นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 04 พ.ค. 2024 4:01 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ทำใจให้สงบ
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 23 เม.ย. 2017 5:37 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
...ทำไม..ยิ่งทำบุญ ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์ ???

โยม : หลวงปู่ครับ ทำไมผมยิ่งทำบุญ ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งทำสมาธิก็เหมือน ยิ่งทุกข์เหลือเ กินครับ ทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการเงิน ไม่รู้อะไรประดังประเดเข้ามาตลอด ครับผมหลวงปู่

หลวงปู่ : เวลาคุณทำบุญ เวลาคุณปฏิบัติ มันกระทบกับเงิน ทองหรือเวลาปกติ ของคุณหรือเปล่า

โยม : เปล่าครับผม เวลาผมทำบุญผมก็ ไม่ได้ลำบาก เงินทองก็เป็นส่วนเหลือจากการเก็บการดูแลครอบครัวแล้ว การปฏิบัติของผม ก็กระทำโดยไม่กระทบกระเทือนใคร พ่อแม่ พี่น้องลูกเมียก็อนุโมทนา แต่มันก็มีปัญหาเรื่องอื่น ๆ เข้ามาไม่ขาด

หลวงปู่ : คุณ เวลาคุณปฏิบัติคุณก็ต้องการพระนิพพานใช่หรือเปล่า นิพพานก็ต้องหนีโลก ต้องเบื่อโลก ถ้ามันไม่มีปัญหาเข้ามาคุณจะหนีโลกได้อย่างไร ถ้าคุณยังหวังสุขในโลกนี้ นิพพานของคุณก็เป็นนิพพานหลอกตัวเองหล่ะสิ

โลกเป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด " ปัญหาที่เข้ามาคือ บทเรียน มารทั้งหลายคือครูของเรา เมื่อคุณปฏิบัติสูงๆ ขึ้นไป ปัญหามันก็จะสูงขึ้นไปด้วย "

ปัญญาคุณแค่อนุบาล ปัญหามันก็อนุบาล บทเรียนก็อนุบาล ครูก็ครูสอนอนุบาล....แต่เมื่อคุณเรียนปริญญา ปัญญาระดับปริญญา ปัญหามันก็ต้องปริญญา บทเรียนก็บทเรียนปริญญา ครูก็ครูสอนปริญญา

คุณเรียนปริญา จะเอาข้อสอบเด็กน้อยอนุบาล มาสอบคุณ มันจะสมกับภูมิปัญญาคุณหรือปฏิบัติเพื่อแสวงหาปัญญา

เมื่อปัญญาเราสูงขึ้น ปัญหามันก็สูงขึ้น บทเรียนมันก็ยากขึ้น มารมันก็เก่งขึ้น คุณสอบตกจะหาว่า ครูออกข้อสอบยาก หรือ หรือจะโทษว่าตนเองเตรียมตัวสอบไม่ดี

คุณเอ้ยโลกมันสอนเรา บางทีก็สนุกสำราญ บางทีก็เศร้าโศก บางทีก็ทารุณโหดร้าย คุณต้องได้เรียน ทุกบท คุณจะบอกว่า ไม่ชอบวิชานี้ไม่เรียนมันไม่ได้ เราชอบสุขเราเกลียดทุกข์ แต่เราก็ต้องเรียนทั้งสองอย่าง

เมื่อคุณผ่านการ สอบหนึ่งครั้ง คุณก็จะพัฒนาไปอีกขั้น บทเรียนบางบทมันอาจจะแพงไปสักหน่อย ต้องแลกมาด้วยเงินทอง อวัยวะหรือแม้แต่ชีวิต

แต่คุณอย่าลืมนะ...
" ....วิชาดีราคามันต้องแพง โลกสอนให้คุณรู้จักโลกในทุกรูปแบบ ทุกรสชาติ คุณจะได้เบื่อโลก หน่ายโลกอย่างแท้จริง " นิพพานของคุณก็จะเป็นนิพพานจริงๆ

....... " อย่าพึ่งลาออกจากโรงเรียนกลางคันก็แล้วกัน
คุณเชื่อเถอะว่า ถนนเส้นนี้ผู้ปฏิบัติล้วนผ่านมาแล้วทุกคน
ท่านเหล่านั้นก็ เคยทุกข์อย่างคุณท่าน ยังผ่านไปได้ "

....ให้เชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า
พระธรรมคำสั่งสอนและพระอริยะสงฆ์ที่ท่านผ่านไปก่อน
ให้เชื่อว่าท่าน เหล่านั้นไม่หลอกเราแน่ เข้าใจนะ

..หลวงปู่หา สุภโร..




...ให้รู้จักว่า
"วิธีทิ้งร่างกายทำอย่างไร"
ร่างกายนี้เป็นเหมือนบ้าน
ที่เราอยู่อาศัยชั่วคราว
.
...ไม่ใช่เป็น "ตัวเรา" นะ
เราเป็นเพียงผู้อาศัยอยู่
สักวันหนึ่งพวกเราทุกคน
ก็ต้องทิ้งบ้านหลังนี้เหมือนกัน
.
...และวิธีที่จะทิ้งคือ "ทำใจให้สงบ"
พุทโธๆ ไป อย่าไปรัก
อย่าไปหวง อย่าไปเสียดาย
คิดว่าเป็นของที่เรายืมเขามา
เดี๋ยวเจ้าของเขาจะมาเอาคืนไป
ก็คืนเขาไป ..
.
..."เราไม่ได้เป็นร่างกาย"
เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวนะ
"เราไม่ได้ตายไปกับร่างกาย"
..........................................
.
คัดลอกการแสดงธรรม
ธรรมบทเขา 23 / 10 / 2557
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





"บุญที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้อื่น รับใช้ผู้อื่น"

บุญที่เกิดจากการช่วยเหลือ รับใช้ผู้อื่น ถ้าเราไม่มีเงินทองแต่เรามีความรู้ความสามารถ หรือเราไม่ชอบใช้เงินทองทำบุญ เช่นบางคนก็มาบริการถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เน็ต ไม่ได้ซื้อข้าวของเองแต่มีคนอื่นเขาซื้อข้าวของมาให้ ซื้อเครื่องหมายเครื่องมือมาให้ แต่เรามีเวลา มีเวลาที่จะมาถ่ายทอด มีความรู้ที่จะมาถ่ายทอดสดได้

คนที่มีเงินเขาไม่มีเวลาเขาไม่มีความรู้ความสามารถเขาก็ให้ในส่วนที่เขาทำได้ เขามีเงินเขาก็ให้เงินสนับสนุน อันนี้ก็เป็นทาน ส่วนผู้ที่มาทำให้เกิดการถ่ายทอดสดนี้ได้ก็เรียกว่าเป็นการรับใช้ผู้อื่นหรือช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือให้ผู้ที่อยู่ทางบ้านได้มีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ซึ่งเป็นบุญที่สำคัญที่สุด เพราะถ้าเขาได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเขาก็จะได้รู้ว่าเขาต้องทำบุญอย่างไรบ้าง แล้วพอเขาได้ทำเขาก็จะได้หลุดพ้นกัน อันนี้ก็เรียกว่าการทำบุญด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นรับใช้ผู้อื่น

จะทำอย่างอื่นก็ได้ รับใช้พาคนแก่มาวัดก็ได้คนแก่อยากจะมาวัดมาไม่ได้ด้วยตัวเองเราก็ช่วยพามาทำบุญมาฟังเทศน์ฟังธรรม หรืออยู่วัดเห็นสถานที่สกปรก เช่น ห้องน้ำสกปรกก็ช่วยกันทำความสะอาด เห็นขยะก็ช่วยกันเก็บ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการรับใช้ผู้อื่นช่วยเหลือผู้อื่น ทำแล้วก็จะมีความสุขใจ เราอาจจะไม่มีทรัพย์ไม่มีเงินทองที่จะถวายสร้างโน่นสร้างนี่ แต่เรามีมือมีไม้มีตามีหูเห็นอะไรมันสกปรกเห็นอะไรมันไม่เรียบร้อยเราก็ช่วยกันเก็บช่วยกันกวาด อันนี้ก็เรียกว่าเราก็ได้ทำบุญเหมือนกัน เป็นความสุขจากการรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น.

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐

"บุญ"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต





"อัตตนา โจทยัตตานัง
จงเตือนตน ด้วยตนเอง
กล่าวโทษความผิดของตน ไว้เสมอ
อย่าไปสนใจ ความผิดของคนอื่น
ถ้าเราดีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าใครเลว
ถ้าเรายังเห็นว่าคนอื่นเลว
ก็แสดงว่าเรา ก็ยังเลวเช่นกัน"

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ)




"เมื่อทำแต่กรรมดีเรื่อยๆ ไป
จนเคยชินแล้ว กรรมชั่ว
มันจะละไปเอง โดยไม่รู้ตัว"

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี






"...คำว่าเข้าถึงธรรม คือเรารู้ธรรมเห็นธรรม คำว่ารู้ธรรมเห็นธรรมไม่ใช่คิดเอาเอง จิตต้องเข้าถึงอย่างแท้จริง จิตเกิดศรัทธา คำว่าศรัทธามันลืมความเหน็ดเหนื่อย มีแต่ความขยันความตั้งใจ จิตเข้าถึงธรรมมันเป็นอย่างนั้น มีแต่จะดูดดื่มอยู่เรื่อยๆ ถึงเช้าวันจันทร์แล้วก็ยังไม่อยากกลับบ้าน ยังอยากปฏิบัติอยู่อย่างนั้น นี้เขาเรียกว่าถึงธรรม

ถ้าจิตไม่เข้าถึงธรรมแท้จริง มันจะอยู่ที่กาลเวลา กำหนดเอาไว้ว่าวันจันทร์จะกลับบ้าน พอเช้าวันอาทิตย์นี่กำหนดแล้ว อยากจะกลับ บ้านแล้ว นี่มันต่างกันระหว่างจิตเข้าถึงธรรมกับไม่เข้าถึงธรรม ทำอย่างไรมันจึงจะเข้าถึงธรรม มันถึงจะดูดดื่มไม่เหน็ดไม่เหนื่อยมีแต่ความสุขความสบาย นี้ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ไม อินทสิริ





"...ให้ระลึกถึงโทษของความโกรธ ว่าความโกรธนั้นให้โทษประการต่าง ๆ หาคุณมิได้เลย ผู้ไม่โกรธตอบ ผู้โกรธตนก่อน ผู้นั้นได้ชื่อว่า ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย







"...ผลความดี มิใช่มี อยู่ที่ทรัพย์

คนคำนับ ให้ของขวัญ กล่าวสรรเสริญ

ผลความดี อยู่ที่ใจ ฝึกให้เจริญ

หมั่นดำเนิน ทางสายกลาง ไปทางพุทธ..."

โอวาทธรรมคำกลอน..
องค์หลวงปู่บุญกู้ อนุวฑฺฒโน






พุทธานุภาพ

ครั้งหนึ่งหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ และหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ได้มาพักบำเพ็ญธรรมอยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในระหว่างการเดินธุดงค์กรรมฐาน

ครั้นพอรุ่งเช้าท่านก็ออกบิณฑบาตได้อาหารมาพอประมาณ ขณะเดินกลับจากบิณฑบาตนั้น หลวงปู่พรหมท่านได้ผ่านบริเวณวัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระพุทธรูปเก่าๆ แตกหักพังตกเกลื่อนเต็มไปหมด ท่านจึงนั่งลงแล้วถวายการสักการะนมัสการ

แต่ภายในจิตใจของท่านนั้น ได้รำพึงขึ้นว่า..

“พระพุทธรูปเหล่านี้ไม่มีใครเหลียวแลและซ่อมแซมกันเลย ทิ้งระเกระกะอยู่เต็มไปหมด พระพุทธรูปเหล่านี้สิ้นความศักดิ์สิทธิ์แล้วละหรืออย่างไร”

ขณะที่หลวงปู่พรหมท่านกำลังรำพึงในใจอยู่นั้น ก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้น...แผ่นดินสะทือนเลื่อนลั่น กระดิ่งเก่าๆ ที่แขวนอยู่ชายโบสถ์หลังเก่านั้นถูกแรงสะเทือนดังเกรียวกราวขึ้น จนหลวงปู่พรหมต้องเข้ายึดเสาศาลาไว้เพราะกลัวแผ่นดินจะถล่ม

หลวงปู่พรหมท่านได้กำหนดรู้ด้วยวาระจิต และเห็นเป็นประจักษ์แก่ตัวของท่านเองว่า...ความอัศจรรย์ครั้งนี้ไม่ใช่แผ่นดินไหวแน่ แต่เป็นด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธรูปที่หักพังเหล่านั้น ท่านแสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมีจริงๆ ไม่ควรประมาทในสิ่งเหล่านี้ เพราะเป็นวัตถุบูชาชั้นสูงย่อมมีเทวดาปกปักรักษาอยู่เสมอ

เมื่อหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ ท่านเห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้แล้ว บังเกิดปีติขนพองสยองเกล้า ท่านจึงนั่งลงกราบขอขมาลาโทษต่อพระพุทธรูปเหล่านั้น บัดนี้หลวงปู่พรหมมีความเชื่อมั่นในพุทธานุภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่ยิ่ง ท่านจึงมีความมานะพยายามที่จะบำเพ็ญธรรมขั้นสูงต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง

ที่มา:หนังสือชีวประวัติของพระอาจารย์พรหม จิรปุญฺโญ






"...จิตที่มีความใสสะอาดบริสุทธิ์ประภัสสรไม่อาจปรากฏได้เลย คือจิตของผู้ที่ยังเกลือกใกล้กิเลสมากหลาย กิเลสยังมาปกคลุมหุ้มห่อจิตอยู่หนาแน่นมาก มากทั้งโลภะ มากทั้งโทสะ มากทั้งโมหะ

ผู้มีจิตเช่นนี้ ย่อมเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนนานาประการ ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น จิตเช่นนั้น จึงเป็นที่น่ารังเกียจ..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
องค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวัฑฺฒโน)






"...คำว่า "ธรรม" แปลตามศัพท์ว่า ทรงไว้ คือดำรงอยู่ เฉพาะในที่นี้ท่านว่าหมายถึง สัจจะ คือความจริงที่เป็นความจริง ไม่ใช่ของเท็จของปลอม ย่อมทรงหรือดำรงความจริงอยู่เสมอ ความจริงที่แน่แท้ ย่อมมีลักษณะเป็นธรรม คือทรงหรือดำรงอยู่นั่นเอง

และคำว่า สัจจะ ที่แปลว่าความจริง ก็แปลตามศัพท์ว่า สภาพที่มีอยู่ และเป็นอยู่ อันสิ่งที่มีอยู่ และเป็นอยู่ได้ ก็ต้องเป็นสิ่งที่ทรงตัว หรือดำรงตัวอยู่ได้ เหมือนอย่างชีวิต ทรงชีวิต หรือมีชีวิตก็หมายถึง ยังเป็นอยู่ยังไม่ตาย ก็เช่นเดียวกัน

ฉะนั้น ธรรมจึงได้แก่ความจริง เรียกควบกันเป็นศัพท์ว่า "สัจธรรม" พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม คือตรัสรู้ความจริง..."

พระโอวาทธรรมคำสอน..
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก(เจริญ สุวัฑฺฒโน)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO