นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 5:40 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 21 ม.ค. 2017 4:27 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
"ทำใจให้เป็นเกียร์ว่าง"

เวลาเราไปถอนฟันนี้ หมอฉีดยาชาให้ เวลาหมอถอนไม่รู้ว่าหมอเสร็จแล้ว แต่ถ้าไม่ฉีดยาชาแล้วลองให้หมอถอนดูสิ ใจจะดิ้น ไอ้ที่ดิ้นนี้ไม่ใช่ร่างกายดิ้นนะ ใจดิ้น เพราะใจมันไม่ชอบความเจ็บมันเข้าเกียร์ถอยหลังทันที พอเจอความเจ็บนี้มันจะเข้าเกียร์ถอยหลัง แต่ถ้าเรามาฝึกสมาธิทำใจให้เข้าเกียร์ว่างได้ไม่ต้องฉีดยาชาก็ได้ ทนได้

พระอรหันต์ พระพุทธเจ้า ท่านถึงไม่เดือดร้อน เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาที่ท่านตายเพราะใจของท่านเข้าเกียร์ว่างอยู่ตลอดเวลา ท่านรับรู้ความเจ็บของร่างกาย แต่ท่านไม่วิ่งหนี ท่านไม่กลัว ความทุกข์เกิดจากความกลัว เกิดจากความวิ่งหนี แต่ถ้าอยู่เฉยๆแล้วจะไม่ทุกข์ ถ้าเข้าเกียร์ว่างแล้วจะไม่ทุกข์
อันนี้แหละ มันเป็นผลที่เราจะได้รับจากการปฏิบัติ

ในสติปัฏฐาน ๔ ท่านจะสอนให้เรา ตอนต้นเจริญสติ ด้วยการดูร่างกาย ด้วยการดูการเคลื่อนไหวของร่างกาย อย่าปล่อยให้ใจไปคิดถึงอดีต ถึงอนาคตให้อยู่ในปัจจุบัน อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ก็คือการเคลื่อนไหวต่างๆ ของร่างกาย ถ้าเราอยู่กับร่างกายได้ เวลานั่งเราก็จะอยู่กับลมได้ ใจก็จะไม่ไปคิดเรื่องราวต่างๆ พอไม่คิดนั่งเดี๋ยวเดียวจิตก็รวมเข้าสู่ความสงบ เข้าเกียร์ว่างได้ พอค้นเกียร์ว่างเจอแล้ว ต่อไปก็สบาย เวลาเจอเหตุการณ์อะไรต่างๆ ก็ดึงใจให้อยู่ในเกียร์ว่าง ให้เฉยๆ ไม่ให้ตอบโต้ ไม่ให้มีปฏิกิริยากับสิ่งที่ใจมาพบเห็น ได้ยินเสียงที่ไม่ดีก็ให้เฉยไว้ ใครเขาด่าก็เฉยไว้ ใครเขาชมก็เฉยไว้ ถ้าเคยเข้าเกียร์ว่างเป็นมันจะเข้าได้ มันจะอยากให้ใจเฉยๆ ไม่ต้องไปยินดียินร้าย

ยินดีก็เกิดความอยาก อยากให้เขาชมต่อไป ถ้าเขาไม่ชมก็เสียใจ ถ้ายินร้ายเขาด่าก็เสียใจ ยินร้ายก็ทุกข์อีก อยากจะให้เขาหยุดเขาไม่หยุดก็ทุกข์อีก แต่ถ้าอยู่เกียร์ว่าง เฉยๆ ก็ปล่อยเขา เขาอยากจะด่าก็ปล่อยให้เขาด่าไป เดี๋ยวเมื่อยเขาก็หยุดเอง อย่างเหมือนเสียงนี้ เสียงสัตว์มันร้องอยู่นี่ เราไม่ต้องไปสั่งให้มันหยุด เดี๋ยวร้องจนเหนื่อยมันก็หยุดของมันเอง เห็นไหมเสียงนี้ยังร้องอยู่เลย รู้มั้ยเสียงอะไร เอาลองเดาดูสิ ก๊อกก๊อก ก๊อกก๊อก เสียงกระรอก ตอนนี้มันกำลังจีบกันมั้ง (หัวเราะ)

นี่คือการฝึก ขั้นต้องมีสติตอนต้น เพื่อดึงใจให้เข้าเกียร์ว่างได้ ถ้าไม่มีสติจะเข้าเกียร์เดินหน้าถอยหลังอยู่นั่น เห็นอะไรชอบก็ใส่เกียร์เดินหน้า เห็นอะไรไม่ชอบก็เข้าเกียร์ถอยหลังเลย เวลาเข้าเกียร์มันก็จะเหนื่อยเพราะจิตต้องทำงานเข้าหาสิ่งที่ชอบก็เหนื่อย วิ่งหนีสิ่งที่ไม่ชอบก็เหนื่อยแต่ถ้าเข้าเกียร์ว่าง จะไม่เหนื่อย เฉยๆ ปล่อยให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เราไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ มันเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ก็คือมันเป็น ไตรลักษณ์ เกิดๆ ดับๆ ขึ้นๆ ลงๆ อนัตตาก็คือ เราไปห้ามมันไม่ได้สั่งมันไม่ได้ อย่างตอนนี้ (เสียงสัตว์ร้อง) เราไปหยุดมันไม่ได้ห้ามมันไม่ได้ สมมุติว่ามันกำลังด่าเรานี้ เราก็จะห้ามมันไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจภาษาว่ามันด่าเรานี้ เราจะทำยังไง นี่มันด่าเราอยู่นี่ แต่พอดีเราไม่เข้าใจความหมาย เราก็เลยฟังได้ ถ้าเกิดเป็นเสียงด่าเราเราจะทนได้ไหม มันก็เสียงอันเดียวกันนี่ เพียงแต่ตอนนี้เราไม่เข้าใจความหมายของเสียงที่เขาพูดเท่านั้นเอง เสียงด่าก็แบบนี้ใช่ไหม เสียงด่ากับเสียงชมมันก็เสียงอันเดียวกันใช่ไหม ทำไมมันทำให้เราดิ้นได้ล่ะ เสียงชมก็ทำให้เราวิ่งเข้าหา เสียงด่าก็ทำให้เราวิ่งหนี เพราะใจเราไม่มีเกียร์ว่าง ถ้าเรามีสติเราก็จะดึงใจให้อยู่ในเกียร์ว่างได้

ฉะนั้น การเจริญสติ จึงเป็นงานขั้นต้นเป็นงานอันดับแรกของผู้ปฏิบัติ เพราะถ้าไม่มีสติจะไม่สามารถดึงใจให้อยู่ในเกียร์ว่างได้ อยู่ในสมาธิ อยู่ในอุเบกขาได้ จึงต้องฝึกสติตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาเลย เพราะเราสามารถฝึกได้ตลอดเวลา ไม่ต้องไปอยู่วัด ไม่ต้องไปอยู่ที่ไหน สติอยู่ที่ใจ อยู่ที่ร่างกายนี้ ให้สติให้ใจอยู่กับร่างกาย ร่างกายทำอะไร ใจก็ทำกับร่างกาย อย่าไปทำอย่างอื่น เราชอบทำสองสามอย่างพร้อมกัน บางทีเรากินข้าว เราก็ยังนึกถึงงานที่เราจะไปทำต่อ อันนี้แสดงว่าใจไม่ได้อยู่กับร่างกาย ไม่มีสติแล้ว ไม่อยู่ในปัจจุบัน ไปอนาคตแล้ว และคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ตัดมันไปเถอะ อดีตมันไม่มี อนาคตมันไม่มี เราส่งใจไปหามันเอง เราคิดขึ้นมาเอง พอเราหยุดคิดเราก็จะรู้ว่า ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบัน ความจริงมีอยู่แค่ปัจจุบันนี้

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติแล้ว ใจเราจะนิ่ง ใจเราจะอยู่ในเกียร์ว่างได้ และเกียร์ว่างนี่แหละ ให้ความสุขกับใจอย่างยิ่ง.

สนทนาธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






"เป็นมิตรกันอย่ายืมเงินกัน"

ถาม : เขายืมเงินเราแล้วไม่คืน แล้วเราก็ว่าทำบุญทำทานไปซะ จะได้กุศลไหมครับ

พระอาจารย์ : ได้ เพราะใจเราจะสบาย ใจเราจะไม่หงุดหงิด มาคอยรอเมื่อไรจะคืนกูสักที พอคิดว่าเป็นการทำบุญมันก็เออจบสบายใจ งั้นขอให้คิดทุกครั้งที่ใครมายืมเงินนี้ว่าถูกปล้น หรือเป็นการทำบุญแล้วจะสบายใจ แล้วต่อไปจะได้จำไว้ว่าใครที่จะเป็นโจรนี่ก็คือคนที่จะมาขอยืมเงินเรานี่แหละ คบไม่ได้ เราก็เหมือนกันเราก็อย่าไปยืมเงินคนอื่น เพราะเราจะกลายเป็นโจรเหมือนกัน งั้นอย่ายืมเงินกัน แต่ถ้าเดือดร้อนก็เล่าให้ฟังได้ ว่าโอ้ยตอนนี้เดือดร้อนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้าเขาเมตตาสงสารเขาก็จะช่วยเราเอง แต่อย่าไปรบกวนอย่าไปพูดขอเขามันทำให้เขาไม่สบายใจ เพราะเขายังอยากจะเป็นมิตรกับเราอยู่ ยังอยากเป็นเพื่อนกับเราอยู่ แต่เรามาทำตัวในลักษณะจะเป็นศัตรูกับเขาแล้วเพราะการไปยืมเงินกับเขา งั้นถ้าเราอยากจะเป็นมิตรกัน เราอย่าขอยืมเงินกันอย่าไปขอความช่วยเหลือกัน แต่เราเล่าสู่กันฟังได้ว่าตอนนี้กำลังมีเรื่องราวอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าเขาเมตตาเขาพอจะช่วยเหลือได้เขาก็จะช่วยเหลือเอง ถ้าเขาไม่พร้อมเราก็อย่า จะได้เป็นมิตรกันอยู่ได้ เพราะว่าถ้าเราไปขอความช่วยเหลือถ้าเกิดเขาไม่ช่วยเหลือเรา เราก็จะเสียใจและเราก็จะคิดว่าไม่เป็นมิตรแท้แล้ว ซึ่งบางทีมันไม่ใช่หรอกบางทีเขาไม่พร้อมหรือเขาเห็นว่ามันไม่เป็นสิ่งที่ควรจะช่วยกัน บางสิ่งบางอย่างเราต้องรู้จักช่วยตัวเอง หัดแก้ปัญหาของเราไป แล้วยอมรับผลจากการที่เกิดปัญหานี้ขึ้นมา

ถ้าเรายอมรับวิบากกรรมของเรา เราก็ไม่ต้องไปขอร้องใครไปขอความช่วยเหลือจากใคร แล้วเราก็จะมีศักดิ์มีศรี ถ้าเราไปขออะไรเขานี่เรากลายเป็นขอทาน.

ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๐

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต






“...บรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือ ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา หรือสมบัติต่างๆ

เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ ตรงกับคำว่า สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่คำดี ปภาโส





"...มนุษย์เราจึงดีเพราะธรรม เพราะความประพฤติ มีคุณค่าเพราะความประพฤติ สัตว์มีคุณค่าเพราะเนื้อเพราะหนังอวัยวะ และกำลังงานของมัน สัตว์ตัวหนึ่งๆ ตายลงไปเนื้อหนังมังสังตลอดอวัยวะต่างๆ ของมันเป็นเงิน เป็นทองจนกลายเป็นสินค้าซื้อขายกันทั่วโลกให้คน และสัตว์ได้อาศัย มีความสุขเป็นชีวิตจิตใจตลอดมา

การทำตัวให้ดีด้วยความรู้ความประพฤติ หน้าที่การงานที่สะอาด ปราศจากโทษเท่านั้น จะเป็นเครื่องส่งเสริมคุณค่าเกียรติยศชื่อเสียง ให้คนเป็นคนสมบูรณ์แบบ และทรงคุณค่าอันสูงส่งไม่มีประมาณไว้ได้

ชาวโลกเคารพนับถือ ไม่มีใครรังเกียจเกียรติยศ ชื่อเสียงก็หอมหวนทวนลม ใครอยู่ที่ใดก็อยากชมบุญบารมี เวลาตายก็สลายไปเพียงรูปร่าง ส่วนคุณงามความดีทั้งหลาย ยังฟุ้งขจรอยู่ในโลก มิได้สลายร่วงโรยไป..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน






“...เที่ยววิ่งขอธรรมะ แต่ไม่ยอมปฏิบัติเสียสักที เหลาะๆ แหละๆ ไม่เอาจริงสักที ระวังเน้อ! สะสมธรรมะมากไม่ดี พุงจะแตกเอา! ต้องนำออกมาระบาย คือการพิจารณาแยกเหตุแยกผลของธรรมะบ้าง

เราเรียกว่าวิปัสสนาก็ได้ เอา! ลองดูซิ ความจริงธรรมะนั้นไม่มีใครเขาให้มีมากหรอก มันจะฟุ้งซ่าน บางทีเกิดลังเลสงสัย ต้องแสดงออกเลย ความลังเลจึงจะหมด แล้วจะคลายสงสัยได้เด็ดขาดเลย...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร
วัดประชาชุมพลพัฒนาราม อ.เมือง จ.อุดรธานี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO