตัวตามไปด้วย ในเมื่อพลังหุ้มห่อจิตได้สลายไปแล้วเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยดูแลบันทึกการกระทำของดวงจิตอีกต่อไปและเมื่อทั้งพลังหุ้มห่อจิต และกรรมได้สลายไปหมดแล้วจิตก็จะเป็นอิสระตามเดิม จึงเปรียบเสมือนว่า เราได้ปลดเปลื้องหาบลงจากบ่าแล้วฉะนั้น

การค้นพบที่กล่าวมาข้างบนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับอาจารย์สูแต่อย่างใด ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ค้นพบของข้าพเจ้าเอง และก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้พบได้เห็นว่าจะมีกล่าวไว้ในตำรับตำราใดด้วย ทั้งที่ข้าพเจ้าได้อ่านตำรับตำราเหล่านี้มาเป็นร้อย ๆ เล่ม ทั้งก่อนเริ่มต้นเจริญวิปัสสนาปละทั้งในระหว่างที่ทำการค้นคว้าหาธรรมะเหล่านี้อยู่ การที่กล่าวมานี้จะเป็นการผิดถูกอย่างไร หรือจะถูกประณามว่าเป็นคนนอกตำราอย่างใด ข้าพเจ้าขอรับไว้แต่ผู้เดียว แต่ที่นำเอามากล่าวเกี่ยวกับอาจารย์สู ก็ตรงที่ท่านได้ชี้แจงในเรื่องที่ทำจิตให้เป็นธรรมชาติว่า “เปรียบเสมือนว่าเมื่อก่อนเราเอาหาบของขึ้นใส่บ่า รู้สึกว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่เรากำลังแบกหาบอยู่ รู้สึกอย่างไร และเมื่อเราเอาหาบของกลับวางลงตามเดิม จะรู้สึกว่าเป็นอย่างไร” เท่านั้น

ข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากที่บุคคล ผู้ที่มีความชำนาญและความรู้อย่างลึกซึ้งในด้านธรรมะอย่างอาจารย์สูต้องสิ้นไป ท่านจากไปโดยที่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสที่จะขอคำแนะในปัญหาธรรมะได้อีกต่อไป ในเมื่อเกิดการติดขัด จึงทำให้เกิดมีความอาลัยอย่างสุดซึ้งตามประสาผู้ที่ยังมีกิเลสครอบงำ ในสภาพที่ท่านสิ้นใจในขณะที่นั่งสมาธิ ข้าพเจ้าได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณโสภณวชิรธรรมช่วยใช้ฌานอันแก่กล้าของท่านติดตามดูว่าอาจารย์สูได้ไปสู่ชั้นใดด้วยความอยากรู้ ท่านเจ้าคุณฯ แจ้งว่า อาจารย์สูได้เข้าชั้นอนาคามีแล้ว และเพื่อทดสอบความแน่นอน ข้าพเจ้าได้ถาม “ติ๊ก” บุตรสาวคนเล็กของอาจารย์สู ซึ่งเป็นผู้ได้รับการฝึกหัดสมาธิจากอาจารย์สูและได้ฌานสูงมากผู้หนึ่ง “ติ๊ก” บอกว่าได้ติดตามไปพบอาจารย์สูโดยที่ “ติ๊ก” ไม่ทราบลำดับชั้นขั้นตอนของผู้เจริญวิปัสสนา จึงถามว่า เตี่ยสำเร็จแล้วหรือยัง อาจารย์สูตอบว่า ยัง แต่บางครั้งเตี่ยก็มองไม่เห็นตัวเองเหมือนกัน และคราวหน้ามาก็คงจะไม่พบเตี่ยอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอประเมินได้ว่า อย่างน้อยที่สุดอาจารย์สูก็เข้าขั้นพระอนาคามีแล้ว ซึ่งจะไม่กลับมาเกิดในมนุษยโลกอีก หากแต่จะเข้าปรินิพพานต่อไปในชั้นนั้นเลย ดังเช่นผลมะม่วงที่แก่จัด ถูกปลิดมาจากต้นซึ่งถึงแม้ในขณะนั้นจะยังไม่สุก แต่ก็จะสุกงอมไปได้โดยธรรมชาติเช่นกัน

ข้าพเจ้าดีใจและภูมิใจที่ได้พบปูชนียบุคคลเช่น ...........อาจารย์สู และอาจารย์สูได้ให้ข้อคิดในทางธรรมะแก่ข้าพเจ้าหลายอย่างหลายประการ ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะดำเนินตามรอยอาจารย์สูให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จะทำได้ หรือไม่เพียงใดก็สุดแล้วแต่บุญบารมีที่ได้สร้างสมมาแต่ชาติก่อน

ไม่จำเป็นที่จะต้องไปอวยพร หรือขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิอะไรอวยพรให้แก่อาจารย์สู เพราะบุคคลชั้นนี้ ท่านเปี่ยมไปด้วยบุญบารมีจนไม่มีที่ว่างพอที่จะรับพรของผู้ใดได้อีกแล้ว

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:23 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
อาจารย์สู ผู้เมตตา

อำไพ สุจริตกุล



ทุกท่านที่ได้มาเคารพและสักการะอาจารย์สู ตลอดเวลาที่ตั้งบำเพ็ญกุศล คงจะได้เห็นข้อความข้างต้นนี้ซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นคำฝากครั้งสุดท้ายก่อนท่านจากพวกเราไป

แต่สำหรับดิฉัน ได้จดข้อความนี้จากคำบอกของท่านเมื่อ ๔-๕ ปีก่อน ต่อจากตำรายาแก้สารพัดพิษที่ท่านบอกให้จดไว้เพื่อใช้ประโยชน์ เมื่อท่านทราบว่าดิฉันต้องขึ้นเขาลงห้วยเป็นประจำ ในโครงการฝึกชาวเขาให้เป็นครูที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงราย ครั้งหนึ่ง ดิฉันมาเล่าให้ท่านฟังว่า นักเรียนครูชาวเขาถูกงูกัด และดิฉันได้เอาพระหลวงพ่อแก้วที่บรรจุว่าแก้พิษงูให้เขาเคี้ยวกลืนด้วยความเมตตาต่อชีวิตมนุษย์ผู้อยู่ห่างไกลความเจริญ ท่านได้ให้ผงว่านแก้พิษต่าง ๆ เช่น งูพิษ สุนัขบ้า ตะขาบ แมลงป่อง หรือแมลงพิษต่าง ๆ ซึ่งพวกเราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ยางู” พร้อมทั้งบอกให้ดิฉันจดวิธีดูแลแผลงูชนิดต่าง ๆ วิธีปฐมพยาบาล ตลอดจนวิธีใช้ “ยางู” นี้ เพื่อช่วยชีวิตผู้เคราะห์ร้ายและอยู่ไกลโรงพยาบาล ท่านบอกยาและวิธีการง่าย ๆ ให้หลายอย่าง เช่น ยารักษาแผลที่ถูกผึ้ง ต่อ หรือ แตนต่อย (โปรดทราบว่า คนอยู่ในป่า ในเขานั้น หากถูกสัตว์ประเภทนี้ต่อย หมายถึงถูกรุมต่อยทั้งตัว แทบจะหาที่ว่างไม่ได้ อย่างเบาก็ปวดบวมไปทั่วตัว หรือไม่ก็อาจถึงตายไปเลย) ยารักษาบาดทะยัก ถูกยาเบื่อ หรือยาสั่งและท้องร่วงอย่างแรง วิธีรักษาของอาจารย์สู ล้สนแต่เป็นวิธีง่าย ๆ และตัวยาก็พอจะหาได้ในถิ่นทุรกันดาร เช่น คราบจักกระจั่น ขนปีกเหยี่ยว หรือดินขี้ไส้เดือน เป็นต้น เมื่อบอกตำรายาให้แล้วก็ต่อท้ายด้วยถ้อยคำที่เป็นข้อคิดปริศนาข้างต้นนั้น ดิฉันก็จดลงไปด้วยความฉงน และนึกว่าเป็นข้อขบคิดอีกหนึ่งในหลาย ๆ ข้อที่อาจารย์เคยบอกให้คิดเสมอมา

ต่อเมื่อดิฉันกลับจากต่างประเทศเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๒ นี้ ได้ทราบข่าวสะเทือนใจว่า อาจารย์สู ผู้เป็นที่เคารพยิ่งของดิฉันและวงศ์ญาติ ได้ละร่างจากโลกนี้ไปแล้ว ในวันเดียวกันกับวันที่ดิฉันเตรียมออกเดินทางจากอังกฤษไปเนเธอร์แลนด์ และแล้วก็มีเหตุให้เป็นไปไม่ได้ ! หลังจากทราบข่าว รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ดิฉันรีบมาชลบุรี จึงได้เคารพและสักการะดวงวิญญาณประเสริฐของท่านอาจารย์สูผู้เมตตา และได้เป็นข้อความที่เขียนไว้หน้ากรอบรูปของท่าน ซึ่งตรงกับข้อความที่ท่านบอกให้ดิฉันจดอย่างไม่เข้าใจ เมื่อหลายปีก่อนโน้น.......ดิฉันขนลุกซู่ด้วยความรู้สึกเย็นวาบลึกลงในหัวใจ บัดนี้ ดิฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งทุกถ้อยทุกคำในข้อความนี้

นับย้อนหลังไปเกือบยี่สิบปี ที่ดิฉันมีวาสนาได้รู้จักปูชนียบุคคลท่านหนึ่ง ผู้เป็นที่พึ่งทางใจและกราบไหว้ด้วยความเคารพบูชาสนิทใจ ท่านผู้นั้นนั้นก็คืออาจารย์สู หรือ “เซียนสู” ของเมืองชลนี้เอง โดยคุณสมพร เทพสิทธา, พี่ทิพพร และคุณอำนวย อินทุภูติชวนมา ตั้งแต่นั้น ดิฉันก็มักหาโอกาสมาเยี่ยมเยียนสนทนาหาความรู้ และขอคำแนะนำ ตลอดความช่วยเหลือจากอาจารย์เสมอมา ลูกไม่สบายเป็นหืดหอบ คุณแม่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี น้อง ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย แพทย์ยังหาสาเหตุไม่พบ ก็พามาหาอาจารย์ ทุกครั้งท่านก็ต้อนรับด้วยความเมตตาปราณี แม้จะแนะนำผู้อื่นที่กำลังเดือดร้อนมาหาท่าน ท่านก็ช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ

ท่านอาจารย์สูไม่มีน้ำมนต์ มีแต่น้ำใจ และ น้ำคำ คือยินดีช่วยเหลือเมื่อทุกข์ร้อน และสั่งสอนด้วยถ้อยคำง่าย ๆ ใช้ภาษาสั่น ๆ กะทัดรัด แต่กินความลึกซึ้ง ให้ข้อคิดที่เฉียบคม ดิฉันจำได้ว่า ครั้งแรกอาจารย์สอนว่า “ต้องฝึกจิตไม่ให้ยึดเหนี่ยว เกาะเกี่ยว ถ้าจิตไม่ยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวแล้ว ก็เหมือนมีดวงจิตใหม่เกิด เมื่อเกิดดวงจิตใหม่ ปัญญาก็เกิดขึ้น” ทำให้ได้สนทนากันอีกนาน นึกถึงคำว่า “จิตดั้งเดิม” หรือ “จิตเดิมแท้” แล้วต่อเรื่อยไปถึงสูตรของเว่ยหล่าง และ นิกายเซ็น

โดยปกติเมื่อมีเวลาว่าง ดิฉันมักจะพาลูกชายไปหาอาจารย์ตอนเย็นหรือค่ำ ๆ กะว่าแขกมี่มาหาท่านลดน้อยลงแล้ว จึงจะมีเวลาสนทนาอับอาจารย์ได้นาน ๆ บางครั้ง แขกบางคนก็ร่วมวงคุยด้วยอย่างถูกคอจนดึกถึงเที่ยงคืน อาจารย์บอกให้กลับ จึงกลับ ขับรถมาเองสองคนแม่ลูกทั้ง ลูกก็ยังเล็ก แต่ไม่เคยประสบอุบัติเหตุหรืออันตรายแต่อย่างใดเลย ลูกตุ้มก็สวดมนต์สั้น ๆ ที่อาจารย์สูสอนให้ ตลอดทางจนหลับไปกับที่นั่งข้าง ๆ แม่ ปลอดภัยทุกประการทุกครั้ง

อาจารย์สูเป็นนักปฏิบัติธรรม มั่นในพรหมจรรย์ มีเมตตาธรรมสูง และมีความเป็นอยู่ง่าย ๆ คำสอนหรือข้อแนะนำต่าง ๆ ตลอดจนวิธีช่วยเหลือบำบัดทุกข์แก่ผู้คนที่ไปหาท่าน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ไม่มีพิธีรีตองแต่อย่างใด ใครเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าท่านช่วยได้ท่านก็เขียนใบสั่งยาจีนให้ไปซื้อมาต้มรับประทานเอง หรือแนะวิธีให้ไปรักษาเอง ไม่เคยเรียกร้องต้องการค่ารักษาหรือค่าสมนาคุณใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากกับผู้สนิทสนมคุ้นเคย ท่านก็ล้อเล่นว่า ถ้าหายแล้วก็ซื้อโอเลี้ยงกรุงเทพมาให้กินแก้วหนึ่งบ้าง เขาผู้นั้นยังอุตส่าห์หิ้วถุงโอเลี้ยงที่น้ำแข็งละลายหมดแล้ว ไปให้ท่าน น้องชายดิฉันเคยหิ้วมะพร้าวอ่อนจากสวนที่ลพบุรีไปให้ท่าน เมื่อเขาหายจากโรคร้อนในและตับหรือไตอักเสบ ซึ่งต้องดื่มน้ำเป็นแกลลอนตลอดคืนทุกคืน อาจารย์สูท่านให้ไปต้มยารับประทานแล้วล้อว่า “หายแล้ว เอาน้ำมะพร้าวอ่อนมาให้กินสักลูก”

ส่วนใหญ่ ยาที่อาจารย์สูเขียนให้ไปซื้อ มักจะมีราคาถูกมาก บางชนิดเพียงห่อละ ๔.๕๐ บาท แต่ถ้าเมื่อใดต้องใช้ตัวยาราคาแพง เช่น โสมเกาหลี หรือ โสมคน ถ้าผู้ป่วยเป็นคนยากจนและอาจารย์เองมีตัวยาเหล่านั้นอยู่ อาจารย์ก็แบ่งให้เขาไปใช้รักษาตัว เป็นการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ด้วยความเมตตาเป็นประจำ ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยอยากได้น้ำมันเสือโคร่ง ดิฉันก็พยายามหาให้ทุกครั้งที่ขึ้นไปทำงานวิจัยบนเขา หาอยู่ ๒ ปีจึงได้มา โดยคุณศุภชัย สถีรศิลปิน เจ้าหน้าที่พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา ขอปันจากชาวกระเหรี่ยงที่เชียงราย ต่อมาภายหลังจึงได้ทราบข่าวอาจารย์ใช้น้ำมันเสือเป็นยาผสมสำหรับรักษาโรคผิวหนังด่าง ดิฉันเองก็พลอยปิติยินดีทีได้มีส่วนกุศล ซึ่งอย่างน้อยในชาตินี้คงจะไม่เป็นโรคผิวหนังด่างเป็นแน่

การได้มาคารวะเยี่ยมเยียนคารวะอาจารย์สู เป็นครั้งคราวเท่าที่มีเวลาว่างและโอกาสอำนวยตลอดสิบกว่าปีมานี้ ดิฉันกลับบ้านด้วยความเบาสบายใจทุกครั้ง เมื่อจะปลูกบ้านท่านก็ให้ฤกษ์สะดวกสบาย คือ วันใดก็ได้ เวลา สิบเอ็ดนาฬิกาตรง อธิษฐานเอง ทำพิธีเองอย่าง ๆง่าย ๆ ตามที่อาจารย์บอกแล้วจะลงมือสร้างเมื่อไรก็ได้ เสาเอก เสาโทก็ไม่ต้องยก แม้จะตั้งศาลพระภูมิท่านก็บอกวิธีง่าย ๆ ให้ทำเอง ก็ได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข มีโชคมีลาภตามควร มีเกียรติอันเหมาะสมแก่ตน ตามคำอธิษฐานมาตลอดเวลาสิบกว่าปี อาจารย์สูจึงเป็นที่พึ่งที่เคารพของดิฉันและครอบครัวของเขาด้วย ซึ่งต่างก็ได้รับความเมตตาปราณีจากอาจารย์ ร่มเย็นเป็นสุขทั่วกัน

ในการสนทนาธรรมกับอาจารย์สู ดิฉันได้ข้อคิดหลายอย่างจากถ้อยคำง่าย ๆ สั้น ๆ ของท่าน เช่น

“นักปฏิบัติ ละชั่วง่าย ละดียาก “

หรือ

“เมื่อขึ้นฝั่งแล้วต้องทิ้งเรือ”

เป็นต้น และเมื่อดิฉันขอให้อธิบายความแตกต่างของ จิตว่าง จิตไม่ว่าง และจิตดั้งเดิม ท่านก็ยกตัวอย่างสั้น ๆ ว่า

เวลาหาบของรู้สึกหนัก - ไม่ว่าง

เมื่อวางของลงแล้ว - ว่าง

ก่อนหน้าที่จะหาบของนั้น - ไม่มีทั้งไม่ว่าง และ ว่าง เท่ากับไม่มีอะไรเลย คือ จิตดั้งเดิม

ทำอย่างไรจึงจะฝึกให้เกิด จิตดั้งเดิม หรือ จิตเดิมแท้ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องค่อยทำค่อยไป

“ดัดสันดานตัวเราให้ดี ฝึกสมาธิเพื่อทำให้กิเลสเบาบางลงไป”

คำสอนที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการฝึกสมาธิ หรือแม้จะใช้เป็นคติเตือนใจในการปฏิบัติงานด้วยจิตที่แน่วนิ่ง ไม่วอกแวกก็คือ

“ข้าวของจัดถูก เรื่องราวจัดถูก จึงละได้ ทำจิตให้สงบได้”

ซึ่งดิฉันปฏิบัติได้ผลเสมอมา เพราะเมื่อรีบจัดเรื่องราวและข้าวของให้ถูกต้องไม่คั่งค้าง จิตใจก็เบาสบายมีสมาธิที่จะคิดอ่านแก้ปัญหา หรือทำงานใดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อาจารย์สูผู้มีเมตตาลึกล้ำ แม้เมื่อดิฉันพาลูก ๆ มากราบลาท่านก่อนออกเดินทาง พร้อมทั้งพาเพื่อนมาด้วย ขอให้ท่านช่วยขจัดทุกข์และบำบัดโรคภัยให้เขา ท่านก็สงเคราะห์ให้ด้วยความเต็มใจ และระหว่างที่ดิฉันไม่อยู่ ก่อนหน้าที่ท่านจะละร่างไปไม่กี่วัน ท่านยังได้พูดถึงดิฉันและลูกทั้งสอง พร้อมทั้งทำนายให้น้องติ๊ก ลูกสาวคนเล็กของท่านฟังไว้ เมื่อดิฉันกลับมาได้รับทราบจากน้องติ๊ก ดิฉันจึงตื้นตันใจจนสุดจะบรรยาย

บัดนี้ เมื่อท่านอาจารย์สู หรือ “เตี่ย” ได้จากพวกเราไปสู่ สันติภูมิแท้จริงแล้ว เหลือแต่ความประทับใจ ในเมตตาธรรมอันสูงส่งของท่านที่มีต้อพวกเราทุกคน แม้จะรู้ว่าบุญบารมีของท่านนั้นเหนือกว่าบุญกุศลของเรานักต่อนัก แต่ก็ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยเดชะความกตัญญูกตเวทิตาและด้วยกุศลผลบุญที่พวกเราได้ประกอบกรรมดีตลอดมาจงเป็นพลวปัจจัยช่วยเสริมบุญบารมีของอาจารย์สูผู้มีพระคุณให้ถึงซึ่งพุทธภูมิแดนนิพพานอันควรแก่ท่านเทอญ

อำไพ สุจริตกุล

๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๒

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:36 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
“อาเตี่ยลูกมาก”

ทมยันตี


vimol-siriphaiboon.jpg



“อาเตีย” เป็นผู้มีศีล แต่อาเตียกลับมีลูกมากเหลือเกิน หากวิธี “สร้าง” ลูกของอาเตียนั้นผิดแผกจากคนทั้งปวง

“อี๊ด เวลาจะกลับลงไป เอาปลาที่เน นะ ปลาสด ๆ เอาไปทำข้าวต้มปลาเลี้ยงลูก ๆ หวานดี”

“อี๊ด เอาหัวน้ำปลาดีไปใช้บ้างซิ เขาเพิ่งเอามาให้”

รักของเตี่ย คือ “การให้” ไม่มีอะไรที่เตี่ย “ให้” ไม่ได้ รวมทั้งการให้อย่างสูงสุด คือการสอน “คนให้เป็นคน” โดยสมบูรณ์

“อี๊ด อยากมีปัญญาดีไหมล่ะ ?”

ใครบ้างจะไม่อยากมีปัญญา โดยเฉพาะคนที่ หากินทางตัวอักษร ปัญญาย่อมเป็นสารพัดแระโยชน์ ยามใดที่ขาดปัญญา ยามนั้นอาชีพต้องพินาศอย่างแน่นอน

“เตี่ยมีคาถาเรอะ ?”

“เออ ไม่ต้องหากระดาษจดหรอก สั้นนิดเดียว จำง่าย ปฏิบัติง่าย”

แบบนี้คนคอยฟังก็ทำหูกางเป็นหูช้างเท่านั้นเอง

“ถ้าอี๊ดอยากมีปัญญา อี๊ดก็ต้องมีศีลก่อน พอมีศีล จะเกิดสมาธิ พอมีสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา”

คาถาบทนี้ของเตี่ย ทำให้คนฟังสะดุ้งใจ เพราะนั่นคือหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ใครก็ตามที่จิตยึดมั่นในความดีงาม จิตย่อมเป็นสมาธิ และสมาธินี้เองจะก่อให้เกิดปัญญาแจ่มกระจ่าง

“อี๊ดไม่เคยถือศีลหรอก เตี่ย”

คนอื่นที่มาหาเตี่ยไม่ค่อยกล้าเถียงเตี่ย หากเราทำเป็นประจำจนเตี่ยเคยว่า

“ไอ้อี๊ดปากมาก”

ทว่าเตี่ยเองก็ชอบให้เถียง เพราะเตี่ยเคยบอกว่า

“คนฟังเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ามันเข้าใจหรือเปล่า แต่คนพูดมาก เดี๋ยวก็รู้ว่ามันโง่หรือฉลาด” เรานั้นเถียงทีไร ขยายโง่ทีนั้น แต่ก็อดปากไว้ไม่ได้ตามประสาคนปากไว

“ถ้าอี๊ดไม่ถือศีล อี๊ดยึดหลักอะไรในใจล่ะ ?”

“เวลาอี๊ดจะทำอะไร อี๊ดถามตัวเองทุกทีว่า สุจริตหรือเปล่า ยุติธรรมไหม ถ้าอี๊ดแน่ใจว่า สุจริต ยุติธรรม อี๊ดก็ทำ”

“เออ นั่นแหละ...ใช้ได้ คนสุจริตยุติธรรม อย่าว่าแต่คนเลย เทวดาก็กลัว”

พอเอ่ยถึงเทวดา เตี่ยก็ถามว่า

“อี๊ด อยากเห็นผีไหม ?”

เรื่องนี้ละถูกใจนัก เพราะความอยากจะรู้ว่า ผีมีจริงหรือเปล่า เวลาใครเขาทรงเจ้าเข้าผี เป็นแจ้นไปดู แล้วก็หงายหลังกลับมาทุกที เมื่อเตี่ยถามอย่างงี้ เตี่ยอาจจะจับผีมาให้ดูบ้างก็ได้

“อยากเห็นซิเตี่ย เรียกมาดูเดี๋ยวนี้ได้ไหม ?”

“ได้ซิ”

ลงเตี่ยรับปาก เตี่ยเป็นทำทุกที

“ไหนล่ะ เตี่ย ?”

“มันอยู่ใกล้ ๆ นี่ล่ะ อี๊ดเอ๋ย คนเรา...เวลาตาย คือเวลาหมดสติสัมปชัญญะ หมดความทรงจำแล้วทุกวันนี้ เวลาอี๊ดนั่งคุยกับเพื่อน อี๊ดมีเวลาหมดสติบ้างหรือเปล่า ? ถ้าอี๊ดมีสติฟังเตี่ยได้ตลอด รู้ทุกคำ แม้แต่ว่าอี๊ดนั่งอย่างไร ทำอะไร หายใจอย่างไร เรียกว่ามีสติกำกับทุกอิริยาบถ อี๊ดก็เป็นคนเป็น ถ้าช่วงไหนอี๊ดขาดสติ ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ไม่ได้ยินที่เตี่ยพูด อี๊ดก็ขาดสติ อี๊ดก็กลายเป็นผี ผีมันอยู่ในตัวอี๊ดวันละนาน ๆ อี๊ดยังไม่รู้อีกหรือ ?”

นั่นคือวิธีการสอนเรื่องสติ ที่ทุกวันนี้เรายังไม่แน่ใจว่า เรามีเวลาเป็นผีมากว่าเป็นคนด้วยซ้ำ

“อี๊ดอยาก “เห็น” บ้างไหมล่ะ ?”

โอ๊ย...เนื้อเต้นเชียวละ ก็เวลาติ๊กนั่งสมาธิทีไร เรายังซักเสียแทบตายเลยว่า เห็นอย่างไร เหมือนดูโทรทัศน์ไหม ทำไมได้ยินเสียง ทำยังไงเราจะ “เห็น” มั่ง

“อยากซิเตี่ย”

“ง่ายจะตาย อี๊ดลองเริ่มหัดทำจิตยังงี้ก่อนนะ เวลาจะนอน อี๊ดต้องวางใจไว้ว่า ดีก็ไม่คิด เลวก็ไม่คิด”

เจ้าประคุณเอ๋ย...ตั้งแต่ฝากตัวเป็นทั้ง “ลูก” เป็นทั้ง “ศิษย์” มา เป็นแต่ฝึกจิตเท่านั้น ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะมีหน้าไป “เห็น” อะไร ที่เป็นผลพลอยได้ คือสามารถวางจิต “ลง” ให้หลับได้ตามเวลาที่ต้องการ โดยไม่ต้องพึ่งแวเลี่ยมอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ

“อี๊ดอยากได้ ไม้ บ้างไหมล่ะ ?”

“ไม้” ที่ว่าคือ ไม้อ้อยาวประมาณศอกกว่า ซึ่งถ้าเตี่ย “ลง” ให้แล้ว จะเป็น “ไม้ไล่ผี” ดีนัก หากคนที่ได้ไปต้องนำไปใช้ในทางที่เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์ โดยจะเรียกทรัพย์สินเงินทองจากใครไม่ได้ แถมถ้าใครมาเรียกให้ไปช่วยยามไหน ต้องไปยามนั้น จะอิดออดไม่ไปไม่ได้

“ไม่เอาล่ะ เตี่ย” เราเริ่มสั่นหัวดิก

“ขี้เกียจไปตั้งตัวเป็นเจ้าแม่”

“มันขี้เกียจนัก เตี่ยจะใช้ให้เข็ด”

“ไม้” อันแรกที่ทำให้ เผอิญพระมีชื่อองค์หนึ่งเคยได้ไม้อย่างนี้ไป แล้วทำของตัวหาย จึงมาขอเตี่ยไปเสียก่อน เราจึงรอดพ้นจากการเป็น “เจ้าแม่” ไปอย่างหวุดหวิด แต่เตี่ยก็ทำไม้อันที่สองให้เราจนได้

“ไม้นี่ดีนา” เตี่ยโฆษณาสรรพคุณ

“เอาไว้ป้องกันตัว เวลาหมาจะกัดอี๊ด อี๊ดก็เอา ตีหมาเสียซิ”

“แหม ทำยังกับเตี่ยเป็นหัวหน้าพรรคกระยาจก”

เตี่ยหัวเราะชอบใจ และทุกวันนี้ “ไม้” ของเตี่ยก็ยังอยู่บนโต๊ะพระ โดยเวลาสวดมนต์ทีไร ไม้ของเตี่ยก็ตี “ผี” ในใจของเราให้ออกไปได้ทุกที นับว่า ไม้ของเตี่ยศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ

“เอ้า ปรอทของอี๊ด แต่อี๊ดต้องสัญญาก่อนนะว่า ถ้าใครเป็นมะเร็งมาขอยาปรอท อี๊ดต้องทำให้เขาฟรี ๆ เรียกร้องอะไรไม่ได้”

นับจากนั้น คนในบ้านเราก็ต้องทำยาปรอทแจกชาวบ้านเขาจนตาเหลือก...โธ่ อาเตียนะอาเตีย...ตอนนี้ทั้งไข่ ทั้งถ่านแพงหูดับ อี๊ดจะม้วยอยู่แล้ว แต่เมื่อเตี่ยสั่งซะอย่าง อี๊ดก็ต้องทำ

อีตอนที่ “หนักหนา” คือ ตอนที่จะมีลูกคนสุดท้าย เตี่ยมักมองเราอย่างเป็นห่วง แล้วก็พูดภาษาจีนกับติ๊ก โดยไม่ยอมให้เรารู้

“เตี่ยแปลซิ พูดอย่างนี้ อี๊ดจะรู้เรื่องหรือ ?”

“เออน่า อย่าสอดรู้สอดเห็นนักเลย”

วันที่จะออกจากบ้านไปโรงพยาบาล เราไม่รู้เหมือนกันว่า สันนั้นทำไมไม่อยากจากบ้าน ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวลุกขึ้นอาบน้ำตั้งแต่ตีสี่ กว่าจะไปก็ตีห้า แถมตอนนั่งรถ ยังเหลียวดูบ้านที่เปิดไฟไว้สว่างจนลับสายตา หัวใจขณะนั้นค่อนข้างวาบหวิว ห่วงอาลัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

ลูกคนเล็กคลอดเมื่อเวลา ๐๗.๔๕ น. ด้วยน้ำหนักตัวถึง ๕,๑๕๐ กรัม คือ ๕ กิโลกับอีกขีดครึ่ง นับเป็นเด็กที่แม่คลอดเอง โดยที่มีน้ำหนักตัวมากที่สุด ตอนที่เราฟื้นขึ้นมานั้น พยาบาลเข็นรถลูกเข้ามาให้ดูหน้า เรายังสงสัยตัวเองว่า ทำไมดูหน้าลูกไม่ชัด ทุกอย่างดูคล้ายเป็นหมอกมัว ไ กั้นไว้ แล้วอีกครู่ก็ได้คำตอบ คือมีอาการตกเลือดจนช๊อค อาการแบบนี้นั้นมารู้ทีหลังว่า มีคนตายเสียนักต่อนัก หากเราอยู่ระหว่างความเป็นความตายได้ ๕ วันก็รอด โดยหมอตอบกันไม่ถูกว่ารอดเพราะอะไร หากเมื่อเรากะย่องกะแย่งมาหาเตี่ยในภายหลัง เตี่ยบอกว่า

“ทำไมวันนั้นไม่รีบไปโรงพยาบาล ถ้าอี๊ดไปช้า รถติดตอนเช้า ๆ อี๊ดจะออกลูกตายในรถ”

เตี่ย “รู้” เรื่องนี้ได้อย่างไรก็สุดแต่จะคิดกันเอาเอง

“เตี่ยไม่ให้อี๊ดตายหรอก ลูกยังเล็ก ใครจะเลี้ยงลูก”

ประโยคนี้ก็คือ ประโยคที่เราคิดอยู่ในใจ ขณะที่ “วิญญาณ” เกือบจะลอยล่องออกจากตัวเสียแล้วและเตี่ยก็ “รู้” อีก

เมื่อเราออกจากโรงพยาบาลแล้วนั้น “เลือดของเรายังไม่ปกติ หมอเองก็ค่อนข้างแน่ใจว่า คนไข้คงไม่มีชีวิตอยู่เกินปี เพราะจะต้องผ่าตัดซ้ำสอง เย็บหน้าท้องใหม่”

“อี๊ดมีเงินบ้างไหม ถ้าไม่มีเงิน อี๊ดก็ต้องกินเลือดหมาดำหนึ่งตัวนะ เลือดอี๊ดจะได้เป็นปกติ”

“ไม่เอา เตี่ย สงสารหมามัน”

เตี่ยปรุงยาผสมโสมให้กินพลางปลอบว่า

“เงินหาใหม่ได้นะอี๊ด แต่ชีวิตใหม่มันยากกว่า”

เวลานี้ลูกคนเล็กอายุ ๖ ขวบแล้ว และเราก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วยยาของเตี่ยโดยแท้...เตี่ยกับเรามีเรื่องมากจนเขียนไม่หมด เพราะเรื่องเหล่านั้น เท่ากับลูกกับอาเตียจะพึงมีต่อกัน เราเถียวเตี่ยบ้าง ดื้อบ้าง ขู่เตี่ยบ้าง

“เตี่ยกินกาแฟมาก ๆ ไม่ดี เตี่ยต้องผสมโอวัลตินนะ”

“เออ...”

“เตี่ยอย่าสูบบุหรี่มากนักซิ เดี๋ยวก็ไอ”

“เออว่ะ”

วันดีคืนดี เตี่ยก็ถามว่า “อี๊ด ตั้งแต่เขียนหนังสือมา เคยได้รางวัลอะไรบ้างไหม ?”

“ไม่มีใครเขาให้หรอก เตี่ย นอกจากรางวัล ป.ม.”

“เออ คราวนี้อี๊ดจะได้รางวัลจากคนสูงสุดในแผ่นดินเสียด้วย”

เราไม่สนใจ ตนเมื่อได้รับพระราชทานรางวัลตุ๊กตาทองจากเรื่อง “คู่กรรม” โดยรับจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอง จึงนึกขึ้นได้

“อี๊ดดื้อ”

เตี่ยบ่นอย่างนี้เสมอ และบัดนี้...ประดาลูกดื้อทั้งหลายแหล่ ไม่มีเตี่ยคอยสอนอีกแล้ว จะเหลือก็แต่ ความทรงจำอันงดงามที่ “อาเตีย” มีต่อประดาลูก ๆ มากมายของเตี่ยเท่านั้นเอง “ละคร” ของเตี่ยปิดฉากอย่างที่เตี่ยกล่าวไว้ แต่ “ละคร” ของลูก ๆ ยังต้องโลดแล่นต่อไป และเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า พอละครของเราปิดฉาก ที่ ๆ เราจะต้องไปคงไม่ “เรียบ เรียบ” อย่างที่อาเตีย “ส่งข่าว” มา เพราะคนเถียงพ่อเถียงแม่ จะต้องปากเท่ารูเข็มอย่างแน่นอน

“...เตี่ย...ช่วยหน่อยนะ อี๊ดไม่อยากตกนรก อี๊ดอยากเป็นเทวดา...”

“มีสติก่อนซิ อี๊ด อี๊ดจะได้เป็นคน ไม่เป็นผี”

ถ้าเตี่ยอยู่ เตี่ยก็คงสอนอย่างงี้

“แล้วอี๊ดก็ต้องสุจริตเที่ยงธรรม แค่นี้ก็เป็นเทวดา ของง่าย ๆ”

ที่เตี่ยสอนไว้น่ะ ไปถามลูกคนไหนเถอะเป็นจำได้ทุกคน หาก...เราขอถามมายังประดา “ลูก ๆ” เตี่ยทั้งหลายทีเถอะว่า

“ทำได้หรือเปล่า ?”

ร้อยทั้งร้อยก็ต้องตอบอ่อย ๆ ว่า

“เปล่า...”

เราอยากจะถามเตี่ยจังว่า “เตี่ยมีลูกมากเสียเปล่า แต่ไม่ได้ความเลย จริงไหม ?”

ตอนนี้เตี่ยคงรู้แล้วว่า “ลูกมากจะยากนาน” เพราะ “ลูกมาก” และ “ดื้อ” ทั้งนั้น งานศพจึงวิลิศมาหรา ขัดคำสั่งเตี่ย ทุกถ้อยกระทงความ หลักประหยัดมัธยัสถ์ “กินง่าย อยู่ง่าย ตายเงียบ” ของเตี่ยพังเค้เก้ไม่มีชิ้นดี แต่เตี่ยก็อาจจะ “รู้” อีกก็ได้นะว่า การสั่ง “สามวันเผา” ลูก ๆ จะเล่นเสีย “ร้อยวันเผา” ถ้าขืนสั่ง “ร้อยวันเผา” เราคงเผาปีหน้าเป็นแน่แท้ เตี่ยอยากมีลูกมากก็อย่าเสียใจเลยนะจ๊ะ มันดื้อกับเตี่ยได้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้นแหละ จากนั้นเตี่ยก็คอยสมน้ำหน้ามันได้แล้ว เพราะมันไม่มีเตี่ยไว้ดื้อรั้นด้วยอีก เวลานี้ พวกลูก ๆ ไม่ใช่ “น้ำตาเช็ดหัวเข่า” หรอกเตี่ย มันเช็ดถึงข้อเท้ากันทุกคนเลยนะจ้ะ

ลูกคนหนึ่งของเตี่ย

ทมยันตี

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:40 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
คำไว้อาลัยแด่

ท่านอาจารย์ สู พรหมเชยธีระ

โดย พ.ต.อ. เทียน สุโกศล


ท่านอาจารย์สู (เสียง) พรหมเชยธีระ กระผมได้รู้จักชื่อเสียงเกียรติคุณงามความดีของท่านมานานกว่า ๒๐ ปีแล้ว จากคำบอกเล่าของญาติมิตร คนสนิทชิดชอบกับกระผม ความรู้สึกในเบื้อแรก ก็เพียงความปิติยินดีและนิยมชมชอบในความรู้ความสามารถของท่านทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน และความประพฤติในทางที่ดี ที่เป็นกุศลของท่านตามธรรมดาเท่านั้น ครั้นต่อมาประมาณ ๗-๘ ปีก่อน กระผมเกิดเจ็บคอผิดปกติ และได้พยายามให้แพทย์ตรวจรักษาฉีดยาระยะติด ๆ กันถึง ๔๕ วัน อาการเจ็บคอก็ยังไม่ดีขึ้น แพทย์แนะนำว่า ควรจะต้องตัดเนื้อเยื่อในลำคอไปตรวจให้แน่ชัดว่าจะเป็นโรคอันตรายหรือไม่ ทำให้กระผมรู้สึกกระวนกระวายใจ คิดไปว่า ถ้าตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ เกิดพบเป็นโรคอันตราย ก็เป็นอันหมดอาลัยในชีวิต เราทุกคนรู้ดีว่า เกิดแล้วต้องตาย มาแล้วต้องไป แต่โลกที่มนุษย์เราอยู่นี้ ยังมีอะไรน่าพิศวง ถ้าไปได้ช้าหน่อย ก็อยากอยู่ดูโลกอีกต่อไป จนกว่าเราจะอยู่ไม่ได้ จึงทำให้คิดหาทางจะรักษาอย่างไรพอจะมีความหวังให้หายเจ็บคอได้ โดยไม่ต้องทำการตัดเนื้อเยื่อในลำคอไปตรวจ และจะด้วยบุญกุศลที่สร้างสรรค์ร่วมกับท่านอาจารย์สูมาก่อนก็ว่าได้ จึงทำให้กระผมนึกถึงท่านอาจารย์สูขึ้นมาว่า ท่านอาจจะช่วยตรวจและให้คำแนะนำหรือรักษาทางจิตศาสตร์ก็ไม่แน่ กระผมจึงให้เพื่อนสนิทนำไปพบที่นิวาสถานของท่าน ใน อ.เมือง จ.ว.ชลบุรี เป็นนิวาสถานที่แปลก ๆ สร้างขึ้นคล้ายกับศาลาวัด อาคาร ๒ ชั้น ข้าง ๆ อาคารเป็นโรงครัวและเรือนพัก ชั้นบน อาคารใหญ่ ได้ตั้งรูปพระภิกษุหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์เท่า ๆ กับขนาดรูปคนธรรมดา ซึ่งท่านอาจารย์สูได้บอกเพียงแต่ว่า เป็นรูปของอาจารย์เชย ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ให้ความรู้และเป็นที่เคารพของท่านอาจารย์สูอย่างยิ่ง แล้วไม่ได้อธิบายเรื่องราวมากกว่านี้

เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ เมื่อหลังจากที่กระผมได้สนทนากับท่านอาจารย์สูในครั้งแรก ได้พูดถึงเรื่องอาการเจ็บคออยู่พักหนึ่ง โดยมิได้พูดคุยถึงประวัติอาชีพของตัวกระผม ท่านก็เลยนั่งทำสมาธิสักครู่หนึ่ง แล้วบอกว่าอาการเจ็บคอนั้น เห็นจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ไม่ควรให้ตัดเนื้อเยื่อไปตรวจ ถ้าพบเป็นโรคร้ายจริง ก็จะให้ลามเจ็บมากขึ้น แล้วรักษาไม่ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านอาจารย์สูออกตัวว่า ท่านไม่ใช่หมอ แต่ลองเอาตำรายาจีนของท่านไปซื้อจากร้านขายยาจีน แล้วไปต้มรับประทานครั้งละ ๑ ห่อ หลังจากนั้นอาการเจ็บคอจะดีขึ้นหรือไม่ขอให้ช่วยส่งข่าวด้วย กระผมชั้นแรกก็ยังเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่ก็ไม่มีทางเลือก จึงไปจัดการตามที่ท่านอาจารย์สูสั่งไว้ แล้วผลที่ออกมาแปลกจริง ๆ เพราะหลังจากรับประทานยาเพียงห่อแรก ในคืนวันแรก ต่อมาเช้าวันรุ่งขึ้น อาการเจ็บคอที่มีลักษณะเหมือนกับก้างติดคอนั้น ได้หายไปอย่างสนิท กระผมก็เลยรับประทานอีก ๔-๕ ห่อเพื่อความสบายใจ และดีใจจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จะนำสิ่งของอะไรไปขอบใจท่านอาจารย์ ก็ถูกสั่งห้ามโดยเด็ดขาด จากนั้นมา กระผมก็ใช้เวลาว่าง หรือผ่านไปก็แวะเยี่ยมเยียนสนทนากับท่านอาจารย์สูอยู่เสมอ จึงทราบอุปนิสัยและความรู้สึกนึกคิดของท่านอาจารย์ว่า เป็นคนไม่โอ้อวดและวางตัวเป็นผู้มีความสงบเสงี่ยม

ในทางสนทนาธรรม มีตอนหนึ่งที่ประทับใจกระผมว่า จนถึงปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต นักค้นคว้าวิจัย นักเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งหลายในมวลชนจักรวาลที่กล่าวอ้าง แจกแจง สาธยายเหตุผลข้อมูลอย่างใด ๆ ก็ตาม รวมความแล้ว ก็หลีกไม่พ้นข้อเท็จจริงในหลักเกณฑ์ที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แจ้งไว้ว่า บรรดาสรรพสัตว์รวมถึงมนุษย์เราที่เกิดมาแล้วดำรงชีวิตอยู่ จะต้องผูกพันอยู่กับสภาวธรรม ความโลภมาก อยากมี ไม่อยากมี อยากได้ ไม่อยากได้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้ เมื่อโลภมาก ๆ จนเข้าลักษณะมัวเมา ก็เกิดหลงใหล เลอะเทอะ ไม่คำนึงถึงเหตุผลข้อเท็จจริงว่า เราอยู่คนเดียวไม่ได้ในโลก ไม่คำนึงว่าควรหรือไม่ควร ถูกหรือผิด แล้วคิดอารมณ์ร้อนรนฉุนเฉียว ขี้โมโหโกรธา ขาดสติสัมปชัญญะ ความยั้งคิด ฉะนั้นเรื่องความ โลภ โกรธ หลง จึงมีประจำตัวบุคคลทุกรูปทุกนาม ที่เกิดมาจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ เมื่อวายปราณ เรารู้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสามัญชนหรือปัญญาชน รวมทั้งผู้มีอำนาจวาสนา ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จำนวนมากมาย ในขณะที่เข้าไปร่วมอยู่ในพิธีงานศพ ก็มักจะปรารภเสมอว่า เราเกิดมาทุกคนก็มาด้วยมือเปล่า แล้วจากไปก็ไปด้วยมือเปล่า ไม่สามารถจะนำอะไรติดตัวไปได้เลย

แต่แล้วผู้ที่รู้ทั้งรู้เหล่านี้ หลังจากปรารภแล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมะอะไรบ้าง ที่เหมาะสมกับสิ่งที่ตนอ้างว่ารู้หรือไม่ ความรู้ย่อมมีอยู่ด้วยกันทุกคน จะรู้ผิวเผินตามธรรมดาอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง หรือรู้ซึ้ง รู้แจ้ง รู้จริงหรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับ กรรมและผลกรรมของแต่ละบุคคล ท่านอาจารย์สูท่านไม่ประสงค์ที่จะทำให้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องและปรัชญาธรรมอันประเสริฐของพระพุทธศาสนาให้มีราคีและเกิดความรู้สึกเสื่อมเสียต่อปวงชนส่วนใหญ่ ท่านจึงมิกล้าที่จะนำตัวท่านไปห่มคลุมกาสาวพัสตร์ของสถาบันสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ท่านจึงเพียงแต่ดำรงตนเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ในศีล ท่านพยายามทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์สุขต่อมวลชน ท่านเสมือนหนึ่งพระโพธิสัตว์ที่มิได้ประกาศอวดอ้างและกระทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ ในที่สุดท่านก็ได้ทอดทิ้งร่างกายของท่านไว้ให้บุตรหลานเกิดความเศร้าโศก ในวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒ เวลา ๒๐.๔๕ น. แต่ความเป็นจริงแล้ว สัญลักษณ์ความดีทั้งหลายที่ท่านได้กระทำอยู่ ย่อมเป็นที่จารึกแก่พวกเราและบุตรหลานต่อไปชั่วฟ้าดินสลาย

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:41 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
คำไว้อาลัยของลูกหลาน

เตี่ย

ตอนเตี่ยมีชีวิตอยู่ เวลาเตี่ยบอกว่ารักลูก พวกเราก็ไม่ค่อยเชื่อ เพราะเตี่ย “โหด” ยังกับอะไรดี (ในสายตาของพวกเรา) เวลาเราร้องไห้ เตี่ยก็ถามว่า

“จะร้องหรือจะหยุด”

ถ้าเราตอบว่าจะร้อง เตี่ยก็ปล่อยให้เราร้องกรี๊ดเรื่อยไป พอเราเหนื่อย เราจะหยุด เตี่ยก็ตีให้เราร้องตามสัญญา จนเราหอบแฮ่ก ขอให้ทำสัญญาสันติภาพ ฉบับใหม่ว่า เราจะไม่ร้องอีกต่อไป หรือเวลาเราเกเร ทะเลาะกับพี่น้อง เตี่ยก็จับเราทั้งคู่มาตีกันจนหมดแรง เพราะถ้าไม่ตีกัน เตี่ยจะตีแทน หากเราซุกซน เตี่ยก็จะเขียนวงกลมไว้ให้นั่งหงอยอยู่ในนั้น ถ้าเราจะไปห้องน้ำ เตี่ยก็ลากเส้นไว้ให้เดินไป แล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม พวกเราจึงกลัวเตี่ยมากกว่าอะไรทั้งหมด

แต่พอมาถึงวันที่เราเห็นเตี่ยนอนนิ่ง หน้ายังยิ้ม ดุจยินดีที่ละจากโลกนี้ไปเสียได้ พวกเราจึงรู้ว่า “รัก” ของเตี่ยคำนั้นมีค่ามากมายปานใด แต่กว่าเราจะรู้ มันก็สายไปเสียแล้ว ถึงกระนั้น “สาย” ก็ยังดีกว่า “ไม่เคยรู้” เสียเลย ในวันนี้ พวกเราจึงอยากบอกเตี่ยบ้างว่า “ลูกทุกคนรักเตี่ย” ถ้าเตี่ยมีชีวิตขึ้นมาใหม่ พวกเราจะไม่ทำอย่างที่เคยทำ “แต่...สัญญา” ฉบับใหม่นี้ เตี่ยก็ไม่ได้อยู่เซ็นรับรองเสียแล้ว

พวกเราจะไม่พูดอะไรมาก เพราะความจำย่อมมีค่ากว่าคำพูดเสมอ พวกเราทุกคนมั่นใจว่า เราจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเตี่ยอยู่ตลอดกาล เป็นความทรงจำที่จะไม่มีสิ่งใดมาลบเลือนลงได้ เพราะเรารักเตี่ย เหมือน ๆ กับที่เตี่ยเคยบอกว่ารักพวกเรา

จากลูก ๆ ทั้งหมดของเตี่ย

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ย


การจากไปกระทันหันของเตี่ย คือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของลูก ๆ ทุกคน ด้วยพระคุณของเตี่ยที่มีต่อพวกเราทุกคนนั้น มีมากเกินกว่าที่พวกเราทุกคนจะอธิบายได้ แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่พวกเราภูมิใจอยู่เสมอว่า เตี่ยได้ให้ไว้แก่ลูก ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเตี่ย ที่จะอยู่กับลูกตลอดไป สิ่งนั้นก็คือ “คำสั่งสอนของเตี่ย” ซึ่งเตี่ยได้ปลูกฝังไว้ให้ลูกตั้งแต่เล็กจนโต เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง คำสั่งสอนของเตี่ยนั้น นอกจากจะใช้คำพูดแล้ว ยังใช้ “การกระทำ” ให้พวกเราไปขบคิด เข้าใจเอาเอง ซึ่งส่วนมาก ลูก ๆ ตามเตี่ยไม่ค่อยทัน และก็มีบางเรื่องที่หมดโอกาสจะซักถามเตี่ยให้เป็นที่เข้าใจได้อีกต่อไปแล้ว

ลูกขอถ่ายทอดแนวคำสอนและเรื่องราวบางประการของเตี่ย ไว้ในหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพของเตี่ย เพื่อส่วนหนึ่งเป็นการระลึกถึงเตี่ย และอีกส่วนหนึ่ง เพื่อเป็นการเทิดทูนพระคุณของเตี่ย ถ้าหากจะมีผู้ใดได้ประโยชน์อะไรไปจากคำสอนและเรื่องราวของเตี่ยแล้ว ก็ขอให้ผู้นั้นได้เข้าใจถึงคุณงามความดีของเตี่ยซึ่งไม่มีวันดับสูญไปตามกาลเวลา

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:47 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ยอบรมลูก ๆ


เตี่ยเป็นคนจีนที่ค่อนข้างจะถือระเบียบประเพณีจีนเก่า ๆ ในการอบรมสั่งสอนลูกในตอนเด็ก ๆ และยึดถือคติ “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” โดยเฉพาะในการเลี้ยงลูกสาว เตี่ยเข้มงวดกวดขันมาก ไม่เคยอนุญาตให้ลูกสาวไปที่ไหนเลย นอกจากโรงเรียน ตั้งแต่เล็กจนโต แม้จะไปกับผู้ใหญ่ที่คุ้นเคย เตี่ยก็ไม่ยอมให้ไป เพราะไม่ต้องการให้ลูกไปก่อความเดือดร้อนให้ผู้ใดทั้งสิ้น ลูกสาวของเตี่ยจะเก่งในงานบ้าน เพราะจะต้องทำมาตั้งแต่เด็ก ส่วนลูกชายก็ไม่ค่อยปล่อยให้ไปเที่ยวเล่น นอกจากจะต้องช่วยงานบ้านแล้ว เมื่อมีเวลา เตี่ยก็จะให้ไปขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นขายไอศกรีมแท่ง ซึ่งต้องเดินขาย เหนื่อยแสนเหนื่อย แถมกำไรยังไม่พอซื้อก๋วยเตี๋ยวสักชามเลย

เตี่ยสอนให้ลูกทุกคนเคารพและกตัญญูต่อพ่อแม่ เมื่อทำผิด เวลาเตี่ยจะตี ไม่ให้วิ่งหนี ต้องรู้จักรับผิด วิธีการอบรมลูกของเตี่ยนั้นใช้วิธี “หนามยอก เอาหนามบ่ง” เตี่ยมักใช้วิธีแปลก ๆ แต่ได้ผลเสมอ เช่นเมื่อลูกคนใดร้องไห้งอแง เตี่ยก็จะปล่อยให้ร้องไปตามความพอใจ แต่ถ้าหยุดเมื่อไหร่จะโดนตี หรือ ถ้าลูกสองคนตีกัน เตี่ยก็จะให้ทั้งสองคนตีกันคนละที แรง ๆ ถ้าใครหยุดตี เตี่ยก็จะตีคนนั้น ลูกคนไหนที่ถูกลงโทษด้วยวิธีแบบนี้ จะต้องร้องเป็นเสียงเดียวดันเลยว่า เตี่ยกลัวแล้ว เข็ดแล้ว ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่มีใครกล้าทำอีกจริง ๆ

มีอยู่คราวหนึ่ง ลูก ๆ ๒ คน ทะเลาะกันเรื่องแย่งหูหมู เตี่ยก็เลยซื้อหูหมูมาให้ ทั้งสองกินกันทุกวัน ตอนแรก ๆ ก็ดีใจ ได้กินของชอบ กินอยู่ได้สิบกว่าวันก็เบื่อ พอเห็นก็อยากจะอาเจียน แต่ก็ต้องกิน เพราะถ้าไม่กินก็จะถูกตี ในที่สุด ทั้งสองคนก็ต้องรับผิดกับเตี่ยว่า ทีหลังจะไม่ทะเลาะกันอีกเรื่องแย่งของกิน มาจนเดี๋ยวนี้ ทั้งสองคนก็ยังไม่ค่อยอยากจะกินหูหมูอีกเลย

โดยเหตุที่เราเป็นครอบครัวคนจีน เรื่องขนบธรรมเนียมต่าง ๆ เตี่ยสอนให้ลูก ๆ รู้จักทำแต่พอควร เอาเท่าที่จะเกิดประโยชน์ อย่าทำฟุ่มเฟือยอย่างตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และไม่ให้ทำด้วยความเชื่อถืองมงาย ไม่มีเหตุผล อย่างเช่น เรื่องฤกษ์ยาม เตี่ยมักจะพูดเสมอ ๆ ว่า “เอาเวลาที่สะดวกที่สุด ถือเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด” สำหรับประเพณีจีนบางอย่างเตี่ยจะเล่าให้ลูก ๆ ฟังถึงต้อนกำเนิดและความเป็นมาวันนั้น ไม่ใช่เอะอะมะเทิ่งทำตามคนอื่นไป โดยไม่รู้เรื่อง เช่นประเพณีการไหว้พระจันทร์ สาเหตุเกิดจากเมื่อตอนคนจีนจะกู้ชาติ เป็นวันที่นัดจะลงมือทำการ ฉะนั้นถ้าจะไหว้พระจันทร์ก็ให้ระลึกถึงบรรพบุรุษที่เสียสละชีวิตเพื่อชาติ และให้สอนตนเองให้มีความเสียสละเหมือนบรรพบุรุษ แทนที่จะคิดถึงพระจันทร์เฉย ๆ

สำหรับหลักในการดำเนินชีวิต เตี่ยให้ยึดอยู่ ๒ คำ คือ “สติ” และ “ยุติธรรม” การมีสติคือ ให้รู้ตัว พิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดย

ประการแรก ให้พิจารณาอย่างมีเหตุผล และมีหลักเกณฑ์ ไม่ใช่ทำอะไรตามอำเภอใจ คิดจะทำก็ทำ ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “เท่งแซ เท่งซี้” คือ นึกจะเกิดก็เกิด นึกจะตายก็ตาย ปล่อยจามเรื่องตามราว ไม่มีจุดหมายแน่นอน เหมือนอย่างจะทำเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก็ต้องให้รู้ว่า ตัวเรามีน้ำหนักนั่งลงไป มีที่วางมือสองข้างช่วยรับน้ำหนัก มีข้างหลังไว้พิงแบ่งน้ำหนักไปอีก เมื่อนั่งลงไปแล้ว เก้าอี้ตัวไหนแบ่งน้ำหนักได้มากที่สุดละก็เรียกว่า ช่างหัวดีที่สุด สวยหรือไม่สวยอีกเรื่องหนึ่ง เก้าอี้สวย นั่งลงไปแล้วรู้สึกอึด ๆ อัด ๆ ก็ป่วยการ เมื่อแยกแยะได้อย่างละเอียดลอออย่างนี้แล้ว ก็เลือกทำเลือกใช้ในสิ่งที่ตรงกับความต้องการ ก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ตนได้มากที่สุด และก่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

ประการมี่สอง ให้พิจารณาอย่าง “รู้เรา รู้เขา” หรือ “เน่งใจ ส่อใจ” ในภาษาแต้จิ๋ว คือ ให้พิจารณาว่า เรารู้เขา หรือ เขารู้เรา เรียกว่ายังตกอยู่ในชั้นปริญญาตรี รู้การเปรียบเทียบอยู่ในชั้นปริญญาโท เรารู้เขา ถึงจะเรียกว่าได้ปริญญาเอก ยกตัวอย่างเช่น ถามว่า รู้จักถ้วยหรือไม่ ถ้าตอบว่ารู้ ถามต่ออีกทีหนึ่งว่า ถ้วยใบนี้ทำมาจากอะไร ทำได้อย่างไร อย่างไหนถึงจะเรียกว่าถ้วยดี ตอบข้อนี้ไม่ได้เรียกว่า ถ้วยรู้จักเรา ไม่ใช่ เรารู้จักถ้วย เรารู้เขานั้น อย่างน้อยที่สุดจะต้องรู้ “ลี้ สื่อ ม้วย” ลี้ หมายความว่า รู้หลักสูตร สื่อ หมายความว่า รู้การงาน เราทำได้ ส่วน ม้วย หมายความว่า รู้วัตถุว่าใช้อย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี เมื่อที่จะทำอะไรก็คิดเสียก่อนให้รู้ตนเองว่า เราทำได้หรือไม่ ให้รู้เขาว่า ทำอย่างไหนถึงจะดีที่สุด ถ้ายังตกอยู่ใน เขารู้เรา ก็ให้เตือนตนเองว่า อย่าหยิ่ง อย่าอวดดี

ประการที่สาม ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ คิดถึงทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อน คือคิดว่า ถ้าได้แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าเสียแล้วจะทำอะไร ไม่ใช่คิดแต่ทางได้อย่างเดียว เตี่ยใช้คำว่า คิดเผื่อไว้มีก้าวถอยหลัง” ยกตัวอย่างเช่น จะซื้อรถคันหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะใช้แล้วก็ซื้อ ต้องคิดเสียก่อนว่า เวลาขับรถไปชนเขาแล้วจะทำอะไร หรือถ้ารถเสีย จะมีเงินสำรองไว้ซ่อมหรือไม่ และที่สำคัญต้องคิดว่า จะใช้รถให้ได้ประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่ซื้อ รวมทั้งดอกเบี้ยที่จะได้รับ หากว่าเอาเงินนั้นไปฝากธนาคาร ตลอดจนค่าเสื่อมราคา อย่างนี้เป็นต้น คิดอย่างนี้แล้ว ถ้ามีอะไรขัดข้อง ก็ยังถอยหลังมาตั้งหลักใหม่ได้

สำหรับ “ยุติธรรม” นั้น เมื่อเรามีสติ รู้ผิดชอบชั่วดีแล้วทำอะไรลงไป ก็ให้ยุติธรรมแก่ตนเองและผู้อื่น เตี่ยสอนว่า “ยุติธรรมแล้วไม่ต้องถือศีล” คือ ศีลเปรียบเหมือนกฎหมาย ถ้าคนเราไม่มีทำผิดเลยกฎหมายก็ใช้ไม่ได้ ศีลนั้นเป็นระเบียบตายตัว ใช้สำหรับคนไม่รู้ ผู้รู้แล้วมีความยุติธรรม เท่ากับเป็นต้นขั้วของศีล ไม่จำเป็นจะต้องไปยึดอยู่กับสิ่งตายตัว ซึ่งจะทำให้จิตใจคับแคบ ขาดประโยชน์เท่าที่ควร

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เตี่ยมักจะสอนให้ลูกคิดอยู่เสมอว่า คนเราเกิดมา ถ้าเดินทางพระแล้วก็แล้วไป แต่ถ้ายังอยู่ในโลก ก็ต้องก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือ เมื่อทำงานก็ทำให้ดีที่สุด อย่าให้บกพร่อง ให้สมกับที่เกิดมาชาติหนึ่ง ทั้งให้รู้คุณของแผ่นดินที่อยู่อาศัย มิฉะนั้นจะเป็นคนไม่มีค่า เหมือนอย่างคำพูดที่ว่า “ของยิ่งเก่ายิ่งมีราคา คนยิ่งแก่กลับไม่มีราคา” เราเองต้องมีจุดหมายเอาไว้ให้แน่นอน จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสามสิ่ง ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า ทีจ่อ นั้งจ่อ จู่จ่อ แปลว่า ฟ้าช่วย คนช่วย ตัวเองช่วย หมายความว่า คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น ต้องมีสามอย่างควบกันถึงจะดีที่สุด คือตัวเองต้องช่วยตัวเองก่อน ประกอบกับเมื่อมีคนอื่นคอยช่วยสนับสนุนและมีโอกาสดี เมื่อที่รู้อย่างนี้แล้ว ทำอะไรก็ต้องพึ่งตนเองก่อน และมีความอดทนที่จะทำงานนั้นให้สำเร็จ อย่าท้อถอยหรือมัวรอให้คนอื่นช่วยหรือคอยโอกาส จะเป็นอย่าง “สถานการณ์สร้างสุภาพบุรุษ” หรือ “สุภาพบุรุษสร้างสถานการณ์”

สำหรับเรื่องครอบครัว เตี่ยมักพูดเสมอว่า “ความรักเปรียบเหมือนใยแมลงมุมที่ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เหนียวแน่นจนแม้นเสือเข้าไปติดตัวหนึ่งก็ยังดิ้นไม่หลุดเลย” เมื่อเราแต่งงานมีลูกมีหลาน เรารักลูก เมีย หลานของเรา ความรักก็ซ้อนขึ้นไปเป็นชั้น ๆ รัดเราจนเราดิ้นไม่หลุด โดยเฉพาะกับนักปฏิบัติเป็นเหมือนการก่อเวรผูกพันตนเองไว้ สร้างหนี้สินที่เราจะต้องชดใช้จวบจนเราตายไป ในยามว่าง เตี่ยมักจะท่องโคลงจีนบทหนึ่งให้ลูกฟังอยู่เสมอ แปลเป็นไทยแล้วพอได้ใจความว่า

ตายแล้วไม่ต้องเศร้า

ไม่ต้องทำพิธีรีตองใหญ่โต

แล้วก็กลับมาเกิดเป็นตัวกูอีก

ไปหาพรรคพวกพี่ ๆ น้อง ๆ ใหม่

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:52 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ยกับหลวงก๋ง

soo-05-01.jpg


เตี่ยพบหลวงก๋งเมื่อเตี่ยอายุได้ประมาณ ๔๑ ปี ตอนนั้นหลวงก๋งอยู่ที่วัดราษฎร์บำรุงในตัวเมืองชลบุรีนี่เอง ชาวบ้านมักเรียกหลวงก๋งว่า “ขรัวตาเชย” โดยปกติท่านไม่ค่อยพูดกับใคร ทั้งยังชอบทำอะไรแผลง ๆ จนคนหลายคนเรียกท่านว่า “ขรัวตาเชยบ้า” หรือ “พระบ้า” ท่านนุ่งจีวรเก่า ๆ สกปรก ๆ เดินไปไหน หมาเห่ากันเกรียวกราว แล้วก็เดินตามท่านเป็นฝูง ๆ ท่านชอบเก็บเศษกระดาษหรือหนังสือพิมพ์เก่า ๆ ขาด ๆ ตามข้างถนน ที่จำวัดของท่านอยู่ในกุดังเก็บโลงศพ และมักจะบ่นว่า “แหม ไอ้พวกนี้หวงโลงจัง ตายไปแล้วก็ยังหวงอีก” ส่วนมากท่านจะใช้เวลาบำเพ็ญเพียรวิปัสสนาธุระ บางคราวก็เงียบอยู่เป็นวัน ๆ เลย พออกมาเวลาไหนก็หาข้าวฉัน แม่ครัวที่นั่นไม่ค่อยชอบท่าน และมักจะแกล้งท่านอยู่เสมอ ก็บอกว่าหมดแล้ว เหลือแต่ข้าวแมวที่คลุกไว้ในจาน จะกินก็เอาซี ท่านก็ไม่ว่าอะไร เอาข้าวแมวไปล้างน้ำแล้วก็เอามาฉัน

บางทีท่านก็จะนั่งกับดินอยู่กลางไร่กลางนาที่ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมา ฝนตกแดดร้อนจ้าเพียงไร ท่านก็นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น ชาวบ้านที่มองไปแต่ไกลก็จะเห็นว่า ท่านนั่งอยู่กลางแดดกลางฝน ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้ เพราะกลัวพระบ้า วันหนึ่งเด็กเลี้ยงควายวิ่งเล่น เห็นพระก็วิ่งเข้าไปใกล้ เห็นว่าตรงที่หลวงก๋งนั่งนั้น แดดร่มเป็นวงกลมเหมือนตัวหลวงก๋งนั่งอยู่ในร่มเงาของกลด เมื่อถึงคราวฝนตก เด็ก ๆ ก็พากันออกไปดูอีกก็เห็นว่า ฝนที่ตกลงมานั้น เว้นตรงรอบตัวหลวงก๋งเป็นวงรอบตัวท่าน ไม่เปียก จากนั้นเด็ก ๆ ก็เอามาพูดคุยกันจนผู้ใหญ่ได้ยินก็พากันไปดู ก็เห็นจริงตามที่เด็กพูด ก็พากันเข้าไปขอหวยกันใหญ่ หลวงก๋งชอบให้หวยด้วยคำปริศนาหยาบ บางทีก็ด่าเอาหยาบ ๆ คาย ๆ จนคนกลัว ไม่ค่อยไปขอหวยท่าน

การที่เตี่ยรู้ว่าหลวงก๋งเป็นพระที่ทรงคุณธรรมก็เพราะว่า ก่อนที่จะพบหลวงก๋ง เตี่ยรู้สึกว่ามีพระมาควบคุมการนั่งกัมมัฏฐานของเตี่ยเป็นเวลาถึง ๕ ปีและคิดว่าพระองค์นั้นก็คือ หลวงก๋ง เมื่อเตี่ยเข้าไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงก๋งนั้น หลวงก๋งให้เตี่ยเอาดอกไม้ ๕ ชนิดมาถวาย ซึ่งเตี่ยเข้าใจว่าหมายถึงขันธ์ ๕ ตอนนั้นหลวงก๋งสอนเตี่ยเป็นคำแรกว่า “เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าท่านอยู่ ไม่มีศีล” จากนั้นหลวงก๋งก็สอนการเล่นลมให้เตี่ยนำไปปฏิบัติเอาเอง หลวงก๋งเคยพูดให้เตี่ยฟังว่า “เมื่อก่อนอาตามปลูกว่านเอาไว้มากมาย เดี๋ยวนี้กวาดทิ้งหมดแล้ว" เตี่ยบอกว่าหลวงก๋งท่านปลงตกหมดแล้ว ไม่มีความยึดมั่นในอะไรอีกต่อไปแล้ว

เตี่ยเล่าว่า หลวงก๋งชอบทำอะไรแผลง ๆ เช่นมีอยู่คราวหนึ่ง ท่านปีนขึ้นไปบนต้นตาลจนถึงยอดแล้ว ก็เอาใบตาลเสียบเข้ากับแขนทั้งสองข้างเป็นปีก กระพือแขนทั้งสองข้าง ตะโกนว่า “กูจะเหาะแล้วโว้ย ๆ “ แล้วก็กระโดดลงมาจากต้นตาล ลงมาถึงพื้นก็เดินต่อไปอย่างหน้าตาเฉย และมีอยู่อีกคราวหนึ่ง เตี่ยไปหาหลวงก๋ง พบว่าท่านกำลังตกปลาอยู่ พอได้ปลาก็เอาขึ้นมาทุบหัว แล้วก็ขอดเกล็ด ปลาก็ดิ้นกระแด่ว ๆ เลือดสาดไปหมด เสร็จแล้วก็หั่นลงหม้อแกง ต้มสุกแล้วก็ตักกิน บอกว่า “อร่อย ๆ” แล้วก็เรียกเตี่ยเข้าไปกิน เตี่ยกินแล้วก็รู้สึกว่ามีรสฝาด ๆ พอหลวงก๋งไป เตี่ยก็เข้าไปเปิดหม้อดู เห็นมีแต่ใบไม้ลอยอยู่เต็มไปหมด

นอกจากนี้ หลวงก๋งยังชอบดูงิ้ว ดูละคร แต่วิธีการดูของท่านแปลกพิสดาร ไม่เหมือนใคร ไม่ว่างิ้ว ไม่ว่าละครที่ไหนท่านสามารถยกมาดูได้หมด วันนั้น เตี่ยไปหาหลวงก๋งที่วัด ไม่พบ ท่านก็เดินตามหา หาจนทั่ววัดก็ไปเจอท่านยืนพิงเจดีย์หัวเราะอยู่คนเดียว ก็เข้าไปถามว่า กำลังทำอะไรอยู่ ท่านก็ตอบว่า กำลังดูละครอยู่ สนุก สนุก เตี่ยก็สงสัย ถามว่า ละครที่ไหน ท่านก็ตอบว่า ที่กรุงเทพ แล้วก็ถามเตี่ยว่า อยากดูมั้ย แล้วท่านก็ชี้ให้เตี่ยดูไปที่เจดีย์ ปรากฏว่าท่านยกละครทั้งโรงมาไว้ที่เจดีย์ ฉายให้เห็นเป็นภาพ เหมือนอย่างเราดูหนัง เตี่ยบอกว่า วิชานี้แปลก แต่ก็ไม่เคยถามหลวงก๋งว่าเรียกว่าอะไร

ครอบครัวเราส่งอาหารให้หลวงก๋งเป็นประจำทุกวัน ทุกคราวที่เตี่ยใช้ลูก ๆ ไปส่งก็จะต้องมีการเกี่ยงกัน เพราะทุกคนกลัวที่จะต้องเอาข้าวไปส่งให้หลวงก๋ง ที่กุดังเก็บโลงศพ และก็กลัวหลวงก๋งด้วย ท่านนุ่งจีวรเก่า ๆ ดำ ๆ และยังเคี้ยวหมากจนน้ำหมากเลอะเต็มปาก และจีวรก็เห็นเป็นสีแดงน่ากลัว เตี่ยเล่าว่า หลวงก๋งคอยตามดูพวกเราอยู่เสมอ แม้กระทั่งอยู่บ้าน เตี่ยดุด่าลูก ๆ เมื่อไปหาหลวงก๋ง ท่านก็พูดลอย ๆ ขึ้นมาว่า “วันนี้เห็นคำรามแยกเขี้ยว ขู่แฮ่ ๆ แต่ไม่ยักกัด เพราะเสือมันดุแต่ปาก ส่วนใจมันดี”

และมีอีกคราวหนึ่ง เตี่ยจะไปหาหลวงก๋ง เดินข้ามถนนไม่ระวังตัว พอดีมีรถวิ่งมาอย่างเร็วจะชนเตี่ย แต่ก็เหมือนมีใครมาผลักเตี่ยกระเด็นออกไปข้างทาง ไปถึงวัด หลวงก๋งก็พูดขึ้นมาลอย ๆ อีกว่า “เห็นรถจะชนเอา ก็เลยช่วยผลักให้หน่อย” ซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ต้องประสบด้วยตนเองถึงจะรู้ว่า หลวงก๋งเป็นพระผู้ทรงคุณอย่างไร

หลวงก๋งเรียกเตี่ยว่า “เถ้าแก่” และพูดกับเตี่ยน้อยที่สุด การปฏิบัติก็จะให้เตี่ยปฏิบัติเอาเอง จนผิดทางแล้วก็เตือนเตี่ยสักทีว่า หลงทางแล้ว เตี่ยก็ต้องย้อนกลับมาตั้งต้นปฏิบัติใหม่ ทบทวนดูว่า ปฏิบัติผิดไปอย่างไร ทำให้เตี่ยรู้สึกอึดอัดใจมาก จนน้อยใจบอกกับหลวงก๋งว่า เป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันอย่างนี้ อย่าเป็นกันดีกว่า หลวงก๋งก็เพียงแต่พูดว่า เสียดายมากที่ต้องมาตัดขาดจากกัน ในวันต่อมา หลวงก๋งก็หายไปจากวัดและไม่กลับมาอีกเลย

เตี่ยได้พยายามติดตามกาหลวงก๋งตามวัดต่าง ๆ แต่หาเท่าใดก็ไม่พบ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐานขอให้พบหลวงก๋งอีก ในวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาบอกว่า มีพระแก่องค์หนึ่งอยู่บนเขาปากแรต ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางเข้าไปราว ๒ ชั่วโมง เตี่ยก็ดีใจ คิดว่าต้องเป็นหลวงก๋งแน่ ก็ชวนแม่ไปตามหา ไปหาอยู่ สองครั้งก็ไม่พบ ครั้งที่สามเดินตามหาเสียจนเล็บเท้าหลุดออกมาหมด จึงไปพบหลวงก๋งนั่งสมาธิอยู่ มีเถาวัลย์พันอยู่รอบกาย เตี่ยจึงเข้าไปขอสมาโทษและฝากตัวเป็นลูกศิษย์เช่นเดิม แต่หลวงก๋งไม่ยอมลงจากเขามาอีกแล้ว เตี่ยจึงร่วมกับผู้มีจิตศรัทธา สร้างกุฏิให้หลวงก๋งอยู่บนเขาปากแรตนั้น และได้นำอาหารไปส่งเป็นประจำเหมือนเดิม

บางคราว เตี่ยก็ขึ้นไปอยู่กับหลวงก๋งด้วย มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงก๋งปิดประตูเข้าที่เจริญสมาธิภาวนา วันหนึ่งก็แล้ว สองวันก็แล้ว หลวงก๋งก็ไม่ออกมา ทุกวันเตี่ยเป็นคนทำอาหารไว้ให้หลวงก๋ง คอยให้ออกมาฉันก็ไม่ออกมาเสียที เตี่ยหิวไม่กล้ากินก่อนอาจารย์ คอยจนของเสียก็เททิ้งไป ถึงเวลาก็ทำใหม่ จนเตี่ยหิวมากก็นึกในใจว่า “เมื่อไหร่หลวงพ่อจะออกมาฉันเสียที เราหิวจะได้กินมั่ง” หลวงก๋งก็เปิดประตูออกมา แล้วบอกเตี่ยว่า “หิวก็กินก่อนซิ จะมานั่งว่าเราอยู่ทำไม ไหนมีอะไรก็เอามา วันนี้จะกินล่ะ” เมื่อเตี่ยถูกว่า ก็มีมานะ พอหลวงก๋งปิดประตูเข้าที่ เตี่ยก็นั่งบ้างอยู่ที่หน้าประตู คิดว่า หลวงก๋งนั่งแล้วอดได้ เราก็ต้องทำให้ได้เหมือนกัน จากนั้น พอถึงเวลาหลวงก๋งก็เปิดประตูออกมาฉันข้าวตามปกติ

ตอนที่เตี่ยขึ้นไปอยู่บนเขากับหลวงก๋ง ได้เห็นคุณธรรมของหลวงก๋ง ซึ่งแผ่ไปถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลายบนเขานั้นด้วย เมื่อหลงก๋งฉันข้าวเสร็จ ก็จะเอาข้าวที่เหลือมาเทไว้กลางแจ้ง แล้วร้องเรียกว่า “หนูจ๋า หนูมากินข้าว” สักครู่ก็จะเห็นหนู ไม่รู้มาจากที่ไหนเป็นร้อย ๆ ตัว เสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหมด แย่งกันกินข้าวจนหลวงก๋งต้องพูดว่า “เข้าแถวเรียงหนึ่ง ค่อย ๆ กินทีละตัว” พวกหนูก็จะเข้าแถว กินข้าวทีละตัว เป็นภาพที่น่าดุมาก อีกคราวหนึ่ง เตี่ยนั่งอยู่กับหลวงก๋งตอนกลางคืน ก็มีงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามา เตี่ยก็หาไม้จะเอามาตีงู เพราะกลัวว่าจะกัดหลวงก๋ง หลวงก๋งก็ห้ามไว้ บอกว่า งูมันหิวน้ำ จะเข้ามาขอน้ำกิน แล้วหลวงก๋งก็รินน้ำใส่ไว้ในอุ้งมือ งูก็เลื้อยเข้ามากินจนหมด ก็ผงกหัว ๓ ทีเป็นเชิงขอบคุณ แล้วก็เลื้อยหายออกไปข้างนอก เตี่ยบอกว่า ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาแล้ว จะไม่ยอมเชื่ออย่างเด็ดขาด นอกจากนี้หลวงก๋งยังมีเมตตาต่อชาวบ้านที่อยู่แถวนั้น เมื่อใครไม่สบายไปหาท่านท่านก็จะรักษาให้ น่าแปลกที่เมื่อท่านรักษาไข้ให้จนหายเป็นปกติกลับไปแล้ว ตัวท่านเองก็จะเป็นไข้สั่น มีอาการเหมือนกับคนไข้ที่ท่านรักษาไป ซึ่งหลวงก๋งบอกว่า “เมื่อเราเอาไข้ของเขามาแล้ว เราก็ต้องเป็นแทนเขา” ท่านจะจับไข้อยู่ไม่กี่วันก็หายไป ครั้งหนึ่งมีชาวบ้านถือขวานมาตัดไม้อยู่ข้างกุฏิ มาโดนพลาด ฟันเอาขาของตัวเองเข้าจนเกือบขาด จึงร้องขึ้นว่า “ขรัวตา ขรัวตา ช่วยด้วย” หลวงก๋งมาถึงก็ยกขาข้างที่ถูกฟันขึ้น แล้วถามว่าตรงหรือยัง พอชายผู้นั้นร้องว่าตรงแล้ว ท่านก็เป่าชานหมากไปยังขาตรงที่ถูกฟัน ปรากฏว่าขาของชายผู้นั้นหายเป็นปกติ เมื่อลุกขึ้นได้ ก็ก้มลงกราบท่านแล้วถือขวานเดินไปอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อเตี่ยเรียนวิชาเล่นลมจนสำเร็จแล้ว เช้าวันหนึ่งหลวงก๋งก็บอกเตี่ยว่า “ภารกิจของอาตมาได้เสร็จสิ้นแล้ว” แล้วก็ยกนิ้วขึ้น ๓ นิ้วเพื่อบอกให้ทราบว่า จะอยู่ในโลกนี้อีกเพียง ๓ วัน เตี่ยก็ยกมือขึ้นสาธุแล้วรีบลงมาจากเขา มาบอกข่าวให้พวกเราทราบ รีบซื้อจีวรไปเปลี่ยนให้ท่าน หลวงก๋งก็บอกว่า “จีวรเก่าหรือใหม่ เข้าเตาแล้วก็เหมือนกัน เอาเก็บไว้ให้พระที่ยังมีชีวิตอยู่จะดีกว่า” แต่เตี่ยก็พยายามเปลี่ยนจีวรให้หลวงก๋งจนได้

เมื่อครบ ๓ วันหลวงก๋งก็มรณภาพ ก่อนที่ท่านจะสิ้น เตี่ยเล่าว่า ที่รอบ ๆ กุฏิของท่านมีเสียงสัตว์ป่าเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เหมือนจะส่งเสียงบอกกันว่าท่านจะจากไปแล้ว ตอนที่ท่านสิ้นใจ ตอนนั้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงอะไรทั้งสิ้น หลวงก๋งสิ้นใจในท่านั่งสมาธิแล้วก็หมดลมหายใจไปเอง เตี่ยได้ขายเครื่องทองที่มีอยู่รวมกับเงินที่มีผู้บริจาคเผาศพของหลวงก๋งจนเรียบร้อย ซึ่งในวันเผา ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่งว่า พระจากที่ไหน ๆ ทั่วเมืองชลฯ ต่างก็มาร่วมกันเผาศพของหลวงก๋ง จากนั้นปรากฏว่ากระดูกของหลวงก๋งที่เผาออกมา เป็นพระธาตุหมด มีอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นเนื้อสามกษัตริย์ คือมีสามส่วน เป็นเงิน ทอง และนาก เตี่ยได้สร้างพระเจดีย์ไว้บนเขาปากแรตเพื่อบรรจุพระธาตุของหลวงก๋ง และให้ช่างทำรูปจำลองของหลวงก๋งไว้บูชาที่บ้าน โดยทำด้วยโครงไม้ไผ่และบุด้วยผ้า

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:55 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
การปฏิบัติธรรมของเตี่ย

soo-07-01.jpg




เตี่ยสนใจในพระพุทธศาสนามาตั้งแต่ตอนหนุ่ม ๆ โดยได้ออกจากบ้านมาท่องเที่ยวหาความรู้ตามสำนักเต๋า ขงจื๊อ และพุทธ โดยเฉพาะได้สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนิกานลุกจง (นิกายพระวินัย) และนิกายเซี่ยงจง (นิกายฌาน หรือ นิกายเซน) จากพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง ๒ ท่าน แห่งนิกายลุกจงและนิกายเซี่ยงจง เตี่ยมีความเลื่อมใสเป็นอย่างมากในคำสอนของท่านเว่ยหล่าง พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกายเซน และได้ใช้คำสอนของท่านเป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรมและอบรมสั่งสอนธรรมให้แก่ผู้อื่นเสมอมา

เมื่อเตี่ยเข้ามาอยู่ในเมืองไทยก็มีความสนใจไปเรียนกัมมัฏฐานตามสำนักต่าง ๆ ในที่สุดก็ต้องมาศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะเมื่อไปถามจากอาจารย์ต่าง ๆ ที่สอนอยู่ ก็ได้คำตอบที่ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ และรู้สึกว่า อาจารย์ผู้สอนเองก็ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริงตามที่พูด เตี่ยต้องค่อย ๆ คลำหาหนทางปฏิบัติเอาเองไปทีละขั้น ตอนไหนที่รู้สึกว่าผิดทางก็กลับไปเริ่มต้นใหม่ ทำให้เสียเวลาไปมาก เตี่ยได้ลองปฏิบัติกัมมัฏฐานตามวิธีต่าง ๆ เพื่อหาหนทางที่ถูกต้อง ที่จะทำให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง และหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง (แม้นกระทั่งในภายหลัง เตี่ยได้เรียนอานาปานสติจากหลวงพ่อเชย เตี่ยก็ยังต้องค่อย ๆ คลำไปเอง เพราะหลวงก๋งเพียงแต่บอกวิธีขึ้นต้นให้ และให้เตี่ยไปฝึกเอาเอง เมื่อรู้สึกว่าเตี่ยชักจะปฏิบัติผิดทาง ท่านก็จะเตือน เตี่ยก็ต้องย้อนกลับไปตั้งต้นปฏิบัติใหม่ เพื่อหาหนทางที่ถูกต้อง โดยที่หลวงก๋งจะไม่บอกให้เตี่ยก่อนเลย) ด้วยเหตุนี้ เตี่ยจึงมีความเข้าใจในการปฏิบัติกัมมัฏฐานวิธีต่าง ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้งทุกขั้นตอน

ในที่สุด เตี่ยได้เลือกใช้วิธีภาวนา โดยภาวนาคาถา “งานมานีปะมีฮง” คาถาหกคำนี้ เตี่ยบอกว่า หมายถึง อายตนะหก คือเราใช้ภาวนาเพื่อควบคุมอายตนะหก ไม่ให้มีหวั่นไหว กระทบกระเทือน การภาวนาทำให้ใจไม่ฟุ้งซ่าน และมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เตี่ยพยายามฝึกภาวนา ไม่ให้ขาดตอน แรก ๆ รู้สึกว่ายากมาก พอพูดเข้าคำหนึ่ง หรือตักข้าวใส่ปากทีหนึ่งก็ลืมภาวนาเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวว่าลืมภาวนา บางทีผ่านไปวันหนึ่งแล้ว เตี่ยเล่าว่า การภาวนาให้มีสติอยู่ตลอดเวลานั้น จะต้องต่อสู้กับใจของเราไม่ให้หวั่นไหวไปตามเรื่องราวต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ รวมทั้งอารมณ์และความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆ ที่คอยจะชักจูงใจให้ลืมตัว เพลินตามกับสิ่งเหล่านั้นไป เมื่อที่ฝึกอย่างนี้ทำให้รู้เท่าทันอารมณ์ต่าง ๆ อย่างเช่น อารมณ์โกรธ ตอนแรกโกรธแล้วถึงรู้ตัวว่าโกรธ แต่ก็พยายามต่อต้านมันไว้ ไม่ให้โกรธต่อไป จนวันหนึ่งรู้ขึ้นมาว่า มันเกิดขึ้นมาอย่างไร เวลาเราดีใจอยู่ มันไปซ่อนอยู่ที่ไหน และเมื่อเราโกรธ ที่เราดีใจนั้นหายไปอยู่ไหน ทีนี้พอมีอะไรมากระทบใจช่วงที่มันเหมือน ๆ กับจะเกิด จะเกิดไม่เกิดตอนนั้นรู้ทันทีกับมัน ต่อต้านมันไว้ มันก็ไม่มีอะไรจะให้เราโกรธอีก

ต่อมาเตี่ยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า หลับเป็นอย่างไร ทำไมจึงภาวนาได้เฉพาะเวลาตื่น ส่วนเวลาหลับภาวนาไม่ได้ เตี่ยจึงพยายามจะเอาชนะหลับโดยใช้วิธีนอนภาวนา ได้รู้ว่า ที่เราหลับไปเพราะเราขาดสติ สังเกตจากตอนที่เราหลับนั้น เราจะไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และหลับไปได้อย่างไร แรก ๆ เตี่ยก็ขาดสติ แพ้เจ้าตัวหลับ พอฝึกนาน ๆ เข้า ชักรู้ทาง ก็พยายามตั้งสติเกี่ยง จนในที่สุดก็สามารถเอาชนะหลับได้ เตี่ยเล่าว่า ตอนแรก ๆ ใจก็สงบเพราะภาวนาอยู่ พอประเดี๋ยวจะหลับ มันวูบเข้ามา ใจก็ดิ้นไปดิ้นมา พอตั้งสติอยู่ ใจก็สงบ พอครั้งที่สอง มันก็มาอีก ก็เหมือนเดิม ทีนี้พอครั้งสุดท้าย หนักกว่าเดิม ง่วงก็ง่วง แต่ใจก็ยังภาวนาอยู่ พอมันวูบเข้ามา จะเอาให้หลับให้ได้ เราก็ยิ่งภาวนา ใจก็ดิ้นไปดิ้นมาอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุด ใจกับกายก็แยกออกจากกัน ใจก็คงภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีดิ้นไปดิ้นมาแล้ว ส่วนกายก็หลับไปตามธรรมชาติ จนรุ่งเช้าตื่นขึ้น ไม่มีเพลียเลย กลับสดชื่นแจ่มใสกว่าเดิมด้วยซ้ำไป อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าชนะหลับ เตี่ยบอกว่า นักปฏิบัติจะต้องผ่านตรงนี้ เกี่ยงให้ชนะหลับให้ได้ แล้วถึงจะรู้ว่า ร่างกายที่เงียบ เงียบด้วยอย่างนี้ จิตใจอารมณ์ที่เงียบแล้ว ก็เงียบอยู่อย่างนี้ ได้รู้ว่า กายเที่ยง ใจเมี่ยงเป็นอย่างไร ต่อไปก็ค่อย ๆ ฝึกเงียบอย่างนี้ ทีหนึ่งให้ได้ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง หรือสองชั่วโมง

จากนั้นเตี่ยก็ฝึกต่อไป โดยใช้วิธีตามแบบของนิกายเซน ที่ให้พิจารณาว่า “ใครคิด ใครเห็น ใครได้ยิน” เมื่อเข้าที่เงียบอยู่ เตี่ยก็จะพิจารณาว่า เราเองคือใคร ใครนี่ที่รู้ ใครเป็นคนเห็น ใครเป็นคนคิด ใครเป็นคนภาวนา เตี่ยเล่าว่า ทีแรกพิจารณา ชี้ไปที่หัว ก็เรียกว่าหัว ชี้มือ ชี้ตีน ก็เรียกว่ามือ ว่าตีน ไม่มีชิ้นเล็กชิ้นน้อยตรงไหน ที่เรียกว่า “กูเอง” พอพิจารณาถึงตรงนี้ก็ตกใจ หากูเองต่อไปอีก คิดว่า ใจของกูรู้ ใจของกูเห็น ใจบางครั้งบางคราวยังจะคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ใจก็เป็นโกหก ใจก็ยังไม่ใช่ อย่างนี้ วิญญาณของกูเห็น วิญญาณก็อนัตตา ก็ไม่ใช่อีก คิดว่าปัญญาของกูเห็น ปัญญาก็อนัตตา อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ ไม่รู้ว่าใครเห็นกับใคร ใครรู้กับใคร เกิดสติคิดขึ้นมา หัดมาตั้งนมตั้งนานอย่างนี้แล้วยังไม่รู้เรื่องเลย ทีนี้ก็เลยหันมาพิจารณาอยู่ตลอดเวลาว่า ใครทำปาท่องโก๋ ใครทำขนมปัง ใครนั่งสมาธิ ใครเข้าที่ พิจารณาอยู่อย่างนี้ ไม่ช้าไม่เร็วได้ ๑๗ ปี เกิดวันหนึ่งกำลังจะนอนเกิดรู้ขึ้นมา รู้สึกเหมือนตัวได้แยกออกจากร่างไปและลอยอยู่ในสุญญากาศ มีความเบาและสงบอย่างบอกไม่ถูก ทำให้มองเห็นว่าโลกเราถูกถ่วงอยู่ด้วยแรงดึงดูดฉันใด มนุษย์เราก็ถูกถ่วงอยู่ด้วยกิเลสฉันนั้น หากปลดเปลื้องตนเองจากความนึกคิดปรุงแต่ง ระหว่างนั้นก็จะได้พบกับหน้าตาดั้งเดิมของเรา ตอนนี้เตี่ยดีใจจนร้องไห้ ยกมือขึ้นไหว้ว่า “สาธุพุทธะ สาธุโพธิสัตว์ สาธุครูบาอาจารย์ สาธุพ่อแม่” เตี่ยบอกว่า ดีใจที่ได้เห็นทาง เรียกว่า เรียนปฏิบัติได้เริ่ม ก. ไก่ ข. ไข่ กับเขาบ้างแล้ว เมื่อลูก ๆถามว่าถึงขั้นนี้แล้วยังไม่เรียกว่าสำเร็จอีกหรือ ทำไมเรียกว่าเพิ่งพบต้นทางเท่านั้น เตี่ยบอกว่าเพิ่งพบต้นทางเพราะเพิ่งพบเครื่องมือที่จะใช้มาล้างผลาญกิเลสให้หมดสิ้นไปเท่านั้น กิเลสหมดเมื่อไหร่ ถึงจะเรียกว่าสำเร็จ

เมื่อเตี่ยถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของหลวงก๋ง ได้เรียนการเล่นลม เตี่ยบอกว่าเป็นวิธีที่ละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ผู้ฝึกจะต้องใช้ความพยายามและความอดทนอย่างมาก ซึ่งก็มีจุดหมายปลายทางอย่างเดียวกัน คือใช้มาล้างผลาญกิเลส

เมื่อเตี่ยบวช ได้ขึ้นไปบำเพ็ญธรรมอยู่บนเขา เพราะไม่คุ้นที่จะอยู่วัดและต้องการที่สงบ ๆ ในการปฏิบัติ สำหรับบทสวดต่าง ๆ ของพระนั้น เตี่ยปรารภว่า น่าจะใช้ภาษาไทยให้เหมาะสมกับที่อยู่ในประเทศไทย เพื่อทีคนไทยผังแล้วจะได้รู้และเข้าใจด้วย ไม่อย่างนั้น พระสวดไปก็เท่ากับไม่มีความหมายอะไร นอกจากทำไปตามประเพณีเท่านั้น การจะได้บุญหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ใจ เมื่อที่ฟังพระสวดแล้วเข้าใจ สามารถนำไปปฏิบัติดัดสันดานตนเองได้จึงจะเรียกว่าได้บุญ

นอกจากนี้เตี่ยยังได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับพระบางรูปที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เอาแต่สะสมทรัพย์ หมกมุ่นอยู่ในทางโลก ละเลยทางธรรม เตี่ยบอกว่า การที่พระพุทธเจ้าบัญญัติให้พระโกนผมโกนคิ้วทิ้งก็เพื่อให้โกนกิเลสทิ้งไปด้วย ไม่ใช่มาพอกพูนกิเลสให้มากขึ้น ทุกครั้งที่โกนผมโกนคิ้ว ก็ควรจะถามตนเองว่า ได้โกนกิเลสให้เบาบางลงบ้างหรือยัง และการที่ชาวบ้านต้องลำบากในการเอาอาหารและข้าวมาถวายพระนั้น ถ้าพระปฏิบัติไม่ดี ก็เท่ากับกินถ่านไปที่กำลังลุกไหม้ เมื่อออกบิณฑบาต ก็ไม่เรียกว่าออกไปโปรดสัตว์ น่าจะเรียกว่าออกไปขอทานมากกว่า ซึ่งพระเหล่านี้จะต้องชดใช้อาหารที่ชาวบ้านให้ในภายหลัง เตี่ยยังได้เล่านิทานเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นคติสอนใจในเรื่องนี้ว่า ในครั้งที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน พวกมารก็พากันมาแสดงความร่าเริงยินดีว่า เมื่อสิ้นพระองค์แล้ว ศาสนาของพระองค์ก็จะเสื่อมลง ผู้คนก็จะมาเป็นพวกมารมากขึ้น พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกกับพวกมารว่า ถึงแม้นพระองค์จะปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีพระธรรมที่เป็นเหมือนตัวแทนของพระองค์อยู่และไม่มีวันที่จะสูญสิ้นไปได้ แต่พวกมารกลับแย้งว่า ถ้าพวกมารพากันไปแต่งเครื่องแบบย่างพระพุทธเจ้าแล้วไม่ทำตามคำสอนของพระองค์ เท่านี้ศาสนาของพระองค์ก็จะเสื่อมลงไปทุกวัน ๆ เมื่อพวกมารกล่าวเช่นนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงนิ่งอึ้ง ไม่สามารถที่จะโต้แย้งได้

เตี่ยเองก็ยังเคยพูดว่า อีกหน่อยศาสนาพุทธจะไปเจริญทางตะวันตก เพราะชาวตะวันตกจะหันมาศึกษาหลักธรรมในศาสนาพุทธและนำไปปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ส่วนเมืองไทยศาสนาพุทธก็จะเสื่อมลงไปทุกทีเหลือแต่โครง เตี่ยเล่าว่า ในสมัยก่อนนั้น พระที่เพิ่งบวชก็สามารถสำเร็จโสดาบันได้แล้ว เพราะตามวิธีการที่บวชกันมีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงอาการ ๓๒ และกัมมัฏฐาน ๕ ซึ่งกล่าวไว้เผื่อว่าผู้บวชจะมีสติปลงตกว่า นี่ไม่ใช่ตัวกู มีแต่อาการ ๓๒ เมื่อที่เกิดปัญหาเห็นต้นทางอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่าได้โสดามรรค สมัยนี้ส่วนใหญ่บวชกันมะเทิ่ง ๆ ไม่เห็นได้เรื่องเลย นอกจากนี้เตี่ยยังอธิบายอีกว่า ศีลข้อที่หนึ่ง ทำไมจะต้องห้ามฆ่าสัตว์ก่อน เพราะพระพุทธเจ้าท่านเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า มนุษย์มีนิสัยอย่างหนึ่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดโดยไม่รู้สึกตัว ซึ่งจะเห็นได้จาก เมื่อเวลารถชนกัน มีคนตาย ไม่มีอะไรน่าดู ก็ขอให้เข้าไปมองดูหน่อยก็ยังดี เรายังมีชอบดูสัตว์แข่งขันกันบ้าง ฆ่ากัน ต่อสู้กันบ้าง ชอบดูคนต่อสู้กันบ้าง ถ้ารบกัน ตีตั๋วไปดูได้และมีการรับรองความปลอดภัย สงสัยคนจะแห่กันไปดูยิ่งกว่าไปดูหนังกันเสียอีก นิสัยอันนี้เกิดจากเมื่อตอนที่ผู้หญิงกับผู้ชายแต่งง่านกัน ตอนจะมีลูก ไข่ของผู้หญิงต้องผสมกับน้ำอสุจิของผู้ชาย ในน้ำอสุจิของผู้ชาย กว่าที่จะผสมกับไข่ได้ ในนั้นมันก็ไม่รู้ไม่ชี้ ฆ่ากันเองอยู่ ฆ่าแล้วเหลือตัวหนึ่ง ออกมาเป็นคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนนั้นเรียกว่าชนะมาแล้วถึงได้เกิด พระพุทธเจ้าท่านเข้าใจข้อนี้ จึงห้ามฆ่าสัตว์ไว้เป็นศีลข้อหนึ่ง

เมื่อเตี่ยบวช ถึงแม้นว่าเตี่ยจะไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้ แต่ก็มีความเข้าใจในหลักธรรมอย่างลึกซึ้ง ได้นำมาสั่งสอนลูก ๆ และผู้ที่สนใจอย่างละเอียด แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ลูก ๆ ได้ช่วยกันอ้อนวอนขอร้องให้เตี่ยมา เพราเห็นว่าเตี่ยอายุมากแล้ว ไม่อยากให้ลำบากไปอยู่บนเขาคนเดียว

ก่อนที่เตี่ยจะจากไปไม่นานได้พูดให้ลูก ๆ ฟังว่าเมื่อปฏิบัติมาถึงขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่ยากที่จะอธิบาย จีนเรียกว่า “ฮุยเสียฮุย ฮุยเสี่ยเทียน” แปลได้ว่า ที่ไม่คิดนั้นก็ยังไม่ใช่สวรรค์ เมื่อนักปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้วจะหยุดอีก ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ พระพุทธเจ้าถึงกล่าวคำหนึ่งว่า “ญาณขั้นสุดท้าย นักปฏิบัติให้รู้เอง” เตี่ยมาถึงตรงนี้แล้วหยุดอีกเป็นเวลาสิบปีกว่า เพราะไม่มีใครจะบอกได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป สุดท้ายเตี่ยบอกว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้ว่า ใครเล่าที่ยังมีอารมณ์อันนี้อยู่ เหมือนอย่างที่เว่ยหล่างพูดคำหนึ่งว่า “เอ้งบ่อส่อจู๋ ยื่อแซขี่ซิม” หมายความว่า เมื่อไม่มียึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวจึงจะบังเกิดใจ เมื่อที่ไม่มีตัวกู อวิชชาก็จะหมด อันนี้แหละจึงจะเปิดประตูเข้าไปได้

การปฏิบัติธรรมของเตี่ยนี้รวบรวมขึ้นจากคำพูดของเตี่ยที่สอนลูกในเวลาต่าง ๆ นำมาปะติดปะต่อกันโดยไม่พยายามเปลี่ยนคำพูดของเตี่ย เพราะลูก ๆ เองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจในธรรมะที่เตี่ยสอนดีนัก เกรงว่าจะทำให้ผิดใจความสำคัญไป ลูก ๆ ไม่ทราบว่าเตี่ยปฏิบัติธรรมได้ถึงเพียงใดแล้ว แต่ก็แน่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เตี่ยมิได้จากไปอย่างคนธรรมดา สิ่งที่เราท่านทั้งหลายเห็นว่านอนหมดลมหายใจอยู่นั้น เป็นเพียงแต่ร่างกายที่เมื่อหมดเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ก็กลับคืนไปสู่ดิน น้ำ ลม ไป ตามสภาพเดิมต่อไป

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:56 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ยกับการช่วยเหลือผู้อื่น


เตี่ยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นด้วยดีเสมอมาโดยไม่เลือกว่าจะเป็นใคร มีทั้งที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาสและมีตั้งแต่รัฐมนตรีลงมาจนกระทั่งคนขับรถแท็กซี่ เตี่ยปฏิบัติกับทุกคนเหมือนกันหมด โดยไม่เคยสนใจจะถามว่าเป็นใคร มีตำแหน่งหน้าที่อะไร นอกจากในการรักษาโรคที่บางครั้งก็จำเป็นที่จะต้องทราบถึงการงานที่ทำว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ทำเกี่ยวข้องกับวัตถุใดมาบ้าง เพื่อนำมาใช้ในการวินิจฉัยสมุกฐานของโรค บางคนได้ให้นามบัตรไว้ ส่วนมากเตี่ยจะไม่รับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำไม หรือถ้าเสียมิได้ รับแล้วเตี่ยก็จะส่งให้ลูก ๆ เก็บไว้โดยไม่สนใจจะถามว่าในนั้นเขียนว่าอะไร

คราวหนึ่ง มีนายตำรวจผู้หนึ่งได้มาขอให้เตี่ยรักษาโรคเบาหวานให้จนหายขาดแล้ว ได้มอบนามบัตรไว้ให้และบอกว่า “หากอาจารย์มีธุระอะไร ขอให้ใช้ผมได้” เตี่ยได้ส่งนามบัตรคืนแล้วบอกว่า “ผมไม่ได้ตั้งบ่อนไพ่ ไม่ได้เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน จึงไม่มีเรื่องอะไรต้องพึ่งตำรวจ” เดี๋ยวนี้พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่า นายตำรวจคนนั้นชื่ออะไร

เตี่ยให้ความช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากลำบากกาย บางวันเตี่ยต้องนั่งทั้งวัน ไม่ได้พักเลย เพราะมีคนมาหาติดต่อกันทั้งวัน บางวันก็ต้องอยู่ถึงเที่ยงคืนกว่าคนที่มาคุยกับเตี่ยจะลากลับไป บางครั้งกำลังทานข้าวอยู่ได้ไม่ถึงครึ่ง มีคนมาหา เตี่ยยังวางตะเกียบและลุกออกไปคุยกับแขก โดยที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยทราบถึงความเหน็ดเหนื่อยของเตี่ยเลย เพราะเตี่ยไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้ ถึงแม้นเตี่ยไม่เคยบ่นให้ลูกฟังสักคำ แต่ลูก ๆ ก็รู้ดี และขอร้องเตี่ยอยู่เสมอให้พักเสียบ้าง หรือทานข้าวให้หมดชามก่อน เตี่ยก็บอกให้ลูกเฉย ๆ บอกว่าแค่นี้จะเป็นไร คนที่มาหาเรามีเรื่องเดือดร้อนยิ่งกว่านี้อีก ลูก ๆ ก็ได้แต่ห่วงเตี่ยอยู่ในใจไม่กล้าที่จะไปพูดให้ใครฟัง เพราะกลัวพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าเราไปไล่หรือไปว่าเขา

เตี่ยสอนลูก ๆ อยู่เสมอว่า การที่เตี่ยทำอย่างนี้ไม่ใช่เป็นการสร้างสมบุญบารมีอะไรหรอก แต่ทำไปเพราะต้องการทำตนให้เป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปเมื่อเราทำได้ เพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินที่เราได้อาศัยอยู่ และที่สำคัญก็คือต้องการจะดัดสันดานตนเองและทดสอบตนเองว่า เราเองยังงกเงิน งกชื่อเสี่ยงอยู่หรือเปล่า

คนส่วนมากที่ไปหาเตี่ย มักจะไปขอให้เตี่ยช่วยรักษาโรค เตี่ยรักษาโรคโดยการสอบถามอาการอย่างละเอียด เมื่อวินิจฉัยโรคได้แล้ว ก็จะเขียนตั๋วยาให้ไปซื้อกินเอาเอง เตี่ยไม่เคยเรียกร้องค่ารักษาเลย แต่ก็มีบางรายที่เตี่ยกำหนดค่ารักษาและแกล้งถามว่า รักษาหายแล้วจะให้ค่ารักษาเท่าใด คนที่มารักษาส่วนมากก็จะย้อนถามว่า เตี่ยจะเอาเท่าไหร่ เตี่ยก็จะให้พวกเขาลองคิดดูเอาเองว่า โรคที่เป็นอยู่นั้นเขายอมเสียเท่าไหร่เพื่อให้หาย หรือไม่ก็จะถามว่า ตีค่าชีวิตของตนเองเท่าไหร่ บางคนเตี่ยก็จะถามว่า มีเงินเท่าไหร่บ้าง ได้เงินเดือนเท่าไหร่บ้าง ซึ่งเตี่ยจะบอกก่อนด้วยว่า ยังไม่เอาเงินเดี๋ยวนี้นะ ถ้ารักษาหายแล้วค่อยเอามาให้ ถ้าไม่หายก็ไม่ต้อง ทั้งนี้เพราะเตี่ยต้องการดูใจ และบางทีเตี่ยต้องการรู้กำลังทรัพย์ของคนไข้ว่ามีเงินพอที่จะซื้อยาได้หรือไม่ เพราะยาบางเทียบแพงมาก กว่าจะรักษาหายก็ต้องใช้เงินมาก และบางเทียบอาจใช้ยาทีมีราคาถูกกว่าแทนได้แต่จะหายช้า

ส่วนมากที่เตี่ยถามจะนิ่งอึ้งไม่กล้าตอบเพราะกลัวเสียเงิน บางรายก็กล้า พูดออกมา สุดท้ายเตี่ยก็จะเล่าถึงเหตุผลให้ฟังว่าทำไมถึงถามเรื่องเงิน บางรายที่เตี่ยกำหนดค่ารักษา พอหายดีแล้วก็เอาเงินมาให้เตี่ย เตี่ยจะส่งคืนแล้วจะถามว่าจดไว้หรือเปล่า ค่ายาที่ซื้อกินไปทั้งหมดจนหาย ซึ่งถ้าจดไว้จะพอดีกับจำนวนเงินที่เตี่ยกำหนด แต่ก็มีหลายรายที่หายแล้ว เงียบหายไปเลย มีคนไข้รายหนึ่งตอบเตี่ยว่าเมื่อหายแล้วจะให้ ๒,๐๐๐ บาท เตี่ยจึงถามว่า พูดเล่นหรือพูดจริง เมื่อชายคนนั้นยืนยันว่าพูดจริง เตี่ยก็เลยบอกว่า ถ้าเช่นนั้นเอาเพียง ๒๐ บาท แล้วเขียนตั๋วยาซึ่งมีราคา ๒๐ บาทให้ไปซื้อ และมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้มาขอให้เตี่ยรักษาโรคมะเร็ง และบอกว่าถ้าหายจะให้เงินค่ารักษา ๑,๐๐๐ บาท เตี่ยก็ถามว่า ทำงานได้เงินเดือนเท่าใด ใช้จ่ายเท่าไร ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า ทำงานได้เดือนละ ๖๐๐ บาท และใช้เดือนละ ๔๐๐ บาท เตี่ยจึงบอกว่าต้องเก็บเงินถึง ๕ เดือนเชียวนะ ขอให้คิดให้ดีอีกที หญิงผู้นั้นก็ตอบว่า ยอมเสียให้เพราะไม่อยากตาย เตี่ยเลยบอกว่า ถ้าเช่นนั้นลดลงมาเหลือ ๕๐๐ บาทก็แล้วกัน หญิงผู้นั้นก็ตอบว่าดี ในที่สุดเตี่ยก็ลดลงมาให้เหลือเพียง ๒๐๐ บาท เมื่อหญิงผู้นั้นรักษาหายแล้วและเอาเงินมาให้ เตี่ยก็ส่งเงินคืน ลูก ๆ เห็นวิธีรักษาโรคของเตี่ยแล้วก็ตลกดี แต่ก็มีความภูมิใจอยู่เสมอมาว่า เราไม่เคยเบียดเบียนเงินใคร

มีหลายครั้งที่พระและคนที่มารักษาไม่มีเงิน เตี่ยก็ออกเงินค่ายาให้ และบางรายก็ยังให้เงินค่ารถกลับบ้านอีกด้วย มีชาวบ้านหลายคนที่รักษาหายแล้วได้เอาสิ่งของเช่น อ้อย และ ไข่ มาให้เป็นการตอบแทน เตี่ยก็ได้ให้เงินค่าของไป เตี่ยมีตำรายางูอยู่ขนานหนึ่ง สามารถใช้รักษาพิษได้ทุกชนิด ตั้งแต่พิษสุนัขบ้า พิษของงูทุกชนิด พิษของตะขาบ แมลงป่อง ตลอดจนพิษของสัตว์ทะเล ชาวทะเลที่ออกไปจับปลาแล้วถูกพิษของสัตว์ทะเลได้มาให้เตี่ยรักษา เตี่ยก็ใช้ยางูรักษาให้โดยไม่คิดเงิน ชาวทะเลเหล่านั้นพอออกทะเลไปหาปลาทีหนึ่ง ก็เอาปลามาฝากที่บ้าน พวกเราได้กินปลาเกือบทุกชนิด จนเตี่ยต้องขอร้องว่าอย่าเอามาอีกเลย เอาไปขายให้คนอื่นดีกว่า ตอนหลังเตี่ยได้เอายางูมาทำเป็นพระเล็ก ๆ แจกพวกชาวบ้านและพวกชาวทะเลที่มาขอยาให้ติดตัวไว้ เมื่อถูกพิษจะได้เอาออกมาใช้ได้ทันท่วงที เตี่ยยังพูดติดตลกกับลูก ๆ ว่า พระของคนอื่นมีไว้ป้องกันตัว แต่ของเตี่ยมีไว้ป้องกันงู แถมยังใช้กินและทาได้อีกด้วย

คนไข้หลายรายที่มาให้เตี่ยรักษา มักจะเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลปรือนายแพทย์หมดปัญญาที่จะรักษา เช่นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน โรคหืด และโรคมะเร็ง เป็นต้น มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งซึ่งมารักษาโรคเบาหวานจนหายได้บอกเตี่ยว่า สามีเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล และมีลูกสะใภ้เป็นแพทย์ปริญญา แต่ก็ไม่สามารถรักษาโรคเบาหวานให้หายขาดได้ จึงต้องมารักษากับเตี่ย บางรายก็ป่วยหนักอยู่โรงพยาบาล ไม่สามารถมาได้เอง เตี่ยก็จะถามอาการอย่างละเอียดจนแน่ใจแล้วถึงเขียนตั๋วยาให้ เตี่ยไม่เคยเดินทางไปรักษาใครที่ไหน และถ้าเอานามบัตรมาเบ่งแล้ว เตี่ยยิ่งไม่ยอมไป เตี่ยบอกว่า ไม่มีข้อผูกพันที่จะรักษาใคร เตี่ยเล่าว่าเท่าที่รักษามามีอยู่ ๒ รายที่ภูมิใจ คือ รายหนึ่งเป็นโรคหัวใจโตและเท้าลีบ อีกรายหนึ่ง อกแหลมออกมาเหมือนอกไก่ น่าสงสารมาก ตอนแรกเตี่ยไม่แน่ใจ แต่ก็พยายามรักษาจนหาย

เตี่ยบอกว่า การที่ได้รักษาคนไข้ซึ่งมีอาชีพและฐานะต่าง ๆ กัน ทำให้รู้จักนิสัยใจคอของคนขึ้นอีกมาก บางคนก็กลัวจนเกินไป บางคนถึงกับมาขอกับเตี่ยว่า ให้มีอายุยืนออกไปอีกสิบปี เตี่ยก็ตอบว่า “ผมไม่ใช่ยมบาลนี่ จะได้ต่ออายุให้ใครได้” บางคนก็ไม่รู้จักพอ หายจากโรคแล้วก็ยังขอให้เตี่ยช่วยให้ถูกล็อตเตอรี่อีก ครั้งหนึ่งมีภรรยาของผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่ง ได้มาให้เตี่ยรักษามะเร็งในมดลูกให้จนหาย และก็ได้พาน้องสาวมารักษาอีก เมื่อน้องสาวหายแล้วก็พูดกับเตี่ยว่า “ดิฉันยังจนอยู่ ขอให้อาจารย์ช่วยให้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งสักครั้ง จะได้เอาเงินมาให้อาจารย์” เตี่ยก็ตอบว่า “คุณนายและน้องสาวรอดตายหายจากโรค ไม่ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งอีก อย่างนี้ยังจะไม่รวยอีกหรือ”

จากการที่เตี่ยได้ให้ความช่วยเหลือแก่บุคคลต่าง ๆ เตี่ยสอนลูก ๆ เสมอ ๆ ให้พิจารณาเรื่องราวของคนเหล่านี้เป็นบทเรียนในการสอนตนเอง ซึ่งจะเห็นว่า บางคนจะตายอยู่แล้ว ยังห่วงนั่นห่วงนี่ ห่วงทั้งชีวิตตนเอง ห่วงทั้งทรัพย์สินเงินทอง ขาดสติตลอดชีวิตเลย ดู ๆ แล้วก็น่าสงสาร ดังนั้นจะต้องเตือนตนเองให้มีสติอยู่ตลอดเวลา อย่าให้ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ มามอมเมาเราให้หลงตามกับมันไปได้ ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็อาจจะเข้าไปอยู่ในโลงเสียแล้ว เตี่ยได้แต่งโคลงจีนไว้บทหนึ่งสำหรับเตือนใจลูก ๆ ซึ่งถอดความมาเป็นภาษาไทยแล้วพอได้ใจความว่า

ความรักคือการประหาร (เช้งไอ่ปุ้งสี่ลั่วะ)

ลาภยศคือรากเหง้าของเภทภัย (ปู้กุ่ยสีหัวง้วน)

ไม้ใกล้ฝั่งค่อยสำนึก (จิ่วบั๊กฮวงหงอชื่อ)

ได้รู้ต้นทางแท้จริง(จิงเจี่ยเล็กโล่วเท้า)

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:57 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ของดีของเตี่ย


คุณสมพร เทพสิทธา ได้เขียนถึง “ของดีของอาจารย์สู” ไว้ในหนังสือ “อาจารย์ผู้วิเศษ” ซึ่งพิมพ์เป็นที่ระลึกในการทอดกฐินสามัคคีคณะศิษย์อาจารย์สู ณ วัดสิงห์ทองพรหมาวาส อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ ตอนหนึ่งมีใจความว่า

“หากจะมีผู้ถามข้าพเจ้าว่า อาจารย์สูมีของดีอะไร ข้าพเจ้าจึงได้เคารพนับถือท่านมาก ข้าพเจ้าก็ต้องขอตอบว่า ของดีของท่านอาจารย์สูก็คือ คุณธรรมอันสูงซึ่งมีอยู่ในจิตใจของท่าน ข้าพเจ้าไม่มีญาณที่จะทราบว่าอาจารย์สูได้บรรลุคุณธรรมชั้นไหน แต่ก็คิดเอาเองว่า อย่างน้อยท่านคงจะได้คุณธรรมชั้นโสดาบัน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามาพบท่าน จะเห็นแต่ใบหน้าที่สงบ ยิ้มแย้มของท่าน ไม่เคยเห็นท่านแสดงอาการโกรธใครเลย และท่านไม่เคยแสดงความยินดียินร้าย ไม่ว่าใครจะเอาของมาให้ท่านหรือไม่........”

นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งในหลาย ๆ สิ่งที่ทำให้พวกเรา ลูก ๆ ทุกคนมีความภาคภูมิใจในตัวเตี่ยอย่างยิ่ง ถึงแม้นลูก ๆ ทุกคนจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็อดที่จะปิติยินดีไม่ได้ เมื่อเห็นว่าผู้อื่นก็มีความเข้าใจและยกย่องคุณธรรมในจิตใจของเตี่ยอย่างนี้ นับตั้งแต่จำความได้ ลูก ๆ ไม่เคยเห็นเตี่ยติดอยู่ในสิ่งของใด ไม่เคยที่จะสะสมวัตถุใด มีแต่จะให้ผู้อื่นอยู่เสมอ โดยไม่เคยที่จะหวังสิ่งตอบแทนเลย

สำหรับของดีของเตี่ยที่เป็นวัตถุนั้น เตี่ยทำของอยู่ ๒ อย่างคือ ผ้ายันต์ และ ปรอท สำหรับผ้ายันต์ เตี่ยจะทำเมื่อมีคนมาขอและส่งให้เดี๋ยวนั้นเลย ไม่เคยทำเอาไว้ก่อน การทำผ้ายันต์ของเตี่ยนั้นก็ไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น คือ เอาผ้าแดงมาขีด ๆ เขียน ๆ พอเสร็จเตี่ยก็จะเพ่งมองอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ส่งให้ผู้ขอ เป็นอันว่าเสร็จพิธี เตี่ยบอกว่าผ้ายันต์นี้ เมื่อทำไปแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้ไปสนใจมันว่าจะใช้ได้หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียง วิชา อย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเราไม่ได้ไปติดอยู่กับมัน มันก็เข้ามาแปรสภาพใจเราให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เตี่ยเคยพูดให้ลูกฟังว่า เมื่อใจเราเป็นสมาธิ ทำของก็ขลังได้ เหมือนอย่างพวกที่นั่งสมาธิแล้วเกิดอารมณ์ปิติ สุขุม ตอนนั้นถ้าหยิบของใดขึ้นมาก็เป็นเมตตามหานิยมได้ แต่ถ้าไปมีใจติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ใจเราก็จะแปรสภาพไป กลับถูกกิเลสมาย้อมทำให้ถอยหลังไปอีก และบางทีอาจไปก่อเวรเข้าโดยเราไม่รู้ตัว

ส่วนปรอทนั้น เตี่ยได้วิชามาจากคนแก่คนหนึ่งมาสอนให้เตี่ยทำ และได้บอกเตี่ยว่า วิชานี้ตกถึงเขามาเป็นคนที่ ๓ รวมเวลาที่ค้นคว้ามาทั้งหมดรวม ๖๐ ปีแล้ว และให้เตี่ยมาค้นติดต่อให้สำเร็จสมบูรณ์ วิชาทำปรอทของเตี่ยก็คือ การทำปรอทที่เป็นของเหลว ให้แข็งตัวโดยการล้างพิษของมันออกให้หมด เมื่อมันสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากพิษแล้ว มันก็จะแข็งตัวเอง ซึ่งกว่าจะฆ่าพิษมันหมดได้ก็ยากลำบากและเสียเวลามาก ปรอทที่บริสุทธิ์แล้วนี้ มีคุณสมบัติในการรักษาโรคบางชนิดและดูดพิษได้ รังสีของมันสามารถรักษาโรคมะเร็งในเม็ดเลือดได้

ของต่าง ๆ ที่เตี่ยทำขึ้นมานี้ เตี่ยสอนเสมอ ๆ ว่าอย่าติดอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ของขลังเป็นสิ่งให้กำลังใจแก่คนที่ยึดถือมันเท่านั้น ของขลังที่แท้จริงที่จะคอยคุ้มครองเราตลอดเวลาก็คือ “สติ”

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 2:59 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ยกับลูกศิษย์


เตี่ยมีลูกศิษย์มากและบันดาลูกศิษย์ทั้งหลายก็ชอบมาคุยกับเตี่ยเป็นประจำเมื่อมีเวลาว่าง เตี่ยผ่านเรื่องต่าง ๆ มามาก ได้รู้ ได้เห็นสิ่งแปลก ๆมาเยอะ ดังนั้น เตี่ยจึงมักมีเรื่องแปลก ๆ มาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องเหล่านั้นก็มักจะเป็นประโยชน์แก่ตัวลุกศิษย์เอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เตี่ยเป็นเสมือนขุมความรู้ที่พวกเราจะตักตวงมาใช้กันได้ไม่มีวันหมดสิ้น สิ่งที่เตี่ยสอนให้แต่ละคนมักจะไม่ค่อยซ้ำกัน และจะเหมาะกับหน้าที่การงานของคนนั้น ๆ เตี่ยเป็นคนคุยสนุก ชอบพูดตรง ๆ ง่าย ๆ ไม่อ้อมค้อม และบางครั้งยังสอดแทรกลูกเล่นไว้ในคำพูดอย่างหน้าตาเฉย ทำเอาพวกเรางงไปพักหนึ่งกว่าจะตั้งตัวหัวเราะได้ทัน (ซึ่งเตี่ยก็เว้นช่วงให้ด้วย) เวลาคุยกัน เตี่ยจะเตือนเรื่องต่าง ๆ ที่พึงระวังและสนับสนุนส่งเสริม ในเรื่องที่จะทำให้ลูกศิษย์เจริญรุ่งเรือง ส่วนบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ ที่ลูกศิษย์พามาด้วย หรือลูกศิษย์ที่ยังอยู่ในวัยศึกษา เตี่ยมักจะเตือนให้ขยันหมั่นเพียร และสั่งสอนให้ประพฤติดีมีคุณธรรม อย่าเอาตามคนอื่น ตามเพื่อนโดยพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน โดยเฉพาะถ้าใครไว้ผมยาวมาหาเตี่ย (ผู้ชาย) เตี่ยก็จะว่ากล่าวตักเตือนทุกคนไป สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เตี่ยจะสอนและอธิบายอย่างมีเหตุผล เมื่อใครมีเรื่องเดือดร้อนมาปรึกษา เตี่ยก็จะให้คำแนะนำ ช่วยแก้ปัญหาให้ทุกครั้ง เมื่อใครทำอะไรไม่ถูก เตี่ยก็จะอบรม ว่ากล่าว และชี้หนทางที่ถูกที่ควรให้กลับไปแก้ไข โดยเตี่ยมักพูดเสมอว่า “ผู้ทำผิดนั้น เขาผิดเพราะเขาไม่รู้ เรารู้แล้ว ก็ต้องช่วยสอนให้เขารู้ด้วย ถ้าไปว่าเขาผิด เราก็ผิดด้วยที่ทำให้เขารู้อย่างเราไม่ได้” (ตอนนี้มีกล่าวอยู่ในหนังสือ “สูตรของเว่ยหล่าง” บทที่สองว่าด้วยปรัชญา) ดังนั้น ลูก ๆ ไม่เคยเห็นเตี่ยว่าลูกศิษย์คนใดให้ฟังเลย เตี่ยรักและเอ็นดูลูกศิษย์ทุกคนอย่างมีเมตตาแสมอมา และปฏิบัติตนเช่นญาติผู้ใหญ่ของศิษย์ด้วยการเป็นผู้ให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกำลังใจ ข้อคิด คำปรึกษา หรือความช่วยเหลืออื่น ๆ บรรดาลูกศิษย์ของเตี่ยจึงมีความรักและเคารพเตี่ยเสมือนหนึ่งเป็นอาจารย์และญาติผู้ใหญ่ บางคนก็ถือตนเองเป็นเสมือนลูกหลาน โดยใช้คำเรียกว่า “เตี่ย” เหมือนอย่างที่ลูก ๆ เรียก

ลูกศิษย์บางคนก็รู้จักเตี่ยมานานเป็นเวลาหลายสิบปี เรียกว่าเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะท่านอาจารย์วัดทุ่งสาธิตฯ ซึ่งเป็นลูกศิษย์เตี่ยตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นเณรอยู่ เตี่ยได้ให้การอบรมสั่งสอนทั้งในด้านการปฏิบัติธรรมและคุณธรรมต่าง ๆ ด้วยความเมตตาเอ็นดูเป็นอย่างมาก และท่านอาจารย์ก็มีความรักและเคารพเตี่ยเสมือนบิดาและอาจารย์ ท่านปฏิบัติต่อเตี่ยด้วยความกตัญญูกตเวทีโดยแท้ และปฏิบัติต่อพวกเราเสมือนพี่ชายคนโต ลูกศิษย์ก้นกุฏิคนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมีทั้งที่เป็นคนไทย คนจีน และแขก ในสาขาอาชีพต่าง ๆ กัน ได้แก่ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครูอาจารย์ นักประพันธ์ นักแต่งเพลง นักพูด นักร้อง นายแพทย์ พ่อค้าและชาวไร่ แต่ละคนล้วนแต่รักและเคารพเตี่ยอย่างแท้จริงและดีต่อครอบครัวเราเสมอมา ทั้งช่วยให้คำแนะนำสั่งสอนพวกเราด้วยความรักและเอ็นดูเสมือนลูกหลาน ซึ่งนับว่าเป็นผลมาจากคุณธรรมและเมตตาธรรมของเตี่ยทั้งสิ้น และทำให้พวกเรามีความภาคภูมิใจเสมอมา

เรื่องของเตี่ยและลูกศิษย์แต่ละคนนั้น ถ้าจะนำมากล่าวก็จะยืดยาวเป็นอันมาก ดังนั้นจะขอกล่าวแต่เพียงบางคนเท่านั้น มีลูกศิษย์ของเตี่ย ๒ คนซึ่งเป็นสามีภรรยา ได้รู้จักเตี่ยมาเป็นเวลา ๓๐ ปี นับว่ามีความใกล้ชิดกับครอบครัวเราเป็นอย่างมาก เป็นผู้ที่ออกแบบ คำนวณและควบคุมการก่อสร้างบ้านซึ่งเราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ ทั้งยังเป็นผู้ที่ช่วยเตี่ยวางแบบสร้างกุฏิและเจดีย์ของหลวงก๋งบนเขาอีกด้วย คือคุณประเสริฐและคุณบุญเกษ มณีประสิทธิ์ หรือน้าเสริฐและน้าตึ๋งของพวกเรา ซึ่งน้าตึ๋งได้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้มารู้จักกับเตี่ยไว้ดังต่อไปนี้ คือ...

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:00 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เรื่องเฉพาะของเตี่ย


พ.ศ. ๒๔๙๒ เราสองคนไปหาเซียนสู ที่ จ. ชลบุรี ชนิด “เขาไป เราก็ตามเขาไป” ไม่มีธุระ ไม่มีธุระเรื่องทุกข์ร้อนอะไรที่จะไปขอให้เซียนช่วย แต่เราสองคนไปหาเซียนได้ทุกอาทิตย์ ชอบไปมองท่านเฉย ๆ ด้วยเกิดศรัทธา เมื่อเห็นใบหน้าที่อิ่มเอิบยิ้มแย้มตลอดเวลา ไม่มีริ้วรอยว่าเป็นผู้ แพ้ทุกข์ ซึ่งไม่สมสภาพความเป็นอยู่ที่เราเห็น ๆ รู้สึกว่าครอบครัวท่านลำบาก ชอบฟังคำที่ท่านพูดแนะนำ ชี้ทางออกช่วยทุกข์ให้กับบรรดาศิษย์ที่มีทุกข์ไปหา บางคนก็ไปเยี่ยมหาที่คุยให้สบายใจ ทุกคนก็จะได้รับคำสอนด้วย การยกหลักธรรมะมาเป็นข้อให้สติ คิด ทุกข์ของแต่ละคนก็แต่ละแบบ แตกต่างไม่เหมือนกัน การแก้จุดทุกข์ของเซียนมีจุดเด่นอยู่ที่ “สติ” เซียนบอกว่า จะมีทุกข์หนักขนาดไหน ถ้าหากเราใช้สติ คิดถึงที่มาของทุกข์นั้นให้ละเอียดแล้ว เมื่อเห็นจุดที่ทุกข์เราจะหลุดพ้นไม่ยากเลย สำคัญอยู่ที่ใจเรา ถ้าคิดเอาแต่เข้าข้างตัวเองแล้ว ตัวกิเลสมันจะดึงทั้งกายทั้งใจออกนอกลู่นอกทาง

การไปนั่งฟังเซียนแนะนำ ชี้ทางแก้ทุกข์ให้แก่ศิษย์ กับได้ฟังคำสั่งสอนในข้อธรรมะที่ลึกซึ้ง แจ่มชัด ฟังง่าย เข้าใจง่าย เราแปลกใจว่า ท่านเป็นคนจีน พูดไทยยังไม่ค่อยชัดแต่ทำไมจึงปราดเปรื่องในหลักพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทะเจ้านัก ยิ่งนานเดือนก็ยิ่งมีความนิยมเลื่อมใสนับถือท่านยิ่งขึ้น แน่ในทางอิทธิฤทธิ์สามารถในทางอื่นที่รู้กิติศัพท์มาก่อนจะมารู้จักท่านนี้ เขาว่าเซียนสามารถรู้เหตุการณ์ใน อดีต ปัจจุบัน อนาคตและล่วงรู้จิตคน ทะลุตลอดนั้น เรายังไม่เห็นมีอะไรพิเศษออกมาเลย สองคน เราเป็นคนชอบศึกษาถึงปัญหาทุกข์ของผู้อื่น จึงชอบฟังมากกว่าชอบพูด เมื่อได้ฟังธรรมะบางข้อ เราข้องใจสงสัย ก็นึกตั้งคำถามไว้ในใจ รอจังหวะให้ท่านพูดกับคนอื่นจบก่อน จึงจะถาม แต่เราไม่เคยได้เอ่ยปากถามสักครั้ง ระหว่างท่านพูดกับคนอื่นอยู่นั้น ท่านจะหันมามองยิ้ม ท่านพูดไป ๆ เรากลับแปลกใจที่ท่านพูดวงเข้ามาตอบอธิบายปัญหาที่เราตั้งไว้ในใจรอจะถาม โดยท่านจะกันมาพูดอธิบายให้ฟังอย่างชัดแจ้งทุกกระทงความ แรก ๆ เราไม่เข้าใจท่าน จึงมองข้ามไป ครั้นหลานครั้งบ่อยเข้าที่เราไม่ทันมีโอกาสถาม ท่านตอบก่อนทุกครั้ง จนถึงคิดลองกับเซียนสักทีให้แน่ใจว่าเรื่องบังเอิญ จึงคิดคำถามไว้ในใจอีก ท่านก็ตอบออกมาเองอีก คราวนี้ท่านเจาะจงพูดด้วยตรงเผง เราจึงจับวิธีของเซียนได้ว่า สามารถรู้ใจคนได้ทะลุตลอด ได้พิสูจน์กิติศัพท์ที่ผู้อื่นบอกเล่าได้อย่างหนึ่งแล้ว

ต่อมาเซียนให้ประเสริฐ มณีประสิทธิ์ นายช่างกรมโยธาธิการ ช่วยออกแบบตึกที่จะสร้างไว้รูปหล่อหลวงก๋ง ประเสริฐรับปากมาก็เป็นผู้ออกแบบสเก็ตช์ แล้วก็เอามาให้ บุญเกษ มณีประสิทธิ์เขียนตามแปลน แล้วนำไปให้เซียนดูให้ชอบใจก่อนจึงจะนำมาพิมพ์เขียว ประเสริฐส่งให้เซียนดู ท่านรับไปดูแล้วถามว่า “ใครเขียนแบบนี้” เรารีบชิงตอบว่า “ประเสริฐเขียน” ไม่ใช่เราต้องการลองดีอย่างเดียว จริงใจก็ต้องการเอาดีให้ประเสริฐด้วย เซียนเพ่งมองแบบแล้วส่ายหน้า เอาแบบวางลงกับพื้นตรงหน้า เอาฝ่ามือแบคว่ำทับไว้ แล้วมองหลังมือตัวเองหัวเราะชอบใจ บอกว่า “นี่ไม่ใช่ประเสริฐเขียนนา คุณเป็นคนเขียนต่างหาก” และชี้มือมาที่เรา เรานั่งตะลึงอึ้งงงอยู่ว่า ตั้งแต่เข้ามารู้จักเซียน เราไม่เคยให้เซียนรู้จักเราเลยว่า เรารับราชการเป็นช่างเขียนออกแบบแปลนอยุ่เทศบาลนครกรุงเทพ ทั้งตัวเราก็พูดเองว่า ประเสริฐเขียน ท่านแสดงให้เห็นประจักษ์กับตัวเราตรง ๆ ว่า ท่านสามารถรู้ อดีต คือเราใช้เวลาเขียนแบบผ่านมาแล้ว กับรู้ ปัจจุบัน คือเดี๋ยวนี้เราพูดเท็จกับท่าน แล้วอนาคตล่ะ ท่านจะรู้หรือไม่ ท่านพิจารณาดูแบบแล้วบ่นว่า หลวงพ่อให้เงินไว้ ๕๐๐.๐๐ บาท ให้สร้างตึกนี้ ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจะทำได้อย่างไร ถามทีไรก็บอกให้ทำไป - ทำไป

วันหนึ่งเราสองคนไปหาแต่เช้า แขกยังไม่มี เซียนก็บอกว่า “เอาละนะ วันนี้จะลงมือปลูกตึกสักที ลองดู จะเสร็จไหม” แล้วเซียนก็ฉวยจอบ แบกเดินนำหน้าออกมาที่ลานข้างบ้านเดิม มองซ้าย มองขวา เอาจอบสับ ๆ ที่ดิน ๒ – ๓ ครั้ง “มา สองคนมาช่วยกันเล็งดูเสาหน่อย” เราก็เดินตามไป ไม่เห็นเสาอะไรสักต้น แล้วก็กลับเข้าบ้าน บอกว่า “เงินหลวงพ่อ ๕๐๐.๐๐ บาทปลูกขึ้นมาเสร็จแล้ว” วันนี้เซียนได้ให้ผ้าจีวรหลวงก๋ง กว้าง ๖” ยาว ๙” คนละผืน จากนั้นเซียนก็ให้ประเสริฐคิดรายการคำนวณรายการวัสดุก่อสร้าง แปลกจากวันนั้น การดำเนินงานก่อสร้างสำเร็จลงอย่างรวดเร็ว กลับมีผู้ศรัทธามาร่วมกันก่อสร้างเพิ่มเป็น ๓ หลัง ที่อยู่ปัจจุบันนี้ นี่คือข้อพิสูจน์ได้ว่า เซียนสามารถรู้ถึงอนาคตว่า การก่อสร้างนี้ต้องสำเร็จแน่นอน

พ.ศ. ๒๕๐๐ ประเสริฐต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในจังหวัดอุบลราชธานี นายช่างโยธาควบคุมการตัดและสร้างถนน ในโครงการช่วยเหลือความอดอยากภาคอีสาน ไปบอกลาเซียน เซียนได้ให้ผ้าตะเข็บสังฆาฏิของหลวงก๋ง ยางประมาณ ๒๔” กับเรา บอกว่า “ไม่จำเป็น ไม่ให้เอาออกมาใช้ ต้องเข้าที่คับขันหรือจำเป็นจริง ๆ ค่อยเอาออกมาใช้ โดยให้เอาฝ้านี้ออกโบก ๆ จะเอายังไงก็ตั้งใจคิดไว้ และยังมีอีกอย่างหนึ่ง เซียนกำไว้ในมือไม่ให้เห็น เราสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน เซียนก็กำมือคว่ำยื่นออกมาด้วยท่าทางที่ไม่เจาะจง ประเสริฐยื่นมือไปแบรับ ส่วนเราด้วยความเคารพเกรองใจ ไม่กล้ายื่นมือไปแบรับใกล้ๆ จึงรีบหดมือกลับ เพราะเห็นว่าประเสริฐควรจะได้ เซียนหดมือหนี ล้อ ๆ ประเสริฐ หัวเราะเสียงดัง พูดว่า “อั๊วให้เมีย ผัวจะมาเอา” เมื่อเรารับมาก็เห็นเป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาสีแดง เลี่ยมนาคเรียบร้อย ท่านบอกว่า “ธรรมดา พระหรือของขลังที่กันปืน ถ้าคนรู้เขาจะใช้เอาปืนลอดใต้หว่างขายิง ของเหนียว ของขลังจะถูกคัดออกหมด แต่พระองค์นี้ ต่อให้มันเอาปืนลอดหว่างขายิง เราก็โก่งตูดให้มันยิง รับรองยิงไม่เข้า” ระหว่างที่คุยกันนั้น มีแต่เราสามคน เซียนจึงลุกขึ้นทำท่าก้มโก้งโค้งยิงปืนลอดใต้หว่างขาให้ดู หัวเราะชอบใจ

การไปทำงานที่อุบลฯ นี้ ได้จับกลโกงของคนงานที่เป็นคนเชื้อสายส่วย คือคนอีสานก็ไม่ใช่ เป็นเขมรก็ไม่เชิง มีนิสัยไม่ค่อยซื่อตรง พาล และชอบเล่นของทางกระทำ เลี้ยงผี เมื่อเราจับได้ก็มีความอาฆาต จะลอบทำร้าย จะทำของมาเข้า แต่เราทั้งสองคนไม่เคยสนใจ มันก็ยังคอยหาเรื่องอยู่เสมอ เมื่อเข้ากรุงเทพ เยี่ยมบ้าน ก็เลยไปเยี่ยมเซียนด้วย ก็เล่าให้เซียนฟัง เซียนโมโห เรามองดูแล้ว มีความรู้สึกซึ้งใจ เหมือนพ่อที่รักลูก ไม่ยอมให้ใครรังแกง่าย ๆ เรียกเราไปนั่งตรงหน้า ให้เราแบมือขวาไปตรงหน้า เซียนมองท้องผ้าแล้วกลับจ้องมองที่ฝ่ามือเรา ในระหว่างที่เซียนจ้องมือเรานั้น มีความรู้สึกเหมือนมีปลายดินสอเขียนวนไปมาในฝ่ามือจนรู้สึกจั๊กกระจี้ เสร็จแล้วเซียนบอกว่า คราวนี้ถ้ามันมาหาเรื่องอีก ให้ท้ามันว่า “ให้เอาตะปูมาตอกมือกันคนละ ๓ ที ถ้าตะปูตอกมือเราไม่เข้า ก็ให้มันยอมแพ้ หนีไป อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเราอีก โดยเราจะยอมให้มันเป็นฝ่ายตอกเราก่อน ดูซิว่ามันจะกล้าพนัน รับท้าเราไหม และมือนี้ยังใช้ตบหน้าผีได้อีกด้วย” ปรากฏว่ามันไม่รับคำท้า แต่มันก็ออกจากงาน กลับ จ.สุรินทร์บ้านเดิม

ต่อมาเซียนหันมาตั้งใจทำปรอทอย่างจริงจังทุกอาทิตย์ เราสองคนจึงไปช่วยเซียนบดปรอท พอบดได้ที่ ปั้นได้เป็นก้อนลูกกลม ๆ วางไว้ พอแข็งก็มีศิษย์ไปจากกรุงเทพฯ ไปถึงก็ขอกันไปคนละเม็ด เซียนก็ให้ทุกคนที่ขอ เราสองคนช่วยบดและไปก่อนกลับทีหลังใคร ๆ ได้แต่มองตามศิษย์อื่นเขาได้กันไป เซียนไม่เคยสนใจจะให้เราสองคนเลย เราสองคนได้ตั้งใจมั่นไว้ตั้งแต่เข้ามารู้จักเซียนวันแรกว่า จะไม่เอ่ยปากขออะไรจากเซียนทั้งสิ้น เราก็ไม่ยอมเอ่ยปากขอ ทั้งที่ใจอยากจะได้ยิ่งนัก เซียนเองจะพูดเสมอ สอนไม่ขาดว่า สัจจะ เป็นของขลังคุ้มตัว ทุกสิ่งในโลกนี้ ความจริงย่อมสู่ความจริง อันลักษณะประพฤติเรื่องสัจจะนี้ เป็นนิสัยของเราทั้งสองแต่พื้นดั้งเดิมอยู่แล้ว จึงไม่เป็นการยากที่จะรักษาไว้ให้มั่นสืบไป ศิษย์คนไหนได้ก็ได้ไป เซียนไม่เมตตาก็ตามใจ เราสองคนช่วยเซียนทำอยู่อย่างนั้น และทุกอาทิตย์มักจะได้ยินแต่ศิษย์ที่ได้ปรอทจากเซียนไป วิ่งกลับไปบอกเซียนว่า ปรอทที่เซียนให้นั้นหายไปแล้ว ไม่รู้หายไปไหน เซียนก็ได้แต่หัวเราะ ไม่มีท่าทางจะเสียดายปรอทที่กว่าจะทำขึ้นมาสำเร็จแต่ละเม็ดลำบาก กินแรง กินเวลา แต่กลับเอาไปทำหายง่าย ๆ บางคนขอใหม่อีก ท่านก็ให้กันอีก เราสองคนก็ได้แต่มองหน้ากันเอง นึกหมั่นไส้ที่เขาได้ของดีแล้ว ไม่รู้จักระวังรักษา ยังมีหน้ามาขออีก มีอยู่คนหนึ่งที่จำได้ก็เพราะเจอทีไร ได้ยินขอแต่ปรอท เซียนก็ให้ทุกที คนนี้ ขอ – ให้ – หาย อยู่อย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ๆ ที่ ๔ เซียนบอกว่า ลื้ออย่าเอาไปเลย วาสนาลื้อไม่มี พอแขกกลับหมด เซียนก็เอาปรอท ๓ เม็ดออกมาให้เราสองคนดู แล้วบอกว่า มันไม่ยอมไป มันก็กลับมาตั้งแต่กลางทาง เราจึงเข้าใจ หลงเสียดายของหายเสียเกือบตาย เป็นเรื่องแปลก ธรรมดาตกเย็นมากแล้วจะไม่มีแขก แต่วันนั้นมีแขกไปผิดเวลา ๓ คนและเป็นคนไม่เคยไปหาเลย เราก็มองดูลูกปรอท ๓ เม็ดที่วางอยู่บนโต๊ะที่เซียนนั่ง นึกในใจว่า ทำไมเซียนเก็บเสียก่อน เดี๋ยวก็ถูกขออีก เซียนมองหน้าเราแล้วก็หัวเราะเฉย เหมือนไม่เข้าใจ เมื่อแขก ๓ คนพูดบอกความประสงค์ คุยกันไปเขาก็มองเม็ดปรอทเพราะฉงน ไม่รู้จัก อยู่ ๆ เซียนก็แจกให้เขาไปเลยคนละเม็ด พร้อมกับบอกวิธีใช้ให้เสร็จ เราสองคนแอบหัวเราะ ขำวิธีการของเซียน พอแขกได้ปรอทคนละเม็ด รีบลากลับแน่ว เซียนจึงเล่าให้เราฟังว่า ที่บ้านคนนั้นเขาเป็นมะเร็ง มีคนแนะนำมา เราก็ให้เขาไป เพราะ ๓ คนนี่คือเจ้าของปรอท ๓ เม็ดนี้ ความเดิมจึงกระจ่างว่า คนที่ขอเอาไปทำหายนั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของที่แท้จริง เจ้าปรอทนี่จึงวิ่งกลับมาคอยเจ้าของตัวจริงมารับไป ความลับของปรอทที่หาย ๆ เราทั้งสองต่างปิดปากเงียบ ให้บรรดาศิษย์ได้เสี่ยงวาสนากันไป

วันหนึ่ง เราสองคนไปถึงแต่เช้าเช่นเคย เห็นเซียนลงนั่งบดปรอทเองอยู่หลังตึกคนเดียวเงียบ ๆ ประเสริฐก็เข้าช่วยบดต่อ ด้วยความชำนาญ ตากะว่า เซียนบดเที่ยวนี้ ปั้นได้พอแค่เม็ดเดียว ธรรมดาจะกะบดแล้วปั้นได้คราวละไม่ต่ำกว่า ๓ – ๔ เม็ด ก็นึกในใจว่า เม็ดนี้เดี๋ยวเจ้าของคงมาและคงเป็นศิษย์ที่ชอบพอเป็นแน่ ดูเซียนตั้งใจทำเม็ดนี้เอง พอทำเสร็จ เซียนก็ส่งให้ประเสริฐ บอกว่า เม็ดนี้ อั๊วให้ลื้อ เราก็ยังไม่ได้อีกตามเคย

ต่อมา นั่งอยู่บ้าน รู้สึกคิดถึงเซียนมาก ไม่ทราบเป็นอย่างไร ปกติไปเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ นี่วันธรรมดา จึงต้องเดินทางไปชลบุรีคนเดียว ไปทั้งที่ไม่มีธุระอะไร ถึงก็นั่งฟัง นั่งคุยตามเคย อยู่เซียนก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องไปหยิบหินสีดำ ดำสนิทจนออกเขียวเป็นมัน เนื้อละเอียด เกลี้ยงและลื่น ก้อนเท่านิ้ว ใช้ยังไงไม่รู้ ลื้อเอาไปดูเล่น

อีกครั้งหนึ่งที่เราไปหาคนเดียวในวันธรรมดา เพราะติดขัด เรื่องการใช้สมาธิให้จิตว่าง หลังจากเล่าความเป็นไปและรับการอธิบายแล้วก็ฟังเซียนคุยกับศิษย์อื่น ก็มีการขอ การให้ปรอทกัน เราไปคนเดียว รู้สึกเหงา ๆ ก็เลยปลีกตัวออกไปนั่งห่าง ๆ ระหว่างที่เซียนหยิบปรอทให้คนโน้นคนนี้ไป เราก็มองตามเม็ดปรอทนั้น แล้วก็นึกในใจว่า คนอื่นเขาได้ไปแทบทุกคนแล้ว แม้แต่ประเสริฐก็ได้แล้ว เราก็อยากได้กับเขาบ้าง แต่ก็นึกฮึดขึ้นมาว่า เรื่องที่จะให้ออกปากขอนั้นไม่มีวันขอ จนศิษย์พวกนั้นกลับหมด เซียนก็เดินเข้ามาหัวเราะด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบ แววตาอ่อนด้วยความปราณี แล้วคายปรอทเม็ดที่อมประจำอยู่ในปากออกมาส่งให้ เรารู้ทันทีว่าถึงวาสนาของเราแล้ว เซียนให้พร้อมกับบอกเคล็ดลับในการกุมอำนาจปรอทไม่ให้หนี และไม่ให้ “ใคร” ที่เราไม่เห็นตัวมาขโมยไปได้ ไม่ผิดจากพ่อที่รู้ใจ อ่านใจลูกออก พลั้งปากเรียก “เตี่ย” เป็นคำแรก ปีติจนน้ำตาไหล เตี่ยมองหน้า ยิ้ม แล้วไล่ให้ไปกินข้าว จะได้กลับบ้าน เดี่ยวเข้ากรุงเทพเย็น ทางบ้านจะเป็นห่วง

งานวางผังวนอุทยานไตรตรึงษ์ จ.กำแพงเพชร ประเสริฐต้องออกไปอยู่ ๔ เดือนกว่า ก็ไปลาเตี่ย ได้กล่าวแล้วว่า เตี่ยรู้อนาคต เห็นอะไรได้ไกล ๆ คงรู้ว่า บริเวณไตรตรึงษ์ อันเป็นเมืองเก่าแก่นี้ ยังมีของโบราณที่คู่กับความอาถรรพ์ต่าง ๆ ที่เรามองด้วยตาเหล่าไม่เห็น และยังมีสัตว์ร้ายจำพวก เสือ ช้าง หมีป่าอยู่ แต่เตี่ยไม่พูดตรง ๆ ถึงสิ่งที่รู้ เมื่อหมดแขก เตี่ยก็สอนว่า ถ้าเราพบหมีจะทำร้ายเรา เราอย่าตกใจวิ่งหนี ให้หันหน้าคอยจ้องดูมันไว้ เวลาหมีมันจะตะครุบเรา มันจะยืนสองตีน ยืดตัวขึ้น และหลับตา ตะปบลงมาที่เรา (ระหว่าที่เตี่ยอธิบายนั้น เตี่ยลุกขึ้นตั้งท่าทำแบบหลบหมีให้ดูด้วย) เราจงคอยจังหวะที่มันหลับตาและตะครุบลงมา หลบฉากไป ออกทางซ้ายทางขวาตามถนัด ไม่ต้องเผ่นไปไกล ๆ เมื่อหมีมันตะครุบผิด มันจะลืมตาขึ้นมาดู และก็จะหันมาตั้งตัวยืนและหลับตาตะครุบใหม่อีก มันจะทำอย่างนี้ ๓ ครั้ง เมื่อครบ ๓ ครั้ง ทำร้ายเราไม่ได้ มันก็จะเลิกทำร้ายเรา แล้วเดินจากไป เสือช้างก็เหมือนกัน สัตว์ในป่าเขามีสัจจะ หากเราถือสัจจะ ในการไม่ทำร้ายมัน งูเท่านั้นให้ระวังให้มาก เพราะงูไม่มีสัจจะ เรื่องสู้หมีนี้ ถ้าจวนตัวก็พอจะกัดฟันสู้ แต่ เสือ ช้าง ถึงมีปืนอยู่ในมือ ยังไม่คิดสู้มัน เตี่ยจึงบอกวิธีหักกิ่งไม้มาขีดลงกับดิน กั้นเขตระหว่างเรากับมัน พร้อมทั้งสอนคาถากำกับการขีดด้วย แต่ถ้าหากเกิดเผชิญหน้ากับเรา หลีกเลี่ยงไม่ทัน ก็ให้ยืนนิ่ง ๆ อยู่หลังเขตที่เราขีดกั้นไว้นั้นและจ้องเพ่งประสานตามัน พร้อมกับใจเราแผ่เมตตาให้มันด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันจะหลีกเราไปเอง การนอนในป่าให้ปลอดภัยจากงูและสัตว์ร้าย ก็ให้หักไม้มาขีดกั้น กำกับด้วยคาถาเดียวกันนี้ แต่เมื่อไปจากที่นั้นแล้ว ให้ขีดเปิดเสีย เตี่ยมีมุขตลกว่า ถ้าเอา ดี ดี ที แขวนเอวไปพบช้าง เสือ หรืองู ก็ฉีดเหนือลม มันก็ขี้เกียจ วิ่งหนี ไม่ยอมสู้ แต่จงระวังไว้ให้ดี ทีเราเผลอเขาจะย้อนมาเยี่ยมเราอีก ทั้งหมดสู้เมตตาจากใจเราไม่ได้

ปรอทให้เอาติดตัวไปด้วย จะกัน “ไข้ปรอทป่า” ได้ ไข้ปรอทป่านี้ ใครเป็นแล้วหายนับว่าบุญมาก ใครไม่รู้ก็นึกว่าเป็นไข้ป่า แต่ไม่ใช่ ให้ดูในรูจมูกกับรูหูคนไข้จะมีเกล็ดปรอทติดที่ขนจมูก ขาว ๆ เหมือนกับเกล็ดน้ำค้าง ถึงขนาดนั้นแล้ว ให้ขุดหลุมฝังศพได้ ถ้าเรามีปรอทของเราติดไป มันจะดูดรับปรอทป่าเข้ามาไว้หมด และปรอทของเราจะกลับมีน้ำหนักเบาขึ้นและดีมากทีเดียว ไม่เชื่อ ก่อนออกป่า ให้ชั่งน้ำหนักปรอทเม็ดของเราไว้ก่อน พอเลิกงานในป่า ถึงบ้านให้ลองเอามาชั่งดูที จะจริงไหม (ได้พิสูจน์แล้ว เป็นความจริงตามคำบอกของเตี่ย – ปรอทของประเสริฐน้ำหนักน้อยลงครึ่งต่อครึ่งจากน้ำหนักเดิมและมีสีขาวใส)

เดือนเมษายนเวลาเที่ยง อากาศในไตรตรึงษ์ยังเย็น มีหมอกลงสูงจากพื้นดินประมาณ ๑ เมตร อยู่ขนานกับพื้นดินเป็นสายทางยาว ๆ เตี่ยรีบถามว่า หมอกนั้นไม่มีทั่วไปใช่ไหม ? .......ใช่ พื้นดินตรงที่หมอกลอยประจำนั้นเป็นสีเหลือง ๆ ใช่ไหม ?.....ใช่ เตี่ยดีใจมาก บอกว่าที่นั้นเป็นที่ปรอทลง ปรอทป่านี้สะอาดบริสุทธิ์มาก ถ้าเอามาทำเม็ดมันจะมีฤทธิ์แรงมาก และไม่ต้องเสียเวลาบดนาน แล้วเสนอวิธีดักปรอทน้ำ ให้ประเสริฐไปดักมาให้

ในบริเวณไตรตรึงษ์ที่ไปทำงานนั้นเป็นเนินดิน สูงเป็นแนวเหมือนกำแพงเมืองเก่าแก่ มีเจดีย์ยอดด้วนและมีปล่องตรงกลาง มองลงไปเบื้องล่างลึก มีแอ่งน้ำขัง ได้ไปนมัสการและคุยกับหลวงพ่อแท่น ที่วัดใกล้ ๆ นั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่านมีอายุ ๑๐๐ ปีเศษ ท่านบอกว่า ในแอ่งน้ำก้นปล่องนั้น วันดีคืนดีจะมีเป็ดทองคู่หนึ่งออกมาไซ้หากินอยู่ก้นบ่อนั้น ชาวบ้านจะพากันไปชมเป็นขวัญตา ท่านเคยนำลูกศิษย์ลงไปดูในปล่องเจดีย์นั้น มีเป็นเหมือนเหลือบอุโมงค์เข้าไป ถ้ามองทางตรงจากข้างบนจะไม่เห็นอุโมงค์นี้ ในอุโมงค์ยังมีชุดเสื้อผ้าและดาบนักรบโบราณวางอยู่เป็นซาก เปื่อยจนแตะต้องไม่ได้ ระหว่างที่ประเสริฐเล่า เตี่ยเพ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นิ่ง หูก็ฟัง พอเล่าจบ เตี่ยก็บอกว่า พระเขาไม่โกหก แต่ยังมีอะไรต่ออะไรอีกเยอะ ต่อให้ใครเก่ง วิเศษยังไงก็ไปเอาของพวกนั้นไม่ได้ มันจะสูญทันที อาเสริฐ ลื้ออยากได้ไหม ?......ไม่อยาก......ลื้ออยากเห็นไหม.....อยากเห็นเป็นขวัญตา .......อั๊วบอกวิธีให้ แต่ต้องสัญญาว่า เมื่อลื้อใช้ดูอะไรที่ไหนอีก ลื้ออย่าลืมปิดเขาอย่างเก่า ถ้าลื้อลืมปิด ก็เป็นอันตรายกับลื้อนา......ไม่ลืมครับ เตี่ย เตี่ยสอนคาถาให้ ทั้งบทเปิด บทปิด

ยังมีอีกอย่าง ที่นั้น จอมปลวกสูงใหญ่ เดินผ่านด้านหนึ่ง จะมีเสียงไก่ป่าร้องและเสียงคุ้ยหากินอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่พอเดินไปทางเสียงไก่นั้น ก็จะกลับไปมีเสียงทางด้านที่เราเดินจากไปเมื่อครู่ เราเดินอ้อมดักกันอยู่อย่างนั้นรอบ ๆ จนถึงขนาดวิ่งอ้อมดัก ก็ยังมีแต่เสียงล่อเราอยู่อย่างนั้น จอมปลวกนี้ ตามปากชาวบ้านเล่าว่า ได้เอาชีวิตเด็กไปแล้วและกำลังนอนกินเป็นปี อยู่ข้างบ้านกำนัน ประเสริฐไปเยี่ยมและรู้มาว่า เดิมคนป่วยมีรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง อยู่ในวัย ๒๐ ปีเศษ แต่สภาพที่เห็นปัจจุบัน เขามีแขนขาลีบ เดินไม่ได้ ผอมซีดเหลือง แต่กินจุ นอนป่วยลุกไม่ขึ้นมาเป็นปี ในดวงตาไม่มีแวว ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง ก่อนป่วย เขาเดินผ่านจอมปลวกนั้น แล้วเอามีดถางหญ้าที่ถือติดมา ไปเฉาะจอมปลวกเล่น ทีเดียว พอก้าวพ้นจอมปลวกไปได้ ๓ - ๔ ก้าวก็ล้ม ต้องหามเข้าบ้าน จากนั้นก็ไม่ลุกขึ้นอีกเลย เตี่ยสนใจมาก แต่มีท่าทางคล้ายฉิว ๆ แทนคนไข้นั้น ปุบปับก็ลุกขึ้นเดินออกไปทางหน้าบ้าน ข้ามไปที่เขตวัดหน้าบ้านเดิม ตรงนั้นมีกอไผ่อยู่กอใหญ่ เข้าไปใต้กอไผ่ มองซ้ายขวาหาทิศทาง แล้วหักแขนงไผ่มาอันหนึ่ง ออกมายืนกลางแจ้ง สองมือถือเรียวไผ่นั้นเหมือนพระจับคัมภีร์เทศน์ เงยหน้าขึ้นจ้องดองอาทิตย์ที่กำลังแผดแสงร้อนจ้า จ้องอยู่เต็มอึดใจ แล้วก็ก้มลงจ้องเรียวไผ่ในมือ เราดูนาฬิกาเป็นเวลา ๑๒.๐๙ น. เตี่ยถือไม้เดินมาส่งให้ประเสริฐแล้วสั่งว่า กลับไปเที่ยวนี้ ลองเอาไม้เรียวนี่ไปเยี่ยมเขาหน่อย ลองดูที เวลาเอาไป เอาซุกไว้ในอกเสื้อ อย่าให้ใครเห็น ดูซิว่ามันจะคุยกับลื้อยังไง ไม้เรียวอันนี้ ลื้อเก็บไว้ให้ดี เวลาโกรธคน อย่าเอาไปตีเขา เขาจะเสียแขนเสียขา ไอ้ผีที่ไหนมันเกเร ก็เอาไปตีมัน ต่อไปลื้อเป็นหมอไม้เรียวละสนุกกันใหญ่ ประเสริฐพกเอาไม้อาญาสิทธิ์ของเตี่ยไปตามแผนที่เตี่ยสอน พอก้าวไม่ทันสุดขั้นบันได คนไข้คนนั้นหมดลมตายไปเลย ศพที่ตายไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ใบหน้า จมูก ปาก ทรุดแห้งเหมือนไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงมาเป็นปี ๆ ประเสริฐตกใจคิดว่าไปทำเขาตาย แต่หมอผีในหมู่บ้านที่รักษากันมาก่อนบอกว่า เขารู้ว่า ไอ้นี่ตายมาแล้วเกือบปี แต่ผีจอมปลวกแฝงกินอยู่ เขาไม่มีทางสู้ก็ต้องปล่อย

เมื่อพูดถึงเรื่องผี ๆ สาง ๆ เราเองไม่เคยเชื่อ เพราะแต่เด็กแต่เล็กมาไม่เคยคิดกลัวผี แต่ฟังผู้อื่นเล่าแล้วพิลึกพิลั่น แม้แต่เตี่ยเอง ก็ได้เล่าถึงความเกี่ยวข้องกับผีมาว่า เตี่ยเคยพบและคุยกับเปรต ตัวมันสูงมาก ไม่รู้ว่าจะต้องใช้ผ้ากี่พับจึงจะตัดชุดให้เขาใส่ได้ แต่ปากมันมีรูนิดเดียว จนไม่รู้ว่าน้ำหนึ่งหยดจะหยอดเข้าปากไหม เตี่ยเคยไปดูผีเข้าชาวบ้าน มันถือดาบไล่ฟันคน เตี่ยเดินเข้าไปหา ผีก็เงื้อดาบจ้องสูงขึ้น ๆ พอเตี่ยเดินถึงตัว ผีก็เงื้อดาบจนหงายหลัง ผีหนีเตี่ย มีผีเกาะอยู่ที่หูคนที่มาหาเตี่ย มันเกาะติดมา พอนั่ง เตี่ยตบผีที่เกาะอยู่ที่หูคนนั้นฉาดเบ้อเร่อ เจ้าของหูไม่รู้ตัว เพราะเขานั่งซึม ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเตี่ยตบผีหนีไปแล้ว คุยกันถึงเรื่องผี เตี่ยก็บอกวิธีทำน้ำมนต์ไล่ผีให้ บอกให้เอาดอกกุญแจที่มีรูตรงกลางมาแช่น้ำ ว่าคาถา ๔ คำ เราฟังแล้วไม่น่าเชื่อ

เมื่อมีผีมาเช้าชาวบ้านมาใกล้บ้านเราแล้ว เฝ้ามองดุหมอผีหลายคนเขาไปตามมารักษาก็ว่าแพ้ มันอาละวาดหมอผีทิ้งไปหมด เราก็อยากดุ อยากลองของจริงสักทีด้วยตัวเอง ไม่เคยเห็น ไม่เคยเชื่อ จึงเอาไม้เรียวไผ่ของเตี่ยซุกแอบไปในเสื้อ ไม่กล้าให้ใครรู้เห็น เดี๋ยวเขาจะหาว่าสติไม่ดี อยากดัง และอายเขา แต่อยากลองด้วยตัวเอง ก็ไปเยี่ยมไข้เพื่อนบ้าน ระหว่างที่ผีกำลังแสดงอะไรต่อมิอะไรอยู่นั้น เราก็ขึ้นบนบ้านเขา แต่คนที่ถูกผีเข้านั้น ลงนอนด้วยกิริยาที่เรียบร้อย แถมนอนหันหลังให้เงียบ เราก็นั่งคุยกับเจ้าของไข้เป็นเวลานานมาก คนผีเข้านอนนิ่ง เราใจชักไม่ดี กลัวเขาตายอย่างรายทีประเสริฐไปเยี่ยมที่ไตรตรึงษ์ เงียบจนเจ้าของไข้เข้าไปเขย่าตัวดู ปรากฏว่า ทำท่างัวเงียเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ลุกขึ้นยกมือไหว้เรา ทักทายอย่างคนที่รู้จักกันธรรมดา ๆ เราเองก็ยังไม่รู้เลยว่า อะไรมันเป็นอะไร จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เชื่อเรื่องผี เพราะยังไม่เคยพบกันเลย

เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๔ ประเสริฐไป จ.สิงห์บุรี เวนคืนที่ดินทำเขื่อนหน้าจังหวัดที่บ้านจึงอยู่กันสองคนแม่ลูก มีคนพาลมาเช่าอยู่ข้างบ้าน เห็นเราอยู่กันสองคนเป็นผู้หญิง มันแกล้งปีนรั้วเข้ามาเด็ดหักกล้วยไม้ทั้งต้นทั้งดอกเกือบ ๕๐ กระถาง เราแอบเอาปืนจ่อมันเพียงระยะ ๔ เมตร ไม่พลาด แต่ใจร่ำร้องเถียงกันว่า “นี่กิเลสใช่หรือไม่” “สติคุมกิเลสได้หรือไม่” เช้าเดินทางไปหาเตี่ย เล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักเตี่ยมา และได้ใกล้ชิด ไม่เคยเห็นเตี่ยโกรธใคร แต่วันนั้นเตี่ยมีกิริยาสีหน้าโกรธมาก ลุกขึ้นเดินมือไขว้หลังพูดว่า “มันรังแกกันมากไป อย่าให้มันอยู่” เตี่ยเอาผ้าแดงมาเขียนยันต์ภาษาจีน แล้วเอาฝ่ามือวางแบ กดทับบนผ้า เพ่งหลังมือตัวเองสักครู่แล้วส่งให้ บอกว่า “ไปถึงบ้าน ยังไม่ต้องเข้าในบ้าน เอาผ้านี้เผากลางแจ้ง” แล้วเตี่ยบอกให้ไปกินข้าวแล้วไล่กลับ ถึงบ่าย เผาผ้าแดง ตกกลางคืน เสียงมันช่วยกันเลื่อนโต๊ะเก็บของกัน ปรากฏว่ามันขนของย้ายบ้านไปแต่เช้า แถมก่อนไป มันออกมายืนพูดดัง ๆ ว่า ใครจะอยู่ได้ กลางคืนมายืนจ้อง ยังกะตาแม่มด เรานึกขำว่า เตี่ยคงทำตลกอีกแล้ว

วันขึ้นปีใหม่ ๒๕๐๔ ที่สิงห์บุรี เอามวยปล้ำหญิงไปฉาย ชอบดู พอเดินเลยหน้าเทศบาลไปทางโรงเรียน ทางนั้นค่อนข้างมืด เมื่อเราเหยียบลงไป รู้สึกว่ามีอะไรนิ่ม ๆ มาตระหวัดและเจ็บแปล๊บที่ใกล้ตาตุ่มด้านนอก ก้มลงดูและรู้สึกปวดหนึบ ประเสริฐตกใจมากเข้าปีกพยุงจะไปโรงพยาบาล เรื่องสุขศาลานั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะเราสองคนถูกจัดให้พักที่เรือนคนไข้ แต่อยู่ห้องหมอเวร จึงรู้ว่าไม่มีใครอยู่เลย และที่โรงพยาบาลก็คงเช่นกัน วันปีใหม่เขาไปเที่ยวกันทั้งเมือง ใครจะอยู่ จึงขอให้ประเสริฐพยุงกลับที่พัก ด้วยความเชื่อมั่น จึงแกะเอาจีวรหลวงก๋งออกจากกรอบที่แขวนคอ วางคลุมไว้บนศีรษะ เอาปรอทที่เตี่ยคายให้ กดไว้ที่แผล แล้วลงนั่งสมาธิ ขอร้องประเสริฐให้เชื่อมั่น ไม่ต้องกระวนกระวายไปตามหมอ เพียงให้นั่งเป็นเพื่อนอยู่เฉย ๆ ในช่วงไหนที่สมาธิไม่นิ่ง พิษความปวดก็วิ่งขึ้นสูง บางครั้งก็เลยเข่า เพียรสะกดให้อยู่เพียงหน้าแข้ง นั่งเอาเม็ดปรอทกดแผล ทำสมาธิอยู่จนใกล้สว่าง ล้มตัวลงนอนได้ เห็นแสงตะวันอีกครั้ง เพราะบารมีหลวงก๋งกับเตี่ยแท้ ๆ

เมื่อกลับกรุงเทพก็รีบสุมปรอทตามวิธีที่เตี่ยสอนไว้ว่า ถ้าใช้ปรอทนี้ไปดูดพิษอะไรแล้ว ให้นำมาสุมไล่พิษออก หรือเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็สุมให้สะอาดเสียที เพราะปรอทนี้เป็นที่รับพิษต่าง ๆ จากตัวเรา และการสุมปรอทแต่ละครั้ง เตี่ยจะสอนวิธีคุมปรอทไม่ให้ “ใคร” ที่เราไม่เห็นตัว มาขโมยหรือปรอทหนี การสุมปรอทไล่พิษครั้งนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากที่ เมื่อสุมพอแก่เวลาแล้วก็เอาออกมา ก็เห็นว่า เม็ดปรอทกลม ๆ นั้น มีบางส่วนที่ละลายหายไป และที่เหลืออยู่มีรูปร่างเป็น “หัวงู” แค่คอต่อม อ้าปากมีเขี้ยวเล็กแหลมทั้งสองข้างปาก เหมือนจับเอามาปั้น เราไม่กล้าใช้อีก รีบเอาไปให้เตี่ยดู และเล่าเหตุการณ์เมื่อตอนถูกงูกัดให้เตี่ยฟังโดยละเอียด เตี่ยหัวเราะชอบใจตามเคย เตี่ยเอาปรอทหัวงูไปเข้าที่สุมอีกจนละลาย และเอาของเตี่ยเติมลงไปอีก ๑ เม็ด ละลายเทลงเบ้าทำแหวน บอกให้เรานั่งคอยอยู่ใกล้ ๆ จะได้ลองสวมดูความพอดี พอเตี่ยแคะออกจากเบ้าก็ส่งมาให้ลอง ก็ลองกันทั้งร้อน ๆ สุมกันไปแต่งกันไปจนได้ที่ เตี่ยส่งให้แล้วถามว่า ถ้ามีใครเอาแหวนเพชรมาแลกวงนี้กับอาตึ๋ง ลื้อจะแลกกับเขาไหม จะอยู่กับนิ้วตึ๋งไปจนตายไปกับตัวน่ะ เตี่ย เตี่ยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บอกว่าเรื่องงูหรือสัตว์มีพิษ ไม่ต้องกลัวมัน แหวนนี้มันกินพิษจนอิ่มแล้ว

นานปีต่อมา ความจำของเตี่ยดีเลิศ วันหนึ่งนั่ง ๆ อยู่ก็เดินเข้าห้อง หยิบปรอทมา ๑ เม็ด หินแร่ ๑ ก้อนมาถือไว้ในมือ บอกว่า วันนี้อั๊วจะให้ของดี อาเสริฐกับอาตึ๋ง เอ้า อาตึ๋งเอาปรอทไป เราเกรงใจก็บอกว่า ของตึ๋งมีแหวนอยู่แล้ว เตี่ยกลับบอกว่า แหวนมันกินพิษเขี้ยวงา ปรอทเม็ดนี้อั๊วทำจากปรอทป่าที่ได้มายาก ลื๊อเก็บไว้ แร่นี่ให้อาเสริฐ ไม่รู้ทำอะไรได้ ของหลวงพ่อเขาให้ มันงอกได้ แต่ก่อนเห็นมันมีนิดเดียว เดี๋ยวนี้มันโตขึ้น

เตี่ยทำผ้ายันต์แดงไว้ให้ ๔ ผืน ให้เราประจำตัว ๓ ผืน อีกผืนหนึ่งให้ใส่ไว้ในรถ วิถีญาณของเตี่ยสุงและแรงมาก วันเช็งเม้งปีหนึ่ง เราสองคนไปค้างและขึ้นเขาไหว้หลวงก๋ง กลับลงมา แขกมากันมาก เราสองคนก็ขับรถหลบไปเช่าเก้าอี้ผ้าใบนอนที่หาดบางแสน เย็นแวะลาเตี่ยปล้วจะกลับเข้ากรุงเทพ ระหว่างขับรถกลับมา เลยปากทางอ่างศิลา มีเด็ก ๓ คนพี่น้อง พี่คนโตอายุประมาณสิบกว่าขวบ อุ้มน้องเล็ก มือหนึ่งจับจูงน้องคนที่สองไว้ ยืนรอเตรียมตัวจะข้ามถนน เราเห็นแต่ไกล ก็ชะลอรถให้ช้าลง เกรองเด็กจะวิ่งตัดหน้าข้ามถนน จนจวนจะถึงก็ไม่ช้าม แล้วจู่ ๆ เด็กน้องคนที่ ๒ อายุประมาณ ๖ – ๗ ขวบ สะบัดมือหลุดจากมือพี่ที่จูงอยู่ วิ่งออกมาในถนน พอดีกับรถของเราวิ่งไปถึงตรงนั้น ถึงแม้จะเบรกจนเบาอย่างไร ระหว่างเด็กกับรถ ต้องวิ่งเข้าหา ชนกันอย่างแน่นอน ไม่มีทางหลีกเลี่ยงสภาพอันนี้ได้ แต่การณ์กลับปรากฏเห็นว่า ร่างของเด็กที่วิ่งถลันซุนมาข้างหน้านั้น กลับมีกิริยาอาการเหมือนถูกอะไรกระชากบ่าเด็กจนหงายกลับเข้าไปริมถนน ล้มลงค่อย ๆ ในริมทาง เด็กไม่ร้องไห้ อาจล้มไม่เจ็บ หรือมัวตกใจอยู่ เราสองคนแม้อยู่ในสติที่เตรียมตัวพร้อม แต่ความฉับพลันที่เป็นอย่างนั้น ทำให้มือไม้แขนขาสั่น พอแวะเข้าบ้านเตี่ยเพื่อจะลา เตี่ยยังนั่งคุยอยู่กับแขกหลายคนข้างบนตึก พอเราสองคนก้าวโผล่พ้นบันไดไม่ถึงครึ่งตัว เตี่ยหันมาเห็นเข้า ก็พูดขึ้นเปรย ๆ ว่า เมื่อกี้นี้ ได้ช่วยชีวิตเด็กไว้คนหนึ่ง มันจะถูกรถชนอยู่แล้ว เราขนลุกเกรียว เข้าไปกราบที่เข่าเตี่ย ตื้นตันใจที่เตี่ยมีความห่วงใยคอยสอดส่องดุแลเหมือนพ่อที่แท้จริงพึงมีแก่ลูก เราสองคนรู้ว่า เด็กรอดชีวิต เรารอดความทุกข์เดือดร้อนเพราะชนเด็กตาย ทั้งสองฝ่ายรอดมาเพราะเตี่ยแท้ ๆ

ในคืนที่ค้างก่อนขึ้นเขาแต่เช้าวันเช็งเม้งนี้ กลางคืนเราสองคนออกมานั่งเล่นที่หน้าตึก เตี่ยเดินเข้ามาคุยด้วย และถามเราสองคนว่า ลื้ออยากรู้อะไรแปลก ๆ ไหม เมื่อเราสองคนรับปาก ท่านก็สอนวิธีแยกจิตให้ โดยนั่งสมาธิให้จิตนิ่งก่อน แล้วค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า ๆ จนสูงเลยหัว แล้วค่อย ๆ ลดมือลงช้า ๆ แล้วชูขึ้นและลดลงอย่างนี้ โดยที่ระหว่างยกมือขึ้นลงช้า ๆ นั้นไม่ให้จิตรับรู้กิริยาของสังขารที่กำลังเคลื่อนไหว ให้แยกได้จนจิตนิ่ง ไม่รับรู้กิริยาและเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น เราสองคนตั้งใจทำ โดยเตี่ยนั่งคุม สำรวจว่าถึงตรงไหนเราแยกจิตได้หรือยัง การทำของเราสองคนเตี่ยพอใจมาก บอกว่า ลื้อทำไปทุกวันแล้วลื้อจะเห็นอะไร ตาหลก – ตาหลก

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:02 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เรื่องเฉพาะหลวงก๋ง


ได้ติดตามประเสริฐไปอยู่ จ.อุบลราชธานี เป็นเพื่อนติดตามออกไปทำงานด้วยทุกแห่งและทุกวัน งานตัดถนน สาย อุบล – ตระการพืชผล และต้องคุมงานสร้างสะพานสายนี้ด้วย รวมทั้งต้องนำเงินค่าแรงคนงานสร้างถนนออกไปจ่ายเองตามหน่วยงานรายทาง เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่จะดำเนินในเหตุการณ์ จึงขอเล่าเพียงสังเขป ที่ออกไปทำงานที่ จ.อุบลฯ ในโครงการช่วยเหลือความแห้งแล้งอดอยากภาคอีสาน ทางการจึงสร้างถนนโดยตลอดทางที่ถนนตัดผ่านไปถึงไหน จะใช้คนงานในหมู่บ้านนั้น ออกมาขุดดินขุดลูกรังทำถนน ไม่ใช้เครื่องจักรทุ่นแรงเลย ใช้แต่แรงคนในหมู่บ้านนั้น ๆ เมื่อถนนเสร็จผ่านหมู่บ้านนั้นไป คนงานนั้นก็จะหมดงานเพียงสุดเขตหมู่บ้านตำบลตนเอง ทั้งนี้กำนันผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้คุมคนงานและทำบัญชีแรงงานเบิกเงินเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาคนทำงานที่จะต้องหยุดงานและเดินทางเข้ามารับเงินที่จังหวัด ซึ่งยิ่งตัดถนนไกลออกไปจากตัวจังหวัด ก็ต้องเสียเวลาเดินเป็นวัน ทางจังหวัดจึงให้นำเงินออกไปจ่ายในหมู่บ้านนั้น ๆ ผู้ใหญ่บ้านกำนันจะเป็นผู้เรียกตัวคนงานออกมารับเงินจากเจ้าหน้าที่ที่นำเงินออกไปจ่าย การจ่ายเงินจึงรัดกุมถึงมือคนงานทุกคน การทำงานของแต่ละเขตตำบล เขาจะมีการประกวดประชันแข่งขันกันเองว่า ในตำบลใครทำได้สวยและแน่นหนา ซึ่งเป็นนโยบายที่วางได้ถูกจุดในการช่วยราษฎรมีงานมีเงินไว้กิน ใช้ ทุกหมู่บ้าน ประโยชน์แก่รัฐยังเจริญทางคมนาคมอีก ในรัฐบาลนี้จึงได้ถนนภายในจังหวัดภาคอีสานเพิ่มขึ้นอีกหลายในโครงการนี้

การทำงานเข้มงวดในเรื่องห้ามรถยนต์ทุกชนิดผ่านทางที่กำลังสร้าง จึงมีแต่รถจี๊บเล็กของนายช่างประเสริฐเพียงคันเดียวที่วิ่งไปตรวจงานถนนและสะพานไกลออกไปทุกทีที่งานเดินหน้าไป ขากลับจากดูงานปลายถนน ซึ่งบางวันเดินทางกลับกว่าจะเข้าที่พักในตัวจังหวัด ๓ -๔ ทุ่มยังขับรถไม่ถึงบ้านที่พัก ดังได้กล่าวแล้วว่า คนงานทำถนนไม่มีคนในตัวจังหวัดเลย การกลับบ้านจึงมีแต่เราสองคนโดดเดี่ยว นานวันเข้า ทางจังหวัดให้ความเชื่อถือมากขึ้น ก็กลับเป็นให้เราสองคน ช่วยนำเงินออกไปจ่ายด้วย ซ้ำไม่มีเจ้าหน้าที่ออกไปช่วยจ่าย ช่วยคุ้มกัน จึงต้องนำเงินงวดละสี่หมื่นบาทเศษ ใส่รถออกไปจ่ายในหมู่บ้านทุกสิบวันตามกำหนดตรง ซึ่งนับเป็นการเสี่ยงอันตรายมาก แม้ในสมัยนั้นจะยังไม่ค่อยมีโจรผู้ร้ายชุกชุมนักก็ยังน่ากลัว ก็ได้แต่ขอบารมีแห่งความซื่อสัตย์และศีลสัจจะเป็นที่คุ้มครองตัวตามที่เตี่ยสอน

แม้จะมั่นใจในบารมีของสมเด็จปู่โตกับบารมีหลวงก๋งที่เราทั้งสองคนมีห้อยคอประจำอยู่ก็ตาม แต่เราก็มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่มีการลังเลไม่มั่นใจเท่าที่ควร จะต้องมีการคอยเรียกคอยอ้อนวอนให้ช่วย แต่คำใดจะใช้ภาวนาเรียกให้มั่นใจว่า ได้เรียกแล้ว อาราธนาแล้ว เมื่อมีโอกาสกลับเยี่ยมบ้าน ก็ไปหาเตี่ย เราก็คิดขึ้นได้ว่าจะตั้งอธิษฐานถามหลวงก๋งเองแต่ต้องถามผ่าน “ติ๊ก” ตอนนั้นติ๊กยังเด็กมาและเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร คอยหลบหน้าแอบไปเล่น จึงตามหา เห็นนั่งเล่นขายของอยู่คนเดียวข้างตึก จึงปุบปับถามทันที และติ๊กก็ตอบทันที แต่ตอบทำตาลอย ๆ เผลอ ๆ เราถามว่า ถ้าเราต้องการอาราธนาเรียกหลวงก๋ง จะเรียกด้วยคำอะไร ติ๊กตอบเป็นคาถา ๓ คำ และนับแต่นั้นมา เมื่อเข้าที่คับขันอันตราย จะภาวนาคาถานี้ อาราธนาให้รอดพ้นอันตรายทุกครั้งตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงสักเพียงใดก็ตาม ต่อนี้ไปคือ เมตตาบารมีของหลวงก๋ง

การทำงานสร้างถนนจังหวัดอุบล ฯ การเดินทางบางแห่งเข้าป่า บางแห่งเป็นทุ่งหญ้า พื้นดินเป็นทรายฝุ่น ขับรถยาก จึงพุ่งชนต้นไม้เต็มแรงแล้วแฉลบจะพุ่งลงเนินสูงมาก หากตกลงไปทั้งรถ ทั้งคน ไม่มีทางรอด แต่กลับออกไปติดกิ่งไม้อยู่นิดเดียว ระหว่างที่พุ่งชนต้นไม้เต็มแรงนั้น กิริยาของผู้นั่งจะต้องถลำไปข้างหน้า หัวทะลุกระจกหน้ารถจี๊บ แต่แทนที่หัวจะพุ่งไปกระแทกกระจกหน้า เราสองคนมีความรู้สึกเหมือนมีมือคนมาผลักหน้าไว้จนหงายกลับ ซึ่งเป็นการสวนทางกับแรงกระแทก ความใกล้ชิดของ “มือ” ที่มาผลักนั้น ทำให้เราได้กลิ่นเหมือนผ้าที่เก็บไว้ อับ ๆ คือกลิ่นของจีวรหลวงก๋งที่เราพับอัด ใส่กรอบห้อยคอ แล้วเคยแกะเอาออกมาคลุมศีรษะเมื่อมีโอกาสเอาออกมาวันสงกรานต์

การทำงานที่ต้องนำเงินเดินทางออกไปจ่ายในที่ บางแห่งก็จ่ายกันที่ลานหน้าโรงเรียนบ้าง ใต้ร่มไม้ริมทางบ้าง ทุกครั้งเป็นตามกำหนดวัน ได้มีคนงานมากระซิบบอกว่า มีคนแปลกหน้ามานั่งเล่นโบกอยู่ กำนันผู้ใหญ่บ้านได้จำหน้าได้ว่า เป็นพวกโจร หากินข้ามไปข้ามมาระหว่างฝั่งซ้าย (ลาว) คนงานต่างก็กระซิบกันให้คอยดูแลต่อ ๆ กัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเขาด้วย และเขารักและนับถือเราสองคนด้วย แต่อิทธิพลของปืนยาวที่มัน ๓ คนถืออยู่ ทำให้คนงานได้แต่เฝ้าดูพวกโจร ๓ คน ได้เข้ามาเกาะรถถามว่า พรุ่งนี้จะจ่ายเงินคนงานไหม เขาเป็นเจ้าหนี้คนงานอยู่ เขาจะมาคอยทวง สอบถามคนงานในหมู่บ้านนั้นทั้งหมดไม่มีใครรู้จัก ก็ผิดทีอยู่ แต่ประเสริฐก็ตอบไปทันทีเหมือนกันว่า จ่ายแน่ ตอบไปทั้งที่รู้ว่าตอบกับโจร แต่ความถือตัวว่า มีดี อยู่ รุ่งขึ้นเราสองคนเข้าจังหวัดไปรับเงินและได้แจ้งแก่ทางการจังหวัด แต่ไม่ได้รับการสนใจเลย ตัวใครตัวมันมีอยู่ทุกสมัย ประเสริฐก็มุมานะจะทำให้เห็น เมื่อนำเงินค่าแรงเดินทางจะเข้าเขต กำนันและคนงานต้นทางได้ออกมาขอร้องไม่ให้ไปในหมู่บ้านข้างหน้าเลย ได้มีสายมาบอกว่า มัน ๓ คนนั่งคอยอยู่ในดงไม้ข้างหน้านั้น ประเสริฐก็จะไป เราสองคนเตรียมตัวเต็มที่ทั้งปืนและตั้งสติอาราธนาขอบารมีหลวงก๋งช่วย เมื่อตั้งสมาธิมั่นแล้วก็ขับรถไปตามทาง และได้ชำเลืองไปข้างทาง เห็นเจ้า ๔ คนนั่งบ้าง ยืนบ้าง ถือปืนซุ่มอยู่ข้างทาง เห็นมันเงยหน้ามองเราขับรถ ปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่เข้าทำการใด ๆ เลย ในวันนั้น ก็ปลอดภัยไม่มีอะไรผิดปรกติ รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง มันเที่ยวพูดว่า นายช่างไม่แน่จริง ต้องเอาพระนั่งติดท้ายรถมาด้วย ๒ องค์ (คนสมัยนั้น แม้เป็นโจรก็ยังมีความเคารพยำเกรงพระอยู่) คนงานต้นทางที่ห้ามเราก็ถามว่า เราไปเอาพระที่ไหนไปด้วย ตอนที่หยุดพูดกันก็ไม่เห็นมี และวัดแถวนั้นก็ไม่มี แต่พวกโจรมันพูดกัน เรายกมือขึ้นกุมพระและจีวรที่ห้อยคอ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสมเด็จปู่โต กับหลวงก๋ง แสดงอภินิหารข่มโจรช่วยหลานไว้

ตอนที่ประเสริฐหยุดตรวจสะพานข้ามห้วยแห่งหนึ่ง ระหว่างที่ประเสริฐเดินตรวจไม้โครงสร้างอยู่บนสะพานนั้น แดดร้อนจัดและอบอ้าวมาก เราจึงเดินลงท่องห้วยใต้สะพานเพื่อหลบแดด ในระยะนั้นแห้งแล้งจนท้องห้วยดินแตกระแหง ใบไม้แห้งทับถมเต็มท้องห้วย มีรูปรอยของสภาพน้ำแรงมาก กอไผ่และต้นไม้ใหญ่โค่นตามริมโค้งน้ำแทง เมื่อเดินลงใต้สะพาน ก็เห็นหญิงท้องแก่ชาวบ้านคนหนึ่ง ยืนมองเสาสะพานอยู่ก่อน เราก็เดินเข้าไปทักทำความรู้จัก แต่หญิงคนนั้นกลับไม่พูดด้วย ซ้ำหันกลับมาทำหน้าหลอก ๆ เราชักฉิว นึกในใจว่า หล่อนเป็นใครกล้ามาล้อเรา หญิงนั้นหลอกแล้วก็เดินออกจากใต้สะพาน เดินไปตามท้องห้วยแห้ง ตรงไปทางกอไผ่โค่นคลุมลงมากลางท้องห้วย เราก็รีบเดินตามไปหวังจะต่อว่า แต่เดินไม่ทัน จึงกลับมายืนทับที่หญิงคนนั้นยืนอยู่ก่อน หันไปหันมา ก็มองที่เสาเห็นเลือดสด ๆ ป้ายติดอยู่ที่เสานั้น จึงกลับขึ้นบนสะพาน ถามคนงานได้ความว่า คนงานถูกคมขวานบาดแล้วเช็ดไว้ แล้วถามต่อว่า รู้จักหญิงที่ยืนใต้สะพานและเดินไปทางกอไผ่โน้นแล้วไหม คนงานซึ่งเป็นคนพื้นที่นั้น ต่างมองหน้ากันเอง แต่ไม่พูดอะไรต่อ แต่มีสีหน้าที่เราอ่านไม่ออก ก็ได้แต่คิดแปลกใจ นึกย้อนว่าในระหว่างที่เราเดินตามหลังหญิงท้องแก่นั้นไป ก็ย่ำไปบนใบไม้แห้ง ทำไมจึงมีแต่เสียงฝีเท้าเราเหยียบกรอบอยู่คนเดียว คนเดินข้างหน้า เดินไม่มีเสียงเหยียบใบไม้แห้ง กิริยาที่เดินก็เหมือนลอย ๆ แต่ทำไม่เร็วนัก ทำไมพูดด้วยจึงไม่พูด กลับทำหน้าหลอก แล้วเดินหนี และเราก็เดินไล่หลังมองอยู่ แต่ทำไมจึงหายไปในที่โล่ง ๆ ประเสริฐยังสั่งงานไม่เสร็จ เราก็เลยไปหยิบกระติกน้ำในรถออกมา ไม่ทันเปิดรู้สึกเอียงวูบและล้มลง ปวดลำไส้เหมือนถูกบิด อาเจียนและท้องร่วงอย่างหนัก เมื่อถึงที่พัก กำนันผู้ใหญ่บ้านที่ตามมาส่งในเมืองถึงที่พักต่างพูดกันว่า “อีกำทอง มันออกฤทธิ์อีกแล้ว” แล้วก็ช่วยกันหาใบมะพร้าวมาสานเป็นลูกตะกร้อเล็ก ๆ ร้อยเป็นพวงมาให้ แขวนคอ ผูกข้อมือ ตามหมอมาฉีดยาก็ไม่ทุเลา หมอว่าเป็นป่วง (ท้องร่วงอาเจียนอย่างแรง) ก็ไม่เห็นมันเกี่ยวอะไรกับใบมะพร้าวสานลูกตะกร้อ นับตั้งแต่ล้มลงที่สะพานนั้น ได้มีสติ กำพระทั้งสององค์ที่แขวนที่คอไว้แน่น ไม่ยอมคลายมือปล่อย แต่สมาธินั้นไม่มีเหลือเลย รวมเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน หัวใจและความรู้สึกต่าง ๆ เบาหวิวและหล่นวูบลงต่ำสุด แล้วดีดตัวลอยขึ้นช้า ๆ แว่วว่าตัวเองได้บอกฝากคุณแม่ไว้กับประเสริฐ ฝืนลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นมองประเสริฐ แต่ข้างหลังประเสริฐมีสีเหลืองอร่ามของจีวรพระ ยืนอยู่กลางห้อง นึกในใจว่าเขาคงไปนิมนต์พระมาบอกทางแก่เรา พยายามยกมือขึ้นจะไหว้ แม้แต่กระดิกนิ้วยังไม่ขึ้น มันชาจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน แต่กลับได้ยินพระองค์นั้นบอกอยู่ตรงโน้น แต่เสียงกลับมาก้องชัดอยู่ที่หูว่า ไปหาชาจีนอย่างดีมาต้มกับน้ำตาลกรวดชงกินร้อน ๆ จำได้ว่า ได้พูดทวนคำตามคำบอกนั้น และพยายามเบิกตามองอีกครั้ง นั่นหลวงก๋งมานี่ แล้วไม่รู้สึกตัวไปอีกนานเท่าไรไม่ทราบ จนรู้สึกร้อน ๆ ที่ริมฝีปาก มีน้ำหวาน ๆ ไหลซึมเข้ามาในปาก แสนจะชื่นใจ รู้ว่าถูกแกะมือออกจากสิ่งที่เรากำอยู่ คราวนี้เรามีแรงต่อต้าน กลับกำแน่นเข้าไปอีก และบอกเขาว่า อย่าเอาหลวงปู่หลวงก๋งไป เมื่อความรู้สึกต่าง ๆ กลับมารับรู้อีก ก็ทราบว่า ประเสริฐได้ยินเราพูดว่า ไปหาชาจีนอย่างดีมาต้มกินกับน้ำตาลกรวด ชงกินร้อน ๆ เป็นเหมือนความหวังครั้งสุดท้าย ทุกคนก็รีบเข้าตลาด ซื้อมาต้มกรอกใส่ปากทันทีโดยไม่รู้เรื่องอะไรด้วยว่าหลวงก๋งมาช่วยบอกยาให้ เพียง ๓ แก้วก็ลุกขึ้นนั่งตาใส ใจกลับดูโลกอีกครั้งด้วยเมตตาบารมีของหลวงก๋งตามไปช่วยหลาน

พ.ศ. ๒๕๐๙ บ้านเก่าอยู่ในตรอกวัดใหญ่ศรีสุพรรณ ธนบุรี เกิดไฟไหม้ ต้นเพลิงมีบ้านคั่นอยู่หลังเดียว แถวนั้นเป็นบ้านไม้ปลูกติด ๆ กัน ไฟจึงไหม้อย่างรวดเร็ว ลมก็แรง พัดมาทางบ้านเรา ก่อนอื่นข่มสติให้อยู่ จุดธูปบูชาพระ ลงนั่งภาวนาอาราธนานึกถึงหลวงก๋ง ส่วนคนอื่นในบ้าน ก็ให้ไปเก็บของที่มีค่าใส่รถไว้ ของอื่น ๆ ไม่ต้องเก็บ โดยเฉพาะพระที่บูชาทั้งหมดไม่ให้เก็บเลยแม้แต่องค์เดียว เมื่อจะไหม้ก็สละให้ไหม้ไป เมื่อภาวนาถึงหลวงก๋งแล้วเปิดผอบเอาผ้าสังฆาฏิของหลวงก๋งที่เตี่ยให้ และสั่งไว้ว่าไม่อับจนคับขัน ไม่ต้องเอาออกมาใช้ ครั้งนี้ร้ายแรงนักจึงขออนุญาต ขณะที่ไฟไหม้เข้ามาจนมีลูกไฟลอยมาถึงและรู้สึกร้อน จึงกราบนิมนต์รูปหลวงก๋งบนที่บูชาให้หันหน้าไปทางไฟที่กำลังไหม้เข้ามา แล้วเปิดหน้าต่างเอาผ้าสังฆาฏิหลวงก๋งออกโบกไปทางไฟ ๒ – ๓ ครั้ง ไฟไหม้เข้ามาจากทางหลังบ้าน ซึ่งมีคูน้ำตื้น ๆ พอมีน้ำแฉะ ๆ กว้างจากชายคาบ้านเราเมตรเศษ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะม่วงใหญ่ยืนแห้งตาย เอนมาทางหลังคาบ้านและกำลังเป็นเรื่องอยู่ ให้เจ้าของต้นมะม่วงเขาตัด ไฟก็ยังไหม้เข้ามาจนถึงต้นมะม่วงจนลุกท่วมต้น หากต้นมะม่วงที่เอนลงมาทางร่องน้ำนั้นโค่นเมื่อไร จะต้องลงมาทับหลังคาบ้านเรา ซึ่งจะกลายเป็นสะพานไฟ ไหม้บ้านเราอย่างแน่นอน ความร้อนเราทุกคนในบ้านทนอยู่ไม่ไหว จึงถอยร่นออกไปยืนทอดอาลัยดูอยู่ที่ถนนหน้าบ้าน ยิ่งพวกที่ชอบมุงดูไฟไหม้บ้านชาวบ้าน มายืนวิจารณ์ตามรูปการว่าอย่างไรเสียมะม่วงต้นที่ไฟกำลังลุกโชนท่วมต้นและเอนมาทางหลังคาบ้านเรานั้น จะต้องโค่นฟาดต่อเอาไฟมาไหม้บ้านเรานี้อย่างแน่นอน ก็จริงตามที่สายตาทุกคนเห็นและรูปการก็จะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ปรากฏการณ์แปลกและทุกคนที่ดูต่างร้อง โอ พร้อมกัน ที่มะม่วงต้นนั้นกลับล้มหงายฝืนทางเอนถ่วงไปได้ ซึ่งผิดปกติธรรมดาจนเหลือเชื่อ ทั้งลมที่พัดแรงมาทางบ้านเราก็กลับตีหวนเข้าในทางไฟที่ไหม้อยู่แล้ว

สังเกตจากควันได้ถูกลมพัดหมุนเป็นวง ดูดลอยตัวสูงเป็นลำตั้งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้น เรือผจญเพลิงของทหารเรือก็มาช่วยดับ เมื่อไฟสงบ ประเสริฐรีบไปดูรถที่เอาของมีค่าใส่ไว้และขับไปจอดทิ้งไว้ในลานวัด ถ้าหากไฟไหม้บ้านจริง ก็เหลือสมบัติเพียงแค่ในรถคันเล็ก ๆ คันเดียวที่ลานวัดนี้เป็นที่วางของ ของชาวบ้านที่ขนเอามากองหนีไฟ เมื่อจะขนกลับ ต่างก็โจทกันแซ่ว่าของคนโน้นพัดลมหาย โทรทัศน์หาย เพราะมีคนมาช่วยเฝ้าและขนต่อ ทุกบ้านของหายกันคนละหลายอย่าง แม้กระทั่งประตูรถก็ถูกงัดกัน ประเสริฐตกใจจนตัวลอย วิ่งฝ่าคนแทบจะเหยียบชาวบ้านตาย คิดว่าของเราก็คงหมดด้วย เพราะตั้งแต่เอารถมาจอดทิ้งไว้ มัวแต่ไปดูบ้าน ไม่มีใครมาเฝ้าเลย พอถึงรถก็มีคนรู้จักเขาบอกว่า ของ ๆ ทุกคนหาย เพราะมัวแต่วิ่งขนมากองกว่าจะจบเที่ยวและมาเฝ้า ก็มีคนมาขนต่อ หายหมด แต่ของเรามี “พระ” มาช่วยเฝ้า ประเสริฐงง เพราะไม่รู้จักกับพระที่วัดนี้เลย เมื่อถามหน้าตารูปร่างจะได้ตามไปขอบคุณท่าน คนที่เขาเห็นเพราะเขาเอาของมากองอยู่ใกล้ ๆ เขาบอกว่ารูปร่างหน้าตาและเขายังบอกว่า เขาถามว่า เมาเฝ้ารถให้ใคร (เขาไม่รู้ว่ารถเรา) ............อือ................ท่านอยู่วัดนี้ อยู่กุฏิไหน.......อือ ตกลงที่เขาถามทั้งหมดได้คำตอบว่า ..........อือ คำเดียว เลยไม่รู้เรื่องกัน เขาเองก็ไม่มีอารมณ์ดีจะคุยด้วย แต่เขาเห็นว่าพระองค์นั้นยืนสูบบุหรี่มวนโตกลิ่นฉุน รูปร่างและรุ่นราวคราวอายุไม่ผิดไปจากหลวงก๋ง

สรุปแล้ว ผ้าสังฆาฏิของหลวงก๋งคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไป นับตั้งแต่บันดาลให้ต้นมะม่วงล้มไป โดยฝืนทางเอนจนผิดปกติในกฎของดุลถ่วง ช่วยโบกลมให้ตีหวนกลับเข้าในกองไฟอีก เพราะถ้าท่านบันดาลให้โบกไปทางอื่น ไฟก็จะลุกลามตามลมไปไหม้ทางอื่นอีก ซึ่งก็จะเป็นทางเดือดร้อนแก่คนอื่นอีกต่อไป แม้แต่สิ่งของมีค่าของเราที่เอาไปทิ้งไว้โดยไม่มีคนเฝ้า เพราะมัวแต่วุ่นวายใจ ท่านก็ยังเมตตากรุณาแผ่บารมีช่วยคุ้มครองให้

เราชอบดูพระเครื่องเก่า ๆ มาก เพราะได้ศึกษามาจากคุณพ่อพอประมาณ และด้วยใจรัก ก็ดูไปเรื่อย ๆ ได้รู้จักกับพระภิกษุวัดเกาะ บางเสาธง ในนิสัยชอบสะสมพระเครื่องเหมือนกัน ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ตัดถนนตั้งโรงเรียนพาณิชยการธนบุรี การไปที่วัดเกาะนั้นจึงต้องลงเรือไปขึ้นที่วัดนก และเดินไปตามขนัดสวนที่ชาวบ้านใช้เดินเป็นประจำ จากขึ้นเรือเดินไปวัดระยะทางเดินประมาณ ๒๐ กว่านาที เป็นทางสวนเงียบมาก หากจะไปอีกทางก็ย้อนไกลจากบ้านมาก จึงต้องเดินทางนี้ประจำ พระท่านได้พระเครื่องมาไว้หลาย ๆ องค์ แล้วท่านก็ส่งข่าวให้เราไปช่วยดูให้ ดูกันไป ชมกันไป จนลืมหิว ลืมเวลากลับบ้าน จึงเย็นเมื่อไปลาพระ และเดินจะเข้าเขตทางในสวน ก็มีชาย ๓ คน อายุ รูปร่างอยู่ในวัยฉกรรจ์ คงเป็นอาชีพช่างไม้ เพราะคนหนึ่งถือขวาน คนหนึ่งถือสิ่วและค้อน เดินสวนทาง แทนที่จะมองหน้า กลับมองเครื่องแต่งตัว สมัยนั้น การฉกชิงวิ่งราวไม่ค่อยมี จึงไม่ค่อยเกรงก็แต่งไปตามใจชอบ สายตาที่เขามอง เรารู้สึกสังหรณ์วูบในใจ พอเดินคล้อยหลัง เขาก็กลับวกเดินแซงขึ้นหน้าไปเข้าเขตสวนที่เราจะต้องเดินไปทางนั้น เรารู้ทันทีว่าไม่ดีแน่แล้ว แต่ก็มีทางเดียวที่เป็นทางเดินไปลงเรือที่ท่าวัดนกบางแวก และอาจเป็นความระห่ำของเราที่ไม่ย้อนกลับมาหาพระให้ช่วยเดินมาส่ง เรากลับคิดลองดีสักที ก็เดินตามหลังเขาไปช้า ๆ เขาทั้งสามเดินไปเหลียวมาดูเราไป พอถึงตรงนั้นเป็นต้นมะพร้าวเอนออกมาในทางเดินจึงแคบ เขาทั้ง ๓ หยุดคอย ทำคุยกัน มือก็เอาสิ่วแทงเปลือกต้นไม้เล่น ระยะทางที่เห็นเขา ห่างประมาณ ๕๐ ก้าว เราหยุดรวบรวมกำลังใจทั้งหมดเพ่งมองเขาแล้วภาวนาอาราธนาขอบารมีหลวงก๋ง และภาวนาคาถาของเตี่ยพร้อมกับกลั้นหายใจขอดชายผ้าเช็ดหน้ากำไว้ในมือแน่น เดินเข้าไปช้า ๆ ทุกก้าวด้วยความมั่นใจและอยู่ในสติภาวนาจนผ่านหลีกเขาทั้ง ๓ ไป ก็เห็นเขาไม่สนใจและไม่มองทางเรา กลับชะเง้อมองไปดูทางต้นทางที่เรายืนอยู่เมื่อกี้ ส่วนมือที่เอาสิ่วแทงต้นมะพร้าวเล่นก็ทำอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ กัน เดินผ่านเขามา ภาวนาคาถาเตี่ยไปเรื่อย ๆ จนไกล พอเลี้ยวโค้งหน้านี้ก็จะเห็นท่าเรือ จึงหันหลังไปมองเขาทั้ง ๓ เห็นเขามีท่าเลิ่กลั่ก ฉงน จึงแก้ปมผ้าที่ขอดออก เท่านั้นมันทั้ง ๓ จ้ำตามมาทันที เราก็รีบจ้ำแทบจะวิ่งมาถึงท่าเรือ มีหลายคนนั่งอยู่ในเรือรออยู่แล้วก็รีบเข้าไปรวมกับเขา มันเลยไถลเดินเลยไป

การอาราธนาขอบารมีหลวงก๋ง กับภาวนาคาถาของเตี่ยนี้ได้รอดพ้นภัยมาหลายครั้ง คาถาหลายบทที่เตี่ยสอน หรือแม้แต่เคล็ดลับบางอย่างที่บอกให้ ท่านมักจะพูดก่อนว่า อั๊วจะบอกอะไรให้ มันแปลก คิด ๆ แล้วตาหลก ไม่เชื่อลื้อเอาไปลองดูสนุก ๆ คาถาของเตี่ยทุกบทเป็นคำง่าย ๆ สอง – สาม คำ และแปลกที่คาถาที่เตี่ยตั้งใจประสิทธิ์ประสาทให้จะสอนเที่ยวเดียว แต่มีอานุภาพจำฝังลึกในจิตไม่ลืม สิ่งเร้นลับทั้งหลายที่ได้ผจญและได้รับเมตตาบารมีทั้งปวงนี้ก็ได้เป็นไปโดยสิ่งที่มองไม่เห็น แต่เดิมไม่เคยเชื่อสิ่งลม ๆ แล้ง ๆ นี้ แต่ก็ต้องเชื่อจนได้ เมื่อทุกสิ่งที่ผ่านมาพิสูจน์ให้รู้เห็นอย่างชัดแจ้งจนปฏิเสธไม่ได้

แม้เรื่องของปรอทก็เช่นกัน มันจะไปเกี่ยวข้องกับผีสางเทวดาที่ไหนมี ยิ่งมองยิ่งคิด ล้วนเป็นเรื่องเหลวไหลที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้คนทั่ว ๆ ไปเขาได้เห็นด้วยตัวเขาเอง จึงเป็นเรื่องงมงายที่น่ากระดากอาย แต่ตัวเราเองกลับพบเข้าเองอย่างจัง จนทุกวันนี้ก็ยังงงว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่สามารถจับจุดต้นเหตุมาวิเคราะห์ได้อย่างไร

ระหว่างที่เตี่ยทำปรอท เตี่ยก็สอนให้ทำด้วยและให้เอามาทำเองที่บ้าน โดยเตี่ยให้เหล็กที่ครอบสุมปรอทไปไว้ใช้ที่บ้าน เราก็ไม่คิดจะทำ ปล่อยเรื่อยเปื่อย จนเมื่อ ๕ ปีผ่านมานี้ ก็คิดอยากจะลองทำขึ้นมา ก็ทำได้สำเร็จ แม้จะใช้ปรอทมากแต่ได้เพียง ๑ เม็ดก็ยังดี บดจนแข็งได้ที่ ก็เอาใส่ในลูกมะนาวเอาเข้าเตาสุม เอาฝาเหล็กที่เตี่ยให้ไว้ครอบเตาไว้ แล้วคุมกำกับด้วยคาถาของเตี่ย การสุมในวิธีเก่าของเตี่ยนี้ ต้องกินเวลาเป็นชั่วโมง ๆ เรานั่งเฝ้าคุมอยู่ได้ชั่วโมงเศษไม่ลุกไปไหน แล้วก็มีเหตุจะต้องลุกขึ้นไป คิดว่าแป๊บเดียวคงไม่เป็นไร พอเดินออก กลับประตูครัว พริบตาเสียงดัง พรึ่บ.......เจี๊ยบ พร้อมกับมีแสงสีเขียวนวล สว่างจ้าพุ่งออกหน้าต่างครัว เราวิ่งเข้ามาดู ปรากฏว่าเหล็กที่ครอบสะกดไว้ด้วยคาถาของเตี่ยยังครอบอยู่เรียบร้อยเหมือนเดิม แต่คุณแม่ที่นั่งดูอยู่หน้าห้องครัว บอกว่าเห็นมันพุ่งออกทางใต้เตา เมื่อตักถ่านออกหมด จึงเห็นแผลที่เช็งเตา ทั้งแปลกใจ ทั้งเสียดายและโกรธมาก แผลที่เช็งมีรอยทะลุเป็นวงกลม โตเท่าลูกมะนาวลอดได้ครือ ๆ เท่านั้น สังเกตดูว่า ถ้าเช็งเตาแตกธรรมดา ๆ จะต้องแตกหลุดออกไปกว้างตามรูปรูเช็ง ประเสริฐบอกว่า เขามาขโมยเอาไปทั้งลูกมะนาวเลย จริงแล้ว เตี่ยเคยบอกไว้ว่า ทำสำเร็จมาถึงขั้นนี้ ให้ระวังผีสางเทวดาจะเล่นขี้โกง เราโกรธ “ตัวขี้โกง” รุ่งขึ้นอีกปีก็ทำอีก ๒ เม็ด แห้งและปั้นได้เป็นก้อน แต่จนบัดนี้ยังไม่ยอมแข็งจริงสักที เอามาคลึงทีไร เม็ดหนึ่งร้องเจี๊ยบ ๆ เม็ดหนึ่งร้อง อึ่ม ๆ แล้วตอนนี้จะไปปรึกษาใคร ก็ได้แต่วางเอาไว้ที่หน้ารูปหลวงก๋ง ซึ่งปัจจุบันของต่าง ๆ ที่เป็นส่วนของหลวงก๋งแต่เตี่ยเป็นผู้ให้ โดยบอกว่า หลวงพ่อเขาให้อาเสริฐ อาตึ๋ง หรือของ ๆ เตี่ยเองที่ให้ไว้ ทุกอย่างเราได้เก็บไว้บูชาอยู่ทุกวันคืน แม้คาถาต่าง ๆ ก็ยังฝังอยู่ในสมองไม่ลืมเลือนเป็นเวลา ๓๐ ปี

ทุกครั้งที่รับประทานข้าวกับเตี่ย เตี่ยจะเอาตะเกียบคีบโน่นคีบนี่ใส่ชามเราสองคน และบอกว่าอย่างนี้อร่อย อย่างนั้นอร่อย พระคุณในความรัก เมตตาของเตี่ย ไม่มีวันลืมลง

ระยะเวลาที่ได้ติดต่อใกล้ชิดกับเตี่ยมาเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี ฉะนั้นเรื่องราวต่าง ๆ ระหว่างครอบครัวเตี่ย เราจึงมีมากมาย เมตตาบารมีที่ได้รับจากหลวงก๋งยังมีอีกมาก แต่เป็นข้อปลีกย่อย จึงขอนำมาแต่เรื่องเด่น ๆ สำคัญ มาบันทึกไว้เพียงเท่านี้

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:04 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ศิษย์สองอาจารย์

พ.ต.ต. ศรีวิทย์ เจียมเจริญ



ประมาณปลายปี ๒๕๑๔ ชุมพลชวนข้าพเจ้าและวิมลไปเที่ยวชลบุรีและตั้งใจไปหาอาหารทานกันที่ศรีราชา ขณะที่ขับรถยนต์ไปถึงชลบุรี ยังไม่ทันจะเที่ยง ชุมพลบอกข้าพเจ้าให้ขับรถเข้าไปในซอย เพียงแต่บอกว่าจะแวะไปหาเซียน เป็นคนจีน ชื่อเซียนสู ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า ขณะนั้นวิมลไม่ค่อยสบาย เจ็บออกแอด ถ้าได้ยาจีนมากินบ้างก็คงจะดี

เมื่อขึ้นไปหาเซียน ชุมพลยกมือไหว้ ข้าพเจ้าก็ไหว้ตาม ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่และเป็นเจ้าของบ้าน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็นั่งฟังเฉย ๆ จนกระทั่งจะลากลับ ชุมพลได้เป็นธุระพูดในเรื่องของข้าพเจ้า คือเป็นโรคปวดหลังมาหลายปีแล้ว ไม่ยอมหาย รักษามาหลายโรงพยาบาล เพียงค่อยยังชั่ว แต่ไม่หายขาด ท่านถามอาการและเขียนตั๋วยาให้มาซื้อกิน หลังจากกินยาไป ๓ – ๔ เทียบ อาการก็เพียงทุเลาลงเล็กน้อย ข้าพเจ้าจึงได้ชวนวิมลไปหาท่านอีกหลายครั้ง ในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ เพราะในขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังมีเรื่องทุกข์ใจเกี่ยวกับเรื่องเจ็บป่วย เช่น โรคหัวใจ หืด ปวดหลังและอื่น ๆ อีกสารพัดโรค โดยเฉพาะโรคหัวใจ ข้าพเจ้าเป็นมาสิบกว่าปีแล้ว จะมีอาการเจ็บเสียวแปล๊บบริเวณขั้วหัวใจ ในขณะยืน เดิน หรือขับรถอยู่ จะต้องหยุดการกระทำทุกอย่าง ใช้นิ้วมือนวด กดตรงบริเวณหัวใจสักครู่จึงจะหาย วันหนึ่ง ๆ มีอาการเจ็บเสียวที่บริเวณนี้หลายครั้ง

ก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าเคยไปตรวจที่โรงพยาบาลรามา ซึ่งขณะนั้นที่นั่นมีเครื่องตรวจหัวใจที่ทันสมัยที่สุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคได้ดูกราฟหัวใจของข้าพเจ้าแล้ว บอกว่าลิ้นหัวใจเริ่มผิดปกติ ถ้าต่อไปอายุมากขึ้นมีอาการเจ็บมากขึ้นก็ควรจะผ่า ทันทีที่หมอพูดจบ ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า พูดง่ายแต่ฟังและรับจะปฏิบัติตามช่างยากเย็นจริง ๆ เพราะส่วนใหญ่ผ่าตัดส่วนหนึ่งส่วนใดของหัวใจแล้วตายมากกว่ารอด ถ้ารอดก็อยู่ได้ไม่นาน เช่น ญาติของวิมล ลิ้นหัวใจไม่ดี อ้อนวอนให้หมอผ่า อยู่ได้สามวันก็ย้ายไปอยู่วัดมกุฎฯ เรื่องนี้เป็นเหตุมี่ทำให้ข้าพเจ้ากลุ้มใจมาหลายปี จนกระทั่งเมื่อไปพบเซียนสู หลังจากที่ไปหาท่านหลายครั้ง และเริ่มสนิทสนม ข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แทนที่จะถามเรื่องหัวใจ ท่านกลับถามข้าพเจ้าว่า เป็นหวัดบ่อยไหม เวลาเป็นหวัดมีอาการอย่างไร ชอบอากาศหนาวหรือร้อน เวลาร้อน ทำงาน เดิน หรือวิ่งมาเหนื่อย ๆ เหงื่อออกที่ไหนบ้าง ข้าพเจ้าก็บอกว่า ตามศีรษะ ใบหน้า หน้าอก และหลัง ท่านถามว่า “ที่รักแร้ เหงื่อออกบ่อย ๆ ไหม” ข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า “เซียนสูผู้นี้ ถามซอกแซก ฟังแล้วจักกระจี้หัวใจ”

หลังจากที่ท่านซักอาการเจ็บป่วยข้าพเจ้าแล้ว ก็บอกให้ข้าพเจ้าไปหาน้ำใบบัวบกรับประทานสักพักก็จะหาย ตอนขากลับ ข้าพเจ้าขับรถกลับจากชลบุรีมากรุงเทพฯ นึกขำอยู่ในใจตลอดทาง มีอย่างที่ไหน ตอนออกจากกรุงเทพฯ ไปชลบุรี ต้องหยุดขับรถเพราะเจ็บตรงหัวใจไปสองที ขากลับจากชลบุรีเข้ากรุงเทพฯ อาการร้อนต้องหยุดกดไปสามที แล้วเซียนสูแนะให้ไปดื่มน้ำใบบัวบก ผลคือว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำตามที่ท่านสั่ง หลังจากที่ข้าพเจ้าต้องทนเจ็บที่หัวใจ และทนกดไม่ไหว จนหนึ่งเดือนผ่านไป ก็เลยต้องไปหาท่านอีก ทันทีที่พบท่าน ข้าพเจ้าก็บอกท่านว่า “ผมทนกดหัวใจไม่ไหวแล้ว เจ็บแทบทุกวัน” ท่านฟังแล้วนั่งหัวเราะอย่างผู้ใหญ่ที่อารมณ์ดี พลางพูดว่า “ลื้อมันดื้อ ถ้าลื้อกินน้ำใบบัวบก ป่านนี้ลื้อไม่ต้องมานั่งกดหัวใจให้อั๊วดู” หลังจากฟังท่านดุด่าเรื่องความดื้อรั้นของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็เลยยอมดื่ม เพราะนึกเสียว่า แก้วละหนึ่งบาท กินแล้วไม่ตาย ดังนั้น ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปธุระมี่ศาลอาญา ซึ่งมีเกือบทุกวัน ก็เลยแวะไปดื่มน้ำใบบัวบกกับม่วยสาวสวย ซึ่งตั้งร้านขายอยู่ที่หน้าศาลอาญา ตรงบริเวณร้านขายหนังสือ เสียที่ละแก้วสองแก้ว ผลปรากฏว่า อาการเจ็บหัวใจ เลื่อนออกไปเป็น ๓ – ๔ วันครั้ง และค่อย ๆห่างออกไป ข้าพเจ้าจึงไปหาเซียนสูและเล่าอาการให้ท่านทราบเป็นระยะ ๆ กับได้ถามท่านว่า น้ำใบบัวบกมีตัวยาอะไร ทำไมโรคหัวใจที่ข้าพเจ้าเป็นอยู่เกือบ ๒๐ ปีถึงได้หายไปได้

ท่านบอกว่า ร่างกายคนเราบางคน เวลาอากาศร้อนและเย็น จะปรับอุณหภูมิไม่ทัน โดยเฉพาะเลือดที่วิ่งไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ในตัวของข้าพเจ้า เมื่ออุณหภูมิต่างกันก็จะมีฟองอากาศวิ่งผ่านลิ้นหัวใจ จึงทำให้เกิดเจ็บและเสียวจนต้องกดไว้สักครู่ น้ำใบบัวบกที่ดื่มเข้าไปนั้น จะช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ร่างกายร้อนและเย็นเร็วขึ้นเท่า ๆกัน ฟองอากาศก็จะไม่เกิดขึ้น ข้าพเจ้าฟังแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ผลได้กับตัวเอง หลังจากนั้น มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และนายทหารยศพันเอก เป็นคล้าย ๆ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้แนะนำให้ซื้อน้ำใบบัวบกมาดื่มสัก ห้า – หก ขวดแม่โขงก็หายดีทั้งสองท่าน ส่วนข้าพเจ้าก็ยังไปดื่มน้ำใบบัวบกที่ร้านม่วยคนเดิม จนวันหนึ่งไปเดินหา ปรากฏว่าหายไปสามวันติด ๆ กัน ม่วยไม่มาขาย จนวันที่สี่ถึงได้มาขาย ทันทีที่เห็นหน้าต่างคนต่างดีใจ เพราะไม่ได้พบหน้ากันเสียหลายวัน ข้าพเจ้ารีบถาม “หายหน้าไปตั้งสามวัน ป่วยหรือไง” ม่วยมองสบตาไม่ตอบ รู้สึกม่วยจะหน้าแดงไปนิดหนึ่ง ก้มหน้าจัดการตักน้ำใบบัวบกไม่ใส่น้ำแข็งให้สองแก้วอย่างคนรู้ใจ ข้าพเจ้าดื่มไป หยุดถามใหม่ว่า “หายไปไหนมาตั้งหลายวัน” ม่วยตอบอ้อมแอ้มว่า “หนูหยุดไปแต่งงาน.....พี่” ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ที่หัวใจมันเกิดเจ็บเสียวกระตุ๊ก ๆ เหมือนอย่างเก่า รวมกันสัก ๔๐ ถึง ๕๐ ครั้ง ที่เคยหายไปทั้งหมดแต่มารวมกันเจ็บในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว ท่านผู้อ่านอย่าถามข้าพเจ้าเลยว่า ข้าพเจ้าต้องยืนกดหัวใจอยู่นานสักเท่าใด ปัจจุบัน ข้าพเจ้าเลิกดื่มน้ำใบบัวบก แต่หาน้ำเก็กฮวยดื่มแก้เก็กซิมแทน

ในระหว่างที่ข้าพเจ้าและวิมลเจ็บป่วย ได้ไปหาเซียนสูหลายครั้ง จนกระทั่งโรคหัวใจของข้าพเจ้าหายขาด จึงได้เรียกท่านใหม่ว่า “เตี่ย” นอกจากจะไปเรื่องเจ็บป่วย ก็ยังต้องไปถามท่านถึงเรื่องอื่น ๆ แทนที่เตี่ยจะตอบ กลับให้ผู้ถามชูหนึ่งนิ้ว อย่างเก่งเปลี่ยนนิ้วชูอีกนิ้วเดียว ชั่วระยะเป็นวินาที ท่านก็สามารถตอบคำถามต่าง ๆ ได้ ข้าพเจ้าให้วิมลถามก่อนและจึงมาถึงคิวข้าพเจ้า เมื่อท่านให้ชูนิ้วและตอบคำถามแล้ว ข้าพเจ้าเกิดความสะดุ้งใจว่า เซียนสูซึ่งเป็นคนจีนผู้นี้ ไม่ใช่จะเก่งแต่ทางยาจีน หรือเก่งทางด้านหมอดูเท่านั้น เพราะการที่ให้ผู้ถามยกหนึ่งนิ้ว ชั่วระยะเวลาเป็นวินามีแล้วตอบนั้น จะต้องมีอะไรเหนือกว่าและเร้นลับกว่าเสียแล้ว เพราะก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมารู้จักกับเตี่ย ข้าพเจ้าเคยเป็นศิษย์ของพระธุดงค์องค์หนึ่ง ข้าพเจ้าขอเรียกท่านว่า “หลวงปู่” เพราะท่านอายุมากแล้ว เวลาที่ข้าพเจ้าพบหลวงปู่ ข้าพเจ้ามีปัญหาถามท่าน ท่านจะนั่งหลับตา ยกมือท่านขึ้นในระดับศีรษะ ชั่วระยะสูดลมหายใจเข้า – ออก ประมาณ ๔ – ๖ ครั้งท่านจะลืมตา หลังจากนั้นเชิญถามตามสบาย ท่านสามารถตอบได้ทั้งเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ลูกศิษย์หลายคนพูดกันว่า หลวงปู่ท่านได้ญาณ แต่ไม่มีใครกล้าถาม เพราะเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งถามแล้วท่านตอบแต่ว่า “ปู่เป็นพระ พูดไม่ได้ เอ็งบวชเรียนแล้วน่าจะรู้ ขืนให้ปู่พูด เท่ากับให้ปู่อาบัติ” ต่างก็เลยไม่รู้ว่า ท่านได้ญาณขั้นไหน แต่กับเตี่ย ข้าพเจ้ารวบรวมความกล้าถามท่านตรง ๆ ว่าที่เตี่ยให้ยกนิ้วแล้วเตี่ยดูนิ้ว แล้วตอนนั้นเตี่ยดูด้วยญาณใช่ไหม เตี่ยจับจิตของผู้ถามตรงที่เขาตั้งใจยอกนิ้วหรือเลือกนิ้ว และใช้กระแสจิตพุ่งเข้าจับจิตของผู้ถาม ชั่วระยะเวลาที่เขานึกยกนิ้วใช่ไหม

เตี่ยพยักหน้า นั่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันทีว่า “เตี่ยได้ญาณขั้นไหน” เตี่ยส่ายหน้า ยิ้ม “อั๊วไม่รู้ อั๊วเคยแต่นั่งปฏิบัติ” ข้าพเจ้ารีบพูดต่อทันทีว่า “ผมกำลังนั่งปฏิบัติเหมือนกัน แต่เพิ่งเริ่มขั้นอนุบาล” เตี่ยถามว่า “ลื้อทำยังไง” ข้าพเจ้าตอบว่า “บางครั้งนั่ง บางครั้งนอน ท่อง พุทโธ ๆ ไปจนหลับ” เตี่ยพูดทันทีว่า “ช้าไป เสียเวลา ไม่ต้องท่อง พุทโธ ธรรมโม หรือสังโฆทั้งสิ้น” “งั้นทำอย่างไรละเตี่ย” ข้าพเจ้าถามอย่างสงสัย เตี่ยอธิบายว่า เวลาลื้อจะนอนลง หรือก่อนจะนอน ให้ตั้ง “สติ” แล้วกำหนดไว้เลยว่า เมื่อนอนลงหรือนั่งทำสมาธิแล้ว “ดีไม่คิด เลวไม่คิด” ทำจิตให้สบาย ไม่ต้องท่องอะไรทั้งสิ้น

เมื่อวิมลท้องลูกคนต่อมาจนใกล้จะคลอด ข้าพเจ้ากับวิมล บ่นถึงหลวงปู่ เพราะไม่ได้พบท่านนานหลายเดือน เนื่องจากท้องแรก ในขณะที่ข้าพเจ้าและวิมลกำลังแพ้ท้องกันทั้งสองคนนั้น ท่านได้ทายไว้ว่า เราจะได้ลูกชาย เมื่อใกล้กำหนดวันคลอดลูกคนที่สอง ข้าพเจ้าชวยวิมลขับรถไปหาเตี่ยที่เมืองชลบุรี เอารูปหลวงปู่ให้ติ๊กดู บอกว่าท่านจำศีลอยู่ในถ้ำระหว่างพรมแดนไทย – พม่า แถบเมืองกาญจนบุรี ข้าพเจ้าขอให้ติ๊กนั่งติดต่อกับปลวงปู่ ช่วยเป็นธุระถามท่านว่า ๑. จะได้ลูกผู้ขายหรือลูกผู้หญิง ๒. จะครบ ๓๒ ประการหรือไม่ และ ๓. จะคลอดเองโดยปรกติหรือว่าต้องผ่าตัด

ติ๊กนั่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตา ทำหน้าเลิกลั่กบอกว่า ท่านไม่ค่อยพอใจที่จู่ ๆ ก็มีสีกาเข้าไปในถ้ำที่ท่านกำลังทำสมาธิอยู่ ท่านถามติ๊กว่า ที่มาหาท่านมีธุระอะไร ติ๊กตอบว่า พี่ศรีวิทย์กับพี่อี๊ดให้มาถาม ๓ ข้อ” ท่านนิ่งไปสักประเดี๋ยวและหัวเราะก่อนที่จะตอบติ๊กว่า ให้มาทั้งที ถ้าไม่ครบ ๓๒ เสียชื่อคนให้ ไว้ถึงวันคลอดก็รู้เองว่า เด็กมันจะมี “หนอน” หรือไม่ มี “หนอน” หนอนที่ว่า คือที่มันห้อยตุ๊กติ๊กของเด็กผู้ชายแหละครับ

หลังจากวิมลคลอดบุตรได้ ๒ – ๓ เดือน เราสองคนได้มีโอกาสพอหลวงปู่ จึงขอให้ท่านตั้งชื่อลูกชายให้ด้วย

ท่านพูดว่า “เด็กผู้หญิงที่อยู่เมืองชายทะเลมันเก่ง มันไปหาปู่จนเจอ”
ข้าพเจ้ายังไหวไม่ทัน นั่งนึกอยู่นาน ใครกันหว่า หลวงปู่จึงพูดขึ้น “ ก็เด็กผู้หญิงที่เอ็งให้ไปช่วยถามเรื่องลูกชายยังไงล่ะ”
หลวงปู่พูดยั่วอย่างอารมณ์ดีว่า “เมืองชายทะเลกับเมืองชลบุรีน่ะ มันห่างทะเลมากเชียวหรือ”

ข้าพเจ้าพูดถึงติ๊กกับเตี่ย หลวงปู่ท่านรับฟังแต่ไม่โกรธที่ข้าพเจ้าไปหา ซึ่งผิดกับน้าเขยของข้าพเจ้า เคยไปหาอาจารย์คนหนึ่งกับเพื่อนของท่านและได้พระเครื่องมาห้อยคอหนึ่งองค์ ต่อมาเมื่อพบกับหลวงปู่ ท่านโกรธมาก เพราะอาจารย์นั้นปลอม ของที่ได้มาก็เป็นของปลอม ข้าพเจ้าเองก็แปลกใจที่น้าเขยข้าพเจ้าไปกับเพื่อน ทำไมท่านทราบได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เห็น ตอนจะกลับ หลวงปู่ท่านให้ของดีกับข้าพเจ้า และฝากให้ลูก ๆ ต่อมาเมื่อไปหาเตี่ย พอดีวันนั้นไม่มีแขก จึงนั่งคุยกันสี่คน มี เตี่ย, ติ๊ก, วิมล และข้าพเจ้า ติ๊กได้พูดถึงหลวงปู่ ข้าพเจ้าเลยเอาของของท่านออกมาให้เตี่ยดู ก่อนจะกลับ เตี่ยถามว่าผ้ายันต์ที่เตี่ยเคยให้ข้าพเจ้ายังอยู่ไหม ถ้าพบอาจารย์ของลื้อ ให้ท่านดูซิว่าใช้ได้หรือไม่ ข้าพเจ้าได้กลับมาพบหลวงปู่ เอาผ้ายันต์ให้ดู หลังจากที่ท่านดูสักครู่ ท่านเรียกเข้าไปหา ให้ข้าพเจ้าก้มศีรษะ ท่านใช้นิ้วต่างเหล็กจาร เขียนลงกระหม่อมและบอกให้ข้าพเจ้าไปถามเตี่ยว่าใช้ได้ไหม

เมื่อมาพบเตี่ย เตี่ยพูดขึ้นว่า การลงกระหม่อมนี้ ถ้าอาจารย์ที่ลงให้วิชาแก่กล้าจริง ๆ เมื่อผู้นั้นตายไปแล้ว ลองไปถลกหนังหัวออกดู จะเห็นเป็นรอยสักตัวอักขระสี่เขียว ๆ ติดอยู่ที่กระดูกกะโหลกศีรษะ ว่าแล้วท่านก็หยิบมือข้าพเจ้าไปเพ่งสักครู่แล้วก็เป่าพรวด พร้อมกับสั่งว่า ไปให้อาจารย์ลื้อดู ข้าพเจ้าวิ่งรอกอยู่หลายอาทิตย์ โดยไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยแม้แต่นิดว่า นั่นคือการลองวิชาของทั้งสองท่านโดยใช้ข้าพเจ้าเป็นม้าวิ่ง จนครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าอดรนทนไม่ได้ เลยถามเตี่ยว่า ผู้ที่นั่งสมาธินั้น ถ้าตั้งใจพบกัน จะพบกันได้ไหม เตี่ยตอบว่า “ได้” “แล้วเตี่ยกับหลวงปู่เคยพบกันหรือยัง” ข้าพเจ้ารีบถามต่อโดยเร็ว เตี่ยสั่นหน้าแล้วยิ้ม ๆ ก่อนตอบว่า “อั๊วนั่งสมาธิของอั๊ว ท่านก็นั่งของท่าน” ก่อนจะกลับ เตี่ยเรียกข้าพเจ้าสองคนให้ลงไปข้างล่าง ตอนนั้นประมาณเมี่ยง เตี่ยลงไปเพ่งดวงอาทิตย์สักครู่แล้วมาเพ่งที่หน้าวิมลกับข้าพเจ้า พอข้าพเจ้ายกมือไหว้จะลากลับ เตี่ยหันมาสั่งว่า ลองไปหาอาจารย์ลื้อดูอีกทีซิว่า วิธีการนี้ดีไหม

เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบหลวงปู่ คำแรกมี่ท่านทักข้าพเจ้าก็คือ ..........”เซียนแป๊ะที่เมืองชายทะเลเก่ง” ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้มาหาเตี่ย ได้เล่าให้เตี่ยฟังว่า หลวงปู่เรียกเตี่ยว่า “เซียนแป๊ะ” เตี่ยนั่งยิ้ม ๆ ไม่พูดว่าอะไร แต่ก่อนจะกลับกรุงเทพฯ เตี่ยเดินลงไปเปิดตู้เย็น หยิบปลาสดใส่ถุงให้ข้าพเจ้าไปทำอาหารกินที่กรุงเทพฯ หลายตัว วิมลจะขอคืนบ้าง ขอเอาไปเพียงตัวเดียว เพราะที่บ้านมี ๔ – ๕ คนเท่านั้น เตี่ยพูดว่า “เอาไปหลาย ๆ ตัว ใส่ตู้เย็นไว้ได้” ข้าพเจ้าเลยชิงพูดขึ้นว่า “เตี่ยให้แล้ว เอาไปให้หมด พรุ่งนี้ทำอาหารตักบาตรถวายพระได้อาหารตั้งหลายอย่าง”

เตี่ยสบตากับข้าพเจ้า เราต่างเข้าใจกัน โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ต่อจากนั้นไม่นานอาจารย์ทั้งสองของข้าพเจ้าก็จากไป เหลือไว้แต่ความทรงจำ ซึ่งต่อไปจะเป็นตำนานที่จะให้ข้าพเจ้าไว้เล่าให้ลูกชายตัวเล็ก ๆ สามคนฟัง เสมือนหนึ่งเป็นนิทานพื้นบ้าน ที่คนเล่าเท่านั้นจึงจะซาบซึ้งแก่ใจ ข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่า เวลาที่จะได้พบ “เตี่ย” นั้นมีไม่มากนัก หากข้าพเจ้ายังภูมิใจว่า นอกจาก “พ่อ” แท้ ๆ ของข้าพเจ้าแล้วยังมี “เตี่ย” อีกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเรียกว่า “เตี่ย” ได้อย่างเต็มปากและเต็มใจยิ่ง

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:05 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
อาจารย์สู ผู้วิเศษ

สมพร เทพสิทธา



“ข้าพเจ้าได้ยินชื่อ “อาจารย์สู” เป็นครั้งแรกจากท่านอาจารย์สาธิต ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดวชิรธรรมสาธิต ซึ่งได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ได้ไปเรียนวิชาจากอาจารย์สูที่ชลบุรี อาจารย์สูได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมามากและมีความรู้พุทธปรัชญาอย่างลึกซึ้ง จนมีผู้ขนานนามว่า “เซียนสู” ท่านอาจารย์สาธิตบอกว่าจะพาข้าพเจ้าไปชลบุรีเพื่อพบท่านอาจารย์สูเมื่อมีเวลาว่าง ข้าพเจ้าก็เฝ้ารอโอกาสที่จะไปพบท่านอาจารย์สู แต่ท่านอาจารย์สาธิตก็ยังไม่มีเวลาว่างสักที ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้พบกับคุณอำนวย อินทุภูติ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมการอำนวยการสภายุวพุทธิกษมาคมแห่งชาติ คุณอำนวยบอกว่าได้เคยไปพบอาจารย์สูมาแล้ว และบ้านอาจารย์สูก็อยู่ในบริเวณตลาดอำเภอเมืองนี่เอง ข้าพเจ้าจึงขอให้คุณอำนวยพาข้าพเจ้าไปหาอาจารย์ในวันที่ ๒๙ เมษายน ๑๐ พร้อมกับอาจารย์อำไพ สุจริตกุล ดร.ศรีปัญญา รามโกมุท คุณเอกไท นิลโกศย์ และคุณทิพพร เทพสิทธา พวกเราได้คุยอยู่กับอาจารย์สูเป็นเวลาชั่วโมงกว่า แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบและคุยกับอาจารย์สู ข้าพเจ้าก็รู้สึกเลื่อมใสอาจารย์สูมาก และคิดว่าข้าพเจ้าได้มาพบปูชนียบุคคลที่หาได้ยากอีกผู้หนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ไปหาอาจารย์สู เป็นประจำเกือบทุกสัปดาห์ นอกจากจะเดินทางไปราชการต่างประเทศหรือติดงานอื่นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจารย์สูก็ได้ให้ความเมตตาปราณีแก่ข้าพเจ้าเสมอมา ได้สอนธรรมะปละเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ข้าพเจ้าฟัง กว่าที่ข้าพเจ้าจะลากลับก็มักจะเป็นเวลา ๒๑ หรือ ๒๒ นาฬิกา นอกจากนี้ยังสั่งให้ภรรยาจัดอาหารเย็นเลี้ยงดูข้าพเจ้าและผู้ที่ร่วมเดินทางไปด้วยอย่างอิ่มหนำสำราญ

ข้าพเจ้าได้ถามคุณอำนวยว่า ชาวเมืองชลนับถือและมาหาอาจารย์สูมากน้อยเพียงใด คุณอำนวยบอกว่าคนที่นับถือและมาหาอาจารย์สู ส่วนใหญ่มักจะมาจากกรุงเทพและจังหวัดอื่น ชาวเมืองชลส่วนใหญ่มักไม่รู้จักอาจารย์สู ถึงแม้จะรู้ ก็รู้อย่างผิวเผิน ไม่ทราบถึงคุณธรรมความดีและความสามารถของท่าน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอาจารย์สูอยู่ในจังหวัดชลบุรีมานาน เมื่อเริ่มแรกท่านมีอาชีพทำขนมปังขาย ชาวเมืองชลจึงเห็นท่านเป็นเพียงคนทำขนมปัง แม้ท่านจะได้บรรลุคุณธรรม ก็ไม่สนใจและไม่เคารพเลื่อมใส ข้าพเจ้าเห็นจริงด้วย และบอกกับคุณอำนวยว่า ก็น่าเห็นใจชาวเมืองชล เพราะถ้าคนใช้บ้านเราเกิดไปเล่าเรียนธรรมะจนบรรลุคุณธรรมวิเศษเข้า จะให้เราเคารพเลื่อมใสย่อมเป็นการยาก แต่ก็ดีเหมือนกันที่ชาวเมืองชลไม่รู้จักอาจารย์สูมากนัก หากรู้จักก็จะมารบกวนท่าน จนท่านอาจไม่มีเวลาว่างที่จะมาสั่งสอนธรรมะและคุยเรื่องต่าง ๆ ให้เราฟัง อาจไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดจนเป็น “ศิษย์ก้นกุฏิ” ของอาจารย์สู เช่นขณะนี้ .......................”

นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ในหนังสือ “อาจารย์สูผู้วิเศษ” ซึ่งพิมพ์เป็นที่ระลึกในการทอดกฐินสามัคคีคณะศิษย์อาจารย์สู ที่วัดสิงห์ทองพรหมาวาส อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ในวันอาทิตย์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๐ หนังสือเล่มนั้นนับเป็นเล่มแรกที่ได้มีการเขียน เล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านอาจารย์ ครั้งนั้นข้าพเจ้าเขียนขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ๓ ประการดังได้เขียนไว้ในคำนำของหนังสือเล่มนั้นแล้ว คือ “.......ประการแรก เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณของท่านอาจารย์สู ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลที่หาได้ยากผู้หนึ่ง ข้าพเจ้าอยากให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า ในสังคมปัจจุบันที่กำลังรุ่งเรืองในทางวัตถุ แต่เสื่อมโทรมในด้านจิตใจ และในขณะมี่คนดีจริง ๆ กำลังขาดแคลนและหายากนั้น เรายังมีบุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้ปฏิบัติธรรมะในพระพุทธศาสนาจนได้คุณธรรมอันสูง และได้บำเพ็ญบารมีให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาศิษย์และประชาชนด้วยความเมตตากรุณาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ประการที่ ๒ ก็เพื่อให้ประวัติปละคำสอนของท่านอาจารย์สู เป็นเสมือนโอสถทิพย์ ชโลมจิตใจของพวกเราที่ถูกถ่วงด้วยกิเลส และถูกเผารนให้รุ่มร้อนด้วยความชุลมุนวุ่นวายของชีวิต ไม่รู้จักพอ ความเห็นแก่ตัว การแก่งแย่งชิงดี ความอิจฉาริษยา ให้สงบเย็นลงบ้าง แทนที่เราจะแสวงหาความสุขจากวัตถุ ซึ่งเป็นสิ่งภายนอกแต่เพียงอย่างเดียว ขอให้เรามาลองหาความสุขจากความสงบของจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายในดูบ้าง อย่าให้เราเป็นเหมือนคนขี่โคที่เที่ยวตามหาโคเลย ปละประการที่ ๓ ก็เพื่อให้หนังสือเล่มนี้เป็นที่ระลึกในการทอดกฐินที่วัดซึ่งอาจารย์ได้สร้างขึ้น.....”

ความจริงตอนนั้น ท่านอาจารย์ไม่มีความปรารถนาเลยที่จะให้นำเรื่องของท่านมาเขียนเผยแพร่ ท่านขอร้องให้ข้าพเจ้าเลิกล้มความตั้งใจที่จะเขียนเรื่องของท่าน โดยบอกว่ายังไม่ถึงเวลาอันสมควร และท่านไม่อยากให้ใครมารบกวนท่านมาก เพราะท่านไม่ต้องการให้คนรู้จัก ปละไม่ปรารถนาลาภสักการะหรือชื่อเสียงเกียรติยศอย่างใดทั้งสิ้น แต่ข้าพเจ้าได้ขอร้องท่าน ขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องของท่านโดยย่อ ๆ เพื่อให้ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสได้ทราบประวัติของท่าน และได้ทำประโยชน์จากคำสอนอันลึกซึ้งของท่าน ซึ่งหาฟังหรืออ่านได้ยาก ท่านจึงได้ยอมให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องของท่านพิมพ์เป็นที่ระลึกในการทอดกฐินวัดสิงห์ทองพรหมาวาส ซึ่งท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อสร้าง

นับเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งในอดีตซึ่งผ่านมาแล้ว ถึง ๑๒ ปีที่ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องราวของท่านอาจารย์ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยความปิติยินดีที่ได้พบปูชนียบุคคลผู้ควรแก่การเคารพสักการะ มาบัดนี้ข้าพเจ้าก็ต้องมาเขียนถึงท่านอาจารย์อีกเป็นครั้งที่สอง แต่เป็นการเขียนด้วยความโศกเศร้าและอาลัยที่ปูชนียบุคคลผู้ควรแก่การเคารพสักการะได้จากพวกเราไปเสียแล้วย่างกะทันหัน และไม่มีใครจะคาดคิดมาก่อน สำหรับคุณธรรมความดีของท่านนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ที่รู้จักและเคยพบปะพูดคุยด้วยก็ย่อมทราบดีอยู่แก่ใจของตนเองแล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ได้รู้จักท่านอย่างดีมาก่อน ก็คงจะได้อ่านเรื่องราวของท่านอาจารย์จากหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพิงศพของท่าน แต่คงเป็นการ “รู้จักอย่างผิวเผิน” เท่านั้น เพราะท่านอาจารย์ก็ได้จากไปแล้ว การอ่านเรื่องราวของท่านจากหนังสือนั้นก็ย่อมเปรียบกับการที่ได้พบปะและสนทนากับท่านอาจารย์ด้วยตนเองมิได้เลย นอกจากนี้ยังจะเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ในการอ่าน หากมิได้เข้าใจถึงคุณค่าของคำสั่งสอนของท่านอาจารย์และมิได้นำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองสืบต่อไป และก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ถ้าข้าพเจ้าจะอธิบายว่า ทำไมจึงเรียกท่านอาจารย์ว่า .....”อาจารย์สูผู้วิเศษ” .....................

ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบและพูดคุยกับท่านอาจารย์จนเกิดความเคารพเลื่อมใสท่านอาจารย์อย่างสูง ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีความใฝ่ใจในการศึกษาถึงหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างมาก ที่ไหนมีอาจารย์ผู้มีชื่อในการสอนธรรมะ ข้าพเจ้าก็มักจะไปหาเพื่อไต่ถามถึงหลักธรรมและวิธีปฏิบัติ ในครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้มาหาท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าก็ได้ไต่ถามท่านอาจารย์ถึงหลักธรรมเป็นคำแรกว่า “ขันธ์ห้า คืออะไร ?” ท่านอาจารย์ได้ตอบข้าพเจ้าอย่างสั้น ๆ และชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่มี” เพียงคำนี้ก็ทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้ง รู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ลึกซึ้งกินใจความอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดมาก่อน และเกิดความเลื่อมใสท่านอาจารย์ขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่า คนจีนรูปร่างสูงใหญ่ นุ่งขาวห่มขาว และพูดไทยไม่ค่อยชัด คนนี้จะพูดคำพระจี้ใจคนถูกจุดได้เช่นนี้ และแน่ใจว่า ท่านอาจารย์จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนเกิด “ดวงตาเห็นธรรม” แล้ว ข้าพเจ้าเคยไปถามปัญหาข้อนี้จากอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ซึ่งก็ได้คำตอบต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก และไม่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้ดีพอ คำตอบของท่านอาจารย์สูเพียงคำเดียวได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความสงสัยและเกิดความเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า “ขันธ์ห้า ความจริงไม่มีอะไร เพราะเรามีอุปทานเข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันจึงเกิด “มี” ขึ้นมา แล้วเรายังจะ “โง่” ไปเที่ยวถามใครต่อใครอีก ทั้งหมดนี่มันก็เป็นขันธ์ห้าอยู่แล้ว”

จากนั้นข้าพเจ้าได้ถามท่านอาจารย์อีกหลายปัญหาก็ได้คำตอบที่ทำให้ความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าขึ้นมาก ท่านอาจารย์ได้บอกกับข้าพเจ้าว่า ได้ศึกษาธรรมจากหลักธรรมของนิกายเซนและแนะให้ข้าพเจ้าไปอ่านหนังสือชื่อ “สูตรของเว่ยหล่าง” ซึ่งมีแปลเป็นภาษาไทยแล้ว โดยท่านพุทธทาสภิกขุ นับเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ฟังเกี่ยวกับหลักธรรมของนิกายเซน เมื่อข้าพเจ้าได้ไปอ่านหนังสือ “สูตรของเว่ยหล่าง” ก็เกิดศรัทธาความเลื่อมใส เป็นคำสอนที่เน้นหนักไปในด้านการปฏิบัติให้พ้นทุกข์อย่างฉับพลัน โดยใช้ปัญญาล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีรีตองใด ๆ ตอนที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ เมื่อมาถามท่านอาจารย์ ก็ได้คำตอบที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความกระจ่างทุกทีไป ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเลื่อมใสท่านอาจารย์มากขึ้น และรู้ดีว่า ความรู้ความเข้าใจของท่านอาจารย์ได้มาจากการปฏิบัติจริง ๆ มิใช่เป็นความรู้ที่ได้มาจากการอ่านหนังสือ หรือจำคนอื่นมา ข้าพเจ้าไม่เคยพบอาจารย์ใดที่มีความเข้าใจในธรรมะได้ลึกซึ้งอย่างนี้มาก่อน ซึ่งข้าพเจ้าคิดเสมอว่า ธรรมะของท่านอาจารย์นี่แหละคือของดีของท่านอาจารย์ ส่วนของวัตถุอื่น ๆ ที่ท่านทำ เป็นเพียงเครื่องแสดงเมตตาธรรมของท่านอาจารย์ต่อผู้ที่ไม่สนใจในการปฏิบัติเท่านั้น

ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่มีวิจารณญาณละเอียดสุขุม มองเรื่องต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งถึงแก่น สิ่งที่ท่านอธิบายให้พวกเราฟัง จะตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผลและเป็นจุดสำคัญของเรื่องราว ท่านเคยพูดว่า คนเราเมื่อเข้าใจสิ่งหนึ่งได้ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของมันแล้ว ก็จะเข้าใจในสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดด้วยเช่นกัน เพราะทุกสิ่งย่อมตั้งอยู่บนรากฐานของสิ่งเดียวกัน คือ กฎของธรรมชาติหรือสัจธรรม และเมื่อเราเรียนมาถึงขั้นหนึ่งก็จะพบว่า ธรรมะที่แท้นั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่จะพูดถึงได้ ซึ่งคนธรรมดายากที่จะเข้าใจ นอกจากจะปฏิบัติและเข้าใจได้ด้วยตนเอง

มาบัดนี้ ท่านอาจารย์ก็ได้จากพวกเราไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ากล่าวได้เพียงแต่ว่า รู้สึก “เสียใจ” และ “เสียดาย” จริง ๆ “เสียใจ” ที่ท่านอาจารย์ผู้ที่ข้าพเจ้ารักและเคารพได้จากไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด และรู้สึก “เสียดาย” จริง ๆ ที่พวกเราได้สูญเสีย..”ปูชนียบุคคล” ผู้ควรค่าแก่การเคารพสักการะและปฏิบัติตามไปเสียแล้ว “ดวงประทีปของโลก” ผู้ส่องแสงสว่างให้มวลมนุษย์ได้ดับลับจากโลกไปอีกดวงหนึ่งแล้ว จึงขอให้พวกเราที่ยังหลงอยู่ในความมืด จงยึดเอาคำสั่งสอนของท่าน เป็นประดุจแสงเทียนที่จะส่องทาง นำไปสู่จุดหมายเบื้องหน้าที่มีแต่ความสะอาด สว่าง และสงบเถิด

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:06 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
เตี่ยกับไซอื๋ว


นอกจากเตี่ยจะอบรมสั่งสอนลูก ๆ ด้วยหลักธรรมแล้ว ยังชอบเล่านิทานให้ลูก ๆ ฟัง ซึ่งทุกเรื่องล้วนมีคติสอนใจด้วยกันทั้งนั้น บางคราว นิทานของเตี่ยก็วกเข้ามาด่าว่าและสั่งสอนลูก ๆ ที่มีข้อบกพร่อง โดยไม่รู้สึกตัว กว่าลูก ๆ จะรู้ตัวว่าเตี่ยกำลังตำหนิอยู่ ก็ฟังเรื่องจนจบไปแล้วก็มี ถึงกระนั้น ลูก ๆ ก็ยังชอบที่จะฟัง เพราะเตี่ยได้แทรกคำสอนและแนะวิถีทางที่ถูกไว้ด้วย นับว่าเตี่ยเป็นพ่อที่มีวิธีการอบรมลูก ๆ อย่างแปลกแหวกแนว ไม่ซ้ำแบบใคร และลูก ๆ ก ไม่ค่อยกลัวเวลาเตี่ยว่าตรง ๆ แต่ถ้าเตี่ยว่าอ้อม ๆ แบบนี้ทั้งเจ็บทั้งคันนัก

เรื่องที่บันดาลูก ๆ ชอบฟังมากที่สุดก็คือเรื่องเตี่ยเล่าว่า เมื่อตอนเตี่ยเด็ก ๆ ก็ชอบฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง “ไซอิ๋ว” เหมือนกัน แต่อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะมี่เตี่ยกำลังนั่งสมาธิอยู่ ก็เกิดรู้ขึ้นมาว่า เรื่อง “ไซอิ๋ว” นั้นความจริงไม่ใช่เป็นนิทานที่เล่าสู่กันฟังสนุก ๆ เท่านั้น แต่คนแต่งเรื่องนี้ ซึ่งเป็นพวกเต้าหยิน หรือโยคีของจีน ได้เอาเรื่องที่พระจีนเดินทางไปศึกษาพระธรรมในชมพูทวีป (ไซที) ในสมัยพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มาแต่งเปรียบเปรยถึงพระตั้งแต่มาบวชเรียนแล้ว เริ่มต้นปฏิบัติจนได้มรรคผล ซึ่งทั้งเรื่องจะเป็นธรรมะล้วน ๆ กล่าวถึงทางปฏิบัติสมาธิ เข้าญาณ และกิเลสต่าง ๆ ที่นักปฏิบัติจะต้องเอาชนะไว้อย่างละเอียดลออ จนสุดท้ายได้พบพระพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงบรรลุถึงความเป็น “พุทธะ” นอกจากนี้ชื่อต่าง ๆ ที่เป็นภาษาจีน ถ้าแปลออกมาแล้ว ก็ล้วนแต่มีความหมายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกัน ทางฝ่ายพระของจีน ก็ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพวกนักพรตหรือโยคีของจีน คือ เรื่อง “ห้องสิน” ซึ่งแต่งเป็นนิทานปรัมปราอิงประวัติศาสตร์ของจีน ที่เน้นหนักไปในด้านอิทธิฤทธิ์อภินิหาร ความจริงแล้ว ผู้แต่ง ได้เขียนถึงการปฏิบัติของพวกนักพรต ซึ่งมีความเชื่อกันว่า ถ้าจำศีลภาวนาจนสำเร็จ “เต๋า” แล้ว ก็จะได้เป็น “เซียน” หรือ เทวดา มีฤทธิ์ต่าง ๆ ในเรื่องยังได้มีการกระทบกระแทกแดกดันถึงพวกนักพรต ทีภายหลังมาลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในโลกียสุข จนก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่คนทั่วไป

เตี่ยบอกว่า สำหรับผู้ที่ใฝ่ใจในการปฏิบัติอยู่แล้ว เมื่อได้ทราบความหมายอย่างนี้ เวลาไปอ่านทั้งสองเรื่องนี้ดูก็จะเข้าใจได้ด้วยตนเองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะเรื่อง “ไซอิ๋ว” เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติของตนเองทีละขั้น ๆ ก็จะค่อย ๆ รู้และเข้าใจอย่างละเอียดและยังมีประโยชน์สำหรับการปฏิบัติในขั้นต่อ ๆ ไปด้วย พวกเราจึงขอกล่าวเอาแต่ใจความที่สำคัญ ตามที่เยได้เล่าให้พวกเราฟังในเรื่อง “ไซอิ๋ว”

เตี่ยเล่าว่า ลิงเห้งเจียนั้นเปรียบเสมือน “ใจ” ตือโป๊ยก่ายเป็น “ความหลง” ซัวเจ๋ง คือ “โทสะ” ม้าขาว เปรียบเหมือน “มโน” การที่เปรียบเห้งเจียเหมือนใจนั้น ก็เพราะ ใจคนนั้นไม่ผิดอะไรกับลิง ซึ่งวอกแวกอยู่เสมอ ยากมี่จะควบคุมให้นิ่งได้ ใจคนนั้นสามารถนึกคิดไปถึงอะไรได้ไกล ๆ เหมือนกับการที่เห้งเจียสามารกระโดดทีหนึ่งไปได้ไกลเป็น แสน ๆ หมื่น ๆ ลี้ และการที่เห้งเจียมีฤทธิ์สามารถแปลงกายได้มากมายนั้น ก็หมายถึงการที่ใจของคนเราแปรเปลี่ยนไปได้หลายลักษณะตามอารมณ์ที่เข้ามาครอบงำ

ตอนที่เห้งเจียลองฤทธิ์กับพระพุทธเจ้านั้น กระโดดไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ก็ยังไม่พ้นนิ้วมือทั้ง ๕ ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นภูเขาห้ายอดขวางกั้นอยู่ ซึ่งหมายความถึงว่า ใจนั้นถึงจะมีฤทธิ์เดชเก่งกาจแค่ไหน ก็ยังหลีกไม่พ้น ต้องตกอยู่ในขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ มงคลที่สวมหัวเห้งเจียเอาไว้ เมื่อเห้งเจียก่อความวุ่นวายหรือ ไม่เชื่อฟังก็ใช้คาถา ๖ ตัว ท่องบังคับให้ปวดหัว ต้องยอมสยบเชื่อฟังนั้น คาถา ๖ ตัวก็คือ “งาน มา นี ปะ มี ฮง” ซึ่งหมายถึงการควบคุมอายตนะทั้ง ๖ ไม่ให้เข้าสู่อายตนะภายใน คือ ใจไม่ให้หวั่นไหวไปตาม ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายรู้สัมผัส และ มโนคิดปรุงแต่ง เมื่อใจไม่หวั่นไหว ก็จะสงบลงได้ เมื่อตรงนี้สงบแล้ว เห้งเจียก็ไปกับพระได้ คือเริ่มต้นปฏิบัติทางธรรมไปได้

วันหนึ่ง พระไปพบปีศาจแมลงมุม พวกนี้แปลงเป็นผู้หญิงสวย ๆ ออกมากระเซ้ากับพระ กระเซ้าไป กระเซ้ามา พระจะปาราชิก เจ้าเห้งเจียมาถึงก็สับพวกนั้นตายหมด พระก็ผ่านด่านอันนี้ไปได้ เปรียบถึงว่า ความรักเหมือนใยแมลงมุม ผู้คนนึกว่าเป็นความสุขหวานชื่นเหมือนกับเห็นปีศาจแมลงมุมเป็นผู้หญิงสวย ๆ พอเกิดความรักเข้าก็เหมือนไปติดใยแมลงมุม ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด คนหนึ่งอาจที่จะผ่านด่านผู้หญิงอันนี้ไม่ได้ พอทีสุดท้ายตัดสินใจนึกถึงเรื่องปาราชิกกับศีลธรรมขึ้นมาแล้วก็เลยตัดสินใจอันนี้ ก็เลยสับพวกนั้นตายไป แค่นี้เอง

ตอนที่จะข้าภูเขาไปซึ่งร้อนมาก ต้องไปขอยืมพัดวิเศษมาพัดดับไฟ คือ พัดเปรียบเหมือน “สุขุม” “สุขุม” เอาไว้ปราบ “โทสะ” ถ้ามีสุขุมจริง ๆ ปลงตกอันนี้ได้ โทสะอันนี้จึงจะหมดได้ ถ้ายังอยู่ในขั้นเฮงซวย เท่ากับได้พัดปลอม คือ เดี๋ยวสุขุม เดี๋ยวไม่สุขุม โทสะก็ยังจะมีเกิดขึ้นในระหว่างนั้นก็ต่อสู้กับโทสะ ไปห้ามโทสะให้หยุดระงับอยู่ ยิ่งระงับใจก็ยิ่งพลุ่งพล่าน ไฟก็ยิ่งลุก ถ้าปลงตก สุขุมจริง ๆ โทสะอันนี้จึงระงับอยู่ เท่ากับได้พัดอันจริงมาดับไฟ

แล้วที่ว่ามีปีศาจต่าง ๆ อยากจะกินเนื้อพระ กินแล้วอายุยืน หมายถึง นักปฏิบัติถ้าไปทำผิด ทำผิดจนปาราชิกก็ดี ทำผิดนิดหน่อยก็ดี พวกปีศาจก็จะเล่นงานเอา คือกิเลสต่าง ๆ ก็เข้ามากวน

เมื่อตอนที่เดินทางเข้าใกล้เมืองพระ มาถึงตอนหนึ่ง ต้องข้ามสะพาน มีสะพานอันเดียว เป็นไม้แผ่นเดียวไม่มีทางอื่น คือเปรียบเหมือนทีสุดท้าย นักปฏิบัติมีทางเดียวแล้ว ตอนที่จะลงเรือ พระก็มองลงไปเห็นเรือไม่มีพื้น ถ้าลงไปก็ตกน้ำตาย พระก็ไม่กล้าจะลงเรือ ทีนี้เห้งเจียก็ผลักตัวอาจารย์ลงไปเลย เรือไม่มีพื้นในนั้นไม่มีอะไร ก็เท่ากับว่างเปล่า นักปฏิบัติสุดขีดแล้วก็ไม่มีอะไรคือการเข้านิพพานน่ะ ไม่มีอะไรเลย พออีตอนที่ตัดสินใจผลักพระลงไป เรียกว่าไม่มีตัวกู เมื่อที่ไม่มีตัวกู มันก็เข้าประตูไปได้ ตอนนี้ลงเรือแล้ว จึงเห็นรูปพระถังหรือเห็นสังขารไหลไปตามน้ำเลย คือ เมื่อที่อะไร ๆ ก็อนัตตา ไม่มีตัวกูแล้ว ได้พบตัวเองก่อน แล้วจึงจะพบ “พุทธะ”

ตอนหลังได้ตำรามา ในนั้นหนังสือตัวเดียวก็ไม่มี คือหมายความว่า สุดขีดแล้ว เหลือ “จิตดั้งเดิม” ความจริง “ธรรมะก็ไม่มีอะไร” มีแค่นี้เอง ตำรานั้นเรียกว่า “บ่อยี่จินเก็ง” คือ “อารมณ์ธรรมชาติ” อันนี้มีอะไร ? ธรรมชาติของเค้าเป็นอย่างนี้เอง ไม่มีอะไรที่ผุดขึ้นแล้ว

เรื่อง “ไซอิ๋ว” นี้เป็นเรื่องที่ยืดยาวมาก เตี่ยเองก็อ่านมาตั้งแต่เด็ก ฟ จำไม่ค่อยได้ละเอียดนัก ลูก ๆ ก็อยากฟังมาก ๆ จึงหาหนังสือ “ไซอิ๋ว” ภาษาจีนมาให้เตี่ยอ่านทบทวนความจำ เผื่อเตี่ยจะได้เล่าและอธิบายให้ลูก ๆ ฟังโดยละเอียด พวกเราจะได้ไม่ต้องไปอ่านและไปขบคิดต่อเอาเอง (ด้วยความขี้เกียจ) ซึ่งเตี่ยคงรู้ใจพวกเราดี และต้องการดัดสันดานพวกเรา จึงไม่เล่าให้ฟังทุกตอน กลับบอกว่า ให้เราไปปฏิบัติและขบคิดพิจารณาเอาเองจึงจะเกิดประโยชน์ พวกเราก็เลยหน้าแห้งไปตาม ๆ กัน จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งนัก เพราะพวกเราเป็นศิษย์โง่ คอยแต่จะเรียนทางลัดท่าเดียว ไม่มีเตี่ยแล้วก็เลยติดแหงก ไม่รู้อ่านอย่างไรให้เข้าใจเหมือนเตี่ยได้

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:08 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ธรรมะของเตี่ย

“ธรรมะของเตี่ยนี้” เป็นการรวบรวมคำสั่งสอนและคำพูดของเตี่ยเกี่ยวกับหลักธรรมและการปฏิบัติที่เตี่ยได้ให้ลูก ๆ จดไว้ตามคำพูดของเตี่ยเอง และมีอยู่ ๒ บทที่เป็นร้อยกรองภาษาจีน ซึ่งเตี่ยได้แต่งเอาไว้ และได้ถอดความออกมาเป็นภาษาไทยเพื่อให้เป็นที่พอเข้าใจ ส่วนความหมายที่แท้จริงนั้น ก็อยู่ที่แต่ละคนจะนำเอาไปขบคิดและปฏิบัติเอาเอง

ก็โดยเหตุที่เตี่ยเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง ธรรมะของเตี่ยทั้งหมดเป็นสิ่งที่ได้รู้และเข้าใจมาจากการปฏิบัติ ปละเตี่ยก็ได้ใช้ภาษาง่าย ๆ ในการอธิบายเพื่อให้เป็นที่เข้าใจกันง่าย ๆ ไม่ต้องนำไปขบคิดมาก อย่างไรก็ดี เตี่ยพูดเสมอ ๆ ว่า

“ธรรมะของเตี่ย จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ปฏิบัติอย่างแท้จริงเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติก็อย่างนั้นเอง อย่างดีก็เพียงจะสามารถจดจำคำพูดเอาไว้ ไม่นานก็จะลืม และไม่มีทางที่จะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแท้จริงด้วยการขบคิด นอกจากนี้อาจหลงผิดไปด้วยอีกว่า ตัวเข้าใจดีแล้ว ทำให้เกิดหยิ่งว่า ตัวรู้ดีกว่าคนอื่น แล้วก็หลงงมงายไปกันใหญ่ กลับทำให้เกิดโทษ สู้อย่ารู้เลยจะดีกว่า “

เหมือนอย่างที่เตี่ยเคยพูดว่า “รู้ ก็ถูกตัวรู้ปิดบัง”




๑. เกิดความรู้สึก ขี้ข้ากับลูก ลูกก็ขี้ข้ากับหลาน เพราะอวิชชา เกิดมีความรู้สึก แต่งงานเกิดขึ้น ถึงจะต้องเป็นขี้ข้า ขี้ข้าไม่มีสิ้นสุด เพราะอย่างนี้ นักปฏิบัติต้องรู้สึก อะไรเรียกว่าเกิด เกิดมาจากอวิชชา ไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้ ไม่ปฏิบัติก็เกิดอวิชชา ตายก็อวิชชา น่ากลัวจัง

๒. เป็น ๆ อยู่ไม่รู้สึก หลับไปยิ่งไม่รู้สึก ตายไปก็ยิ่งไม่รู้สึก ถ้าอย่างนี้เป็นผีแน่ ๆ อยากจะไม่เป็นผี ทุก ๆ ลมหายใจ อย่าขาดสติ

๓. พูดกันว่า “ศาสนาพุทธ” ไม่ถูกต้อง ต้องพูดว่า “วิชาพระ” เพราะศาสนาอย่างอื่นไม่ได้สอนให้พ้นทุกข์ เพราะอย่างนี้ เรียกว่าศาสนาพุทธไม่ถูกต้อง ต้องเรียกว่า “วิชาพระ”

๔. ทำอย่างไรจึงจะได้เห็นพระจริง ๆ มีแต่พระโลหะ พระไม้ พระรูปถ่าย พระสงฆ์ ลองหยุดอย่าคิดอะไรทั้งสิ้น ระหว่างนั้นจะได้เห็นพระจริง ๆ เขียนฝากต่อไปอีกสิบปี ร้อยปี พวกที่รู้ข่าว

๕. อะไรเรียก “กูเอง” สังขารเลือดเนื้อไม่ใช่มีแต่ขันธ์ห้า บ้างก็เรียกอายตนะภายนอก อายตนะภายใน บ้างก็เรียกวิญญาณ บ้างก็เรียกความรู้ บ้างก็เรียกปัญญา รู้ที่ใจไม่ถูก รู้สึกว่างเปล่าไม่ถูก รู้สึกบริสุทธิ์ไม่ถูก ที่เหลืออยู่นั่นแหละ “หน้าตาจริง ๆ “ อย่างนั้นเอง

๖. พระพุทธเจ้าทำไมต้องสอนสมถะ ทำไมต้องสอนวิปัสสนา ทำไมไม่สอนทีเดียวให้พ้นทุกข์ ถ้าทีปัญญาดี กับปัญญาไม่ดี มีเวรมากหรือเวรน้อย เพราะอย่างนี้ พระคุณท่านสอนด้วยความจำเป็น ไม่ใช่สอนด้วยใจจริง ๆ ใจจริง ๆของพระคุณท่านอยากจะสอนทีเดียวให้พ้นทุกข์เลย

๗. สมถะข้างต้น ทิ้งสมถะ เอาอะไรเข้าไปเรียนวิปัสสนา เอา ความอดทน เข้าไปต่อสู้กับกิเลส นี่แหละวิปัสสนา

๘. พระพุทธเจ้าบอก ไม่มีเกิด ไม่มีตาย มนุษย์ทำไมมีเกิดมีตาย เพระมนุษย์มีกิเลส พระคุณท่านไม่มีกิเลส

๙. มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ตกอยู่ในเงียบเฉย มีปัญญาไม่มีสมาธิกายเป็นเผอเรอ พูดเก่งไปด้วย สมาธิก็ยากไปด้วย ปัญญาก็ยาก ปฏิบัติอย่างดีที่สุด ต้องสมาธิควบปัญญาถึงจะดี ความจริงไม่มีอะไร ปฏิบัติอาศัยสมถะกับวิปัสสนามาล้างผลาญกิเลสให้หมดสิ้น ไม่ใช่อาศัยที่เห็นนี่เห็นโน่น เข้าใจว่าวิปัสสนา ที่เขียนอย่างนี้ นอกจากคนที่รู้ข่าว ไม่ก็เท่ากับพูดส่งเดช ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรเลย

๑๐. ไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้ ยังปฏิบัติอยู่ก็ไม่ดี ถ้าหมดกิเลสแล้วยังจะปฏิบัติอะไรเล่า ข้ามฝั่งแล้วทิ้งเรือ แบกเรือจะดีหรือ ?

๑๑. ปฏิบัติทางไหนถึงจะดี ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ กัมมัฏฐานสี่สิบอย่าง ทุก ๆ อย่างสุดต่อนิสัยของใคร ชอบอย่างไหน อย่างไหนฟันกิเลสคล่อง ชนะกิเลสง่าย ใช้อย่างไหนก็ดี ดีที่ชนะกิเลสง่าย อย่างนี้แล้วอย่างไหนถึงจะดีเล่า ทุก ๆ อย่างสุดต่ออุปนิสัยของใคร

๑๒. อะไรเรียก “หน้าตาดั้งเดิม” ระหว่างคิดก็ไม่ใช่ ระหว่างคิดชั่วก็ไม่ใช่ ก่อนที่ยังไม่ได้คิดดีคิดชั่ว ไม่ใช่เฉย ๆ ไม่ใช่ว่างเปล่า ไม่ใช่บริสุทธิ์ อารมณ์ธรรมชาติ นี่แหละ “หน้าตาดั้งเดิม”

๑๓. หินก้อนหนึ่งตรงกลางซ่อนมีเพชร ต้องอาศัยเจียระไน ขุด ขัด เพชรจึงจะชัดเจนขึ้นมา จิตเราก็เหมือนกัน ความจริงแล้ว จิตดั้งเดิมก็ส่วนจิตดั้งเดิม กิเลสก็ส่วนกิเลส ก่อนที่ยังไม่รู้ ก็เอากิเลสมาพอกกับจิตดั้งเดิม เหมือนอย่างเปลือกหินมาพอกกับเพชร นี่แหละเรียก “อวิชชา” เมื่อจิตดั้งเดิมโผล่ขึ้นแล้ว ก็ได้รู้สึกกิเลสกับจิตดั้งเดิมเป็นคนละอย่าง ถ้าไม่มีกิเลสก็ไม่มีธรรมะ จะเรียนรู้กิเลส คือวิปัสสนา ผู้ที่บรรลุธรรมคือบรรลุกิเลส จิตดั้งเดิมรู้ชัดเจนแล้ว ระหว่างนั้น ความจริงก็ไม่มีอะไร แต่มาถึงตรงนี้ อันตรายสุดขีด ต้องให้รู้สึกพยายาม อย่าขาดสติ อย่าให้กิเลสกลับเข้ามาอีก พระพุทธเจ้าสอนไว้ เรียกเป็นว่า “อาชีพชอบ” อย่าเข้าใจว่า ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว - ไม่มีอะไรจะต้องปฏิบัติต่อไปอีก – สิ้นสุดแล้ว ให้ปฏิบัติต่อไปอีก ต้องให้ชำนาญคล่องแคล่วจึงวางใจได้ สมกับ “พุทโธ อรหันต์”

๑๔. “เอาอารมณ์ไว้ที่ไหน ?” พูดคำนี้เกิดขึ้นความหมายมี ๔ อย่าง อย่างหนึ่งว่า “รู้แล้ว” อย่างหนึ่งว่า “ไม่รู้” อย่างหนึ่งก็ “ขาดสติ” อย่างหนึ่งก็ “มีสติ” ผู้คนพูดอย่างนี้ ยังไม่รู้จักต้นทาง ถ้ารู้แล้วไม่ถามอย่างนี้ ตัวเองเข้าใจถามว่า “อารมณ์ไว้ที่ตรงไหนจึงจะถูก” ความจริงยังถูกตัวรู้ปิดบังยังไม่รู้เลย วางกิเลสหมดก็เบา เบาก็เกิดสุข มีกิเลสอยู่ก็เกิดหนัก หนักก็เกิดทุกข์ พอสุขเกิดขึ้นก็ติดสุข เชือกสุขก็มัดเรา มีกิเลสก็เกิดหนัก หนักก็เกิดทุกข์ เชือกทุกข์ก็มัดเรา อารมณ์เกิดบริสุทธิ์ เชือกบริสุทธิ์ก็มามัดเรา อารมณ์เกิดว่างเปล่า เชือกว่างเปล่าก็มามัดเรา จะใช้อารมณ์บริสุทธิ์ อารมณ์บริสุทธิ์ยังคู่กับอารมณ์สกปรก ต้องใช้อารมณ์บริสุทธิ์จนไม่บริสุทธิ์ผุดขึ้น คือ อารมณ์ธรรมชาติ นี่แหละต้นทาง

๑๕. มนุษย์เราเดี๋ยวนี้มีเกิดมีตาย พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ถ้าเห็นต้นทางแล้วต้องยกมือไหว้ พระพุทธเจ้าท่านมีจิตเมตตา ไว้มีธรรมะให้คนทีหลังได้เรียน อ้อ ไม่มีเกิด ไม่มีตายจริง ๆ

๑๖. “กัมมัฏฐานสี่สิบอย่าง” เปรียบในโลกแล้ว เท่ากับ “อาชีพสี่สิบอย่าง” ชำนาญอย่างไหนก็ทำอยู่อย่างนั้น ความจริงปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อว่าต่อสู้กับกิเลส พอมีสมาธิหน่อย เห็นนี่เห็นโน่น ทำของก็ขลัง ตัวเองก็เข้าใจว่าได้ธรรมแล้ว แท้ที่จริงพอทิ้งกิเลส กลับไปฉวย กิเลสกัมมัฏฐาน ขึ้นมาเป็นกิเลสอีก ถ้ารู้ตรงนี้ “สาธุพุทธะ” หน้าตากัมมัฏฐานอย่างนี้เอง

๑๗. อวิชชาไม่รู้ทันเขา กายวาจาก็ปรุงแต่งขึ้นเมื่อที่ปรุงแต่งเกิดขึ้นก็เกิดทำขึ้น เมื่อที่ทำเกิดขึ้น ก็ได้รู้ดีชั่วผิดถูก หลงอยู่อย่างนี้ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย เกิด ๆ ตาย ๆ ไม่มีสิ้นสุด เมื่อปลงตกอย่างนี้แล้ว เริ่มบังเกิดเชื่อกัมมัฏฐาน ปฏิบัติไปจริง ๆ ถึงจะเชื่อจริง ๆ ถ้าไม่อย่างนี้ก็เท่ากับ เชื่อเขาดีก็ตามดี ชั่วก็ตามชั่ว เลยกลายเป็นไม่รู้จะปฏิบัติอะไรเลย นี่แหละสมถะ นี่แหละ วิปัสสนา ปลดเปลื้องให้หมด กิเลสก็ไม่เอา กัมมัฏฐานก็ไม่เอา วิปัสสนาก็ไม่เอา อ้อ นี่ต้นทาง

๑๘. เรื่องอะไรต่าง ๆ ที่เคยผ่านแล้วไม่ได้เอากลับมาคิด อารมณ์ที่เหลืออยู่อันนั้นเรียกว่า “ใจ” ใจไม่มีเปลี่ยนแปลงก็เรียกว่า “พระ” ปรากฏที่เห็นอะไรต่าง ๆ นานาเกิดขึ้นเป็นที่ใจ ละอะไรต่าง ๆ ที่เห็นเหลืออยู่เรียกว่า “พระ” รู้แล้วจะให้ทำอย่างไร ? ง่ายนิดเดียว จิตอย่าสร้างความดี จิตอย่าสร้างบาป จิตคิดขึ้นให้ตัดเสีย จิตอย่าสงสัย อารมณ์ที่เหลืออยู่ “หน้าตาดั้งเดิมของท่าน” อ้อ ต้นทางอยู่ตรงนี้เอง

๑๙. เรื่องราวเริ่มเห็นสิ่งหนึ่งเรียกว่า “รูป” เมื่อมีรูปเกิดขึ้นแล้ว “มโน” ก็ทำงาน ก็ได้รู้ว่าสิ่งของนี้เรียกอะไร ตอนนี้เรียกว่า “นาม” ไม่ใช่ชื่อเรียกว่า นาม ตอนที่เราบังเกิดใจ ตอนนั้นเรียกว่า “นาม” นักปฏิบัติปลงตก รูปนามต้องรู้ ไม่ใช่เกิดอยู่ข้างนอก แท้ที่จริงเป็นอยู่ที่จิตของเราแยกออกไป นักปฏิบัติรู้ตรงนี้แล้ว เรียกว่า “เริ่มรู้ธรรม” ถ้าไม่รู้ก็ตามรูปตามนาม หลงใหลงมงายไม่มีสิ้นสุด อย่าลืม ยังมีจิตดั้งเดิม

๒๐. รูป แปลว่า ร่างกายของเราเอง

เวทนา แปลว่า เรารับว่าชอบหรือไม่ชอบ

สัญญา แปลว่า ทุกวันที่เรานึกคิด

สังขาร แปลว่า คิดไม่ยอมหยุด เกิดใหม่ก็ไม่ยอมทิ้ง

วิญญาณ แปลว่า ที่เรารู้ผิดหรือถูก

๕ อย่างนี้เรียกว่า “ขันธ์ห้า” ปลงตกรูป นั่งลงไปแล้ว หลับตาก็สว่าง ลืมตาก็สว่าง ปลงตกเวทนา ทิ้งร่างกายได้จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกไปได้โดยสะดวก ปลงตกสัญญา นึกคิดหยุด ปลงตกสังขาร ได้เห็นนิพพานจริง ๆ ปลงตกวิญญาณ อายตนะภายนอก-ภายในเชื่อมติดเป็นแผ่น ไม่มีอะไรขัดขวาง มาถึงอย่างนี้แล้ว นักปฏิบัติทุกคนเข้าใจว่า “ว่าง” ถึงจะพูดกันบ่อย ๆ นิพพานแปลว่า “ว่าง” ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าง คืนสภาพดั้งเดิมของเราเอง ถ้าได้จริง ๆ แล้วก็ได้อภิญญาหก ถ้ายังไม่ได้จริงอย่าเข้าใจผิดว่าได้ธรรมแล้ว หลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย “ข้ามฝั่งแล้วทิ้งเรือ” ถ้าได้จริง ๆ เท่าที่กล่าวไว้ เรือทิ้งได้ ถ้ายังไม่ได้ ให้แจวต่อไปอีกเถิด

๒๑. ก่อนที่เรายังไม่มาเกิด สังขารก็นำมาก่อน นักปฏิบัติให้เปลี่ยนอันนี้เป็นความรู้ ลองไปยืนอยู่หน้ากระจกออกมาแล้ว รูปจะติดอยู่ในกระจกไหม ถ้าไม่ติด นี่แหละ “ธรรม”

๒๒. นึกคิดไม่หยุด ก็ปรุงแต่งเกิดใหม่ไม่มีสิ้นสุด ไม่ทิ้งตัวนี้นำมาก่อน เมื่อจุติอยู่ในท้องแม่แล้วเรียกว่า “รูป” เมื่อมีรูปแล้วก็เกิด “อายตนะหก” เมื่อมีอายตนะหกแล้วก็รับเข้าอายตนะภายใน อย่างนี้ก็เรียกว่า “เกิดตัวกู” เมื่อมีตัวกูเกิดแล้ว กูต้องกิน กูต้องนุ่งห่ม ลูกเมียชื่อเสียงอำนาจเงินทองมันก็หมุนอยู่ คิดอยู่ เกิดใหม่ก็ปรุงแต่งอยู่ไม่มีสิ้นสุดคิด ไม่มีสิ้นสุดทำ ทำจนวันสุดท้าย รูปหยุดทำงาน แตกดับก็เรียกว่า “ตาย” ก็ตัวตาย ใจก็ยังคิดไม่หยุด เกิดใหม่ก็ไม่ทิ้ง ทีนี้เกิด ๆ ตาย ๆ ตาย ๆ เกิด ๆ ไม่มีสิ้นสุด เกิดตายนี่แหละเรียกว่า “อวิชชา”

นักปฏิบัติถ้ารู้ว่าอวิชชาแล้ว สมถกัมมัฏฐานวิปัสสนา เปรียบแล้วเป็นมีดวิเศษอันหนึ่ง เผื่อว่าฟันกิเลสให้หมดไปตามที่เขาว่า “ว่าง ๆ “ อนัตตาความจริงก็ว่าง กิเลสที่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นวิปัสสนากิเลสทั้งนั้น ถ้าอยากจะรู้จริง ๆ ก็เลิกคิดดี เลิกคิดชั่ว ที่เหลืออยู่เรียกว่า “หน้าตาดั้งเดิม” ว่างก็ว่างแต่กิเลส มีก็มีจิตดั้งเดิม มาถึงตรงนี้สำคัญที่สุด

๒๓. ยังไม่รู้ก็ตามกิเลส รู้แล้วก็ติดตัวรู้ เปลี่ยนตัวรู้เป็นปัญญา เหมือนอย่าง ปัญญากระจก จิตใจไม่ให้มีอะไรขัดขวาง มาถึงตอนนี้เหมือนอย่างเส้นผมบังภูเขา สุดขีดแล้ว รู้ก็อนัตตา ไม่รู้ก็อนัตตา ปัญญาก็อนัตตา ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ก็ไม่มีทางไป ปฏิบัติอย่างนี้ก็ละเอียดสุดขีด พูดแล้วคนที่ไม่เข้าใจอย่าพูดกันดีกว่า พูดก็เท่านั้นเอง

๒๔. “มีกัมมัฏฐานมีตัวกู มีกัมมัฏฐานไม่มีตัวกู ไม่มีกัมมัฏฐานไม่มีตัวกู” มีกัมมัฏฐานมีตัวกู ยังอยู่ในขั้นเฮงซวย มีกัมมัฏฐานไม่มีตัวกู พอใช้ได้ ไม่มีกัมมัฏฐานไม่มีตัวกูขั้นต้นเรียนจบ ทีนี้จะไปอย่างไรต่ออีก มาถึงขั้นปฏิบัติทางใจ เรียกว่า “วิปัสสนา” พิจารณาให้รู้ว่า เกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปยังไง ถ้ารู้ว่าเกิดมาจากไหนแล้ว ย่อมได้รู้ “อวิชชา”

๒๕. รู้แล้วต้องรู้ “ขันธ์ห้า” ต้องรู้ “ปัญญาขั้นต้น” อายตนะหกสู่เข้าอายตนะภายใน ใจเรารู้เท่าทันกับเขา ไม่มีกระเทือนหวั่นไหว เรียกว่า “อุเบกขา” อย่าเข้าใจผิดว่า อุเบกขาแปลว่า เฉย ๆ เฉยไม่มีความรู้สึกเหมือนอย่างต้นไม้ เฉยจะได้เรื่องอะไร ต่อไปแล้วจะทำอย่างไร กลางวันไม่ตามกิเลส กลางคืนไม่มีงง จิตใจผ่องใส สว่าง ขอให้ทำได้ มีตายที่ไหนเล่า เขียนก็เท่ากับเขียนส่งเดช ไม่รู้เมื่อไหร่ อาจจะสิบปี ร้อยปี อาจที่จะพบรู้ข่าว

๒๖. จดหมายฉบับหนึ่ง เกิดมีคนสองคน ต่างเขียนได้ ต่างคนต่างอ่านออก ถ้าคนหนึ่งรู้ความหมาย คนหนึ่งไม่รู้ความหมาย คนรู้เกิดเมตตาจิต สอนให้คนไม่รู้ ก็เกิดรู้แจ้งเห็นจริง สอนกัมมัฏฐานก็เช่นกัน ถ้าคนไม่รู้ความหมาย สอนลูกศิษย์แล้ว ถึงทำได้ก็ไม่รู้ความหมาย ไม่รู้ความหมายเกิดขึ้น สงสัยก็ตามมา อยู่ในกัมมัฏฐานสงบ ออกกัมมัฏฐานก็ฟุ้งซ่าน ถ้ารู้ความหมาย อยู่ในกัมมัฏฐานกับออกกัมมัฏฐานเหมือน ๆ กัน ระหว่างจะเรียน ระหว่างจะสอนให้พิจารณาก่อน ไม่ใช่เขาพูดเราก็ตามเขา ผิดถูกไม่รู้เหมือนอย่างคนเสียสติ บ้าอยู่จนไม่รู้สึกตัว

๒๗. เรียนกัมมัฏฐาน ระหว่างเรียนต้องบังเกิด ใจ ก่อน ข้อนี้ให้ระวังที่สุด เมื่อเกิดใจแล้ว ก็เกิดเป็นสอง คือ รู้ กับ ไม่รู้ เหมือนอย่างเราทุกวันนี้ เข้าใจว่ารู้ แท้ที่จริงขาดสติตลอดชีวิตเลย อีกอย่างหนึ่ง ควรเข้าใจว่า รู้แล้วก็หลงตามกับที่เรารู้ไป ก็ขาดสติเช่นเดียวกัน เมื่อเริ่มแรกเรียนกัมมัฏฐาน เรียนวิธีหนึ่งชนะคนอื่น อีกวิธีหนึ่งชนะตนเอง เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ เรียนนักธรรมเอกได้แล้ว ก็เรียนบาลี จบ ป. ๙ เริ่มมีความรู้ดีกว่าคนอื่น เราชนะคนอื่นก็ได้ปกครองคนอื่น ถ้าขาดสติแล้ว นึกว่ากูเองเป็นคนวิเศษวิโส ชื่อเสียงเงินทองข้าวของอำนาจ เล่นให้เราหลงงอมแงมไปเลย ถ้าไม่ระวัง ตกอยู่เช่นนี้แล้วหลงตลอดชีวิตเหมือนกัน ระหว่างตายยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงอารมณ์สุดท้ายพอดีจะตายแล้วปรับทุกข์กับใครไม่ได้ อย่างนี้ดีชั่วผิดถูก นักปฏิบัติให้รู้เอง เรียนวิชาอะไรต่าง ๆ นานาสุดขีดแล้วก็เหมือนอย่างนี้ นักปฏิบัติพิจารณาเอาเอง น่ากลัว

๒๘. สังขารเริ่มต้นที่จะรู้เป็นอวิชชา ลักษณะอวิชชา คือ กาย วาจา ปรุงแต่ง เรารู้ไม่ทันกับเขา ผิดเข้าใจว่าถูก ไม่ดีเข้าใจว่าดี เมื่อทำผิดแล้วไม่รู้ ที่ทำไว้คิดไว้เก่า ก็พยายามรวบรวม ใหม่ก็พยายามสะสม ขาดสติตลอดชีวิตเลย เมื่อตายแล้ว วิญญาณตามที่ทำไว้นำไปเกิด เพราะเราเองตกอยู่ในสังขารเช่นนี้ พ่อแม่เราก็เช่นนี้ เข้าพวกกันได้ เมื่อจุติในท้องแม่ของเรา เกิดมีอายตนะหก คลอดออกมาแล้ว ตอนนี้มีชื่อ ชื่ออันนี้ ตามในตำราเรียกว่า “รูป” เมื่อมีรูป ก็เกิดอายตนะหกสู่เข้าอายตนะภายใน กายวาจาปรุงแต่งเกิดขึ้น เหมือนในชาติก่อน ทีนี้ก็ตายอีก ตายแล้วก็เกิด เกิด ๆ ตาย ๆ ไม่มีวันสิ้นสุด เกิดรู้แล้ว นักปฏิบัติที่มีปัญญาชั้นหนึ่ง พบจิตที่แท้ เห็นทางปฏิบัติของเขาเอง ที่มีปัญญาชั้นสอง ก็ต้องตามกัมมัฏฐานสี่สิบ เมื่อรู้แจ้งว่า สังขารเล่นกลกับเรา วางก็ไม่ลง ทิ้งก็ไม่ได้ ก็ต้องใช้สมถกัมมัฏฐานกับวิปัสสนา ซึ่งเปรียบแล้วเหมือนอาวุธคมชนิดหนึ่งใสช่วยฟันกิเลสให้หมด นักปฏิบัติเริ่มเรียนกัมมัฏฐานให้เรียนรู้ว่า ขันธ์ห้าเล่นกลกับเราอย่างไร เราจะป้องกันได้อย่างไร รู้แจ้งอันนี้แล้ว เรียกว่า “เรียนกัมมัฏฐาน” ต่อไปก็ “เข้ากัมมัฏฐาน” เหมือนกับคนหนึ่งเรียนหนังสือ เรียนรู้หลักแล้วก็ลงมือทำจริง ๆ จึงจะไม่พลาด จะเข้ากัมมัฏฐาน ต้องหยุดนึกคิดปรุงแต่ง มีนึกคิดปรุงแต่งตกอยู่ภายในสังขาร หยุดนึกคิดปรุงแต่งได้ ไม่ใช่ว่าง ๆ ไม่ใช่บริสุทธิ์ ไม่ใช่รู้ที่ใจ ที่เหลืออยู่เป็นอารมณ์ธรรมชาติ อารมณ์อันนี้ ทำไม่ถึงจะเรียกว่าอารมณ์ธรรมชาติ เปรียบได้กับเรามีเสื้อขาวตัวหนึ่ง ไม่ต้องให้เราบังเกิดใจมาคิดว่า เสื้อนี้ขาว เมื่อพื้นขาวแล้ว ไม่พูดก็ขาว ไม่ต้องให้เราพูดอีก สรุปแล้ว เอาอารมณ์ธรรมชาติควบกับกัมมัฏฐานสี่สิบอย่างที่ถูกกับนิสัยของเรา เมื่อเข้ากัมมัฏฐานก็ให้มีความอดทนปฏิบัติไป ฉะนั้น เริ่มต้นเข้ากัมมัฏฐานก้าวแรกถูก ปลายทางก็ถูกด้วย ก้าวแรกผิด ปลายทางก็ผิดหมด สำเร็จหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง ขอก้าวแรกให้ถูก สาธุด้วย

๒๙. นึกคิดปรุงแต่งหยุด กายหยุด ใจหยุด หายใจไม่มีเข้าออก เริ่มเข้าสมาธิได้ เขาถือเอาอารมณ์บริสุทธิ์เป็นสุดทาง พุทธเอาอารมณ์ธรรมชาติมาเข้ากัมมัฏฐาน อารมณ์ธรรมชาติไม่มีอะไรให้ผุดขึ้น ไม่มีแม้นอารมณ์ธรรมชาติ ไม่มีแม้นไม่มีอารมณ์ธรรมชาติ สมมุติเรียก อารมณ์ธรรมชาติ

๓๐. คล้าย ๆ ฝัน ไม่ใช่ฝัน คล้าย ๆ หลับไม่ใช่หลับ คล้าย ๆ ตาย ไม่ใช่ตาย นี่แหละ “พวกหนอ” คล้ายรู้ไม่ใช่รู้ กับ ไม่รู้ก็ไม่ใช่ รู้ก็ไม่ใช่ ใช้คำพูดไม่ถูก ใช้แกกาเขียนก็เขียนถูก นักปฏิบัติมาถึงตอนนี้หมดหนทาง เพราะยังมีอย่างนี้ พระพุธเจ้าถึงได้บอกว่า “นักปฏิบัติให้รู้เอง”

๓๑. แบกของอยู่เรียกว่า “ไม่ว่าง” วางของลงก็เรียกว่า “ว่าง” แล้วก่อนที่ยังไม่ได้แบกล่ะ เรียกว่าอะไร ยังจะมี แบก กับ ไม่แบก ว่าง กับ ไม่ว่าง อยู่อีกหรือ ?

๓๒. พระพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่า “ใจไม่ใช่อยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ข้างใน และไม่ใช่อยู่กลาง อย่างนั้นใจอยู่ที่ไหน ? จะใช้ใจดวงไหนดีเล่า ?” ตอบได้ว่า เมื่อยังมี ตัวกู อยู่ ใจก็ยังมีอยู่ จะเป็นข้างนอก ข้างใน หรือ ตรงกลางก็แล้วแต่ เมื่อหมด ตัวกู แล้ว ใจจะอยู่ที่ไหนเล่า

๓๓. พูดว่าง คิดว่าง

พูดบริสุทธิ์ คิดบริสุทธิ์

เดิมไม่มีย้อมติด

ไม่พูดนั่นแหละรู้

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO