นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 2:27 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: นั่งเฉยๆหกชั่วโมง
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 17 ม.ค. 2017 4:55 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
(นั่งเฉยๆหกชั่วโมง)
.
...ถ้าเราลองนั่งผ่านได้สักครั้งนึง
แล้วเราจะดีใจ มีความสุขใจ
ว่า..โอ้ เราสามารถนั่งเฉยๆได้
.
...ต่อไปเวลาเราไม่รู้จะทำอะไร
ไม่มีเงินจะไปเที่ยว
ไม่มีเงินจะทำอะไร "ก็นั่งเฉยๆได้"
สบายไม่ต้องเสียเงินเสียทอง..
.
...ไม่ต้องออกไปนอกบ้าน
ให้มันลำบากลำบน
ไม่ต้องแต่งเนื้อแต่งตัว
เพียงแต่ "นั่งเฉยๆเป็น" เท่านั้นเอง
.......................................
.
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 16/1/2560
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี





"...เรื่องจิตไม่ใช่เรื่องอะไร นอกจากการตั้งสติไม่ให้เผลอ จะทำกิจอันใด ก็ทำด้วยความรู้ไม่ใช่ด้วยโมหะ

โมหะ คือ ความหลงความไม่รู้ เมื่อเราไม่รู้มันก็ปรุงเราแต่งเรา ความคิดปรุงแต่ง มันไม่ใช่เรา แต่มันลากเราให้ติดให้ทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ท่อน ญาณธโร






"...ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี
ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา

เห็นสิ่งไม่ดีของใคร จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ !!
อย่าเลียนแบบ !! นั่นคือนักปราชญ์

ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทา เรียกว่าคนพาล..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ไม อินทสิริ






วิบาก กรรม

"...เมื่อกล่าวโดยกรรม ในศาสนาพุทธความบังเอิญไม่มี การกระทำ ทุกอย่างย่อมมีผล เราเรียกผลนั้นว่า 'วิบาก' สิ่งใดจะเกิดได้ ต้องมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อม กรรมจึงสามารถส่งผลหรือให้วิบากได้

ไม่มีโชคลาภเกิดขึ้นได้โดยไม่อาศัยบุญกรรม โชคลาภไม่สามารถจะเกิดขึ้นลอย ๆ หรือบังเอิญ โดยไม่มีเหตุปัจจัย

ทุกปัญหาเกิดขึ้นอย่างมีสาเหตุทั้งนั้น กิ่งไม้ตกใส่หัว ฟ้าผ่าหัวหมา ล้วนเกิดจากกรรม เหมือนใครกินคนนั้นก็อิ่ม คนอื่นอิ่มแทนไม่ได้

เกลือเค็มเหมือนกันหมด ไทย ฝรัง ลาว แขก กินในที่ลับ-ที่แจ้งก็เค็มดุจกัน เกลืออย่างไร กรรมก็อย่างนั้น ทุกชาติศาสนา

ผู้ที่ไม่เคยทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ความสมหวังแห่งผู้นั้นไม่มี ย่อมคลาดแคล้วแห่งสมบัติหลายประการ ทำนาข้าวตาย ค้าขายขาดทุน หาคนค้ำจุนไม่ค่อยได้

คนนั้นป่วยไข้ไปหาหมอก็ขัดข้อง รักษาไม่ได้ ให้ตกอับทุกหน้าที่ ตกลงคนนั้นต้องกอดเข่าเจ่าจุก เพราะไม่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อน ไม่ชวนให้คนอื่นเมตตา..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่หลุย จันทสาโร
วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ต.ผาบิ้ง อ.วังสะพุง จ.เลย






"...คนเราจะไปสวรรค์ก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ไปสู่อบายภูมิก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องดำเนินชีวิตในทางที่ดีที่งาม อยากดีต้องทำดีเป็น อยากได้ต้องทำได้เป็น

อยากดีต้องละเว้นทางเสื่อม ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ นิททาสีลี อย่าพากันนอนตื่นสาย สภาสีลี ผู้ใดอยากดี อย่าพากันพูดเล่น อนุฏฐาตา ผู้ใดอยากดี ให้พากันขยันหมั่นเพียร อลโส ผู้ใดอยากดี อย่าเป็นคนเกียจคร้าน

ผู้ใดอวดเก่ง ผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาด ผู้ใดอวดฉลาดผู้นั้นเป็นคนโง่ ผู้ใดคุยโว ผู้นั้นเป็นคนไม่เอาถ่าน อยากเป็นคนดีต้องทำดีถูก เรียนหนังสือเพื่อรู้ ดูหนังสือเพื่อจำ ทำอะไรต้องเห็นผล เกิดมาเป็นคนต้องมีความคิด อุบายเครื่องพ้นทุกข์ไม่ใช่อยู่ที่อื่นไกล หากแต่อยู่ที่มีสติสัมปชัญญะรอบคอบในทุกอิริยาบถ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่จันทร์ เขมิโย






#หลวงปู่ดุลย์ อตุโล//--

"..ตัวรู้ ก็คือ สติ นั่นเอง.."

หรือจะเรียกว่า "พุทโธ" ก็ได้ พุทโธที่ว่า รู้ ตื่น เบิกบาน ก็คือตัวสตินั่นแหละ

เมื่อมีสติ ความรู้สึกนึกคิดอะไรต่างๆ มันก็จะเป็นไปได้โดยอัตโนมัติของมันเอง เวลาดีใจก็จะไม่ดีใจจนเกินไป สามารถพิจารณารู้ได้โดยทันทีว่า สิ่งนี้คืออะไรเกิดขึ้น และเวลาเสียใจมันก็ไม่เสียใจจนเกินไป เพราะว่าสติมันรู้อยู่แล้ว

คำชมก็เป็นคำชนิดหนึ่ง คำติก็เป็นคำชนิดหนึ่ง เมื่อจับสิ่งเหล่านี้มาถ่วงกันแล้วจะเห็นว่ามันไม่แตกต่างกันจนเกินไป มันเป็นเพียงภาษาคำพูดเท่านั้นเอง ใจมันก็ไม่รับ

เมื่อใจมันไม่รับ ก็รู้ว่าใจมันไม่มีความกังวล ความวิตกกังวลในเรื่องต่างๆ ก็ไม่มี ความกระเพื่อมของจิตก็ไม่มี ก็เหลือแต่ความรู้อยู่ในใจ







#หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

"อย่าส่งใจไปดูไปรู้ในสิ่งอื่น การภาวนาท่านให้ดูใจของตนเองหรอก ท่านไม่ให้ดูสิ่งอื่น"

"การบำเพ็ญกัมมัฏฐานนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดขึ้น ไปรู้ไปเห็นอะไร เราอย่าไปดู ให้ดูแต่ใจ ให้ใจอยู่ที่พุทโธ

เมื่อกำลังภาวนาอยู่ หากมีความกลัวเกิดขึ้น ก็อย่าไปคิดในสิ่งที่น่ากลัวนั้น อย่าไปดูมัน ดูแต่ใจของเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วความกลัวมันจะหายไปเอง"






หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี~//

"..บางคนฝึกหัดภาวนา กำหนดเอา อสุภะ เป็นอารมณ์ พิจารณาร่างกายตัวของเรา ให้เห็นเป็นอสุภะไปทั้งตัวเลย หรือพิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่งให้เป็นอสุภะก็ได้ เช่น พิจารณาผม ขน เล็บหรือจะพิจารณาของภายในมีตับ ไต ไส้ พุง เป็นต้น ให้เห็นเป็นของปฏิกูลเน่าเปื่อย น่าพึงเกลียด เป็นของไม่งาม ให้พิจารณาจนเห็นชัดเบื้องต้นพึงพิจารณาโดยอนุโลมเอาของภายนอกมาเทียบ เช่น เห็นคนตาย หรือสัตว์ตายขึ้นอืดอยู่ เอามาเทียบกับตัวของเราว่า เราก็จะต้องเป็นอย่างนั้น แล้วมันค่อยเห็นตัวของเราชัดขึ้นโดยลำดับ จนชัดขึ้นมาในใจ แล้วจะเกิดความสังเวชสลดใจ จิตจะรวมเข้าเป็นสมาธินิ่งแน่วเป็นอารมณ์อันเดียว ถ้าสติอ่อนจิตจะน้อมเข้าไปยินดีกับความสงบสุข มันจะเข้าสู่ภวังค์ มีอาการดังอธิบายมาแล้วในเรื่องมรณานุสติ แล อานาปานุสติ วางคำบริกรรมแล้วสงบนิ่งเฉย บางคนก็เกิดนิมิตต่างๆ นานา เกิดแสงสว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ แลพระจันทร์ เห็นดวงดาว เห็นกระทั่วเทวดา หรือภูติ ผี ปีศาจ แล้วหลงไปจับเอานิมิตนั้นๆ สมาธิเลยเสื่อมหายไป.."







"..ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา

เห็นสิ่งไม่ดีของใคร..
จงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ !!
อย่าเลียนแบบ !! นั่นคือนักปราชญ์

ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทา
เรียกว่าคนพาล.."

..โอวาทธรรมหลวงปู่ไม อินทสิริ...







#หลวงปู่หล้า เขมปัตโต//~

"..การพิจารณานั้น ไม่ว่าจะพิจารณาอะไร ก็ไม่ต้องไปสงสัย ไม่ต้องไปส่งส่ายตั้งเป้าหมายที่อื่น นอกจากปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรมนี้เท่านั้น..

อดีตก็ผ่านไปแล้ว.. จบสิ้นไปแล้ว.. อนาคตก็ยังไม่มาถึง.. ถ้าจะเป็นตัวเลขในบัญชี.. ก็คือสิ่งที่ยังไม่ปรากฏจริงในบัญชี จะไปคิดคำนึง.. ก็ไม่เป็นตัวเลขในบัญชีจริง..

ควรจะรู้ชัดกับสิ่งที่มี กับสิ่งที่ปรากฏให้ถ่องแท้. อบรมปัจจุบันจิตให้ดี.. อย่าหลงเป้าหมาย.. ให้ปฏิบัติต่อเนื่อง. ให้พิจารณาให้ต่อเนื่อง.. แล้วผลก็คงปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่อง.

จะว่าธรรมปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก็ได้ ปฏิบัติละเอียด ธรรมก็ย่อมจะปรากฏละเอียด แล้วแต่ระดับของการปฏิบัตินั้นๆ..."








"...อุบายวิธีการฝึกทางด้านจิตใจ จึงเป็นโอสถสำคัญที่จะระงับดับความคิดความฟุ้งซ่านอย่างนี้ได้ดี นอกจากนั้นยังรู้จักหักห้ามจิตในแง่ต่างๆ ซึ่งเห็นว่าเป็นของไม่ดีได้อีก ไม่ให้คิดซ้ำๆ ซากๆ ระมัดระวังรักษาความคิดของตนนั้น จิตก็พอยับยั้งตัวได้เมื่อมีสิ่งบังคับคือสติ หรือกำหนดธรรมบทใดบทหนึ่งเข้าแทนที่กับอารมณ์ที่เคยคิดอันไม่ดีนั้นเสีย มันจะคิดไปมากเพียงไร ก็ให้ตั้งสติกำกับบังคับไว้กับคำบริกรรมนั้นเพียงอันเดียว คำเดียว เช่น พุทโธๆ เป็นต้น ก็ระงับลงได้

ถึงจะเป็นคำบริกรรมนึกพุทโธๆ ก็ตาม ความนึกประเภทนี้เป็นเรื่องความนึกของมรรค ทางระงับดับทุกข์ ไม่ใช่ความนึกความคิดของสมุทัยที่เป็นเครื่องเสริมทุกข์ ท่านจึงสอนให้บริกรรมพุทโธ หรือธรรมบทใดก็ตามที่เหมาะกับจริตจิตใจของตน ท่านไม่ได้ห้าม.."

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๙


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO