นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 7:14 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตของผู้มีบุญ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 30 เม.ย. 2017 5:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"จิตของผู้มีบุญ"
คุณสมบัติขั้นมาตรฐาน ของนักบวช นักบุญ ผู้มีศีล มีธรรม และ นักสร้างปัญญาบารมี

๑. ไม่บ่น
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นปัญญา ทำให้ยอมรับต่อความเป็นจริงของชีวิต ทำให้รู้เห็นและเข้าใจถึงระดับวาสนาของตนและบุคคลอื่น ความเป็น ไปของชีวิตนั้นขึ้นตรงต่ออำนาจบุญกรรมที่ทำไว้ บ่นไปก็แค่นั้นเอง ที่ได้มา ที่มีอยู่ ที่เสียใจ ที่ไม่ได้ดั่งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันคือ “ผลแห่งกรรม” อันเป็นสมบัติของเราเอง

๒. ไม่กลัว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความเข้มแข็ง กล้าหาญ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคและปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะมีความมั่นใจในความเป็นผู้บริสุทธิ์ ความเป็นผู้มีบุญของตน เมื่อจะคิด จะทำอะไรลงไป ล้วนมีกำลังบุญมารองรับทั้งหมดทั้งสิ้น

๓. ไม่ทำชั่ว
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นตัวควบคุม บริหารจัดการ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดความกลัว ความละอายต่อบาป ต่อกรรม
ความผิดน้อยใหญ่ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เห็นถึงความเสียหาย หลายภพหลายชาติ เห็นถึง ผลกระทบต่อครอบครัว ต่อโลกต่อสังคม อย่างมากมายมหาศาล

๔. ไม่คิดมาก
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้เกิดพลังแห่งความสงบ แห่งจิตแห่งใจ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญใจ ไม่คิดเป็นทุกข์ ความคิดทุกความคิด ล้วนนำมาซึ่งความเบิกบานกายใจ ไม่คิดเบิกความทุกข์ มาใช้ก่อน

๕. รอได้ คอยได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความใจเย็น มีความยืดหยุ่น ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่ใจร้อน ใจเร็ว เห็นถึงจังหวะ และโอกาสของชีวิต

๖. อดได้ ทนได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นพลังงานเข้มแข็ง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ทำให้มีความอดทน ที่เป็นหนึ่งเป็นเลิศ มีความคิดที่ไม่หวั่นไหว เห็นความสำเร็จทุกชนิดมาจากความอดทน อดทนอย่างมีความสุข

๗. สงบได้ เย็นได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะเป็นสภาพให้เป็นคนที่สงบได้ เย็นได้ ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่ร้อนรน กระวน กระวาย สับส่าย วุ่นวาย ในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ในสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น แม้จะตกอยู่ใน เหตุการณ์ที่เลวร้าย ก็ทำใจได้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

๘. ปล่อยได้ วางได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นคนที่รู้จักการละ การวาง ตามกำลังของบุญฤทธิ์ ไม่เป็นคนที่แบกทุกอย่างที่ขวางหน้า ยึดทุกอย่างที่เกิดขึ้น

๙. รู้ได้ ตื่นได้ และเบิกบานได้
เมื่อมีบุญแล้ว ผลแห่งบุญนั้นก็จะแปรสภาพให้เป็นความรู้ตื่น เบิกบาน ตามกำลังของบุญฤทธิ์ เป็นผู้รู้ ต่อความเป็นจริงของชีวิต ไม่ปล่อยชีวิตให้ตกไปในกระแสของความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตใจมีความอิสระเต็มที่ ทุกวันทุกเวลาทุกนาที

โอวาทธรรม ขององค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันนะมหาเถระ
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี






"...ความโกรธอยู่ที่ไหน?..."

คนด่าเราถ้าเราไม่โกรธ ความด่านั้นไม่เป็นอะไร คำด่านั้นทำให้เราโกรธไม่ได้ ถ้าเราไม่มีความโกรธ แต่ถ้าเรามีความโกรธแล้ว ไม่ต้องด่าก็โกรธ แค่มองหน้าก็โกรธแล้ว โกรธอยู่ที่ไหน? โกรธไม่อยู่ที่คนอื่น ไม่ได้อยู่นอกโลก นอกจักรวาล นอกบ้าน นอกเรือน นอกไหนเลย นอกจากจิตเท่านั้น ความโกรธนี่ ความรักความชอบก็เหมือนกัน ไม่ได้มีอยู่ที่บุคคลใดเลย ไม่ได้มีอยู่ที่นอกโลก นอกบ้าน นอกเรือน นอกจักรวาล มีอยู่ในจิตเรานี่เอง ถ้าเราไม่รักแล้วทำยังไงมันก็รักไม่ลง ถ้าเราไม่เกลียดแล้วทำยังไงก็เกลียดไม่ลง ถ้าเราไม่โกรธแล้วทำยังไงก็โกรธไม่ลง ไอ้โกรธมันเป็นที่เรา ไอ้เกลียดมันก็เป็นที่เรา ไอ้โลภ ไอ้หลง รัก อย่างไรๆ นั่นก็เป็นที่จิตเราอย่างเดียวเท่านั้น ... คราวนี้เรามองเห็นแล้วว่าเรากำจัดความ
โกรธข้างนอกไม่ได้ หลีกเลี่ยงอารมณ์ที่จะทำให้โกรธก็ไม่ได้ ... จำเป็นที่จะต้องกำจัดที่จิตของเรา ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่อง ธรรมเดนตาย ต้องเด็ดให้สะเทือนหัวใจ
~ หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน~






..=>คำสอนหลวงพ่อเรื่อง "พิจารณาความทุกข์"<=..

.. การเจริญพระกรรมฐาน "เป็นปรมัตถ
ปฏิบัติ" ถ้าบารมีก็เป็น "ปรมัตถบารมี"
เพราะว่าเป็นการปฏิบัติสูงสุดในพระพุทธ
ศาสนาพระพุทธเจ้าต้องการจุดนี้ จุดเจริญ
พระกรรมฐาน

ฉะนั้นการเจริญกรรมฐานเราต้องลืม
ให้มันหมดลืมประเดี๋ยวเดียวนะอย่าลืม
ตลอดชีวิต กลับไปบ้านนึกถึงภารกิจต่างๆ
ที่เราทำ แต่พร้อมกันนั้นก็ต้องคิดไว้ด้วย
ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะควบคุมเรา
จะทรงมันไว้

เพราะมีชีวิตต้องกินต้องใช้ แต่ว่า
มันก็มีความทุกข์ ถ้าเราตายไปแล้ว สิ่ง
ทั้งหลายจะไปอยู่กับใครก็ช่างมันเราไม่
ต้องการมันอีก การเกิดเป็นมนุษย์วุ่นวาย
แบบนี้เราไม่ต้องการ

เป็นเทวดาหรือพรหมมันพักความ
วุ่นวายเพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ย่องเข้ามา
ใหม่ เราก็ไม่ต้องการ จุดที่เราต้องการ
ความสุขจริงๆ ก็คือพระนิพพาน ต้องการ
ไว้นะจุดนี้นะ

"กรรมฐานนี่มันอยู่ที่ใจอย่างเดียวขึ้น
อยู่กำลังใจ" เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็น
ของเรา หรือไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้า
ร่างกายมันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง
เราก็ต้องบังคับมันได้

อย่างเงินในกระเป๋า ถ้าเราไม่ใช้เสีย
อย่างหนึ่ง มันก็อยู่ในกระเป๋าตลอดเวลา
ถ้าเราใช้มัน มันก็หมดไป ร่างกายก็
เหมือนกัน ทีนี้ร่างกายเราไม่ต้องการให้
มันแก่ มันเชื่อไหม เราไม่ต้องการให้มัน
ป่วยมันเชื่อไหม เหมือนเงินในกระเป๋าไหม

เราไม่ต้องการให้มันตาย มันเชื่อเรา
หรือเปล่า เราก็ห้ามไม่ได้ ก็เป็นอันว่า
ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิต
ที่สิงสถิตอยู่ในร่างกาย "ที่เราเป็นทุกข์ก็
อาศัยร่างกายเป็นเหตุ"

ขอบรรดาญาติโยมทั้งหมดตั้งใจ
ตามความรู้สึกแห่งความเป็นจริงว่าการ
ที่เราเกิดเป็นมนุษย์นี่มันเต็มไปด้วยความ
ทุกข์ เรามีความเหนื่อยยากลำบากกาย
ด้วยการประกอบการทำมาหากินและ
ก็เหนื่อยและก็ทุกข์

ความป่วยไข้ไม่สบายที่เรามีอยู่
ป่วยขึ้นมาเวลาใดมันทุกข์ทั้งสิ้น มันเพิ่ม
ความทุกข์เก่า คือต้องเพิ่มรายจ่ายเก่า
ขึ้นมา ต้องแสวงหาเงินมารักษาโรค ถ้า
ความปรารถนาไม่สมหวังเกิดขึ้น มันก็
ทุกข์อีก ไม่สบายใจ

การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
เราก็ทุกข์อีก ความตายเข้ามาถึง มันก็
ทุกข์อีก ขอให้ทุกคนเข้าใจตามความ
เป็นจริงว่า "ขณะที่เราเกิดเป็นคนเราเกิด
อยู่ในห้องของความทุกข์ตลอดเวลา"

ไม่มีวันไหนที่เราไม่เป็นทุกข์ ที่เรา
ไม่เหนื่อย ไม่เป็นทุกข์มันไม่มี เราต้อง
เหนื่อยเราต้องทุกข์ตลอดทุกวัน จนกว่า
หลับไป หลับไปตื่นขึ้นมามันก็ยังเพลีย
ถ้าเราจะเกิดเป็นมนุษย์อีกกี่ชาติ

มันก็พบกับความทุกข์ ความแก่
ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
ความตายแบบนี้ ถ้าเราจะเป็นเทวดาหรือ
พรหม เทวดาหรือพรหมนี้ท่านมีความสุข
จริง แต่สุขไม่นาน คือไม่นานนัก เมื่อหมด
บุญวาสนาบารมีก็ต้องลงมาใหม่

อย่างที่บรรดาญาติโยมทั้งหลาย
มานั่งกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด ทั้งหมดนี้ที่จะเข้า
มาวัดได้ ต้องเคยเกิดเป็นพรหมหรือเทวดา
มาแล้ว ถ้าความดีเดิมน้อยนี่เขาไม่เข้าวัด
นี่แสดงว่าทุกคนบำเพ็ญวาสนาบารมี
บำเพ็ญกุศลมามากถึงเข้าวัด

"ให้คิดอย่างนี้ไว้เป็นปกติ ไม่ใช่ว่า
จะคิดเฉพาะมานั่งที่นี่นะ" คิดทั้งวัน
ใคร่ครวญทั้งวันมองเห็นคน มองเห็นสัตว์
มองเห็นวัตถุก็ดี ว่าไม่มีความหมาย ไม่ช้า
ก็พังหมด ตัวของเราไม่ช้าร่างกายเราก็พัง

เราจะไม่ยึดไม่เกาะมัน สิ่งที่เรา
ต้องการก็คือพระนิพพาน อารมณ์ยามว่าง
ถ้าคิดอย่างนี้ล่ะก็ เวลารวบรวมกำลังใจ
เป็นสมาธิก็ไม่ต้องทำอะไรมาก รวบรวม
กำลังใจปั๊บ จับอารมณ์คิดว่าเราต้องการ
พระนิพพาน ขึ้นไปทันที

มุ่งเฉพาะจิตนั่นคือพระนิพพานก่อน
ไปที่วิมานของเรา หรือวิมานขององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตามใจ
เราชอบ แล้วก็ไปอยู่ที่นั่นให้มันชื่นใจ
ต่อไปจะท่องเที่ยวไปไหนก็เป็นเรื่อง
ของท่าน

ถ้าหากว่าทำอย่างนี้จิตใจของท่าน
จะมีความเบาใจ คือว่าไม่ต้องไปนั่ง
พิจารณาตัดโน่นตัดนี่ เวลาที่เราจะเคลื่อน
จิต เราตัดให้มันเป็นกิจประจำวัน ทุกวัน
ทุกเวลา ทุกวินาที จนกระทั่งอารมณ์
ของเรานี้

เห็นทุกข์โลกก็ดี ว่ามันเป็นของธรรมดา
เห็นสุขในโลกถือว่ามันเป็นของหลอกลวง
ไม่ใช่สุขจริงๆ เห็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ถือว่า
คนประเภทนี้สกปรก ไม่ช้าก็ตาย ไม่มี
ความหมายสำหรับเรา

เราสกปรกฉันใด เขาก็สกปรกฉันนั้น
เรามีทุกข์ฉันใด เขาก็มีทุกข์ฉันนั้น
คิดอย่างนี้นะ ..
(พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
ที่มาจาก.. รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙






ขึ้นชื่อว่า "บุญ" มีอะไรก็ทำไป
อย่าไปเลือกว่าบุญมากบุญน้อย
ทำไปก็มากเอง

-:- หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ -:-






"หัดวางเสียบ้าง หัดวางเสียหน่อย
ก่อนที่สังขาร จะบังคับให้วาง
ก่อนที่ความเฒ่าชรา และความตาย
หรือโรคร้าย จะเป็นผู้บังคับให้วาง
ถ้ายังไม่หัดวาง จะเป็นผู้ที่เหนื่อยจนตาย
แล้วก็ขนอะไรไปด้วยไม่ได้เลย ในที่สุด"

-:-หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร-:-






"คนบางคน เมื่อยังไม่ถึงเวลา
จะไปยัดเยียดธรรมะให้ อย่างไร
ก็ไม่ฟัง

แต่พอถึงเวลาของเขา
เขาอาจเอาจริงเอาจัง จนแซงใครๆ
กลายเป็นครูบาอาจารย์ขึ้นมา
อีกคนหนึ่งก็เป็นได้

ทุกอย่างไม่แน่ แต่ที่แน่ๆ
ควรต้องรักษาจิตของเจ้าของ
ให้ดีไว้ก่อน"

-:-หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ-:-






"วิเศษ เพราะเขาชม
หรือเลวทราม เพราะเขาติ
เขาจะว่าอย่างไร ก็ช่างเขา
เราจะดี หรือไม่ดี อยู่ที่
การกระทำ ของเราเอง"

-:-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-






"ทำความดี อย่าไปท้อ
คนไม่เห็นความดีของเรา
ก็ขอให้เรา เห็นความดีของเรา
ก็แล้วกัน เราทำความดี เพื่อเรา
ไม่ได้ทำความดี เพื่อผู้อื่นใด"

-:-หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน-:-







อะไรจะลึกลับหรือละเอียดยิ่งกว่าศาสนา สิ่งเหล่านี้ไม่นอกเหนือวงคำสอนพระพุทธเจ้า ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วแสดงออกให้เห็นชัดเจน พระสาวกแต่ละองค์ ๆ มีความสามารถต่างกัน จึงได้รับเอตทัคคะจากพระองค์ที่ทรงตั้งให้ องค์นั้นเป็นเอตทัคคะในทางนั้น เช่น พระปุณณมันตานีบุตร เป็นเอตทัคคะในทางธรรมกถึกเอก ไม่มีใครเสมอฟังซิ พระสารีบุตร ทรงทางปัญญา เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา พระโมคคัลลาน์เก่งทางฤทธาศักดานุภาพ

พระปุณณมันตานีบุตรอย่างที่ท่านอาจารย์มั่นท่านพูดเข้าทีนะว่า ท่านเทศน์เน้นหนักลงในสัลเลขธรรม ๑๐ ประการว่าอย่างนั้น พระปุณณมันตานีบุตรเทศน์สอนบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย สัลเลขธรรม แปลว่าธรรมเครื่องขัดเกลากิเลสมี ๑๐ ประการ

๑) อัปปิจฉตา ให้เป็นผู้มักน้อย อย่าพะรุงพะรังหอบหิ้วโน้นนี้ หาบหามนั้นพะรุงพะรัง ให้เป็นผู้มักน้อย จะมีมากเพียงไรให้เป็นผู้มักน้อย เอาแต่พอสิ่งที่เป็นของจำเป็นเท่านั้น ใช้สอยอาบดื่มอะไรก็แล้วแต่

รองลงมาก็ สันโดษ ความยินดีตามมีตามเกิด

อสังสัคคณิกา อย่าคลุกคลีซึ่งกันและกันไม่เป็นเวล่ำเวลา

วิเวกกตา เป็นผู้ชอบสถานที่วิเวกสงัด อันไม่เป็นที่พลุกพล่านวุ่นวายกับสิ่งก่อกวนทั้งหลาย

วิริยารัมภา ให้เป็นผู้หนักในความเพียร ประกอบความพากเพียร ในอิริยาบถทั้งสี่ให้เป็นไปด้วยความเพียร แน่ะ เป็นลำดับ ๆ

ศีล รักษาให้ดี ศีลเป็นสมบัติอันล้นค่าสำหรับพระ ไม่มีสมบัติอะไรของพระที่จะสง่าผ่าเผยยิ่งกว่าความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้อาจหาญด้วย

สมาธิ ทำจิตใจให้แน่นหนามั่นคงอย่าให้วอกแวกคลอนแคลน ให้เป็นเหมือนหินทั้งแท่ง เพราะความมั่นคงของจิตที่เป็นสมาธิ

ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญให้ละเอียดลออตลอดทั่วถึง กิเลสมีหลายประเภททั้งส่วนหยาบ ๆ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ทั้งภายนอกภายในคอยจะคละเคล้ากันอยู่เสมอ ให้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาด้วยดี เพราะอำนาจแห่งวิริยารัมภา คือประกอบความเพียรด้วยสติปัญญาอยู่เสมอ

วิมุตติ เมื่อสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เต็มที่ไม่หยุดไม่ถอยแล้ว ความหลุดพ้นก็ปรากฏขึ้นมาที่จิตดวงนั้นเอง

วิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อได้หลุดพ้นแล้ว ญาณความรู้แจ้งชัดว่าหลุดพ้นแล้วก็ย่อมเกิดขึ้นมาในขณะเดียวกัน

นี่คือสัลเลขธรรมที่พระปุณณมันตานีบุตรซึ่งเป็นธรรมกถึกเอกท่าน เทศน์ ท่านมักจะเน้นหนักลงในธรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นธรรมเหมาะสมมากสำหรับพระเรา นี่ละวิธีการดำเนินงานของพระท่านดำเนินอย่างนี้

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑








เราเชื่อแน่เหลือเกินว่าพระโอวาทวาระสุดท้ายจะต้องหยั่งถึงสังขารที่ ละเอียดสุดเพื่อไปพระนิพพานในขณะนั้นเท่านั้น แต่จะตีความหมายไปว่าสังขาร ภูเขา ต้นไม้ มันเป็นของไม่เที่ยงนะสาวกทั้งหลาย ว่าไปโน้นก็ว่า แต่ว่า ๑% เท่านั้นแหละ ใน ๙๙ % จะหยั่งลงสังขารธรรม คือความปรุงของจิตนี้ ให้เหมาะสมกับปัจฉิมโอวาทโดยศาสดาผู้สำคัญจะปรินิพพานในขณะนั้น จะเอาธรรมหยาบ ๆ มาแสดงไปธรรมดาได้ยังไง เพราะเวลานั้นไม่ใช่เวลาธรรมดา เป็นวิสามัญธรรมดา ๆ เป็นวิสามัญ ๑) จะปรินิพพานอยู่แล้วในขณะนั้น ๒) พระสงฆ์ที่เฝ้าพระองค์อยู่เวลานั้นมีแต่ผู้เตรียมพร้อมแล้ว ตั้งแต่พระอรหันต์ลงมาจนกระทั่งถึงกัลยาณปุถุชน คือภิกษุเรื่อยลงมาเป็นลำดับ จำต้องรับสั่งถึงเรื่องสังขารภายในทีเดียว เราแน่ใจ ให้ดูนี่นา พอจากนั้นแล้วก็ปิดพระโอษฐ์ ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน

ในขณะที่ทำหน้าที่นั้นพระสงฆ์สาวกก็ห้อมล้อมอยู่ พระอนุรุทธะก็ อยู่ที่นั่นด้วย เมื่อทรงเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานอันเป็นรูปฌาน ๔ แล้วก็ก้าวเข้าสู่อรูปฌาน ๔ คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วก็ก้าวเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ทรงดับสัญญาและเวทนาขณะนั้นระงับเงียบ บรรดาพระสงฆ์ที่อยู่นั้นเกิดความสงสัย นี่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะเป็นผู้บอก แน่ะฟังซิ ยัง ๆ ไม่ปรินิพพาน กำลังประทับอยู่ที่สัญญาเวทยิตนิโรธ

พอพระจิตเสด็จเคลื่อนถอยออกมาจากสัญญาเวทยิตนิโรธก็บอกโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา คือลงมาอรูปฌาน ๔ แล้วลงมารูปฌาน ๔ จนกระทั่งถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา ทีนี้ก้าวเข้าไปอีก พระอนุรุทธะบอก โดยลำดับ ๆ นั่นฟังซิ นี่ละปรจิตวิชชา สามารถรู้พระจิตของพระพุทธเจ้า แม้บริสุทธิ์เพียงไรก็สามารถรู้ นั่นถ้าเป็นของสูญรู้ได้ยังไง จิตบริสุทธิ์แล้วสูญรู้ได้ยังไง ไม่สูญน่ะซิถึงรู้ได้ พระอนุรุทธะก็เป็นพระอรหันต์แล้วพระอนุรุทธะก็ ไม่สูญ สามารถรู้พระจิตของพระพุทธเจ้าที่กำลังเสด็จก้าวเข้าสู่ฌานใด ปฐมฌานนี้เป็นสมมุติ ฌานแต่ละฌานเป็นสมมุติ เมื่อจิตวิมุตติ คือพระจิตของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นวิมุตติแล้วผ่านไปในฌานใด ผู้บริสุทธิ์ธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นผ่านไปในฌานใด พระอนุรุทธะบอกโดยลำดับ กำลังเสด็จเข้าฌานนั้น ๆ เพราะมีสมมุติเป็นเครื่องพาดพิง พอพูดได้ว่าพระจิตที่บริสุทธิ์นั้นกำลังก้าวเข้าผ่านฌานนั้น ๆ

ถ้าหากไม่มีสมมุตินี้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย พระจิตนั้นแม้จะมีอยู่เพียงไรก็ตามพูดไม่ได้ ทีนี้พอออกจากจตุตถฌานแล้วไม่เสด็จเข้าสู่รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ ก็ไม่เสด็จเข้า รูปฌาน ๔ ก็ผ่านมาแล้ว นั่นละที่นี่ปรินิพพานในท่ามกลางแห่งสมมุติทั้งสอง คืออรูปฌานก็เป็นสมมุติ รูปฌานก็เป็นสมมุติ เสด็จออกท่ามกลาง พอถึงตรงนั้นแล้วพระอนุรุทธะก็สุดวิสัย ว่าทีนี้ปรินิพพานแล้ว นั่น คือไปพาดพิงกับอะไรอีกไม่มี มีเฉพาะพระสรีระในขณะนั้นให้ได้เห็นชัดเจน นั่นละพิจารณาดูซิ นี่พระอนุรุทธะท่านสามารถอย่างนั้น

พระสงฆ์เหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านปรจิตวิชชาเหมือนพระอนุรุทธะ และจึงสมนามว่าพระอนุรุทธะเป็น เอตทัคคะทางปรจิตวิชชา สามารถรู้วาระจิตของใคร ๆ ได้ทั้งนั้น แม้ที่สุดแต่เทวดาที่มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าขณะที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว จะนำพระสรีระศพออกทางทิศใดนี้ก็ต้องพระอนุรุทธะเป็นผู้บอก เทวดาทั้งหลายไม่ต้องการให้ไปทางทิศนั้น ๆ ต้องการจะไปทางทิศนั้น

รู้จนกระทั่งถึงความประสงค์ของเทวดาฟังซิ แล้วเอาไปทางทิศอื่นก็ไม่ได้จริง ๆ ต้องไปทางทิศที่เทวดาทั้งหลายต้องการ ตามที่พระอนุรุทธะบอกไว้ แล้วไปทางนั้นไปได้ แต่เวลาจะถวายพระเพลิงพระองค์ก็ยังถวายไม่ได้ เทพทั้งหลายยังไม่ยินยอมให้ถวายพระเพลิง เพราะพระมหากัสสปะกำลังเดินทางมา จะมากราบพระสรีระศพของพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นแล้วจึงจะทำได้ แน่ะ ทั้ง ๆ ที่เวลานั้นก็ไม่ทราบพระกัสสปะอยู่ที่ไหน มันสุดวิสัยไหมสำหรับพวกเรา

แต่สำหรับพระอนุรุทธะไม่สุดวิสัย เหมือนบอกคนตาบอด เพราะอย่างหนึ่งเขาจะว่าพระอนุรุทธะนั้นเป็นบ้าอยู่คนเดียว พูดอะไรไม่รู้เรื่องรู้ราว เทวดาที่ไหน พระกัสสปะที่ไหน ไม่เห็นนี่ แล้วไม่นานพระกัสสปะก็มา พาบริษัทบริวารมากราบพระสรีระศพของพระองค์ จากนั้นมาเอ้าที่นี่พระราชทานถวายเพลิงท่านได้ไม่มีอะไรขัดข้อง ถวายพระเพลิงก็พรึบเลย ตอนแรกถวายไม่ได้ ถวายเพลิงไม่ได้ ถวายก็ไม่ไหม้ นั่นฟังซิ แล้วเป็นความจริงทุกอย่าง

เพราะอันนี้เป็นวัตถุ อันนั้นเป็นใจที่ทำนายที่ทายออกมา ๆ ทายออกมาก็เป็นตามนั้นจริง ๆ เช่น ไม่ให้ออกทางทิศนั้นทิศนี้ ให้ออกทางทิศเหนืออย่างนี้ เทวดาทั้งหลายมีความต้องการอยากให้พระสรีระศพของพระองค์ออกทางด้านทิศเหนือ นี้ ออกไปทางทิศอื่นก็ไม่ได้ นั่น ฝืนไปไม่ได้ต้องออกทางทิศนั้น เราไม่เห็นตัวแต่ว่าพระสรีระศพไปไม่ได้ ทำให้หนักให้อะไรไปไม่ได้ ไม่เคลื่อนย้ายไปเฉย ๆ นี่จะว่ายังไง

นั่นละพลังฤทธาศักดานุภาพของพวกเทวดาทั้งหลายมีอยู่นั้น พลังเรามองไม่เห็น คิดดูเราปาไม้ไปนี้ พลังอันหนึ่งที่หนุนไม้ให้ตกไปโน้นไปนี้เรามองไม่เห็น เห็นแต่ไม้เท่านั้นแหละ หรือธนูยิงไปจากแล่งนี้ หรือยิงปืนออกไปจากกระบอก ปากกระบอกปืนนี่มันพุ่งไปไหน พลังเรามองไม่เห็นแต่มันไปได้ยังไง ไม่มีพลังมันไปได้ยังไง นั่นอย่างนั้นซิ อันนั้นละมันลึกลับ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑







"ช่วยตัวเองก่อน บุญบารมีจึงจะช่วย"
" .. การปฏิบัติไม่ใช่ของง่าย ๆ ครูบาอาจารย์ทานปฏิบัติมาตั้ง ๓๐ ปี ๔๐–๕๐ ปี ท่านก็ทำอยู่อย่างนั้น ทำอย่างเดียวนี่แหละ "ปฏิบัติกาย วาจาและใจก็ในที่เดียวนี่" ทีนี้เรามั่นคงลงไปนี่แหละดีแล้วถูกต้องแล้วใช้คำบริกรรมภาวนาลงไปเถิดมันต้องเป็นไปทีเดียว "นิสัยวาสนาบุญบารมีของเราจะค่อยส่งเสริม" ให้ค่อยเป็นไป ถึงบุญบารมีไม่ส่งเสริมมาแต่ชาติก่อนก็ตาม "ในชาตินี้เราตั้งใจปฏิบัติจริงจังแล้ว มันก็ให้เป็นบุญบารมีของเราเอง" ไม่ต้องให้บุญบารมีมาช่วย "ช่วยตัวเองเสียก่อนบุญบารมีจึงจะช่วย" นิสัยวาสนามันจะเป็นไปเองบุญบารมีวาสนาอันนั้นมันจะเป็นเองไม่ได้ ถึงบุญบารมีมีก็เถิด ถ้าตัวเราไม่ทำต่อก็แค่นั้นล่ะ มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้หรอก .. "
...........
โอวาทธรรม.....หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






ครั้นมันเฒ่ามาแล้ว มันบำเพ็ญเพียรอีหยังบ่ได้ดอก
ยังหนุ่มยังแน่นตั้งใจทำความเพียรไป
ครั้นเฒ่าอย่างอาตมานี่ มันผ่านมาแล้ว
แม้จะแบกแต่กระดูกของตนก็จะตายแล้ว ปานนั้นมันก็บ่ยอมให้เขา
หอบมันอยู่นี่แหละกระดูก จะตายให้มันตายอยู่นั่น
ไม่ยอมหรอกเรื่องทำความเพียร เอามันจนตาย

หลวงปู่ขาว อนาลโย






เมื่อผู้ใดพิจารณาความตายอยู่ทุกลมหายใจเช้าออกนั้นจึงจะเป็นผู้ไม่ประมาท หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตาย เป็นอยู่อย่างนี้เรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี








"เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว
ได้พบหนทางที่ประเสริฐที่สุดสำหรับชีวิตของเราแล้ว
ถ้าเราไม่เดินไปตามนั้นเราจะไม่เสียดายหรือ
เมื่อชาตินี้ไม่ปฏิบัติแล้ว อีกกี่ชาติ จึงจะได้พบหนทางเช่นนี้อีก"

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร







"...กินเพื่ออิ่ม ปัญหาน้อย
กินเพื่ออร่อย ปัญหามาก

จะผาสุก หรือ ทุกข์ยาก
ก็อยู่ที่การฝืนใจ หรือตามใจตนเอง..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อบุญกู้ อนุวฑฺฒโน








"..แสงจันทร์ ไม่เย็นเท่าศิล

เพราะแสงจันทร์ได้แต่เย็นตา

แต่ศิล เย็นสงบเข้าไปถึงจิตใจ.."

โอวาทธรรม..
องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ





"...จุดจบที่แท้จริง คือความว่างของใจ ใจจริงๆไม่มีอยู่กับสิ่งที่รู้ สิ่งที่รู้ทั้งหมดไม่มีอยู่ที่ใจ ใจหรือว่าผู้รู้นั้นอยู่เหนือสิ่งที่รู้มาทั้งหมด สิ่งที่รู้ทั้งหมดยังไม่ใช่ความว่างของใจ นี้แหละ คือความดับทุกข์ สุดแค่นี้เอง..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่คูณ สิริจนฺโท
วัดป่าทรงธรรม จ.มุกดาหาร






"...ผู้รู้แล้วจะไม่ทุกข์ ผู้ไม่รู้เท่านั้นที่เป็นทุกข์ ทุกข์มันก็มีอยู่กับทุกคน ไม่มีใครไม่มีหรอก ตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ อยู่ ทุกข์ก็ต้องมี แต่ถ้าเรารู้แล้ว เราจะอยู่อย่างสบาย..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO