นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 4:39 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 28 ต.ค. 2016 4:38 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
“พระโพธิสัตว์”

พระโพธิสัตว์คือผู้ที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจต่อการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ คือทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี อุเบกขาบารมี ปัญญาบารมี เมตตาบารมี อธิษฐานบารมี สัจจบารมี วิริยบารมี และขันติบารมี ทุกภพทุกชาติที่เกิดมาจะไม่สนใจกับการสร้างลาภยศสรรเสริญ สร้างความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย จะมุ่งสร้างบารมีเพียงอย่างเดียว หมั่นทำทานรักษาศีลภาวนา ออกบวช สร้างเนกขัมมบารมี และบารมีอื่นๆ เพื่อการตรัสรู้พระอริยสัจ ๔ ด้วยตนเอง

ถ้าเกิดมาเพื่อแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็จะไม่มีบารมีที่จะบรรลุพระนิพพานได้ด้วยตนเอง ก็ต้องรอให้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อน พอมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็เหมือนกับมีคนสร้างทางให้เดินแล้ว ก็จะไปถึงพระนิพพานได้อย่างง่ายดาย เพราะมีทางเดินแล้ว เพียงแต่เดินไปตามทางเดินเท่านั้นก็จะถึง ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ ก็ถามใจดูว่ามุ่งไปทางไหน ถ้ามุ่งไปทางลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็ไม่เป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ จะมุ่งสร้างบารมีเพียงอย่างเดียว

นี้คือลักษณะของพระโพธิสัตว์ แต่ไม่ควรบำเพ็ญทานบารมีเพียงอย่างเดียว เวลาที่ได้พบพระพุทธศาสนา เพราะจะเนิ่นนาน ควรปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะดีกว่า เพราะมีทางเดินแล้ว ไม่ต้องหาทางเอง เพราะจะไม่สามารถหาให้เสร็จได้ภายในชาตินี้ ต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีกหลายภพ หลายชาติด้วยกัน ตอนนี้มีทางเดินแล้ว ไม่ต้องทำทางเอง ไม่ต้องหาทาง เพียงแต่เดินตามทางที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้เดิน ก็จะถึงพระนิพพานได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีสมบัติข้าวของเงินทองมากน้อย ก็สละไปให้หมด บริจาคไปให้หมด แล้วก็ออกบวช ออกมารักษาศีล ออกมาภาวนาเลย อย่าไปเสียเวลากับการสร้างทานบารมี เพียงอย่างเดียว

ต้องสร้างศีลบารมี อุเบกขาบารมี สร้างปัญญาบารมี ด้วยการออกบวช ด้วยการภาวนา ถึงจะหลุดพ้นได้ บรรลุธรรมได้ภายในชาตินี้เลย ๗ ปีเป็นอย่างมาก ๗ วันเป็นอย่างน้อย ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ ขึ้นอยู่กับพละ ๕ คือศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญา ถ้ามีมากก็ภายใน ๗ วัน หรือถ้าในสมัยพระพุทธกาล ก็บรรลุในขณะที่ฟังธรรมเลย บรรลุในขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเลย เช่นพระอัญญาโกณฑัญญะ ฟังครั้งแรกก็บรรลุเป็นพระโสดาบันเลย แสดงว่ามีพละ ๕ ที่แก่กล้า มีศรัทธาวิริยะสติสมาธิปัญญาที่แก่กล้า พอได้ยินได้ฟังพระอริยสัจ ๔ ทุกข์สมุทัยนิโรธมรรค ก็มีดวงตาเห็นธรรม เห็นว่าสิ่งใดมีการเกิดขึ้น ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา ถ้ายึดติดกับสิ่งที่มีการเกิดขึ้นและดับไป ไม่อยากให้ดับไป ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

ความทุกข์ก็เกิดจากความอยาก ไม่ให้สิ่งที่ต้องดับดับไป ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา พอมีปัญญาเห็นความจริงว่า ห้ามไม่ได้ สิ่งที่เกิดแล้วต้องดับเป็นธรรมดา อยากไม่ได้ พอเห็นอย่างนั้นก็จะหยุดอยาก ยอมรับความจริง ความทุกข์ก็ดับไป นิโรธก็ปรากฏขึ้นมา นิโรธก็คือความดับทุกข์ พระโสดาบันจะไม่ทุกข์กับความแก่เจ็บตาย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

นี่คือเรื่องของการเป็นที่พึ่งของตน เรื่องของพระโพธิสัตว์ เรื่องของการบรรลุมรรคผลนิพพานภายในชาตินี้ ถ้าไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา ก็ต้องบำเพ็ญบารมีต่างๆไปก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องบำเพ็ญบารมีอะไรบ้าง มากน้อยเพียงไร อยู่ในสถานภาพใดที่เอื้อต่อการบำเพ็ญ บารมีแบบไหนก็บำเพ็ญไป ถ้าเป็นมหาเศรษฐีก็บำเพ็ญทานบารมีไป ถ้าอยู่ในสังคมของนักบวชก็บวชไป ถ้าไปเดือดร้อนตกระกำลำบากลอยคออยู่ในทะเล ก็ต้องว่ายน้ำไปอย่างเดียวก็บำเพ็ญวิริยบารมีไป แล้วแต่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ที่จะเป็นเหตุให้บำเพ็ญบารมีแบบไหน

ถ้าไปอยู่ในสังคมที่มีการขัดแย้งกัน ก็ต้องบำเพ็ญขันติบารมีไป แต่ก็บำเพ็ญไม่ได้ครบทั้ง ๑๐ บารมี ถ้าบำเพ็ญครบทั้ง ๑๐ บารมี ก็พร้อมที่จะตรัสรู้ พร้อมที่จะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นเจ้าชายสิทธัตถะที่ประสูติเป็นพระราชโอรส ทรงมีพระบารมีพร้อมทั้ง ๑๐ ประการแล้ว ก็รอเหตุการณ์ที่จะบังคับให้เสด็จออกจากพระราชวังไป พอได้ทราบข่าวว่าพระมเหสีได้คลอดพระราชโอรส ก็ทรงเสด็จออกจากพระราชวังไปในคืนนั้นเลย เพราะรู้ว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะมีบ่วงมาคล้องคอแล้ว ถ้าอยู่ก็จะไม่สามารถออกไปบำเพ็ญ เพื่อตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

พวกเราถ้าเกิดในสมัยที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ก็ต้องบำเพ็ญบารมีไปตามสภาวะ ที่จะกระตุ้นให้เราบำเพ็ญ จนกว่าจะได้บารมีทั้ง ๑๐ ประการเต็ม ๑๐๐ ก็จะได้ตรัสรู้ จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของสังคม และความสามารถของตน ว่ามีความสามารถประกาศพระศาสนาได้หรือไม่ ถ้าภาวะของสังคมไม่เอื้อต่อการประกาศพระศาสนา หรือไม่มีกำลังพอที่จะประกาศพระศาสนา ก็จะไม่ประกาศ ก็จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไป

ถ้าทรงเห็นว่าสังคมเอื้อต่อการประกาศพระพุทธศาสนา และทรงมีความสามารถในการประกาศพระศาสนา ก็จะประกาศพระศาสนา อย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรา ตอนที่ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ ไม่มีความปรารถนาที่จะ ประกาศพระศาสนา แต่หลังจากที่ได้ทรงพินิจพิจารณา ก็ทรงเห็นว่า มีสัตว์โลกบางกลุ่มบางพวกที่อยู่ในเกณฑ์ ที่จะรับคำสอนได้ ทรงพิจารณาแยกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ กลุ่มด้วยกัน เหมือนบัว ๔ เหล่า

กลุ่มที่ ๑ คือกลุ่มบัวเหนือน้ำ ที่พอได้รับแสงสว่างของพระอาทิตย์ บัวก็จะบาน พวกนี้เป็นพวกนักบวช ที่ได้ศีลแล้ว ได้สมาธิแล้ว แต่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ พอทรงแสดงพระอริยสัจ ๔ ก็สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย

กลุ่มที่ ๒ คือกลุ่มบัวปริ่มน้ำ ที่ต้องรออีกวันสองวันถึงจะโผล่เหนือน้ำ พวกนี้เป็นพวกนักบวชที่ยังไม่ได้สมาธิ กำลังเจริญสติ ได้บ้างไม่ได้บ้าง ยังไม่ได้เต็มที่ แต่บำเพ็ญไปเรื่อยๆ พอจิตรวมเข้าสู่ความสงบอย่างเต็มที่แล้ว พอได้พิจารณาอริยสัจ ๔ พิจารณาไตรลักษณ์ พิจารณาอสุภะก็จะตัดกิเลสได้ ตัดกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาได้

กลุ่มที่ ๓ คือพวกที่ยังไม่ได้บวช ชอบทำทานแต่ไม่ชอบรักษาศีล ๘ ไม่ชอบปลีกวิเวก ไม่ชอบไปอยู่ตามลำพัง ตามสถานที่สงบสงัด ยังติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญ ยังติดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ พวกนี้ก็ต้องใช้เวลาบำเพ็ญไปเรื่อยๆ อยู่ที่ว่าจะขยันหรือขี้เกียจ ถ้าขยันก็อาจจะหลุดพ้นได้ในชาตินี้ ถ้าไม่ขยันก็ต้องสะสมบารมีไปก่อน

กลุ่มที่ ๔ คือพวกที่ไม่สนใจเรื่องศาสนาเลย เวลาชวนมาวัดก็จะปฏิเสธ ถ้าชวนให้ไปเที่ยวไปทันที ถ้าชวนให้มาวัด มาปลีกวิเวก มานั่งสมาธิ จะไม่เอา พวกนี้จะไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างแห่งธรรม เป็นดอกบัวที่อยู่กับโคลนตม ที่จะกลายเป็นอาหารของปูของปลาไป ไม่มีวันที่จะโผล่เหนือน้ำขึ้นมาได้

หลังจากได้พิจารณาความแตกต่างของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว ก็ทรงมีกำลังใจที่จะประกาศพระศาสนา ตอนต้นทรงคิดว่าเหมือนกันหมด ชอบรูปเสียงกลิ่นรส ชอบลาภยศสรรเสริญ เหมือนกันหมด สอนอย่างไรก็จะไม่มีใครปฏิบัติตาม แต่หลังจากได้ทรงพิจารณา ก็ทรงเห็นว่ามีพวกนักบวชที่มีฌานมีสมาธิแล้ว หรือพวกที่กำลังเจริญสติเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่ หรือพวกฆราวาสที่เข้าวัดทำบุญทำทานรักษาศีลเป็นประจำอยู่ ก็ทรงเห็นว่าเป็นพวกที่สามารถปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนได้

จึงทรงมุ่งไปสอนสู่บัวทั้ง ๓ กลุ่มนี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่ ๑ กลุ่มที่อยู่เหนือน้ำแล้ว คือพวกนักบวช ทรงไปสอนตามสำนักต่างๆ หลังจากทรงสอน พระปัญจวัคคีย์ ที่เคยติดตามอุปถัมภ์อุปัฏฐาก จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ทรงไปสอนตามสำนัก ของนักบวชต่างๆ ในแต่ละครั้งที่ทรงสอน ก็มีผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาพร้อมๆกันหลายรูป เช่นครั้งหนึ่งมีนักบวชจำนวน ๕๐๐ รูป พอฟังธรรมเสร็จแล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปเลย

ภายในเวลาเพียง ๗ เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่ทรงประกาศพระศาสนา คือในวันเพ็ญเดือน ๘ วันอาสาฬหบูชา มาถึงวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชา ก็ปรากฏมีพระอรหันต์อย่างน้อย ๑๒๕๐ รูป ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้า จากทิศต่างๆโดยที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มีปรากฏขึ้นมาหลังจากที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และประกาศพระศาสนา ก่อนหน้านั้นไม่มีพระอรหันต์แม้แต่รูปเดียว

นี่คือความสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้าต่อสัตว์โลก เป็นผู้มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่ ต่อผู้ปรารถนาความหลุดพ้น จากความทุกข์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นทางลัดที่สุด ไม่มีทางไหนที่จะลัดเท่ากับทาง ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงนำมาสั่งสอน ถ้าได้พบกับพระพุทธศาสนา ได้พบกับพระพุทธเจ้า ก็ถือว่าเป็นลาภที่ยิ่งใหญ่ เป็นโชคที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ร้อยครั้งพันครั้ง ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ แต่ละครั้งนี้มันง่ายไหม แล้วถ้าถูกร้อยครั้งพันครั้งจะยากขนาดไหน

การได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้พบกับพระพุทธศาสนาก็เป็นอย่างนั้น เป็นสิ่งที่ยากมาก ถ้าได้พบก็ถือว่ามีโชคอันมหาศาล จึงไม่ควรโยนโชคอันมหาศาลนี้ลงถังขยะไป ควรรีบเอามาทำประโยชน์ ถ้าเป็นลอตเตอรี่ก็ไปขึ้นรางวัลเลย อย่าโยนใส่ถังขยะ ฉันใดพอได้พบคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือปฏิบัติตาม นี่คือการขึ้นรางวัล รับโชคที่มหาศาลที่ยิ่งใหญ่นี้ ด้วยการปฏิบัติทานศีลภาวนา

ถ้าปฏิบัติได้ ก็อย่างที่ได้ทรงรับประกันไว้แล้วว่า ๗ วันเป็นอย่างน้อย ๗ ปีเป็นอย่างมาก จะต้องได้ผลอย่างแน่นอน ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์ อย่างน้อยก็ได้เป็นพระอนาคามี อย่าปล่อยโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่นี้หลุดจากมือไป ปฏิบัติตามคำสอนทั้ง ๓ ข้อนี้ให้ได้ ให้ครบทุกประการ แล้วผลอันเลิศอันประเสริฐ ก็จะเป็นสิ่งที่จะตามมาต่อไป

บางคนมาวัด มาหาพระ แทนที่จะมาหาธรรมะกลับมาหาลาภยศกัน มาขอลาภขอยศกัน อยากได้ตำแหน่งนั้น อยากได้ตำแหน่งนี้ อยากเข้ามหาวิทยาลัย อยากทำการค้าให้สำเร็จลุล่วง อยากให้บริษัทเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง นี่คือพวกที่ยังไม่รู้ว่าศาสนามีไว้เพื่ออะไร เข้าหาศาสนาเพื่อเข้าหาธรรมะ เข้าหาแสงสว่าง เข้าหาแผนที่ ที่จะนำพาไปสู่การพ้นทุกข์ เข้าหาพระเข้าหาวัดต้องหาธรรมะเพียงอย่างเดียว

กัณฑ์ที่ ๔๕๓ วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (จุลธรรมนำใจ ๓๒)

“ตนเป็นที่พึ่งของตน”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







“.. อย่าทำ ให้เป็นตัณหา
อย่าพูด ให้เป็นตัณหา

ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ ทุกประการ
ท่านไม่ได้ให้เป็น ตัณหา

คือทำด้วยการ ปล่อยวาง ..”

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงพ่อชา สุภัทโท


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO