นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 11:48 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อธิษฐานก่อนถวายทาน
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 28 เม.ย. 2017 5:31 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"อธิษฐานก่อนถวายทาน
ทำจิตใจของเรา ให้ไปถวาย
กับพระพุทธเจ้าเลย จะได้บุญสูง
พระที่รับเป็นเพียงผู้อุปโลกน์
ถ้าท่านไม่ดีจริง ท่านก็ไปนรก"

-:-หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ-:-




ความจริงแล้วธรรมชาติที่อิ่มนั้นเราจะนำมาพูดกันได้อย่างไร เพราะไม่มีรูปลักษณะพอที่จะนำมาพูดได้ แต่ก็ไม่มีใครสงสัยบรรดาผู้อิ่มแล้ว นี่ท่านผู้อิ่มโลกเสียทุกอย่างหรืออิ่มธรรมเสียทุกอย่าง ทำไมถึงว่า อิ่มโลกอิ่มธรรม คือไม่ติดทั้งโลกทั้งธรรมจึงเรียกว่าอิ่ม ผู้ที่อิ่มแล้วเช่นนั้นท่านก็เป็นนิพพานเต็มที่ท่านถึงอิ่ม นั่นละจิตเป็นนิพพานคือจิตที่อิ่มตัวเต็มที่แล้ว ไม่ว่าคำสรรเสริญคำนินทามีน้ำหนักเท่ากัน เพราะเป็นกิริยาของสมมุติทั้งหมด อันนั้นไม่รับ อันนั้นไม่ใช่สมมุติ ไม่ใช่วิสัยจะมารับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเทียบกันก็ได้เท่านั้นแหละ

อย่างที่ว่าอิ่มนี่ใครจะนำมาแจงได้ไหม ความอิ่มนั้นมีรูปลักษณะยังไง มีอาการยังไง แสดงไม่ได้แต่ก็ไม่มีใครสงสัย เพราะต่างคนต่างก็ได้รับประทานจนถึงความอิ่มด้วยกันมาเป็นประจำอยู่แล้ว นั่นละถ้าอิ่มเต็มที่แล้วก็รู้ตัวเอง จิตเมื่ออิ่มเต็มที่แล้วก็อย่างนั้น

เราพูดถึงเรื่องนิพพานสูญเราก็พูดอย่างนี้ แล้วก็แยกไปอีกว่าเวลานี้ความอิ่มของเราที่อิ่มอยู่ด้วยกัน เรารับประทานใหม่ ๆ แล้วสูญไหมล่ะ รู้อยู่ไหม มันสูญไปไหนไหมความอิ่มเวลานี้ ต่างคนต่างรับประทานด้วยกัน อิ่มแล้วก็มาคุยธรรมะกันนี้น่ะ ความอิ่มนั้นประจักษ์อยู่ไหมประจักษ์ แล้วนำมาแสดงออกได้ไหมว่าเป็นรูปลักษณะยังไง แสดงไม่ได้ แล้วสูญไหมล่ะ ไม่สูญ นั่นรู้อยู่จำเพาะในนี้ ก็อย่างนั้นซิ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา






"อย่าไปยินดี
ในการทำชั่ว ของคนอื่น
เพราะเรา จะมีส่วนในบาปนั้น

แต่ให้ยินดี
ในการประกอบคุณงามความดีของตน
และของคนอื่น เพราะจะได้แต่บุญ
โดยฝ่ายเดียว"

-:-หลวงปู่หลุย จันทสาโร-:-





"โลก เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด
ปัญหาที่เข้ามา คือ บทเรียน
มารทั้งหลาย คือ ครูของเรา"

-:-หลวงปู่หา สุภโร-:-




มันละเอียดจริง ๆ ก็คือเรื่องกามราคะ ถ้าหากว่าเป็นนิสัยสุกเอาเผากินนี้อย่างไรก็ต้องสำคัญตน พอไปถึงขั้นละเอียด ขั้นมันนอนตัวมันหลบซ่อน หลบซ่อนจริง ๆ กามราคะ แต่ก็อาศัยสติปัญญาคุ้ยเขี่ยขึ้นมาจนได้ จนเห็นชัดแล้วฆ่าได้ นี่อันหนึ่ง มันเป็นเคล็ดลับ เราไม่พูดมากกว่านี้เดี๋ยวจะไปหมายผู้ปฏิบัติ

ขั้นละเอียดเข้าไปกว่านั้นอีกก็คืออวิชชา อันนี้ก็เคล็ดลับสำคัญอีกเหมือนกัน ทำให้ติดได้อย่างงอมไม่รู้ตัวเลยละ อวิชชายิ่งกล่อมได้สนิท กล่อมได้กระทั่งสติปัญญาที่เป็นอัตโนมัติ ให้นอนใจ แต่ไม่พ้น สติปัญญาอันนี้หมุนตัวอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็มารู้ก็มาสะดุดจนได้ สะดุดแล้วก็หมุนติ้วเข้าไปในตรงนั้นก็พังกันลง ทลายลงไปเลย นั่นละที่นี่มีอะไรเหลือ นั่นแหละเรียนโลกจบจบตรงนั้น เรียนสมมุติจบจบตรงนั้น จบตรงอวิชชาพังทลายลงไปจากใจ ไม่มีอะไรเหลือเลย

เหลือแต่ใจผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ เวิ้งว้างไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย ไม่มีนิมิตอะไรเป็นเครื่องหมายภายในจิตใจเลย เพราะไม่มีสมมุติ นั่นแหละมันรู้แท้ อันนี้แหละเรียนจบ เรียนโลกจบจบตรงนี้ เรียนธรรมจบจบตรงนี้ โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน เรียนโลกจบก็เรียนธรรมจบ โลกเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนถึงอวิชชาที่ละเอียดที่สุดก็เป็นสมมุติ สมมุติก็เรียกว่าโลกได้เหมือนกัน เมื่อเป็นสมมุติแล้วก็เรียกว่าโลกทั้งนั้นแหละ แยกเข้าไป ๆ เอาจนเข้าใจถึงที่แล้วหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ยังเหลือแต่ความเวิ้งว้างเป็นอิสระเสรี

เอ้า ดูอะไรดูได้เต็มหูเต็มตา ฟังได้ทุกอย่าง ใครจะตำหนิว่าดีก็ตามชั่วก็ตาม รูปจะเป็นรูปขี้ริ้วขี้เหร่ รูปสวยรูปงามขนาดไหนก็ตามดูได้หมดที่นี่ นั่นแหละเรียกว่าอิสระ หูตาก็เป็นอิสระเพราะใจเป็นอิสระ หูตาเป็นเพียงทางเดินของใจเท่านั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นทางเดินของใจออกมาจากอายตนะภายในนี้ออกไปสู่อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เมื่อจิตใจปล่อยวางหมดเสียแล้ว สมมุติกับวิมุตติไม่เข้ากันแล้ว อยู่คนละฟากแล้ว ทำอย่างไรก็อย่างนั้น

คำว่าคนละฟากนี้ก็เป็นข้อเปรียบเทียบ ยกขึ้นมาเฉย ๆ นะ จิตนั้นเราจะพูดว่าฟากนั้นฟากนี้ไม่ได้ รู้เด่นอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เราจะว่าเป็นลักษณะใดพูดไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่สมมุติ สมมุติเราพอเทียบเคียงกันได้ แม้เช่นนั้นท่านก็ยังบอกว่าจิตบริสุทธิ์ ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ถ้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอันนั้น นิพพานบ้าง วิสุทธิจิตบ้าง หากมีแต่ชื่อ ไปให้ชื่อทั้งนั้น ๆ นี่นะ ตัวจริงจริง ๆ ไม่เป็นอย่างนั้น โลกมีสมมุติก็ต้องทำกรุยหมายป้ายทางไว้ให้เข้าอกเข้าใจกัน ท่านก็ว่าไปยังงั้น รู้ตัวเองแล้วไม่มีปัญหาละ จะมีชื่อไม่มีชื่อไม่สนใจ ก็เหมือนกับเรารับประทานอิ่มเต็มที่แล้ว จะมีลักษณะท่าทางอย่างไรคนอิ่มอาหาร ความอิ่มนั่นเป็นลักษณะอย่างไรไม่จำเป็นต้องถามใคร ถึงจะอธิบายก็อธิบายไม่ถูก

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2521 (ค่ำ)
เรื่อง อย่ามัวเมาความจำ





จงมอง "ตนเอง" เพื่อแก้ไข
และมอง "คนอื่น" เพื่อให้อภัย
จะอยู่สุขใจ และ เป็นอิสระ
หลวงปู่ศรี มหาวีโร





"อย่าประมาทบุญ"

" .. คนเราประมาทในบุญเล็กน้อย
เมื่อตายไปแล้ว จะมาทำบุญทำกุศลน่ะ มันยากนัก

ยากยังไง กายก็ไม่เหมือนกายมนุษย์
จะมาพูดกับมนุษย์ก็ไม่ได้ จะมาใส่บาตรทำบุญก็ไม่ได้

อย่างดีก็เพียงมายืนคอยอนุโมทนาเท่านั้น .. "

ท่านพ่อลี ธัมมธโร






"...พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความสุขที่เกิดจากความสงบ เป็นสิ่งที่ประเสริฐและเป็นสิ่งที่ไม่เหลือวิสัยของมนุษย์ มันเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ ถ้าหากว่าสร้างเหตุสร้างปัจจัยของมัน คือการกระทำต่อเนื่อง และสม่ำเสมอโดยไม่คาดหวังในผล แต่ทำอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ ไม่ว่ารู้สึกขยันหรือขี้เกียจก็ตาม

เมื่อสมาธิภาวนาเป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เราก็ควรจะทำ เพราะผลจากการกระทำ ก็อัศจรรย์จริง..."

โอวาทธรรมคำสอน.. "สุขเป็นก็เป็นสุข"
องค์ท่านพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ





"...ก่อนมาบวช อาตมาเคยไปประเทศอินเดียครั้งหนึ่ง ไปอยู่กับชาวเขาในหมู่บ้านเล็กๆ ในเทือกเขานิลคีรี บ่ายวันแรกที่ไปอยู่ อาตมาเดินไปอาบน้ำในลำธาร ห่างออกไปจากหมู่บ้านสักห้าร้อยเมตร

เด็กชาวบ้านนึกสนุก ก็เดินตามเป็นแถว พอถึงตลิ่ง อาตมาเอาสบู่ออกจากกระเป๋า เด็กๆ ก็ทำท่างงงวยและตื่นเต้น “อะไร อะไร” เขาถามกัน ยิ่งเห็นอาตมาถูสบู่ เขายิ่งตื่นเต้นใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กผู้หญิง

อาตมาจึงให้เขาลองถูบ้าง ปรากฏว่าสีผิวเด็กเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด เขาร้องกรี๊ดกัน ไม่แน่ใจว่าชอบหรือชัง เขาอาจคิดว่าเป็นไสยศาสตร์ฝรั่ง ชาวเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้จักสบู่ เขาคิดว่าความสกปรกเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องยอมรับ เหมือนดินฟ้าอากาศ

คนเราก็เหมือนกัน อยู่กับความสกปรกของนิวรณ์ตั้งแต่เกิด เข้าใจว่าเป็นตน เป็นของตน เลยไม่เห็นโทษ ไม่คิดที่จะเช็ดถู

จิตพ้นจากนิวรณ์ได้ เมื่อพ้นได้แล้วมีความสุข เหมือนกับคนที่เคยเป็นหนี้พ้นจากการเป็นหนี้ คนที่เคยเป็นไข้หายจากการเป็นไข้ คนที่เคยติดคุกพ้นจากคุก คนที่เคยเป็นทาสเขากลายเป็นอิสระ คนที่เคยหลงทางในที่อัตคัดกันดารได้เจอทางกลับบ้าน

จิตที่สงบจากกาม ความขัดเคืองสงบจากความคิดฟุ้งซ่าน วุ่นวาย ความลังเล เป็นจิตที่สว่างไสว หนักแน่นและผ่องใสสะอาด เป็นจิตที่ควรแก่งาน เห็นอย่างกับลวดทองแดงที่เขาสามารถดัดใช้ ให้เกิดประโยชน์ตามความต้องการ

จิตใจที่ยังไม่เป็นสมาธิก็ยังแข็งทื่อ จะโน้มไปทางไหนก็ไม่ค่อยอยากไป ไปก็ไปแผล็บเดียวแล้วก็เล็ดลอดไปทิศอื่นๆ จิตใจที่เป็นสมาธิแล้วเชื่อฟัง สติปัญญาจะนำไปคิดในเรื่องใดมันก็ยอม..."

เทศนาธรรมคำสอน...
องค์ท่านพระอาจารย์ชยสาโร ภิกขุ







"...ถ้าเรารู้จักแยกใจ หาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ

แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกขเวทนา ปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเดือดร้อนตามไปด้วย..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต






“...พวกเรามีบารมี มีทุนเก่า ทำให้พวกเรามาเข้าวัด มาทำบุญเพิ่มมากขึ้น มีสติปัญญาเพิ่มมากขึ้น

ครูบาอาจารย์หรือคนที่ปฏิบัติธรรมอยู่เนืองนิจ ถึงจะมีอายุเยอะหรือเป็นคนเฒ่าคนแก่ เขาก็ยังยิ้มแย้มนั่นเป็นเพราะเขามีจิตใจที่แจ่มใส มีคุณธรรมเป็นของดีติดตัว

พวกเราเสียอีก ที่เป็นคนหนุ่มคนสาวกับหน้าเหี่ยว ยิ้มกันไม่ค่อยออก...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์พระอาจารย์เปลี่ยน ปญฺญาปทีโป


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO