นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 7:18 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: แก้กันที่จิต
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 15 มี.ค. 2017 5:17 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
พระอรหันต์ที่เกิดจากสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มีจำนวนเท่าไหร่
สายที่ไม่มีพระอรหันต์เลย ไปเรียนทำไม?

การไปเรียนกับคนไม่รู้ ก็เหมือนกับคนตาบอดสอนคนตาบอด พวกที่ไม่รู้คือคนตาบอด ต้องไปเรียนกับคนที่รู้ สมัยนี้เราไม่รู้ว่าใครรู้หรือไม่รู้ ถ้าไปเจอคนป้อนอาหารผิด แทนที่จะเอาอาหารมาป้อน ดันเอายาพิษมาป้อน เบื้องต้นอย่างน้อยเราต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนวิธีปฏิบัติอย่างไร หลังจากนั้นเราค่อยไปเรียนกับผู้อื่น ผู้อื่นที่เราไปเรียนเราต้องศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติผู้สอนด้วยว่าเขาเรียนมาจากที่ไหน สถิติคือคนที่เรียนจบจากเขานี้มีกี่คน เหมือนกับสถาบันการศึกษา เราก็ต้องไปเลือกดูว่าสถาบันนี้เป็นอย่างไร มีคนเรียนจบกี่คน ได้ดิบได้ดีกันกี่คน

นี่ก็พูดเปรียบเทียบให้ฟัง อย่างปัจจุบันนี้ที่เรารู้จักกันก็คือ สายของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านก็มีสถิติให้เราวัดดูได้ พระอรหันต์ที่เกิดจากสายหลวงปู่มั่น มีจำนวนเท่าไหร่ การที่จะรู้ว่ามีพระอหันต์หรือไม่ ก็เวลาท่านตายไป กระดูกของท่านจะกลายเป็นพระธาตุ ถ้ากระดูกกลายเป็นพระธาตุก็แสดงว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องไปเรียนกับสายที่มีพระอรหันต์เยอะๆ สายที่ไม่มีพระอรหันต์เลย ไปเรียนทำไม? แต่คนไม่รู้กัน คนไม่รู้จักเลือกโรงเรียน หรือถูกคนที่ไม่รู้ด้วยกันมาลากจูงไป ก็เลยไม่ได้ไปเรียนที่ถูกสถาบัน ถูกที่

แล้วอีกอย่างบางคนก็ไม่อยากจะเรียน เพราะการเรียนแต่ละสถาบันของพระพุทธศาสนานี้ก็มีหลายระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถม ระดับมัธยม ระดับอุดมศึกษา บางทีคนที่เขาไม่สนใจเรียนระดับอุดมศึกษาเขาก็ขอเอาแค่ระดับอนุบาล ก็แค่ทำบุญใส่บาตร ใส่บาตรที่ไหนเขาก็ได้บุญแล้ว เขาก็มีความสุขแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่ต้องไปเลือกมาก แต่คนที่ต้องการขั้นอุดมศึกษานี้ เขาจะเลือก เหมือนเราเลือกมหาวิทยาลัย เราก็ต้องไปศึกษาหาดูว่ามหาวิทยาลัยไหนผลิตบัณฑิตออกมา แล้วบัณฑิตที่จบมาไปทำงานทำการได้ดิบได้ดีมากน้อยเพียงไร

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราอยากเรียนระดับภาวนา ระดับมรรคผลนิพพานนี้ เราก็ต้องไปเรียนกับพระอริยะเจ้าทั้งหลาย พระสุปฏิปันโนทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระ ฆราวาสไม่ค่อยมี นี่ก็เป็นวิธีที่เราจะเลือกครูเลือกอาจารย์กัน..

..เราเองก็ได้ไปแสวงหาาถาบัน วัดป่าที่มีปฏิบัติอย่างเดียว สถานที่สงบ สงัด วิเวก ที่ท้าทายต่อการเจริญปัญญา ปัญญาก็คือไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ถ้าอยู่ในที่ปลอดภัยมันจะไม่เห็นไตรลักษณ์ มันต้องไปอยู่ในที่อันตรายมันถึงจะเห็นไตรลักษณ์ โอ้ร่างการไม่เที่ยงหน่อ มันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยู่ใกล้กับสิงสาราสัตว์ต่างๆ มันต้องไปพิสูจน์ธรรม ว่าใช้ได้ผลมั๊ย ดับความทุกข์ได้มั๊ย ก็เลยต้องไปแสวงหาวัดป่า ครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ได้ ขอให้ท่านสนับสนุนในเรื่องการปฏิบัติ ไม่มีการก่อสร้าง ไม่สร้างโบสถ์ ไม่สร้างถาวรวัตถุ ไม่สร้างอะไรต่างๆ ให้เน้นแต่การปฏิบัติภาวนาอย่างเดียว เราก็โชคดีได้ทราบว่าวัดป่าของหลวงตามหาบัว (วัดป่าบ้านตาด) เป็นวัดที่เน้นแต่การปฏิบัติภาวนา เราก็เลยขออนุญาตท่าน แล้วขึ้นไปอยู่ไปปฏิบัติที่นั่น

พอได้ไปอยู่วัด เราก็ได้ยินได้ฟังคำสอนที่ละเอียดละออมากกว่าคำสอนที่ได้จากตำรา ท่านมีอุบายวิธีหลากหลายที่ไม่มีในตำรา พอได้จากครูบาอาจารย์ วิธีการทรมานกิเลสด้วยวิธีการต่างๆ นั่งนานๆ เดินนานๆ อดอาหาร มีความเคร่งครัดในธุดงควัตร ฉันมื้อเดียว ฉันในบาตร ไม่รับอาหารหลังจากกลับมาจากบิณฑบาตแล้ว อยู่ในป่า ถือผ้าบังสกุล เหล่านี้จะเสริมในการปฏิบัติภาวนา อันนี้ก็ได้รับประโยชน์จากการที่ได้ไปอยู่ไปศึกษาจากผู้สอนที่ท่านได้ปฏิบัติมาแล้ว มันก็ทำให้การปฏิบัตินี้คืบหน้า แล้วก็ไม่หลงทาง

นี่คือลักษณะของการไปเรียนกับคนตาดี รู้หมด รู้ทุกอย่าง รู้วิธี รู้ทางที่จะไปถึงพระนิพพานจะไปอย่างไร แล้วอุปสรรคที่ขวางกั้นมีอะไรบ้าง ทุกขั้นมีอุปสรรคเหมือนมีอะไรมาหลอกมาล่อให้เราหลงได้ ขั้นสมาธิก็จะให้เราหลงติดอยู่กับสมาธิ ขั้นปัญญาก็จะให้เราหลงกับการพิจารณาเลยแบบไม่มีขอบไม่มีเขต พิจารณาทางด้านปัญญาจนฟุ้งซ่านขึ้นมา มันมีอะไรที่คนที่ไม่ปฏิบัติจะไม่รู้ ถ้าคนที่ปฏิบัติแล้วไปเจอปัญหาต่างๆเหล่านี้ ไปเล่าให้คนที่เขาผ่านมาแล้ว เขาจะรู้ แล้วก็จะชี้แนะวิธีแก้ได้อย่างง่ายดาย ว่าทำอย่างนี้สิ ทำอย่างนั้นสิ ก็จบแล้ว เพราะทำตามที่ท่านพูดใว้ก็สบาย ไม่ต้องมา งง ไก่ตาแตก ว่าเป็นอะไร อาจจะแก้ได้ แก้ไม่ได้ ก็อาจเสียเวลาไปนาน หรือแก้ไม่ได้ถ้าปัญญาตัวเองไม่แหลมคมพอ

นี่คือประโยชน์จาการที่ได้เรียนจากคนที่ปฏิบัติจริงรู้จริงเห็นจริง เราก็ต้องศึกษาดู การที่เราจะรู้ว่าคนเหล่านี้รู้จริงเห็นจริงหรือไม่ เราก็ต้องศึกษามาส่วนหนึ่งก่อน ว่าเขาสอนตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือเปล่า แล้วเราก็ต้องได้ปฏิบัติบ้าง พิสูจน์ว่าวิธีที่เขาสอนได้ผลหรือไม่ ถ้าเราไม่รู้อะไรเลยก็ต้องเชื่ออย่างเดียว ถ้าไปได้ครูผู้รู้จริงเห็นจริงก็โชคดีไป ถ้าไปได้ครูที่ไม่รู้จริงเห็นจริงก็ซวยไป

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ธรรมะบนเขา ณ จุลศาลา เขตปฏิบัติธรรมเขาชีโอน
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี
วันที่ 6 กรกฎาคม 2559






จะต้องพูดเรื่อง "ปัจจัตตัง" และ "ฐีติจิต" อีกครั้งหนึ่ง "ปัจจัตตัง" เป็นอย่างไร "ฐีติจิต" เป็นอย่างไร

"ปัจจัตตัง" คือรู้เอง เห็นเอง
ส่วน "ฐีติจิต" คือ "จิตดั้งเดิม" ท่านเปรียบว่า "อัปปนาสมาธิ", "อัปปนาจิต" และ "ฐีติจิต" ต่างอยู่ใน "ฐานเดียวกัน" แต่มีชื่อต่างกัน
"อัปปนาสมาธิ" เป็นจิตที่แน่วแน่ ลงไปจนถึง "จิตเดิม"
"อัปปนาจิต" ก็เหมือนกัน "ฐีติจิต" ก็เหมือนกัน

"ฐีติจิต" เป็นจิตที่ "ว่าง" ไม่มีอารมณ์ เป็น "จิตเดิม" เป็นจิตที่ท่านเรียกว่า "ประภัสสร" แจ้งสว่าง จะ "อธิบายให้ฟัง" ถ้าผู้เข้าไม่ถึง "ไม่เห็น" ผู้เข้าถึง "เห็น" ใครจะพูดอย่างไรก็ช่าง ไม่สนใจ เพราะรู้อยู่แล้วเป็น "ปัจจัตตัง"

"อัปปนาสมาธิ" นี้ จิตนั้นไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีมืด ไม่มีมัว
เหมือน "พระอาทิตย์" ท่านส่องสว่างอยู่ แต่ที่พระอาทิตย์จะมืด จะมัวเศร้าหมอง เพราะ "ขี้เมฆ" เข้ามาบดบังพระอาทิตย์ ไม่ใช่ พระอาทิตย์เลื่อนเข้าไปหาขี้เมฆ นี่ท่านเปรียบไว้นัยหนึ่ง

"ธรรมชาติของจิต" มันเป็น "ของใสบริสุทธิ์" หากแต่มีกิเลสเข้ามาหมักหมมบดบังจึงได้ฝ้าฟางไป

ถ้าใช้ "สติปัญญา" ชำระให้ดี ๆ แล้ว มันก็จะ "ลงสู่สภาพบริสุทธิ์" อีกนัยหนึ่งท่าน "เปรียบขี้เมฆ" นั่นแหละ

เรื่อง "ฐีติจิต" นี้ถ้า "ขาดสติปัญญา" แล้วถอนขึ้นมา ไม่มีสติปัญญานะ เมื่อ "ขาดสติปัญญา" พลั้งเผลอถอนขึ้นมาปล่อยถอนขึ้นมาเฉย ๆ
ประสบอารมณ์อะไร เป็นกิเลสไปเลย นี่มันจะหยุดไม่ได้
มันเผลอสติของเราไม่ดี

ท่านว่า "จิต" เป็นของพิสดารมากมาย แต่ว่าถ้า "ฐีติจิต" ตัวนี้ได้รับการ "อบรม" ด้วย "สติปัญญา" ดีแน่ชัดแล้ว ก็ลงสู่สภาพเดิมอันใสบริสุทธิ์....

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ






"อุปจาระ" มี ๒ ตอน ๒ ระยะ
"ระยะหนึ่ง" ก่อนจิตรวมลงถึง "ฐีติจิต" อีกระยะหนึ่ง "รวมถึงฐีติจิต" แล้วถอนขึ้นมา...

"ความรู้วิชาต่างๆ" ก็ได้มาตอนนี้ แต่รู้แล้วหลงหรือไม่หลงนี่... มันสำคัญตรงนี้ "อารมณ์" ไหนก็ตาม ได้ "นิมิต" เห็นสวรรค์ เห็นนรกปรากฏ ก็เห็นใน "นิมิตร" นรกก็พิจารณานรก มันเป็นยังงั้น พิจารณา "ทุกข์" ใจสลดสังเวช

"ทุกข์" ทุกข์ในอดีต คือเกิด แก่ เจ็บ ตายจึงเป็นเหตุ สลดสงสารชาติของตนที่ท่องเที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตายในอดีตไม่มีที่สิ้นสุด

บางองค์ "ระลึกชาติ" ได้ก็มี บางองค์ "ระลึกชาติไม่ได้" ก็มี แต่ "เรื่องระลึกชาติไม่ใช่เรื่องพ้นทุกข์"
งานของธรรม คือ "งานถอนวัฏฏะ"

"ทำจุดเดียว กำหนดลงที่เดียว" ดังนั้นถ้าเรากำหนดตรงไหนถูกกับจริตนิสัยของเรา ก็รีบทำเสีย ให้เห็นชัดลงนี่แหละ

งานของโลกเป็นงานติดต่อต่อเนื่องกันเหมือนสายโซ่ ส่วนงานของธรรมไม่ใช่เช่นนั้น จับที่เดียวเท่านั้น "สังขาร วิญญาณ นามรูป ภพชาติ" ตรงไหนก็ได้ "จุดเดียว"
ที่เดียวเจาะลงไปเลย

"ภูมิอุปจารสมาธิ" คือ "ภูมิของสมถวิปัสนา"
"สมถะ" คือตัว "สติ"
"วิปัสสนา" คือตัว "ปัญญา"

มันอันเดียวกันนี่แหละ เรียกชื่อต่างกัน
สมมติ สติ เปรียบเหมือนไฟ แต่ปัญญาก็คือแสงสว่างของไฟต่างหาก ถ้าไฟมีกำลังมากแสงสว่างก็มาก ถ้าสติมันดีปัญญามันก็ดี เราจะเรียกว่าแสงสว่างเป็นไฟก็ไม่ได้ เรียกไฟเป็นแสงสว่างก็ไม่ได้

ไฟต่างหาก แสงสว่างต่างหาก แต่ก็อันเดียวกัน หยั่งลงทีเดียว รู้เรื่องกัน ไม่สงสัยเลย

สมมติว่าเรากำลังพิจารณาหนัง หนังเป็นของสกปรกโสโครก เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันอื่นก็เหมือนกัน มันเป็นอย่างนี้เรื่องธรรมะ
ข้อสำคัญ พิจารณาให้ "แน่วแน่" ก็แล้วกัน ให้เห็นชัด ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาเหตุ หาปัจจัยของมันเท่านั้น มันก็รู้เรื่องกันขึ้น

หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ





ก็นึกขำเหมือนกันนะ
มนุษย์เราทั้งหลายเมื่อจะตายแล้วก็โศกเศร้า วุ่นวาย
นั่งร้องไห้เสียใจสารพัดอย่าง หลงไปสิโยม
โยมมันหลงนะ พอคนตายก็ร้องไห้พิไรรำพัน
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้พิจารณาให้ชัดแจ้งนะ
ความเป็นจริงแล้ว อาตมาเห็นว่า ถ้าจะร้องไห้กับคนตายน่ะ
ร้องไห้กับคนที่เกิดมาดีกว่า แต่มันกลับกันเสีย
ถ้าคนเกิดมาแล้วโยมทั้งหลายก็หัวเราะดีอกดีใจกันชื่นบาน
ความเป็นจริงเกิดนั่นล่ะคือตาย ตายนั่นล่ะก็คือเกิด
ต้นก็คือปลาย ปลายก็คือต้น

หลวงปู่ชา สุภทฺโท





จะนั่งหัวแถวหรือหางแถวก็ไม่แปลก
เหมือนเพชรนิลจินดา
จะวางไว้ที่ไหนก็มีราคาเท่าเดิม
และจะได้เป็นการลดทิฐิมานะให้น้อยลงไปด้วย

หลวงปู่ชา สุภทฺโท






ถ้าเราเอาชนะตัวเอง
มันก็จะชนะทั้งตัวเองชนะทั้งคนอื่น
ชนะทั้งอารมณ์ ชนะทั้งรูป ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น
ทั้งรส ทั้งโผฎัฐพพะ
เป็นอันว่าชนะทั้งหมด

หลวงปู่ชา สุภทฺโท






"ถ้าขาดความอดทน
ความดีอื่น ก็ไม่เจริญ
อด คือ อดต่อสิ่งที่ชอบ
ทน คือ ทนต่อสิ่งที่ชัง"

-:-หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม-:-







"ผู้ชนะนั้น มักเข้าใจว่า ตนเองเป็นผู้ได้
แต่โดยที่แท้ เป็นผู้เสีย คือ เสียไมตรีจิต
ของอีกฝ่ายหนึ่งไปหมดสิ้น หรือจะเรียกว่า
ได้ ก็คือ ได้เวร เพราะผู้แพ้ ก็จะผูกใจ
เพื่อจะเอาชนะต่อไป

จึงเป็นอันว่า ไม่ได้ความสุข
ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ส่วนผู้ที่ละได้
ทั้งแพ้ และชนะ จึงจะได้ความสงบสุข
ทั้งนี้ ก็ด้วยการไม่ก่อเรื่อง ที่จะต้องเกิด
มีแพ้ มีชนะกันขึ้น

แต่เมื่อจะต้องให้มีเรื่อง ให้แพ้ฝ่ายหนึ่ง
ชนะฝ่ายหนึ่ง ก็ควรจะต้องมีใจหนักแน่น
พอที่จะเผชิญได้ทุกอย่าง"

-:-สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ-:-







การแก้กิเลส ไม่ได้แก้อยู่สถานที่โน่นสถานที่นี่อะไร แต่แก้กันที่จิต ถ้าว่าสถานที่ก็คือจิตนี้แล อยู่ตรงนี้ไม่อยู่ที่อื่น ขอให้ทุกท่านฟังอย่างถึงใจ ปฏิบัติแก้กิเลสของตนอย่างถึงใจ ให้เห็นว่ากิเลสนี้เป็นภัยอย่างยิ่งสำหรับหัวใจเรา จะพาให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดในภพน้อยภพใหญ่ ได้รับความทุกข์มากน้อย ล้วนแล้วแต่ไปจากกิเลสทั้งนั้น ไม่ไปจากที่อื่นเลย การแก้กิเลส การเห็นกิเลสเป็นภัยจึงทำให้จิตใจมีความพอใจ หรือมีความอาจหาญที่จะแก้กิเลสโดยลำดับ ผู้ใดที่ได้เป็นความสะดุดใจเข้าใจว่ากิเลสเป็นข้าศึกต่อตนแล้ว จะมีทางต่อสู้กัน ถ้าเห็นกิเลสเป็นตน ตนเป็นกิเลส เห็นกิเลสเป็นเรา เราเป็นกิเลสอยู่แล้ว กิเลสนั้นแลจะพาเราจม ครั้นจมลงไปแต่กิเลสกับขึ้นอยู่บนคอเรา (หัวใจเรา) หาทางฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาไม่ได้เลย

ขอให้ทุกท่านนำไปประพฤติปฏิบัติให้ถึงใจ ในส่วนหยาบก็ได้เคยอธิบายให้ฟังแล้วในเบื้องต้นแห่งกัณฑ์นี้ การประพฤติปฏิบัติให้มีความขยันหมั่นเพียร หูไว ตาไว คิดอ่านไตร่ตรอง อย่าอยู่เฉยๆ ให้มีความแกล้วกล้าสามารถ อย่าแสดงความอ่อนแอ พระพุทธเจ้าทรงมีความขยันหมั่นเพียรมากไม่มีใครเสมอเหมือน ศาสนธรรมที่ออกมาจากพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมที่สอนคนให้มีความขยันหมั่นเพียรในทางที่ดีที่ชอบ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ จนกระทั่งถึงขั้นเป็นที่พึงพอใจ ให้นำไปประพฤติปฏิบัติ ให้ได้รับผลรับประโยชน์ จะบวชมาเวลามากน้อย ในขณะที่เราบวชนี้ให้ทุ่มเวลาลงเพื่อความพากเพียรอย่าให้เสียผลเสียประโยชน์ อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ซึ่งเราเคยคิดมาแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร นอกจากจะเกิดโทษภายในจิตใจให้มีความกังวลและมัวหมองต่อจิตใจเท่านั้น ให้ทราบถึงมันว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยและเห็นโทษของมัน อย่าสนใจไปคิด จะเหมือนไปคว้าเอามูตรเอาคูถมาฉาบทาตัวให้เหม็นคลุ้งไปตลอดกาลสถานที่ ไม่มีประมาณว่า ความเหม็นคลุ้งของกิเลสจะออกจากใจลำพังตนเอง โดยไม่ชำระซักฟอกปราบปราม

เวลานี้เราเป็นลูกตถาคต จะเป็นอยู่กี่วันกี่เดือนก็ตาม (พระบวชชั่วคราวก็มีสับปนกันฟัง) ให้ทำหน้าที่ของตนเต็มภูมิอย่าได้ลดละ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกบวชไม่มีใครตามส่งตามเสีย ไม่มีญาติโยม ไม่มีผู้ตามอุปถัมภ์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเลย สละออกจากความเป็นกษัตริย์ลงสู่ความเป็นคนขอทาน ใครจะลำบากลำบนยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี ความลำบากพระพุทธเจ้าทรงเผชิญมาแล้ว ก่อนที่จะได้ตรัสรู้ปรากฏว่าทรงสลบไสลถึง ๓ ครั้งว่าไง ถ้าหากไม่ฟื้นก็ตาย นี่คือความทุกข์มากถึงขั้นสลบนั่นเอง ถ้ายิ่งกว่านั้นก็ถึงขั้นตาย นี่ลำบากไหมพระพุทธเจ้าผู้ทรงบำเพ็ญมาก่อน ที่เป็นแนวหน้าของพวกเรา เราจะมีแต่ความอ่อนแอ ง่วงเหงาหาวนอนเต็มตัวอยู่อย่างนั้น เป็นได้เหรอลูกศิษย์ตถาคต ควรเป็นไปได้เหรออย่างนั้นน่ะ ฉะนั้นให้พิจารณา

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๑


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO