นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 4:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 13 ต.ค. 2016 4:36 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
“ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” เห็นธรรมนี้เห็นอย่างไร ? รู้ธรรมนี้รู้อย่างไร? ก็ดังที่เราปฏิบัติอยู่นี้แหละ ทางจิตตภาวนาเป็นสำคัญ นี่คือการปฏิบัติธรรม การเห็นธรรมก็จะเห็นอะไร ถ้าไม่เห็นสิ่งที่กีดขวางอยู่ภายในตนเองเวลานี้ ซึ่งเราถือว่ามันเป็นข้าศึกต่อเรา ได้แก่ “สัจธรรม สองบทเบื้องต้น คือทุกข์หนึ่ง สมุทัยหนึ่ง”
.
เราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้เข้าใจตามความจริงของมันที่มีอยู่กับทุกคน ทุกตัวสัตว์ไม่มีเว้น เว้นแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่สมุทัยไม่เข้าไปแทรกท่านได้ นอกนั้นต้องมีไม่มากก็น้อย ที่ท่านเรียกว่า “สัจธรรม”
.
พิจารณาให้เห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้แล้วก็ชื่อว่า “เห็นธรรม” ละได้ถอนได้ เกิดเป็นผลความสงบสุขเย็นใจขึ้นมาจากการละการถอน การปล่อยวางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ เรียกว่า “เห็นธรรม” คือเห็นเป็นขั้นๆ เห็นเป็นระยะๆ จนกระทั่งเห็นองค์ตถาคตโดยสมบูรณ์
.
ถ้าเราจะพูดเป็นขั้นเป็นภูมิก็เช่น
(๑) ผู้ปฏิบัติได้สำเร็จ พระโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ชื่อว่าได้เห็นพระพุทธเจ้าขั้นหนึ่ง ด้วยใจที่หยั่งลงสู่กระแสธรรม เรียกว่าเริ่มเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าเป็นทุ่งนาก็เริ่มเห็นท่านอยู่ทางโน้น เราอยู่ทางนี้
(๒) สกิทาคา ก็เห็นพระพุทธเจ้าใกล้เข้าไป
(๓) อนาคา ใกล้เข้าไปอีกโดยลำดับ
(๔) ถึงอรหัตผลแล้ว ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ และธรรมที่จะให้สำเร็จมรรคผลนั้นๆ ในทางภาคปฏิบัติก็อยู่กับเราด้วยกันทุกคน
.
การที่เรายึดถือการประพฤติปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาก็ชื่อว่า “เราเดินตามตถาคต และมองเห็นพระตถาคตด้วยข้อปฏิบัติของเราอีกแง่หนึ่ง เห็นตถาคตโดยทางเหตุคือการปฏิบัติ เห็นโดยทางผลคือสิ่งที่พึงได้รับโดยลำดับ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงได้รับ และทรงผ่านไปโดยลำดับแล้วนั้น”
.
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ไม่ได้ห่างเหินจากใจของผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อบูชาพระตถาคต หรือบูชาพระธรรม พระสงฆ์นี้เลย นี่เป็นการบูชาแท้ นี่เป็นการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลาด้วยความพากเพียรของเรา

........................................................................

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙





"...กรรมนั้น เมื่อทำแล้ว..
ก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าสู่ร่างกาย

ผู้เบียดเบียนเขา..
แม้จะได้สิ่งที่มุ่งไว้
แต่ผลที่แท้จริงอันจักเกิดจากกรรม คือ การเบียดเบียน

ที่ได้ประกอบกระทำลงไปนั้น
เป็นทุกข์เป็นโทษ
แก่ผู้กระทำ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

กรรมนั้นให้ผลสัตย์ซื่อนัก
เหมือนผลของยาพิษร้ายแรง

กรรมนั้นเมื่อทำแล้ว
ก็เหมือนดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไปแล้ว

จักไม่เกิดผลร้ายแก่ชีวิต
และร่างกายย่อมไม่มี
ย่อมเป็นไปไม่ได้

" ถ้าเป็นกรรมดีก็จักให้ผลดี..
ถ้าเป็นกรรมชั่วก็จักให้ผลชั่ว "

เราเป็นพุทธศาสนิกชน นับถือพุทธศาสนา

พึงมีปัญญาเชื่อให้จริงจังถูกต้อง
ในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรมเถิด

จักเป็นสิริมงคล เป็นความสวัสดีแก่ตนเอง..."

,,,
พระโอวาทธรรม.. สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาปริณายก







หลักสำคัญอยู่ที่อย่าปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์

" ผู้ปฏิบัติขั้นต้นนั้น สำคัญที่จิตกับสติ จิตจะดีขึ้นถ้ามีสติคอยควบคุมอยู่ จิตจะสงบ เบิกบานใจ ได้แสงสว่าง ความสุขก็เกิดมีมาเอง ถ้าจิตไม่มีสติควบคุม ปล่อยให้มีอารมณ์ต่าง ๆ แทรกเข้ามาก็สงบไม่ได้ ความสุขก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลักสำคัญอยู่ที่อย่าปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ อบรมจิตให้สงบจริงๆ ความสุขก็ตามมาตามลำดับแห่งความสงบ สงบมากก็เกิดความสุขมาก จนเป็นความสุขอัศจรรย์ได้แม้แต่ขั้นสมาธิอันละเอียด "

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO