นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 6:29 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จงพากันสร้างกุศล
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 29 พ.ย. 2016 6:11 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
คนยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ ศาสนาก็ยิ่งเสื่อมมากขึ้นเท่านั้น
คนก็ไม่มีธรรม มีแต่กิเลสตัณหา
นักบวชก็เหมือนกันนั่นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านพาดำเนินมา
ท่านไม่เคยมีนะ ว่าให้รู้จักนิสัยใจคอกันนะ
ให้ฝึกหัดการอยู่คนเดียวนะมันสบาย
พวกนักภาวนาคนไหนที่มีภูมิจะรู้เองหรอก
พอได้เข้าใกล้มันต้องมีปีติ มีความเกรงๆกลัวๆนะ
คนไหนที่ภาวนา จิตมันไม่พลุ่งพล่านคิดนั่นคิดนี่หรอก มันเกรงๆกลัวๆอยู่
คนยิ่งภาวนามาก ผู้ที่ยิ่งพบยิ่งมีความรู้สึกเกรงๆ กลัวๆมาก
มันมีนะเรื่องนี้ เพราะวาระจิตมันถึงกัน มันสัมผัสกันได้
คนไหนที่ขี้เกียจมักง่าย อย่าไปอยู่ด้วย อยู่ไปก็ไม่ได้หลักอะไร

......................................................................................

หลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี





".. ผู้อื่นไม่ได้ทำจิตของเราให้เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว เราเป็นผู้ทำให้จิตของตนเศร้าหมอง ผู้อื่นช่วยไม่ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ ท่านเป็นผู้บอกทางเท่านั้น ผู้ปรารถนาความเจริญ ความสุข ต้องหมั่นฝึกฝนอบรมตน ทำเอง รู้เอง ได้เอง ใครทำ ใครได้ .."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ขาว อนาลโย






"...ให้เชื่อกรรม คือการกระทำ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว คนเราเกิดมาแล้วต้องตายกันทั้งนั้น เกิดมาแล้วให้รู้จักสร้างสมคุณงามความดี คนบาป เวลาตายทรมาน คนดีมีศีลธรรม เวลาตายๆแบบสงบ ใครๆก็ต่างสรรเสริญ ยกย่องในคุณงามความดี คนก็แห่แหนไปร่วมงานมาก เพราะความดีที่สร้างไว้

คนเรากลัวแต่ความตาย ไม่กลัวความเกิด เพราะความเกิดนั่นแหละ ทำให้ต้องตาย บางคนก็ตายตั้งแต่คลอดก็มีถมไป ได้เกิดมาก็ให้รู้จักสร้างสมคุณงามความดี บางคนสว่างมา แล้วมืดไป บางคนมืดมาแล้วสว่างไป..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่แสง ญาณวโร






“...ในชีวิตนี้ ไม่มีอะไรจะเป็นที่พึ่งของตนได้ดี เท่ากับการรำลึกถึงความดีงาม อันตนเคยทำ ทำไว้มาก ทำให้มาก ทำได้มาก

เพราะเป็นธรรมเอิบอาบซาบซ่านทั่วแล้วในจิต อีกทั้งอันเป็นทรัพย์ภายใน อันจะก่อประโยชน์ให้ในทุกที่สถานใจ ขอจงพอใจอยู่แต่เรื่องที่ได้ทำความดี...”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ





"...เราบอกว่าเรารู้จักตัวเอง แต่เรารู้จักตัวเองเพียงเปลือกนอกเราไม่เคยมองเห็นตัวตนด้านในของเรา เราได้แต่ปล่อยให้ความคิดคนอื่นครอบงำตัวเรา ปล่อยให้สภาพแวดล้อมกำหนดบุคลิก และนั่งรอโชคชะตากำหนดรูปแบบชีวิต ไปตามความเคยชินที่เราคุ้นเคย นี่หรือคือการรู้จักตัวเอง..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่ขาล ฐานวโร






ตกแต่งภายในให้ดี

"...นี่พากันตกแต่งตั้งแต่ภายนอก ตกแต่งจนกระทั่งวันตาย ก็ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีอะไรสะอาดสะอ้าน ภายในหัวใจสกปรก รกรุงรังตลอดวันตาย ภายนอกจะสวยงามอะไร มันก็เป็นอย่างนี้อย่างที่เราเห็นนี่ละ ตกแต่งขนาดไหน ก็เป็นอย่างนั้นละภายนอก ถ้าภายในไม่ตกแต่งแล้ว หาที่ยุติไม่ได้นะ ต้องยุติที่ภายใน

ตกแต่งภายในให้ดี วันหนึ่งคืนหนึ่งๆ ตื่นเช้ามาถึงค่ำเราได้ทำความชั่ว ความเสียหาย ความดีงามอะไรบ้าง เอามาเทียบกันๆ แก้ไขดัดแปลง บวกลบคูณหารไปในตัวของเราก็มีทางออกๆ ถ้าไม่มีอย่างนั้นแล้วไม่มีทางออก มีแต่ทางเข้า จมไปเรื่อยๆ นะ ให้พากันพินิจพิจารณา

สิ่งภายนอก สำหรับทางด้านธรรมะแล้ว ท่านไม่ถือเป็นความจำเป็นอะไร ยิ่งกว่าสิ่งภายในคือใจ ภายในเป็นมหาเหตุอยู่ที่นั่น ตัวก่อเหตุอยู่ที่ใจนั่น ท่านจึงดูแต่ตรงนั้น ดับที่ตรงนั้น น้ำดับไฟดับตรงนั้น มันเป็นไฟขึ้นที่ใจ ดับที่หัวใจด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยสมาธิภาวนาใจนี้จะสงบลงๆ

คือไฟสงบลง เพราะน้ำดับไฟได้แก่การภาวนา จิตก็เย็น เย็นเรื่อยๆ ท่านตกแต่งภายในนะ ท่านดูภายในมากกว่าภายนอก ทีนี้เวลาแสดงออกมาภายนอกก็สวยงามไปหมดนั่นแหละ เพราะภายในได้รับการตกแต่ง มีสติปัญญารอบคอบ ออกภายนอกหน้าที่การงานอะไรก็เรียบร้อยๆ..."

เทศนาธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘







จิตนี้เป็นภาชนะสำหรับรองรับ หรือเป็นม้านั่งของเขานั่นเอง เขามานั่งตรงนั้นแหละ หรือเป็นส้วมก็ได้ ถ่ายรดลงตรงนั้นแหละ มีอะไรก็ขึ้นไปบนจิตนั่นแหละ เดี๋ยวทุกข์โดดขึ้นมาถ่าย เดี๋ยวสุขเกิดขึ้นมาถ่าย เดี๋ยว อทุกขมสุขเวทนา เกิดขึ้นมาถ่าย ถ่ายอย่างนั้น! จิตนี่ก็ยอมให้เขาถ่ายอยู่นั่นแหละ เพราะไม่มีสติปัญญาที่จะสลัดปัดทิ้งสิ่งเหล่านั้นออกได้ ไม่ให้มันมาถ่าย! ฉะนั้น จึงต้องอบรมสติปัญญาขึ้นให้มาก เพื่อต่อสู้กัน

“สติ” เป็นสิ่งสำคัญต้องตามติดอยู่เสมอ เพราะเป็นหัวหน้างาน ไม่ว่า “ปัญญา” จะสอดแทรกไปทางไหน คิดอะไรๆ สติตามแนบไปด้วย ปัญญาก็ไตร่ตรองไป สติก็ตามไปจึงไม่เป็น “สัญญา” พอเผลอสติเป็น “สัญญา” ไปได้ ตามกำลังของจิตที่เพิ่งฝึกหัดค้นคว้าใหม่ๆ แต่เมื่อมีความชำนิชำนาญทั้งด้านสติทั้งด้านปัญญาแล้ว ย่อมติดแนบไปด้วยกันเลย จึงพูดได้ว่า เวลาไหนน่ะเวลาที่จิตเผลอ ไม่มีเลย เว้นแต่เวลาหลับเท่านั้นที่สติปัญญาไม่ต้องทำงานขณะนั้น กิเลสก็พักงานบ้าง

เมื่อถึงขั้นนี้ไม่มีเวลาที่จิตเผลอ ท่านจึงเรียกว่า “มหาสติ มหาปัญญา” เผลอที่ตรงไหน? เพราะมีกับผู้รู้นี้ตลอดเวลา คือสติกับปัญญา มีอยู่ด้วยกันภายในจิตดวงเดียวนี้ และกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว จะเผลอไปที่ไหน! นั่น เมื่อสติปัญญามีต่อเนื่องกันแล้ว พูดได้อย่างนั้น

แต่ก่อนจิตเคยล้มลุกคลุกคลานมาสักเท่าใดแล้วเราไม่ทราบได้ เมื่อถึงขั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว พอจิตกระเพื่อมพับก็ทันกันทันทีๆ คิดเรื่องอะไรทันกันโดยลำดับๆ ยิ่งเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว สติปัญญายิ่งรู้รวดเร็ว ถ้าเป็นจิตธรรมดาก็ไม่รู้ แม้เขาขึ้นถ่ายบนศีรษะวันยังค่ำคืนยังรุ่งก็ไม่รู้ได้

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่ใหญ่พระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙





จงพากันสร้างบุญสร้างกุศลให้พอ
เมื่อเราตายไปแล้ว บุญนั้นจะเป็นที่พึ่งของเรา
สำคัญต้องรู้จักก่อนว่า บุญนั้นคืออะไร
เราทำแต่เพียงทานเท่านั้นหรือ
เราทำแต่เพียงศีลพอแล้วหรือ
หรือว่าเราทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO