นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 8:37 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:10 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
บันทึกคำสอน

บันทึกคำสอนนี้ เป็นเพียงการบันทึกข้อความในการสนทนาถามตอบ ระหว่างเตี่ยกับลูก ๆ และลูกศิษย์บางคนเท่าที่พอจะบันทึกไว้ได้ และได้เลือกมาเฉพาะบางตอนที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป

๑. ถาม ผีมีจริงหรือไม่ ?

ตอบ เอาอย่างนี้ดีกว่า คนถาม เวลานี้ฟังผมพูดอยู่น่ะ รู้สึกตัวหรือเปล่า ? หมายความว่า ถ้าฟังเพลินไปตามที่ผมพูดอย่างหนึ่ง ถ้ารู้สึกตัวว่าเราฟังอยู่ ก็อีกอย่างหนึ่ง คือ เวลาเราลืมตัว ก็อารมณ์หนึ่ง เวลาเราจำเราเองได้ก็อีกอารมณ์หนึ่ง เรามีสติรู้ตัวอยู่อันนี้เรียกว่าเป็นคนล่ะ ถ้าขาดสติหลงลืมตัวอยู่ล่ะก็ อันนี้เป็นผีล่ะ ลองดูทีว่า จะตั้งอารมณ์ว่าเราฟัง อยู่อย่างนี้ได้นานสักเท่าไร เดี๋ยวเดียวก็ลืมแล้ว บางคนน่าสงสาร ตลอดชีวิตหลงหมด หลงคามกับเรื่องราวไป ดีก็ตามดี ชั่วก็ตามชั่ว ตัวเองไม่ได้เป็นตัวเป็นตนแล้ว ทำไมจะไม่ใช่ ผี เป็น ๆ อยู่ก็ขาดสติเป็นผีแล้ว ไม่ต้องรอถึงตายหรอก

๒. ถาม เวลานี้เขาเรียนหนอ กันอย่างไร ?


ตอบ ของเขาเริ่มปฏิบัติ ก็เท่ากับคนบ๊องสอนคนบ๊อง ไม่ใช่เราจะติเตียน ข้อนี้เขียนแล้วให้ดูเองตามที่เขาสอน ตาเห็น หูได้ยิน ใจนึกคิด กระทบตัวเอง กระทบข้างนอก ให้หนอหมดตามที่เขาบอก ไม่ให้ขาดสติถึงนาทีสุดท้าย ร่างกายหยุด มโนหยุด เกิดตัวแข็ง ระหว่างแข็งเหมือนกับนอน ไม่ใช่นอนเหมือนกับตาย ไม่ใช่ตาย เหมือนกับฝัน พอออกจากกัมมัฏฐานแล้วรู้สึกว่าดี แถมซ้ำอาจารย์ยังบอกอีกว่า เข้านิโรธบ้างละ เข้าโลกุตตระบ้างละ เป็นอริยบุคคลบ้างละ ระหว่างเข้าสงบดี ออกแล้วก็ฟุ้งซ่านตามเคย นาน ๆ แล้วก็เกิดสงสัย จริงหรือ ? แล้วจะทำอย่างไรดี

ตามตำราอนัตตา ในนั้นมีกัมมัฏฐานสิบอย่าง “หนอ” อยู่ในนั้นอย่างหนึ่ง หนอ แปลแล้วเป็นคาถาบทหนึ่ง มีตัวหนังสือตัวเดียว หนอตัวนี้แปลแล้วเป็นอนัตตา ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว นั่งตัวแข็ง มีอะไรแสดงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นกิเลส กิเลสเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ใช่อนัตตา ก็ให้เกี่ยงว่า หนอ หมด หมายถึง มีอะไรแสดงเกิดขึ้น ก็ให้เกี่ยงว่าเป็นอนัตตา เห็นก็อนัตตา ได้ยินก็อนัตตา คิดก็อนัตตา กิเลสก็อนัตตา ถ้ารู้อย่างนี้ นั่งแล้วตัวแข็งเหมือนกัน ระหว่างนั้นเหมือนตะวันกำลังเที่ยง นักปฏิบัติรู้แล้วเริ่ม ก. ข. ไม่รู้ก็เท่ากับหินหรือท่อนไม้ นาน ๆ เข้าต้องถอยหลัง

๓. ถาม ทำอย่างไรถึงจะมีสกุลไปบวชได้ ?

ตอบ ตามในพระพุทธศาสนา มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สกลุของพระสงฆ์เป็นอาจารย์มนุษย์ เป็นอาจารย์เทวดา ผู้คนที่บวช แลงตกแล้วรู้สึกว่า ชีวิตไม่กี่สิบปีก็ตาย หันกลับไปดูมนุษย์ข้างหลัง หลงใหลงมงายอยู่ ก็บังเกิดจิตพระโพธิสัตว์ บวชแล้วจะไปโปรดสัตว์ ก็ไปลาผู้แก่เฒ่า ผู้ที่รู้ก็ให้ศีลให้พร บวชเสร็จออกมาแล้วได้โสดามรรค ไม่ใช่บวชตามประเพณีข้างนอก บวชแล้วแต่งเครื่องแบบพระสงฆ์ ข้างในเหมือนมาร เข้าใจว่าบวชแล้วได้บุญ ถูกคนไหว้ที ตัวยังดี ๆ อยู่ แต่วิญญาณหงายหลัง ไม่ได้บุญกลับได้รับบาป ถ้าจะบวชให้ศึกษาชีวิตเกี่ยวกับธรรมะ รู้แล้วถึงจะบวช ถ้ายังไม่รู้ก็อย่าเพิ่งบวช

๔. ถาม “คาถา งาน มา นี ปะ มี ฮง” มีความหมายอย่างไร

ตอบ เป็นภาษาแต้จิ๋ว ชื่อคาถาเรียกว่า “หลักไต้เม่งจิ๋ว” แปลว่า “ท่องแล้วปัญญาดี” คาถานี้ เท่าที่รู้ หมายถึงอายตนะหก เป็นคาถาของพระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านอธิษฐานไว้ ความจริงพระคุณท่านจะเข้านิพพานไปนมนานแล้ว แต่เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายยังทุกข์อยู่ ท่านก็ตั้งจิตจะโปรดสัตว์ให้หมดแล้วจึงจะยอมเข้านิพพานไป เมื่อมีที่ตรงไหนมีอันตราย ท่องแล้ว ท่านก็ช่วย อย่างในเมืองจีน ๙๕% ก็ท่อง “นำโม โอนิ ธอฮุด” อันนี้เกี่ยวกับว่า เมื่อก่อน มีพระพุทธองค์หนึ่ง ก่อนที่จะนิพพาน ก็อธิษฐานว่า ต่อไปมีใครท่องภาวนาอย่างนี้ ก่อนที่จะตายก็ยังภาวนา ท่านจะโปรดไป จึงเกิดมี ๒ พวก พวกหนึ่งท่อง “ งาน มา นี ปะ มี ฮง” อีกพวกท่อง “นำโม โอนิ ธอฮุด” เหมือนอย่างในเมืองไทย พระบางองค์ก็ให้ท่อง อรหัง บางองค์ก็ให้ท่อง พุทโธ คือให้คล้าย ๆ กับมีที่พึ่งอยู่อย่างหนึ่ง พระพุทธแล้วไม่มีโกหก คือหมายความว่า ถ้าเรายังสมาธิไม่ดี เรายังอาศัยอธิษฐานของท่าน เผื่อว่าจะไปรอด เหมือนพึ่งเรือลำหนึ่ง เผื่อว่าจะได้ข้ามฝั่ง อย่างนี้

๕. ถาม อารมณ์มีกี่ลักษณะ ?

ตอบ อย่างที่เคยพูด เวลาเรารู้สึกตัว ตั้งใจฟัง เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “รู้” เราลืมตัว เพลินตามที่ฟัง ก็อีกอารมณ์หนึ่ง เรียกว่า “ไม่รู้” ทั้งสองอารมณ์ตกอยู่ในขันธ์ห้า เรียกว่า “วิญญาณ"”ทีนี้ อารมณ์ทั้งสองอย่างเราไม่เอาหมด เป็นอารมณ์ที่ไม่ได้นึกคิดปรุงแต่ง ตามที่ท่านเว่ยหล่างว่า “ดีชั่วไม่คิด” ระหว่างนั้นน่ะ เป็นหน้าตาดั้งเดิมของท่าน คือเราไม่ได้คิดทำอารมณ์ธรรมชาติ ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ทีนี้ไม่ใช่เรียกว่า “รู้” ไม่ใช่เรียกว่า “ไม่รู้” เรียกรู้ก็ไม่ถูก เรียกไม่รู้ก็ไม่ถูก เรียกไม่ฟังก็ไม่ถูก เรียกเฉย ๆ ก็ไม่ถูก มันก็เรียกว่า ธรรมดา อันนี้เรียกว่า “สมมติฟัง” รวมแล้วเป็น ๓ อารมณ์

เมื่อเราทำอารมณ์ธรรมชาติ ไม่ว่าอะไรกระทบมาแล้ว เรารู้ทันกับเขาว่า ขันธ์ห้าตกอยู่ตรงไหน ที่รู้อย่างนี้ อารมณ์อันนี้เรียก “ปัญญา” ทีนี้ถ้ารู้สุดขีดแล้ว ไม่มีกิเลสอะไรที่เราได้รู้อีก “ปัญญาก็อนัตตา” คือปัญญาก็ใช้ไม่ได้อีก ปัญญาก็ไม่มี นักปฏิบัติ ถ้าเข้าไปอยู่ตรงนี้ เรียกว่า “วิปัสสนา” เมื่อที่กิเลสทั้งดี ทั้งชั่วไม่มีเกิดอีกต่อไปแล้ว ก็เรียกว่า “อรหันต์” อรหันต์แปลว่า “ไม่เกิด” ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไร พูดธรรมดา ๆ ก็ว่า คนผู้นั้นไม่เกิดกิเลสอีกต่อไปแล้ว

๖. ถาม “รู้กับไม่รู้” ต่างกับ “มีสติกับขาดสติ”อย่างไร ?

ตอบ รู้กับไม่รู้ ตกอยู่ในขันธ์ห้า เรียกว่า “วิญญาณ” รู้ ยังมีรู้ผิด รู้ถูก ถ้ามีสติแล้วก็เหมือนกับเกิดปัญญาขึ้นมาว่า อ้อ ทั้งรู้กับไม่รู้ก็ตกอยู่ในกิเลสทั้งนั้น เปรียบอย่างง่าย ๆ เรามีปืนอยู่ มีคนมาท้าเรา เราเกิดโมโหขึ้น ก็ชักปืนยิงออกไป ตำรวจก็เล่นงานเรา ไปโรงพัก ทีนี้พอไปแล้วจะทำอย่างไร เมียของเรายังสาว ๆ ลูกก็ยังเล็ก หน้าที่การงานก็ดี แย่แล้วซี มันทำผิดไปแล้วนี่ อันนี้แบบหนึ่ง ทีนี้พอชักปืนจะยิง เกิดรู้ตัวคิดขึ้น จำเป็นต้องยิงแล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องสร้างคดีก่อน หรือจ้างใครได้ไหม ใช้เล่ห์เหลี่ยมอย่างไร สมควรแล้วยัง นี่เรียกว่า “รู้” อีตอนไม่รู้สิ มีปืนอยู่ก็ยิงปังออกไป เสร็จเลย สติอยู่ที่ว่า เราชักปืนจะยิง ก็เกิดคิดขึ้นว่า อันนี้ไม่ดี อย่ายิงเลย อันนี้เป็นบาป หรืออะไรต่าง ๆ นานา รู้สึกคิดขึ้นมาอย่างนี้ เรียกว่า “มีสติ” หรือลองสังเกตดูตามโรงหนัง หนังดี ๆ แล้วพวกที่มายืนรออยู่ข้างนอก ใจก็อยู่ในโรงหนังแล้ว มองเห็นได้ชัดเจนทีเดียว เมื่อเข้าไปดูหนังก็สลึมสลือ ดูไปพอหนังเลิก ออกมาถึงเพิ่งคิดขึ้นได้ว่า แหมเราหิวแล้ว จะไปกินข้าวที่ไหนดี บ้างก็ว่า แย่แล้วบ้านไม่ได้ใส่กุญแจ บ้างก็เกิดห่วงขึ้นมาว่า ลูก ๆ ที่บ้านร้องไห้หรือเปล่า จิปาถะ ถึงจะค่อย ๆ คิดขึ้นมาได้ เรียกว่า “ไม่รู้สึก” มันชักจูงเราไป ทีนี้ ที่ไม่รู้น่ะ ทำให้เราพลาดเยอะ ถ้ารู้แล้ว มันก็พลาดน้อย ถ้ามีสติก็ไม่มีพลาดเลย

๗. ถาม ขันธ์ห้า คืออะไร ?

ตอบ ตัวของเรารวบรวมแล้ว สมัยก่อนก็เรียกว่ามี ดิน น้ำ ลม ไฟ ภาษาเดี๋ยวนี้ก็เรียกว่า มีกระดูก มีเนื้อ มีเลือด มีอุจจาระ ปัสสาวะ มีลมหายใจ มีความอบอุ่น ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกาย ก็เรียกว่า “รูป เมื่อที่มีร่างกายแล้ว ก็มีการกระทบ เหมือนเช่น มือสองข้างอยู่เฉย ๆ ก็ไม่มีอะไร ถ้าเอาดีกันก็เกิดเสียง อันนี้เรียกว่า กระทบ กระทบมีกระทบหยาบ และกระทบละเอียด รวมเรียกว่า “เวทนา” ส่วน “สัญญา” นั้นก็คือ “คิด” คิดมั้งที่ไม่มีระเบียบ ทั้งที่มีระเบียบ คิด คล้าย ๆ คิด เหมือนกับคิดจะคิดไม่คิด รวมเรียกว่า “สัญญา” แต่ละโครงการที่คิดเหล่านี้ก็งมโข่งอยู่แล้ว ก็เก็บไว้โดยไม่รู้สึกตัว อย่างไม่มีวันสิ้นสุด เวียนว่ายตายเกิด อันนี้เรียกว่า “สังขาร” ส่วน “วิญญาณ” ก็คือ ที่เราลืมตัว กับไม่ลืมตัว หรือที่เรารู้ กับไม่รู้ ดังนี้แล้วเมื่อที่มีอะไรนึกคิดปรุงแต่งอยู่ ก็ตกอยู่ในขันธ์ห้า ถ้ารู้อย่างนี้ขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่เอา ที่เหลืออยู่ก้ไม่ใช่ว่าง ความจริงธรรมชาติของเขาอย่างนั้นเอง เว่ยหล่างถึงพูดคำหนึ่งว่า “ดีชั่วไม่คิด หน้าตาดั้งเดิมของท่าน”

๘. ถาม “ญาณ” เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

ตอบ “ญาณ” ก็คือปัญญา เมื่อที่นึกคิดปรุงแต่งหยุด ใจไม่มียึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวแล้ว ญาณก็จะเกิดขึ้นในตอนนี้แหละ ถ้าทำไม่ถึงตอนนี้ ก็เรียกว่าโกหกจอมปลอมทั้งนั้น ตอนที่ “ญาณ” เกิดนั้น มันเกิดรู้แจ้งขึ้นมาเอง ไม่ใช่คิดเอา ตอนนั้น ไม่มีตัวหนังสือที่จะแสดง หรือพูดออกมาได้ เรียกว่า “ฮุดปึ้งบ่องั้ง” คือ สุดขีดแล้วไม่มีคำพูด เหมือนอย่างที่ท่านโพธิธรรมบอก “ฮุยซิมท่งซิม” หมายถึง สอนวิธีในใจให้รู้เอง พูดขึ้นมาอีกทีหนึ่งว่า แล้วทำไมต้องเรียนล่ะ ? เรียนให้รู้แยะ ๆ แล้วก็หลง ที่เรียนอยู่ก็เป็นกิเลสทั้งนั้น ข้อนี้ความจริงก็นิดเดียว แต่ละคนไม่เข้าใจ ผมเองติดอยู่สิบกว่าปี ทีหลังพอรู้ขึ้นมาถึง แหม บัดซบที่สุดเลย มันเหลืออีกนิดเดียวน่ะ เหมือนอย่างเส้นผมบังภูเขา พระพุทธเจ้าถึงบอก “นักปฏิบัติให้รู้เอง”

๙. ถาม ที่เว่ยหล่างกล่าว “เอ้งบ่อส่อจู๋ ยื่อแซขี่ซิม” หมายความว่าอะไร ?

ตอบ แปลแล้วก็ว่า ไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยว บังเกิดแล้วก็ใช่ หมายความว่า คำว่ายึด กับ ไม่ยึด นั้น มีอย่างนี้ มนุษย์เรายึดแผ่นดินอยู่ แผ่นดินอันนี้ยึดกับไอน้ำอยู่ ไอน้ำนี้ยึดอยู่กับอากาศ อากาศก็ยึดกับอากาศธรรมชาติ อากาศธรรมชาติไม่มีที่ยึด เมื่อที่ไม่ยึดบังเกิดก็ไม่ยึด คนเรายึดกับกิเลสอยู่ ก็เมื่อที่กิเลสอะไรไม่มี มันก็ไม่มีอะไรยึด เมื่อไม่ยึดบังเกิดก็ไม่ยึด ปัญญาเกิดขึ้น เชือกแก้ออก พ้นทุกข์แน่ ตรงนี้ไม่เข้าใจ อ่านเว่ยหล่าง ทั้งเล่มก็ไม่รู้เรื่อง เว่ยหล่างเอง ทีแรกก็ยังติดอยู่หน่อยไม่รู้ ทีหลังพระอาจารย์กล่าวถึงข้อนี้ รู้แจ้งเลย มีครั้งหนึ่ง เว่ยหล่างถามพระองค์หนึ่งว่า ปฏิบัติอย่างไร พระก็ตอบว่า “บ่อเยี้ยม” คือหมายความว่า ไม่ได้ยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวอะไรเลย บ่อเยี้ยม อันนี้แปลว่า ไม่มีอะไรมาย้อมสีให้เปลี่ยนแปลงไป เค้าบอกแค่นี้ เว่ยหล่างก็บอก พอแล้ว “เยี้ยม” ตัวนี้ หมายความว่า “ย้อม” คือ คล้าย ๆ กับพื้นฐานสะอาดอยู่แล้ว มันมีอะไรไปย้อมเข้า มันก็เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีอะไรไปย้อม พื้นฐานของเค้าก็อย่างนั้น

๑๐. ถาม คำว่า “มีปัญญาอย่างกระจก” หมายความว่าอย่างไร ?

ตอบ มีกระจกตั้งอยู่ เราเข้าไปถึง หุ่นเราก็โผล่อยู่ในกระจก หมาเดินเข้าไป ถึงหมาก็โผล่อยู่ในกระจก ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ นานา พอเข้าไปถึง ก็โผล่อยู่ในกระจก แต่พอออกมา กระจกก็ไม่ยอมให้อะไรติดอยู่ เหมือนอย่างเช่นที่เรารู้ทันกับเขาแล้ว ไม่ว่ากิเลสอะไรต่าง ๆ นานา เราไม่ยอมให้เกาะอีกแล้ว อันนี้เรียกว่า “ปัญญา” เมื่อสุดขีด กิเลสหมดแล้ว ปัญญาก็อนัตตา เพราะกิเลสหมดแล้ว ปัญญาก็ไม่ได้ใช้

๑๑. ถาม “เอกัคคตา” หมายความว่าอะไร ?

ตอบ “เอกัคคตา” ไม่ได้หมายความว่า จิตหยุดนิ่งอยู่แห่งหนึ่ง ไม่คิดไปในสิ่งอื่น หรืออารมณ์รวมเป็นหนึ่ง เอกัคคตา คือ สิ่งแวดล้อมชักชวนแล้ว ไม่มีหวั่นไหว หระทบกระเทือน เพราะรู้เท่าทันหมด ว่าเป็นกิเลส พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาร่างกายว่า มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตายแล้วก็เน่า เน่าแล้วก็เหลือแต่กระดูก พิจารณาอยู่อย่างนี้กี่สิบปี จนตายไปก็ยังไม่รู้เรื่อง ท่านสอนให้พิจารณา เผื่อว่าจะเกิดมีสติขึ้นมาว่า “นี่ไม่ใช่ตัวกู” เป็นสิ่งจอมปลอม เกิดปัญญาขึ้นมาเอง อวิชชาก็หมด ไม่เอกัคคตาก็เป็นเอกัคคตา มันเกิดของมันเอง บังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้ ตอนนี้ถึงมีพูดว่า อรหันต์ อยู่ไม่เกิน ๗ วัน หลุดพ้นแล้ว ไม่ไปก็ต้องไป ห้ามไม่ได้ ถึงตอนนี้ ลมหายใจเข้า-ออกหยุดอีก แก่แค่ไหนแค่นั้น หนุ่มแค่ไหนแค่นั้น หิวหรืออิ่มแค่ไหนก็แค่นั้น รู้สึกเดี๋ยวเดียวแค่นั้นเอง ออกมาถึงอาจทีเป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี ผ่านไปแล้วก็ได้ นี่แหละ “เอกัคคตา”

๑๒. ถาม “กายเที่ยง ใจเที่ยง” เป็นอย่างไร ?

ตอบ กายเที่ยง คือร่างกายอันนี้เงียบ พูดอีกทีก็คือ ร่างกายอันนี้เราทิ้งเสียที ปล่อยมันเลย อีตอนนั้นจะไม่มีรู้สึกคัน ยุกๆ ยิกๆ หรือเมื่อยปวดร่างกาย หรือเป็นเหน็บชาอะไรเลย ส่วน “ใจเที่ยง” ก็คือ “ใจเงียบ” หมายถึง จิตหยุดนิ่งอยู่แห่งหนึ่ง หรืออารมณ์รวมเป็นหนึ่ง ทีนี้พอรวบรวมลงไป กายเที่ยงใจเที่ยง กายใจรวมเป็นหนึ่ง ก็เรียกว่า “เข้าที่” อันนี้แหละภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า “จี้” แปลว่า หยุด

๑๓. ถาม นักปฏิบัติ ก้าวแรกลงมือที่ตรงไหนก่อน ?

ตอบ พูดคำหยาบ ๆ แล้วก็ว่า “ดัดสันดานตนเองก่อน ไอ้ที่ไม่ดีเอาออก” ให้เริ่มลงมือจากตรงนี้ก่อน กัมมัฏฐาน จะได้หรือไม่ได้อีกเรื่องหนึ่ง ไม่อย่างนี้แล้ว พอนั่งลงไป เอากิเลสออก พอลุกขึ้นก็เอากิเลสเข้า ไม่รู้ว่าทำแล้วเมื่อไหร่จะได้เรื่อง เรียกว่า นักปฏิบัติหนึ่ง ก็ต้องรบกับตนเอง สองก็ต้องรบกับตนเอง เหมือนผมเอง เมื่อก่อน หัด (เลิก) ตบยุงอย่างเดียว ๕ ปี เมื่อก่อนมีคนหนึ่งเคยพูดว่า “แหม ยุงกัดเราทีเดียว เราก็ตัดสินประหารชีวิตเลย มันก็เกินไป” เขาพูดเล่น ๆ แต่ผมเองเอากลับมาคิด เลย ตั้งแต่วันนั้นมาก็ตั้งใจเลิกตบยุง แต่พอมันมากัด ก็เผลออดตบไม่ได้ พอนานเข้า อีตอนจะตบก็คิดได้ว่า “แหม นี่มันกิเลสเต็มตัวเลย โทสะทั้งนั้น” จะตบแล้วก็เลยครึ่ง ๆ คา ๆ อยู่ว่า “เออ มึงไป” พอไปแล้ว ยังมีการอย่างนี้อีกคือ เกาแรง ๆ ทีหลังมาคิดอีกทีว่า “เออ เราทำบุญ ให้กับมันเรื่องอะไร พ่อแม่เกิดเรามาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนแบบนี้ว่า ให้มาเลี้ยงยุงไ อย่างนี้เรื่องตลกเลย จากนั้นก็ฝึกจนยุงพอมากัดก็แล้วกันไป เค้ามากัดเรา เราอารมณ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เราก็ปัดไล่เค้าไป แต่อารมณ์ไม่มีวอกแวก ไม่มีเปลี่ยนแปลงแล้ว กัดเหมือนอย่างไม่ได้กัด คล้าย ๆ กับไม่ได้เกี่ยวอะไร อันนี้รบอยู่ ๔ – ๕ ปีถึงจะจบ แต่ก็แปลกนะ ยุงก็ไม่ค่อยกัด เวลาไปนั่งที่ไหน หึ่ง ๆ แล้วบางทีมากัดเรา ก็ไม่รู้สึกเจ็บ

การดัดสันดานตนเอง ขั้นแรกต้องรู้สึกตัวว่า ตอนนี้ใจเรากำลังเป็นอย่างไร กำลังโกรธ ดีใจ เสียใจ หรืออะไร ต่าง ๆ นานาเหล่านี้ จากนั้นก็ให้มีสติคอยสังเกตว่า อารมณ์เหล่านี้ แสดงออกมาได้อย่างไร แล้วพอเลิกแสดง มันหายไปอยู่ที่ไหน ลองฝึกง่าย ๆ เช่น เราเอามือข้างหนึ่งวางท้าวกับโต๊ะไว้ นาน ๆ เข้าก็จะชา มโนทำงาน เมื่อมันรู้สึกลำบาก ก็ไม่พอใจ มันก็เตือนเราเองว่า ให้ยกมือขึ้น ทีแรก เราทนได้ ก็ยังเรียบร้อยดี พอเดี๋ยวล่ะ ชามาก ๆ เข้า มันก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น ตอนนี้ต้องระวัง อย่าให้ขาดสติ ค่อย ๆ ต่อสู้กับมัน พออีตอนมันจะกระตุกขึ้น เราก็ยังรู้ทันกับเขา พิจารณาเอาเองให้รู้ว่า เจ้าตัวนั้นมันเป็นโทสะ หรืออะไร ก็จะได้รู้ว่า อ้อ เรายังมีอารมณ์เลว ๆ อย่างนี้ซ่อนอยู่ เมื่อที่เรารู้ทันกับมันแล้ว เราก็ห้ามมันไว้ก่อน ทีหลังเราก็เอาชนะมันได้ อันนี้เรียกว่า “ปฏิบัติ” ล่ะ

พูดถึงว่า ถ้าอารมณ์เลว ๆ เหล่านี้ไม่มีอยู่ก่อน ก็ไม่ต้องปฏิบัติแล้ว สำเร็จแล้ว ดังนั้น นักปฏิบัติ ก้าวแรกก็ ประกาศรบกับตนเอง ถึงได้พูดกันว่า “ใครปฏิบัติ ใครก็ได้เอง ช่วยใครไม่ได้” อันนี้ก็ต้องค่อย ๆฝึกไป ต่อจนทีหลัง ก็จะได้รู้เท่าทันกับตัวกิเลสแล้วก็ปราบมันได้ เช่นเหมือนอย่างบางคนพูดว่า “ปฏิบัติแล้วได้อะไรบ้าง” ความจริงแล้ว ที่ได้น่ะก็คือ “ได้ชนะกิเลส” ไม่ใช่ นั่งนานหน่อยก็คิดว่า ได้อย่างนี้ อย่างโน้น นึกว่าอันนี้ อันนั้น สำเร็จ บ้าบ๊องไปเลย แล้วที่ว่าจะได้หรือไม่ เรารู้เอง ยังจะมีโกรธอีกมั๊ย ยังมีโลภ งกเงิน งกทองอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีล่ะก็ แสดงว่า เรายังไม่ได้เรื่องอยู่ อันนี้ทุกคน รู้เอง ไม่ต้องไปเที่ยวถามใคร ดีกรีที่จะวัดจริง ๆ ก็คือ “กิเลสหมดไปเท่าไหร่แล้ว ?” นักปฏิบัติจริง ๆ จึงพูดคำหนึ่งว่า “สำเร็จเราไม่หวัง ขอให้กิเลสเบาบางลงไปทุกวัน ๆ อย่างนี้พอ”

๑๔. ถาม ก่อนที่จะนั่งสมาธิ ควรจะทำใจอย่างไรบ้าง?

ตอบ เคยพูดบ่อย ๆ ว่า “ให้เรื่องราวจัดถูก ข้าวของจัดถูก” คือ จัดเรื่องราวและข้าวของสองอย่างนี้ให้เรียบร้อย ถามใจเราไม่มีบกพร่องแล้ว ไม่รู้จะไปคิดอะไรกับเค้า จิตใจมันก็สงบ สมาธิจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ทำอย่างนี้ให้ได้ก่อน พอนั่งลงไป ใจมันก็สงบเอง เกิดใจจะคิดขึ้นมาก็ท้วงตัวเองว่า “คิดทำไม ทุกอย่างจัดเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรที่จะให้เราคิดอีก” ถ้าไม่จัดอย่างนี้ก่อน พอนั่งลงไปก็ห่วง ตรงนี้ยังทำไม่เสร็จ ตรงนั้นก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไร ยุ่งไปหมด เมื่อไหร่จะเงียบได้สักที

“เรื่องราวจัดถูก” อย่างน้อยที่สุด เราเองรักษางานของเราให้ดี อย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี เรารู้ กับพ่อแม่เราก็มีกตัญญูกตเวที กับลูกเมียเราก็ให้มีระเบียบ เรื่องราวอย่างนี้จัดให้ถูก

“ข้าวของจัดถูก” หมายความว่า ข้าวของที่เรารักสุดปัญญาของเรา จัดให้ดีที่สุด แล้ววางได้ อย่างเช่น ถ้วยอันนี้ เรารักที่สุด สุดปัญญาของเรา จัดให้ดีไม่มีเกินกว่าอันนี้อีกแล้ว เราไม่สะเพร่า ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ไม่อย่างนั้น พอออกนอกบ้านก็กังวล กลัวเด็กเอาไปเล่นตกแตก หรือกลัวถูกขโมย อย่างนี้เรียกว่าสะเพร่า ยังจัดไม่ถูก เมื่อที่จัดถูกแล้ว ไปคิดทำไมอีก

พยายามเตือนสติตัวเอง เมื่อทุกอย่างเราทำดีที่สุดแล้ว ยังมีคนมาพูดอย่างนี้ อย่างโน้น มาสวดเอา ก็ช่างเขา ก็ไม่มีดีกว่าอย่างนี้อีกแล้ว สุดปัญญาของเราจัดดีแล้ว อย่างเช่นเรื่องทรัพย์สินเงินทองก็เช่นกัน มีแล้วก็ไม่ใช่หลงไปกับเค้า อย่าให้เขามาใช้เรา พยายามเราไปใช้เขาดีกว่า การงานก็เช่นกัน จัดเสร็จแล้วมีงานก็เท่ากับไม่มีงาน และถ้าทุกคนรู้สึกว่า หน้าที่ของตนจัดให้ถูก ไม่ต้องเบียดเบียนคนอื่น ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ไม่ต้องมีการรบราฆ่าฟันกันแล้ว กลายเป็นมนุษย์เมืองพระเลย อย่าเห็นว่า “เรื่องราวจัดถูก ข้างของจัดถูก” ไม่สำคัญนา

๑๕. ถาม “หัวใจของการเรียนสมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนา” อยู่ที่ไหน?

ตอบ ความจริง “สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนา” ก็คือ “กิเลส” แต่เอามาใช้เมื่อจำเป็น คือ เอากิเลสมาปราบกิเลส ถ้าพูดถึงว่า ทุกคนไม่มีกิเลสแล้ว จะเอาสมถกัมมัฏฐานกับวิปัสสนาไปทำไม ถึงได้มีคำหนึ่งบอกว่า “ข้ามฝั่งแล้วทิ้งเรือ” ไม่ใช่ ข้ามฝั่งแล้วยังเอาเรือมาแบกไว้อีก อย่างเช่น พระอานนท์ ก่อนที่จะเข้าประชุมสังคายนา ก็ทวนวิปัสสนาอยู่ ทำอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าที่คนอื่นสำเร็จน่ะ สำเร็จด้วยอะไร ทำอยู่จนตอนนั้นรู้สึกว่า ถ้าช้าไปจะผิดนัด ถึงทีสุดท้าย หมดหวังแล้ว ก็ทิ้งวิปัสสนา กำลังเอนตัวจะลงนอนไป พระคุณท่านเกิดรู้ขึ้นมาว่า “กิเลสไม่มีแล้ว ยังอุตส่าห์เอาวิปัสสนามาเป็นกิเลสอีก” นี้เหมือนอย่างเช่น เวลาเราป่วย ก็ใช้ยารักษา พอหายป่วยแล้ว ก็เลิกใช้ยา ขืนยังใช้ยาอยู่เรื่อย ๆ ก็ป่วยไม่มีวันหาย นี่แหละ คือหัวใจของการเรียน สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนา จะเรียนสมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนาก็ต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน ไม่ใช่เรียนไป พอมีฤทธิ์หน่อยก็เข้าใจว่าสำเร็จ หลงอยู่ข้างนอกไม่พอ ยังอุตส่าห์ไปหลงเอา สมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนาขึ้นมาเป็นกิเลสอีก ข้อนี้สำคัญมาก ถ้ารู้แล้วก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่รู้ เรียนสมถกัมมัฏฐาน กับ วิปัสสนาไปเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่มีวันจบ

๑๖. ถาม นักปฏิบัติ ไม่ตามกัมมัฏฐานสี่สิบอย่าง ไม่ตามวิปัสสนาแล้วจะทำอย่างไร?

ตอบ นักปฏิบัติ ไม่ตามกัมมัฏฐานกับวิปัสสนา ต้องบรรลุต้นขั้วจิต ต้นขั้วจิตปราศจากกิเลสดี กิเลสชั่ว เหมือนอย่างก้อนหินเท่าภูเขา ตรงกลางมีเพชรซ่อนอยู่เม็ดเดียว เปลือกหินเหมือนอย่างกิเลส รื้อเปลือกหินออก เพชรถึงจะโผล่ขึ้น สมถกัมมัฏฐานกับวิปัสสนา แปลแล้วเท่ากับเครื่องมือเครื่องไม้มาช่วยแกะเปลือกหินออก เมื่อเปลือกหินหมดแล้ว จะเอาเครื่องมือเครื่องไม้ไปทำไมล่ะ เมื่อจิตต้นขั้วโผล่ขึ้นแล้ว ได้รู้สึก สมถกัมมัฏฐานกับวิปัสสนายังไม่สะอาด รู้แล้วถึงจะทิ้งได้

สมัยก่อน พระโพธิสัตว์บางองค์ปฏิบัติ ก็ลงมือจากหูจากตา เพราะกิเลสข้างนอกต้องผ่านจากหูจากตาก่อน ตัดตอนกิเลสผ่านจากหูจากตาเด็ดขาดแล้ว จิตแท้ก็โผล่ หรืออย่างที่อาจารย์กำซัวไต้ซือสอนให้ “ตัดตอนนึกคิดปรุงแต่ง” คือ พอนั่งลงไป จะคิดอะไรก็ต่อต้านไม่ให้คิด หรือตามที่ท่านฮุ่นมึ้งโจ๊วซือสอนให้พิจารณา “ใครนั่ง ใครเห็น ใครภาวนา” ปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่ จนวันหนึ่ง นึกคิดปรุงแต่งหยุด ระหว่างนั้นก็จะได้พบจิตต้นขั้ว หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อารมณ์ธรรมชาติ” เอาอารมณ์ธรรมชาติอันนี้มาล้างผลาญกิเลสให้หมด ไม่ว่ากิเลสดีกิเลสชั่ว รื้อออกให้หมด เหมือนอย่างรื้อภูเขาออกทั้งลูก ค่อย ๆ ทำไปทีละขั้น จนสุดท้ายได้บรรลุธรรม คือ รู้สิ่งที่ขัดขวางหมด ไม่มีตัวกู ไม่มีภูเขา อวิชชาใด ก็จะได้พบ “พุทธะ”

สรุปแล้ว จะต้องใช้ปัญญามหาศาลควบกับความอดทน เพื่อให้ได้บรรลุธรรมอย่างที่ท่านเว่ยหล่างกล่าวไว้ในเรื่อง “มหาปรัชญาปารมิตา” ซึ่งกล่าวเป็นภาษาจีนได้ว่า “มอฮ่อปัวเยียกปอลอมิกตอ”

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 3:11 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ละครฉากสุดท้าย


เตี่ยมักพูดเสมอว่า

“ความรักนี่แหละ เป็นด่านสำคัญที่นักปฏิบัติยากจะผ่านไปได้ เพราะเมื่อรักแล้ว ก็เกิดห่วง และห่วงอันนี้แหละ จะเป็นเหมือนโซ่ที่คอยดึงนักปฏิบัติไว้ คนเราธรรมดาเมื่อแต่งงานมีครอบครัว ก็ต้องเกิดความรัก ความห่วงใยในครอบครัวของตนขึ้น ต้องดิ้นรนต่าง ๆ นานาเพื่อครอบครัวของตน เหมือนกับเป็นการชำระหนี้สิน เป็นขี้ข้ากับร่างกายตนเองไม่พอ ยังต้องเป็นขี้ข้ากับลูก-เมีย แล้วก็หลานอีก ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศก็เช่นกัน เป็นเหมือนกับยาเสพติด ถ้าใครไม่เคยมีก็แล้วไป แต่ถ้าใครได้ลองมีเข้า ก็มักจะติดงอมแงม หลงงมงายไปกับมันโดยไม่รู้สึกตัว และยากที่จะถอนตัวขึ้น

ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้ว จะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นต้นเหตุของเภทภัยความสูญสิ้นต่าง ๆ คนเราโดยมากกว่าจะสำนึกได้อย่างนี้ก็มักจะสายเกินไปเสียแล้ว นักปฏิบัติถ้าปลงตกในข้อนี้อย่างแท้จริงแล้ว ก็นับว่าได้มายืนอยู่บนต้นทางอันถูกต้องที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้น”

สำหรับเตี่ยเอง ในบั้นปลายของชีวิต เตี่ยมักปรารภให้ลูก ๆ ฟังเสมอว่า เตี่ยได้เห็นหลานแล้วถึง ๑๗ คน ลูก ๆ ทุกคนก็สมารถช่วยตัวเองได้แล้ว และก็พร้อมที่จะดูแลแม่แทนเตี่ยได้ นับว่าเตี่ยได้ปฏิบัติหน้าที่ของสามีและบิดาเรียบร้อยบริบูรณ์แล้ว เรื่องต่าง ๆ ที่มุ่งหวังก็ได้ทำสำเร็จครบถ้วนแล้ว หนี้สินต่าง ๆ ก็เป็นอันว่า ได้ชำระจนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงอีกต่อไป เตี่ยมองเห็นชีวิตที่ผ่านมาเหมือนเป็นการเล่นละคร และละครของเตี่ยโรงนี้ก็พร้อมที่จะปิดฉากลงได้ทุกเมื่อ

ก่อนที่เตี่ยจะจากไปไม่ถึงเดือน งานทุกอย่างที่เตี่ยเคยจัดการและรับผิดชอบ เตี่ยก็ได้มอบหมายให้ลูก ๆ และลูกสะใภ้จัดการและรับผิดชอบแทนตามความเหมาะสม โดยเฉพาะประเพณีการขึ้นไปกราบไหว้หลวงก๋ง บนเขาในวันที่ ๔ เมษายนของทุกปี (เช็งเม้ง) เตี่ยได้มอบหมายให้ลูกสะใภ้คนที่สองเป็นคนรับผิดชอบแทนเมื่อครั้งที่พวกเราขึ้นไปกราบไหว้หลวงก๋งในวันที่ ๔ เมษายนของปีนี้นี่เอง ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่เตี่ยจะจากไปเพียง ๑๓ วัน เตี่ยก็ได้เข้าไปที่วัดทุ่งสาธิตฯ เหมือนจะเป็นการเข้าไปสั่งเสียและจัดการธุระอย่างสุดท้าย ซึ่งรายละเอียดนั้น ท่านอาจารย์วัดทุ่งสาธิตฯ ก็ได้เล่าไว้ในคำไว้อาลัยของท่านแล้ว เรื่องทุกอย่างที่เตี่ยจัดการลงไปนั้น เหมือนกับเตี่ยรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องจากไปอย่างแน่นอนแล้ว แต่ลูก ๆ ทุกคนรวมทั้งท่านอาจารย์วัดทุ่งฯ กลับคิดเพียงว่า เตี่ยคงต้องการที่จะเลิกยุ่งเรื่องราวเดี่ยวกับทางโลกโดยสิ้นเชิง ต้องการมุ่งที่จะปฏิบัติธรรมอย่างเดียว เพราะลูก ๆ เห็นว่า เตี่ยยังมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ใบหน้ามีสง่าราศี ไม่มีวี่แววของโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ มาคุกคามเลย

ในที่สุด “ละครของเตี่ย” ก็ได้ปิดฉากลงจริง ๆตามคำที่เตี่ยเคยพูดไว้เป็นกลอนเปล่า เตี่ยจากพวกเราไปอย่างนักปฏิบัติโดยแท้ ดวงตาของเตี่ยปิดสนิท บนใบหน้าไม่มีริ้วรอยของความห่วงอาลัยอยู่เลย เตี่ยจากพวกเราไปในลักษณะง่าย ๆ เช่นนี้เอง โดยไม่คิดที่จะก่อความเดือดร้อนให้กับผู้ใดทั้งสิ้น แม้นในเวลาที่จากไป เตี่ยก็ยังได้ทิ้งคำสั่งสอนชิ้นสุดท้ายไว้ให้ลูก ๆ ด้วยการกระทำ ความรัก ความเมตตาและพระคุณของเตี่ยที่มีต่อพวกเราช่างมากมายเกินกว่าที่พวกเราจะคาดคิด ซึ่งยังแสดงออกมาให้พวกเราเห็นแม้ในเวลาที่จากไป

ละครของเตี่ยได้ปิดฉากลงแล้ว ส่วนลูก ๆ ก็ยังคงต้องแสดงต่อไปตามบทบาทของแต่ละคน ซึ่งเตี่ยได้เคยวางแนวไว้ให้ ในคืนที่เตี่ยจากไป พวกเราได้ตกลงกันว่า จะเผาศพของเตี่ยเมื่อ ๗ วันล่วงแล้ว ตามคำสั่งของเตี่ย แต่มีข้อหนึ่งที่ลูก ๆ มาสามารถจะปฏิบัติตามคำสั่งของเตี่ยได้ก็คือ ลูก ๆ ไม่สามารถที่จะหักห้ามใจ ไม่ให้โศกเศร้าและไม่ร้องไห้ได้ เพราะเตี่ยเคยสั่งว่า เมื่อเตี่ยตาย ใครร้องไห้ จะลุกขึ้นมาเตะ” ตอนนั้นลูก ๆ ก็ยังมีความหวังอย่างโง่ ๆ อีกว่า “เมื่อไหร่เตี่ยจะลุกขึ้นมาเตะสักที ลูก ๆ จะได้หยุดร้องไห้”

ในวันรุ่งขึ้นต่อจากวันที่เตี่ยจากไป ท่านอาจารย์วัดทุ่งสาธิตฯ ได้กลับจากลำพูนและตรงมาที่บ้านของเรา ท่านก็ได้มาพบกับความสูญเสียและความโศกเศร้าอย่างใหญ่หลวง ย่างที่ท่านเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน และก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับลูกศิษย์ของเตี่ยคนอื่น ๆ ที่มาในวันนี้และวันต่อ ๆ มา ในที่สุดท่านอาจารย์วัดทุ่งสาธิตและผู้ใหญ่อีกหลายท่านได้ปรึกษากันและเห็นพ้องต้องกันว่า ควรที่จะเก็บศพของเตี่ยไว้ ๑๐๐ วัน แล้วค่อยเผา เพราะเห็นว่า เตี่ยมีลูกศิษย์มาก ถ้า ๗ วันเผาก็จะเร็วเกินไป ซึ่งลูกศิษย์คนอื่น ๆ ที่ยังไม่ทราบข่าวก็จะตำหนิเอาได้ และเวลา ๑๐๐ วันก็เป็นเวลาที่เหมาะสม ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป พวกเราก็เลยตกลงเห็นควรตามนั้นด้วย นับว่าพวกเราได้ขัดคำสั่งของเตี่ยเป็นครั้งที่สองนับจากเตี่ยจากไป

พวกเราได้ตกลงกัน ขอร้องให้ท่านอาจารย์วัดทุ่งฯ ซึ่งเป็นเสมือนพี่ชายคนโตของพวกเรา เป็นประธานในการจัดงานต่างๆ ตามประเพณี งานทุกอย่างที่พวกเราตกลงใจทำกันลงไปนั้น คิดว่าเป็นการทำอย่างดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว ที่พวกเราจะสามารถทำให้ “เตี่ย” ได้เป็นครั้งสุดท้าย

พวกเรายังจำคำสั่งสอนทุกอย่างของเตี่ยได้ดี โดยเฉพาะข้อที่ว่า “ให้ทำทุกอย่างสำหรับเตี่ยง่าย ๆ เรียบ ๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองใหญ่โต” จึงนับว่าพวกเราได้ขัดคำสั่งของเตี่ยเป็นครั้งที่ ๓ รวม ๓ ครั้งแล้ว ก็นับว่าเป็นการขัดต่อคำสั่งของเตี่ยทุกประการ ซึ่งถ้าเตี่ยมีชีวิตอยู่ก็คงจะด่าพวกเราอย่างป่นปี้ไม่มีชิ้นดี แต่เมื่อเตี่ยได้จากพวกเราไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่าเตี่ยอาจจะไม่พอใจที่พวกเราไม่ทำตามคำสั่งของเตี่ย พวกเราก็ยอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อเป็นการเทิดทูนพระคุณของเตี่ยอันมีต่อพวกเราอยู่เหนือสิ่งอื่นใด และคิดว่าเตี่ยคงจะเข้าใจในเหตุผลข้อนี้ และหยั่งทราบถึงความรักและความเคารพอย่างสูงสุดของพวกเราที่มีต่อเตี่ย ซึ่งเป็นสิ่งผลักดันให้พวกเราต้องการที่จะทำอะไรทุกอย่างให้เตี่ยมาก ๆ มากที่สุดเท่าที่พวกเราจะมีกำลังความสามารถที่จะทำได้

การที่พวกเราได้ขัดคำสั่งของเตี่ยเป็นครั้งที่ ๓ นั้น จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเราจะไม่ทำตามคำสั่งสอนของเตี่ย เพราะพวกเรารู้ดีว่า นับแต่นี้ต่อไป จะไม่มี “ใคร” มาคอยว่ากล่าว ตักเตือนด้วยความรักและเป็นห่วงพวกเราเหมือน “เตี่ย” อีกแล้ว พวกเราขอกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า

“เตี่ย เป็นพ่อที่ดีที่สุดของลูก พวกเรามีความรัก เคารพ และมีความภาคภูมิใจใน ‘เตี่ย’ อย่างสูง และไม่รู้ว่าจะหาคำใดมากล่าวได้อีก ‘เตี่ย’ จะอยู่ในหัวใจและความทรงจำของพวกเรา ลูก ๆ ชั่วกาลนาน”

ละครปิดฉาก

ลงเรือข้ามฟาก

ที่นี่เรียบเรียบ

ฝากให้รู้ข่าว.

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 4:35 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 9:48 am
โพสต์: 937
ขอบคุณ ก่อนครับ อ่านยังไม่จบ :lcky:

_________________
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 9:37 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 8:36 pm
โพสต์: 969
ขอบคุณครับ คุณเด็กลึกลับ :grt:

_________________
ดีใดไม่มีโทษ ดีนั้นคือดีเลิศ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 10:35 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ 10 ธ.ค. 2008 11:36 pm
โพสต์: 1173
ผมอ่านหน้า2แล้วขอบอกว่าธรรมะของท่านนั้นไม่ธรรมดาเลยและโดยเฉพาะจิตของท่านเมตตามากๆครับและตั้งใจจะมาอ่านอีกรอบสำหรับหน้า2 ในหัวข้อถามตอบดีมากเลยครับ ส่วนหน้า1นั้นเพิ่งเข้าไปสัมผัสมาเรียกว่าต้องเลือกอ่านไปก่อนครับเพราะคิดว่าความยาวของหน้า1นั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณสองพันกว่ากิโล :mrgreen: ต้องใช้เวลาอ่านประมาณ2ปี อ๊ะไม่ใช่ประมาณ2ช.มน่าจะได้ แต่ผมอยากจะถามคุณเด็กลึกลับว่ากระทู้นี้พิมพ์คนเดียวเลยหรือครับ ถ้าใช่ล่ะก้อขอบอกว่า สุดยอด แห่งความเพียรเลยเชียวครับก้อขอยกย่องและขอบคุณไว้ด้วยครับ.แล้วจะไปเลือกอ่านหน้า1ต่อ :D
174271[1].gif


_________________
หนอนในอาจมย่อมสกปรก เมื่อกลายเป็นจั๊กจั่นก็ดื่มน้ำค้าง เมื่อกลายเป็นหิ่งห้อยก็เรืองโรจน์ใต้เเสงจันทร์
พึงรู้ว่าสะอาดเกิดจากสกปรก สว่างเกิดจากมืดมน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 26 มี.ค. 2009 11:31 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 13 ต.ค. 2008 8:03 pm
โพสต์: 288
ขอบคุณคับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 27 มี.ค. 2009 1:11 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 6:00 am
โพสต์: 6586
ขอบคุณมากครับที่ตั้งใจทำให้ยาวได้ขนาดนี้ :D

_________________
ถ้าเราไม่อยากได้อะไรจากใคร ก็จะไม่มีอะไรให้หมางใจกัน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 27 มี.ค. 2009 1:16 am 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 14 ก.ย. 2008 11:16 pm
โพสต์: 1786
ขอบพระคุณเด็กลึกลับมากครับ เดี๋ยวสิ้นปีนี้จะโหวตให้เป็นดารานำฝ่ายลึกลับครับ :mrgreen:


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 27 มี.ค. 2009 5:42 pm 
ออฟไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก

ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ 08 ก.ย. 2008 10:41 am
โพสต์: 1599
ไม่ได้พิมพ์เองฮะ ไปก๊อปเว็บอื่นมาอีกทีฮะ URL อยู่ด้านบนฮะ เป็นเว็บที่มีสาระดีฮะ

_________________
ชาตินี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 29 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO