นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 12:51 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เครื่องวัดคุณภาพ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 05 ต.ค. 2016 5:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
"ร่างกายอันนี้เป็นเครื่องวัดคุณภาพ
หรือวัดคุณธรรมของจิตใจ
ไม่ใช่ว่าเราจะเกิดเป็นคนอย่างนี้ตลอดไป
แม้แต่พระพุทธเจ้าระหว่างที่ทรงสร้างบารมีนั้น
ก็ยังทรงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้
นี่มันขึ้นอยู่กับขณะของจิตใจ จิตใจของเรายังไม่เที่ยงนี่
มันจะต้องไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้น
จึงว่ามันรวดเร็ว มันยากที่สุด ต้องระมัดระวังให้ยิ่ง"

หลวงปู่แบน ธนากโร







“จะพิจารณาอสุภะได้ จิตต้องรวมถึงฐานก่อน”

ถาม : อสุภะนี่ใช้วิธีลอกออกไปเป็นส่วนๆ

พระอาจารย์ : ก็ได้ ทำให้เกิดความขยะแขยงรังเกียจ ไม่ยินดี

ถาม : ลูกเคยทำจนจิตหลุดไป

พระอาจารย์ : น่าจะเป็นเพราะยังไม่มีสมาธิ มีแต่กำหนดดูด้วยสติไปเรื่อยๆ แล้วก็พิจารณาไป จิตยังไม่มีฐาน ไม่รวมลงสู่ฐาน ต้องทำให้ลงสู่ฐานก่อน ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง การกำหนดดูด้วยสติช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่พอ ต้องให้จิตรวมลงสู่ฐานถึงจะมีกำลัง จะลงได้ก็ต้องเจริญสมถภาวนา ถ้าไม่ชอบนั่งหลับตาบริกรรมพุทโธๆ ก็ต้องไปอยู่ที่กลัวๆ แล้วไปพบอะไรแรงๆ ถ้ามีสติดีจิตก็จะรวมลงเลย เหมือนหลวงปู่ชอบตอนที่เดินไปจ๊ะเอ๋กับเสือโคร่ง ท่านมีสติอยู่ตลอดเวลา พอเห็นเสือโคร่งปั๊บ แทนที่จะตื่นตระหนกกลัว จิตกลับวุ้บลงไปสู่ความสงบเลย ปล่อยวางร่างกาย หายไปหมดเลย ทั้งร่างกายทั้งเสือก็หายไป เหลือแต่จิตล้วนๆ ยืนอยู่ตรงนั้นตั้งนานโดยไม่รู้สึกว่านาน พอถอนออกมาก็เห็นเทียนที่จุดไว้ในโคมไฟได้ไหม้หมดไปแล้ว ถ้าไม่ชอบนั่งหลับตาพุทโธๆ ก็ต้องไปอยู่ที่เปลี่ยวๆกลัวๆ เวลาไปพบอะไรแรงๆเข้า จะเป็นกระตุ้นให้จิตรวมลง ถ้าไม่รวมลงก็เป็นบ้าไปเลย มีรายหนึ่งที่ในวงกรรมฐานเล่ากันว่า อยากจะเป็นเหมือนหลวงปู่ชอบ อยากจะไปเจอเสือ พอไปเจอเสือจริงๆแล้วภาวนาไม่ได้ จิตใจสั่นไปหมด พอได้ยินเสือใกล้เข้ามาก็วิ่งเข้าหมู่บ้านเลย พอเจอคนในหมู่บ้านก็พูดไม่เป็นภาษาเลย ถ้าอย่างนี้ก็อย่าพึ่งไป เพราะสติยังไม่แก่กล้าพอ การปฏิบัติจึงต้องรู้กำลังของตน ไม่ใช่เห็นคนอื่นทำได้ก็จะทำบ้าง ต้องค่อยๆไปทีละขั้น ถ้ากลัวก็ให้อยู่ในกุฏิก่อน พอหายกลัวแล้วก็ให้ออกมาอยู่ข้างนอกกุฏิ ออกมานั่งที่ศาลา หรือเข้าไปอยู่ในป่าลึกๆ ต้องขยับไปทีละขั้น

กัณฑ์ที่ ๒๗๖ วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๐ (จุลธรรมนำใจ ๗)

“กินเพื่ออยู่”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต








ปล่อยนก

วันหนึ่ง หลวงปู่ได้พาลูกศิษย์ไปนมัสการพระธาตุพนม ในบริเวณนั้นมี พวกจับนกขังไว้ในกรงเพื่อให้ผู้ที่มาแสวงบุญได้ซื้อนกไปปล่อย มีคนขายนกผู้หนึ่งเดินมาหา หลวงปู่แล้วพูดว่า ….

คนขายนก ….. หลวงปู่ครับ ไม่ซื้อนกไปปล่อยเอาบุญบ้างหรือครับ

หลวงปู่ … ไม่หรอกโยม! หลวงปู่ไม่ปล่อยมันหรอก เพราะหลวงปู่ไม่ได้ทำบาป ไม่ได้ไปจับมันมา

โยมนั้นแหละ!ควรที่จะปล่อยมันเอง เป็นการไถ่บาป เพราะโยมเป็นผู้ทำบาป จับมันมาขังไว้

โอวาทธรรมคำสอน..
พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปํญโญ)
วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม






“... สมเด็จพระสังฆราช แต่ก่อนท่านไปพักอยู่วัดป่าบ้านตาดทีละอาทิตย์ๆกว่านะ ไปพักภาวนาอยู่ หลังจากนั้นมาแล้วภาระท่านก็หนัก จนกระทั่งได้เป็นสมเด็จสังฆราช เราเองก็เลยไม่ได้เข้าไปกราบท่านที่วัดบวรฯนะ ไม่ค่อยได้ไป ท่านเสียเองยังดีกว่าเรา ประหนึ่งว่าเรานี้ทะนง

ท่านมาอำเภอกุมภวาปี พอเสร็จจากงานปุ๊บปั๊บมาเลย เข้าไปวัดป่าบ้านตาด ตั้งใจไปเยี่ยมเรา จากนั้นกลับเลย เรายังไม่ได้ไปกราบท่านตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้ว เราเป็นฝ่ายเย่อหยิ่งน่ะถูกนะ แต่ไม่มีในเจตนา หากไม่ได้ไป ไม่สมกับว่าแต่ก่อนสนิทสนมกันมากกับท่าน

อายุท่านก็เท่ากัน ใกล้เคียงกันมาก พรรษาเท่ากันนะ เกิดปีเดียวกัน ท่านเกิดเดือนตุลาปีเดียวกัน วันที่ ๓ ตุลา เราเกิดวันที่ ๑๒ สิงหา ห่างกันนิดหน่อย เวลาบวชท่านก็บวชก่อนเราหน่อย เรียกว่าพรรษาพอๆ กัน ...”

เรื่องเล่าเกร็ดธรรม โดย :
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน








"...เมื่อเราฝึกหัดจิตให้ได้อย่างนั้นแล้ว เราก็จะเห็นตัวจิตได้ชัดทีเดียวว่า จิตแท้ไม่มีอะไร

ที่มีเรื่องยุ่งเหยิง แลวุ่นวายเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ นั้นมิใช่จิต แต่จิตไปรับเอาเรื่องภายนอกจากจิตมาประสมโรงต่างหาก..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








คิดตั้งหลายวิธีแล้ว ก็ยังไม่หายโกรธ
มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้
ด้วยการหายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ
ทำลมหายใจให้ละเอียด
หายใจเข้า ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง
ความโกรธก็จะสลายหมดไป
กลายเป็นความสบายใจมาแทนที่.
หลวงปู่บุดดา ถาวโร




เมื่อโกรธคนใกล้ตัว
เช่น แฟน, พี่น้อง, เพื่อนร่วมงาน
หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น นักการเมือง ฯลฯ
ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขา
ให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก ๑ - ๒ ขวบ
โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา
สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตา เหมือนพ่อแม่รักลูก
ความโกรธจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง.
หลวงปู่บุดดา ถาวโร






นรกนั้นท่านแสดงไว้ว่า ๒๕ หลุม หลุมใหญ่ๆคือ มหาอเวจี มหานรก นี่เป็นหลุมใหญ่ที่สุด ผู้ที่ไปตกนรกหลุมนี้ ส่วนมากเป็นผู้ที่ทำกรรมหนักมาก ที่ท่านแสดงไว้ว่า กรรมที่สมควรแก่นรกอเวจีหลุมนี้ ตกแล้วกี่กัปป์กี่กัลป์กว่าจะได้ขึ้นมา..นานแสนนาน ก็คือ ประเภทที่ทำความชั่วช้าลามก เลยเหตุเลยผลเลยประมาณ มีอยู่ ๕ ประการ คือ

๑. ฆ่ามารดา
๒. ฆ่าบิดา
๓. ฆ่าพระอรหันต์
๔. ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตาม
๕. ยุยงสงฆ์ทั้งหลายที่มีความสามัคคีกันด้วยศีลด้วยธรรม ให้แตกแยกจากกันเป็นสังฆเภท แตกกันเป็นสองฝ่ายสามฝ่ายไป

กรรมทั้ง ๕ ประการนี้ท่านเรียกว่า "อนันตริยกรรม" แปลว่า กรรมที่มีแต่กองทุกข์ล้วนๆ ความสุขที่แย๊บขึ้นมาเท่ากับฟ้าแลบนี้ไม่มีเลย มีกองทกข์นี้ตกไปตั้งกี่กัปป์กี่กัลป์..ฟังสิน่ะ นี้ประเภทที่เป็นบาปมากที่สุดก็ลงในมหานรกอันนี้ จากนั้นก็ถัดๆ กันขึ้นมาๆ ถึง ๒๕ หลุม

พระพุทธเจ้าทรงทราบหมดบรรดาสัตว์นรก จะตกอยู่ในหลุมใดก็ตาม มีจำนวนมากน้อย พระองค์ทรงทราบหมด แล้วที่เขามาตกนรกแต่ละหลุมๆนี่ เขาทำกรรมอันใด ประเภทใดไว้นี่ก็ทรงทราบหมด จึงเรียกว่า "โลกวิทู" รู้แจ้งโลก ในแดนนรกก็รู้แจ้งหมด

...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...






"...อยู่ไปเพื่ออะไร ต้องการอะไร ความสุขล่ะเราได้ไหม ไม่ได้เพราะเราไม่เอาเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกวิธีไว้หลายวิธี เราไม่ทำซะที อยากรวย รวยหรือยัง อายุมากแล้ว หรือจะเอาสวย ใกล้สวยเป็นนางสาวจักวาลหรือยัง มีแต่ไม้เท้า ๓ ขา ๔ ขา น่าเกลียดขึ้นทุกวัน

พญามัจจุราชไม่เคยรอใคร ความตายไม่เคยบอกว่าวันไหน อย่าโอ้เอ้โลเล เสียเวลาที่ได้เป็นคน ไม่อบรมสร้างสมบารมี จะได้ มรรคผลยังไง เหมือนอยากกินข้าวไม่ปลูกข้าว จะได้กินยังไง ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า อาจชาตินี้ก็สำเร็จก็ได้ ให้ทำเสมอ ให้ทำเอา

อย่าได้มีอกุศลในใจเหมือนสนิมกินเหล็ก ให้ขูดขัดเกลาจนเหลือแต่เหล็กขาวๆ เหมือนจิตใจขัดเกลาเข้าตามมุ่งมาดปรารถนา ก็จะขาวสะอาดได้ ให้รู้ว่าตนเองยังจน ยังไม่พอ ยังน้อย ไห้รีบทำ ให้รู้..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่คำบ่อ ฐิตปัญโญ
วัดใหม่บ้านตาล บ้านตาล ตำบลโคกสี
อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร






"...เอามรรคที่เกิดขึ้นจากกายจากใจ น้อมเข้ามาหาตนน้อมเข้ามาในกายน้อมเข้ามาในใจ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในใจนี่แหละ อย่าไปยึดไปถือเอาที่อื่น

ถ้ารู้ตามแผนที่ปริยัติธรรมไปยึดไปถือเอาสิ่งต่าง ๆ ไป แผนที่ปริยัติธรรมต่างหาก ต้องน้อมเข้าหากายต้องน้อมเข้าหาใจ ให้มันแจ้งอยู่ในกายนี้ ให้มันแจ้งอยู่ในใจนี่

มันจะหลงมันจะเลวไปอย่างไรก็ตาม พยายามดึงเข้ามาจุดนี้ น้อมเข้ามาหากายนี้น้อมเข้ามาหาใจนี้ เอาใจนี่แหละนำออก ถ้าเอามากบางทีมันก็เขวก็ลืมไป น้อมเข้ามาหากาย น้อมเข้ามาหาใจนี้ มีเท่านี้แหละหลัก ของ มัน..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ







" เกิดคนเดียว ตายคนเดียว "

อย่ามัวห่วงโลก โลกนี้พบปะเกี่ยวข้องกันชั่วคราวเท่านั้น

ดีกับชั่วเท่านั้นเหลือไว้ให้โลก

จิตสงบใจสบาย พร้อมกับรู้ตามทรุดโทรมของรูปนี้ล่ะที่จะพออยู่ต่อได้

คนโง่ผู้ไม่พิจารณาความดี ความชั่วใด ๆ เหมือนคนตื่นขึ้น
ไม่เห็นสิ่งที่พบเจอในฝัน แปลว่ามันเปล่าประโยชน์

๑. อายุเหลือน้อย
๒. ถูกชราปิดล้อม
๓. โรคภัยห้ำหั่น
๔. วันคืนเคลื่อนคล้อย
๕. ที่สุดก็ตาย...

โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม

(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO