นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 2:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เห็นแบบธรรมะ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 27 เม.ย. 2017 5:57 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
"เห็นแบบกิเลสหรือเห็นแบบธรรม"

ถาม : พิจารณาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ผ่านแล้ว ทำต่อไปอีกมันก็ไม่ได้ เหมือนทำได้ครั้งเดียวผ่าน แล้วขั้นต่อไปให้ทำอะไรคะ

พระอาจารย์ : ก็ไปเข้าห้องสอบดูสิว่ามันผ่านจริงหรือเปล่า การทดสอบการพิจารณาเฉยๆ มันยังไม่ได้เข้าห้องสอบ เหมือนเป็นการทำการบ้าน ต้องไปเข้าห้องสอบไปอยู่ป่าช้าคนเดียว ไปอยู่ในป่าลึกๆ คนเดียว ไปอยู่กับงูกับสิงสาราสัตว์ต่างๆ อยู่ใกล้ความตายดู ดูซิว่าจะผ่านไม่ผ่าน

ถาม : การดูจิตกับการดูสภาวะ คือเรื่องเดียวกันไหมคะ ต่างกันอย่างไร

พระอาจารย์ : ดูจิตก็ต้องรู้ว่าจิตเป็นอะไรก่อน ต้องเห็นตัวจิตก่อน การที่จะเห็นตัวจิตได้นี่ก็ต้องเข้าไปในสมาธิก่อน ถึงจะเห็นตัวจิตได้ จะเห็นการเคลื่อนไหวของจิต เวลาจิตเคลื่อนไหวไปในทางดีเคลื่อนไหวไปในทางไม่ดี ก็จะเห็น แต่ถ้ายังไม่มีสมาธินี้จะไม่เห็น เพราะใจมันจะไปเห็นที่ร่างกายแทน ไปเห็นที่ความคิดแทน ร่างกายกับความคิดนี้ไม่ใช่เป็นตัวจิต ฉะนั้นต้องเข้าไปถึงตัวจิตก่อนถึงจะเห็นตัวจิตเวลาที่มันโกรธมันโลภมันหลง จะเห็นตรงนั้น การเห็นตัวจิตก็คือต้องเห็นเวลามันโลภ มันโกรธ มันหลง แล้วหยุดมันได้ ถ้าเห็นแล้วหยุดมันไม่ได้ก็แสดงว่ายังไม่เห็นจริง ถ้าเห็นจริงแล้วมันต้องหยุดความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ได้ การเห็นสภาวะก็เห็นสิ่งต่างๆ เช่นเห็นร่างกาย ร่างกายก็เป็นสภาวะอย่างหนึ่ง เห็นว่ามันไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย อย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นด้วยปัญญา ถ้าเห็นด้วยความหลงก็คิดว่ามันจะต้องไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย มันจะต้องสาวไปเรื่อยๆ มันจะต้องสวยไปเรื่อยๆ นี่อย่างนี้ก็เรียกว่าเห็นด้วยกิเลส ฉะนั้นการเห็นสภาวะก็เห็นได้สองแบบ เห็นด้วยปัญญา หรือ เห็นด้วยกิเลส เห็นด้วยกิเลสก็คือความหลง หลงคิดว่าร่างกายนี้ต้องสวยต้องงามไปตลอด ไม่มีวันแก่ไม่มีวันเจ็บไม่มีวันตาย ถ้าเห็นด้วยปัญญาก็ต้องเห็นว่าเดี๋ยวมันก็ต้องแก่เดี๋ยวมันก็ต้องเจ็บแล้วเดี๋ยวมันก็ต้องตาย ก็นี่ก็เห็นสภาวะเหมือนกัน แต่เห็นแบบไหน เห็นแบบกิเลสหรือเห็นแบบธรรม ถ้าเห็นแบบกิเลสก็หลง ก็จะทำให้ทุกข์ เวลาร่างกายมันแก่มันก็จะทุกข์ขึ้นมา ถ้าเห็นแบบธรรมมันก็ไม่ทุกข์ เวลาร่างกายแก่มันก็เฉยๆ ก็รู้อยู่แล้วมันจะแก่.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




...ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเดรัจฉาน
มันก็..ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
.
...มันก็เป็น ความทุกข์เหมือนกัน
เวลาแก่ก็ทุกข์
เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ทุกข์
เวลาตายก็ทุกข์
...........................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา26/4/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





"ความทุกข์ของคน ประการหนึ่ง คือ
ต้องการให้คนอื่น เป็นอย่างที่ตนเองคิด
ขณะที่ตน ก็เป็นอย่างที่คนอื่น อยากให้เป็นไม่ได้"

-:-หลวงปู่จันทร์ศรี จันททีโป-:-






คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง

สมาธิ นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักสมาธิ ตัวนึกถึงนิพพานมันเป็นสมาธิ
อยู่แล้ว สมาธิ เขาแปลว่า ตามนึกถึง ถ้านึกถึงนิพพานเขาเรียก อุปสมา-
นุสติกรรมฐาน ทีนี้ถ้าการนึกถึงนิพพานอย่างเดียวเรารักนิพพาน ภาวนา
ว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง" บ้าง "นิพพานะ สุขัง" บ้าง "นิพพานัง"
บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจ ฝึกไว้อีกส่วนหนึ่งคนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วง
ร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นทุกข์
สภาพของความทุกข์ ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง
๑. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
๒. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
๓. ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เพราะร่างกาย
๔. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
๕. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะร่างกาย
๖. ความตายมาถึง เพราะร่างกาย
ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้างที่มีร่างกายไม่ทุกข์ถ้าเรา
จะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่ามีร่างกาย
มีขันธ์ ๕ แบบนี้ เราจะไม่มีกับมันอีก เราต้องการจุดเดียวคือ นิพพาน ทำใจ
แน่นอนแล้วภาวนาว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขัง"ก็ได้"นิพพานัง"ก็ได้ ต้อง
คิดอย่างนี้ก่อนแล้วก็ภาวนาต่อไป อย่างนี้ใช้ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตาย
จริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะรวมตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่าย
ในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่าการตายมีความสุขกว่านี้
ก็ไปนิพพาน






"กรรม เหมือนยาพิษ
กรรมนั้นให้ผลซื่อสัตย์นัก
เหมือนผลของยาพิษร้าย

กรรมนั้น เมื่อทำแล้ว
ก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าแล้ว
จักไม่เกิดผลแก่ชีวิต และร่างกายไม่มี

ถ้าเป็นกรรมดี ก็จักให้ผลดี
ถ้าเป็นกรรมชั่ว ก็จักให้ผลชั่ว"

-:-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-







เมื่อเห็นคุณค่าของสติปัญญาแล้ว กับเห็นผลของสติปัญญาที่ทำงานขึ้นมา ในการแก้กิเลสตัดกิเลสนี้ตัดด้วยปัญญาทั้งนั้น สมาธิเป็นแต่เพียงว่ารวมตัวกิเลสเข้ามาอยู่ด้วยกัน เข้ามาในวงแคบเท่านั้น แต่ไม่สามารถที่จะทำลายกิเลสได้ นี่รู้ได้ชัดขนาดนั้น ปัญญาทีเดียวเป็นผู้ชำระหรือตัดกิเลสได้เป็นประเภท ๆ ออกไปโดยลำดับเห็นประจักษ์กับใจ ทีนี้มันก็หมุนติ้ว ๆ ไม่มีกลางวันกลางคืน ค้นเรื่องร่างกายมี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังนี้มันเด่นมาก สำหรับผมเองอสุภะนี้เด่นมากทีเดียว กำหนดกายเจ้าของให้เป็นหนังไม่มี มีแต่เนื้อแดงโร่ ออกจากนั้นกำหนดจากนั้นมันก็พังกันลงไป ยังเหลือแต่ร่างกระดูก กำหนดจากร่างกระดูกให้มันขาดจากกัน มันก็ขาดลงไปโดยลำดับลำดากองอยู่ในดิน ความรวดเร็วของปัญญา จากนั้นมันยิ่งเร็ว

เราถึงเชื่อเรื่องการฝึกฝนอบรมนี่ นานไปมันคล่องตัวไป เช่นอย่างเขาฝึกหัดมวยก็เหมือนกัน จะเป็นแชมเปี้ยนแชมเปิ้นมันไปจากล้มลุกคลุกคลานนั่นแหละ มันคล่องตัวแล้วก็เป็นไปได้อย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน สติปัญญาคล่องตัวแล้วกิเลสก็อ่อนกำลังลงไป ๆ เวลาเราพิจารณานั้นเหมือนโลกไม่มีนะ มีแต่งานเราเท่านั้นไม่มีอะไรเข้ามาแทรกได้เลย จิตไม่ส่งไม่ส่ายไปไหน ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ทำด้วยความสนใจ ทำด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจในสิ่งนั้นจริง ๆ แล้วมันก็พ้นไปไม่ได้

เมื่อ จิตจดจ่อก็เหมือนกับน้ำไหลพุ่งลงทางเดียว มีกำลังมาก จิตมีหน้าที่ที่จะรู้จะเห็นจะพิจารณา ปัญญามีหน้าที่ที่จะพิจารณา จิตเป็นผู้รู้ตามเห็นตามปัญญาเป็นช่องเดียว ช่องเดียว ๆ ขาดทะลุ ๆ ไปเลย จากนั้นมันก็ทะลุไปได้

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2521 (ค่ำ)
เรื่อง อย่ามัวเมาความจำ







"ไปอยู่ทำไมกับความโกรธ
ไปอยู่ทำไมกับความทุกข์
ไม่โกรธก็มี ไม่ทุกข์ก็มี

ควายมันตกหล่ม
มันก็ยังรู้จักถอนตัวออกมา
แต่คนเมื่อไปตกอารมณ์
ทำไมไม่รู้จักถอนตัว"

-:-หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ-:-






"จำไว้นะ บรรดาลูกหลานที่รัก
อย่างไรๆ ยิ้มมันตลอดทั้งวัน
หลับยิ้มได้ ก็ยิ่งดี ฝึกยิ้มมันเรื่อยๆ ไป

ถ้าปากเรายิ้ม ไม่ช้าใจเราก็ยิ้มตาม
ไอ้โมโหโทโส มันก็ค่อยๆ หายไป
นี่ คือวิธีดับโมโห"

-:-หลวงพ่อฤาษีลิงดำ-:-







"ร่างกาย กับคุณความดี
แตกต่างกันไกลลิบลับ

เพราะร่างกาย สลายไปทุกขณะ
ส่วนความดี ดำรงค์อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์"

-:-หลวงปู่ศรี มหาวีโร-:-






พอตื่นเช้ามาแล้วมีความดีใจภูมิใจ โอ้โห เย็นไปหมดวันนั้น พอฉันเสร็จแล้วก็ไปกราบลาสมเด็จองค์เก่า สมเด็จฯ ติสฺโส อ้วน วัดบรมนิวาส เอ้อ เจ้าจะไปก็ดีให้ไปช่วยที่วัดสุทธจินดาหน่อยนะว่างั้น เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละก็ว่างั้น เราจะไปทางโน้นต่างหากแต่เราไม่ได้หวังจะช่วย ก็เพื่อให้ท่านเปิดโอกาส เกล้าฯก็จะไปทางโน้นแหละ เอ้อไปได้ ว่างั้นเราก็เตรียมตัวออกเดินทางในวันนั้นเลย ขึ้นรถมานอนโคราช แล้วก็เลยไปจำพรรษาที่จักราช ปีนั้นไปจำพรรษาที่อำเภอจักราช

ได้ภาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะตั้งแต่ออกไปตั้งหน้าตั้งตาเอาจริงเอาจัง คราวนี้เราจะให้เห็นจิตที่เราปรากฏ ๓ ครั้งนั้นให้ได้ทีเดียว คราวนี้จะไม่ให้มันเป็นอย่างที่เป็นมาแล้ว ๒ ปี ๓ ปีถึงปรากฏหนหนึ่งนี้ไม่เอา คราวนี้จะเอาให้มันอยู่มือทีเดียว ตั้งแต่ออกมาก็เอาจริงเอาจัง นิสัยเราเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนมีแต่ภาวนาทั้งนั้น เรื่องการเรื่องงานอะไรไม่ยุ่ง มายุ่งไม่ได้ จิตมันก็เริ่มขึ้น ๆ ปรากฏเด่น ปรากฏเรื่อยอันนั้นที่นี่ เว้น ๒ คืน ๓ คืนปรากฏ ๆ ต่อไปก็ปรากฏทุกคืนแน่ว ๆ สมาธิเก่งมาจากโน้น แต่มันมาเสื่อมอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง มันมาเสื่อม พลิกได้อีกตอนไปอยู่กับท่านอาจารย์มั่น จากนั้นมาก็เร่งใหญ่ เร่งจนจะเอาเป็นเอาตายจริง ๆ ก็พรรษา ๑๐ นี่แหละ

โอ้ โห ตั้งแต่เราบวชมานี้ พูดถึงเรื่องความหักโหมทางร่างกายนี้ พรรษา ๙ ล่วงไปแล้วนั่นแหละ ไปเข้าพรรษา ๑๐ นี่หนักมาก ทางร่างกายนี้หนักมาก ทางจิตใจมันก็เข้มแข็งอยู่แล้ว ทางร่างกายมันหนักมาก เพราะว่าเราได้นั่งถึงตลอดรุ่ง ๆ นี่นะ นั่งแต่ละคืน ๆ นี้ โอ้โห มันเหมือนตายไปแล้วฟื้นกลับคืนจะว่าไง เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าจิตมันไม่ได้อย่างใจทุก ๆ ครั้งไปที่เรานั่งตลอดรุ่ง บางคืน ๖ ทุ่มยังลงกันไม่ได้ นั่นแหละที่มันบอบช้ำมาก ค้นทางด้านปัญญา นี่แหละที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิ เราได้จากการพิจารณาของเรานี่ เมื่อสติปัญญาทันกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ทุกขเวทนา เป็นต้นแล้ว ทุกขเวทนาก็ดับพึบลงไม่มีอะไรเหลือเลย แม้ร่างกายที่นั่งโด่อยู่ก็หายเงียบไปจากความรู้สึก เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ นี่ได้จากความเด็ดเดี่ยวอาจหาญ ได้จากความจนตรอก ทุกขเวทนามันตีต้อนเรา เหมือนกับว่าเราจะแหลกเป็นผุยผงไปโน่น แต่สติปัญญาก็บุกเบิกออกจนได้ เราจึงกล้าพูดว่า คนเราไม่ใช่จะโง่อยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงคราวจนตรอกแล้วมันหาทางออกได้ ฉลาดได้ เราก็เห็นเรื่องของเราที่เคยเป็น

ตั้งแต่ยังไม่เข้าพรรษามันเร่งใหญ่แล้วความเพียร เพราะจิตไม่เสื่อมแล้วตั้งแต่เดือนเมษาฯมาแล้วไม่เสื่อม จนกระทั่งถึงเข้าพรรษา มันนั่งตลอดรุ่งมาไม่ทราบกี่คืนแล้ว เอาใหญ่จริง ๆ นี่ เพราะเหมือนกับผูกอาฆาตนะ อาฆาตเรื่องความเสื่อมของจิตนี่ คราวนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เสื่อมคราวนี้ให้ตายเสียเลย เอา ๆ สู้กันขนาดนั้นทีเดียว ไอ้เรื่องจะถอยนี้ไม่มี ถ้าจิตดวงนี้จะเสื่อมก็ให้ตาย เอาตายเท่านั้นละว่ากัน มันก็ฟาดกันอย่างหนัก

เวลานั่งตลอดรุ่งนี้ โอ้โห ทุกขเวทนา ถ้าวันไหนมันลงได้ง่าย เช่นอย่างนั่งประมาณสามสี่ชั่วโมงมันลงได้ นี่ก็ไม่บอบช้ำนะร่างกายของเรา นั่งเวลาเท่ากันก็ตามสำคัญที่จิต ถ้าวันไหนจิตพิจารณายากลำบาก วันนั้นสุขภาพของเรานี่โทรมมากทีเดียว ทรุดโทรมมาก เจ็บปวดมาก วันไหนพิจารณาได้อย่างใจ พอกำหนดปั๊บได้ความ ๆ พิจารณาไปปั๊บ ๆ ได้ความ เดี๋ยวก็พุ่งลงเลย พอถอนขึ้นกำหนดพิจารณาอีกได้ความอีก ได้เรื่อย กว่าจะตลอดรุ่งมันรวมถึง ๓ หน ถอนมาถึง ๓ หนตลอดรุ่งพอดี

วันเช่นนั้นลุกออกจากที่ไปได้อย่างสบาย เหมือนกับเราไม่ได้นั่งตลอดรุ่งถ้าวันไหนจิตดีอย่างนั้น ถ้าจิตไม่ดีนั่นซิ คือปัญญาไม่ทันกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นละรู้สึกว่าทุกข์มากที่สุด พรรษานั้นตั้งแต่เราบวชมานี้เกี่ยวกับเรื่องร่างกายเป็นพรรษา ๙ พรรษา ๑๐ อ้อพรรษา ๙ ออกไปแล้ว ตั้งแต่เดือนเมษาฯของพรรษา ๙ ที่ล่วงไปแล้ว ตอนนั้นเราเร่งใหญ่จนกระทั่งออกพรรษา จากนั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีกเลย นี่เป็นความลำบาก

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี
เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2521 (ค่ำ)
เรื่อง อย่ามัวเมาความจำ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO