นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 4:01 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: มีความโลภอยู่ตรงไหน
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 01 ต.ค. 2016 5:42 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
หลังออกพรรษาปีพุทธศักราช ๒๕๐๖ หลวงปู่จันทร์เรียนท่านกราบลา
องค์ท่านหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ แห่งวัดป่านิโครธาราม
เดินทางด้วยเท้าสองวันจากวัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน
มาที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
ท่านบอก เราเดินทางมาถึงบ้านโคกมนตอนเวลาเย็นๆ
เห็นองค์ท่านหลวงปู่ชอบปัดตาดกวาดลานวัด เราก้มคุกเข่าพนมมือไหว้ท่าน
.
หลวงปู่ชอบพูดกับเราคำแรก “จันทร์เรียนมาแล้วบ้อ
เฮาว่าสิไปเที่ยววิเวกทางภูเรือ เฮาคอยท่านอยู่สองวัน”
.
หลวงปู่จันทร์เรียนบอกตอนนั้นท่านอัศจรรย์ใจ
ในพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบมาก
เพียงแค่เห็นหน้าหลวงปู่ชอบท่านก็บอกชื่อออกมา
โดยที่ไม่เคยพบหน้าค่าตา รู้จักกันมาก่อน...
.
ท่านบอก เราคิดในใจตนเอง
“นี่แหละครูบาอาจารย์ผู้ที่จะสอนธรรมเฮาได้”
.
จากนั้นมาหลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็อยู่ฝึกฝนปฏิบัติ
กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในฐานะหัวหน้าพระอุปัฏฐาก
“รุ่นทายาทธรรม” นับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ปีพุทธศักราช ๒๕๐๖
.
ระหว่างปฏิบัติกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่เมืองเลย
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านตั้งสัจจะกับตนเองว่า
จะไม่กลับบ้านเกิด ถ้าตัวเองไม่ได้เป็น “พระอรหันต์”
.
หลังจากตั้งสัจจะแล้วท่านก็ไม่กลับมาบ้านหนองบัวบานอีกเลย
ท่านบอก “เฮานี่ ฮักพ่อ ฮักแม่หลาย เฮาปฏิบัติไห่พ่อ ไห่แม่เห็น
ใจพ่อเฮาบ่ห่วง พ่อใจเข้มแข็ง เฮาห่วงใจแม่เฮาหลาย
ลูกทุกคนแม่ห่วงเบิ่ด เฮานี่แม่เป็นห่วงหลายกว่าหมู่”
.
หลังพ้นพรรษาที่สี่ของท่าน พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
พาท่านมาเที่ยววิเวกที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านบง ตำบลท่าศาลา
อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย หลวงปู่จันทร์เรียนทราบข่าวว่า
โยมแม่ของท่านกำลังป่วยหนักถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
ซึ่งในขณะนั้นจิตของท่านภายในกำลังหมุนธรรมจักรต่อสู้กับกามคุณ
พอรู้ว่าโยมแม่ป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านทุกข์ใจอยากกลับบ้านไปเยี่ยมโยมแม่
แต่ท่านมาติดสัจจะที่ตนเองได้ตั้งปณิธานไว้
“ถ่าบ่ได้เป็นพระอรหันต์ เฮาสิบ่กลับบ้าน”
.
ระหว่างโยมแม่ของท่านป่วย หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะฝากยา
เขียนจดหมายถึงโยมแม่ของท่านโดยผ่าน “พ่อตู้เสน บ้านบง”
นำยาและจดหมายของท่านไปมอบให้โยมแม่ของท่านที่บ้านหนองบัวบาน
พ่อตู้เสน บ้านบง เล่าให้ผู้เขียน (อดีตครูบากล้วย - พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท) ฟังว่า
.
“แม่เพิ่นครูบาจันทร์เรียนถาม พ่อแดง...หม่อมเรียน (หลวงปู่จันทร์เรียน)
มื่อใด๋เพิ่นสิมาบ้าน เพิ่นบ่มาเบิ่งแม่แน่บ้อ (ท่านไม่มาดูแม่บ้างหรือ)”
.
พ่อตู้เสนบอก พอกลับจากบ้านหนองบัวบานมาที่บ้านบง
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านจะรีบมาถามถึงอาการของโยมแม่ท่าน
จากพ่อตู้เสนอย่างห่วงใย พ่อตู้เสนเล่าอาการ
และบอกคำพูดของโยมแม่ท่านให้ฟัง
“หม่อมเรียนมื่อใด๋เพิ่นสิมาบ้าน เพิ่นบ่มาเบิ่งแม่แน่บ้อ”
.
พ่อตู้เสนบอกหลวงปู่จันทร์เรียนท่านนิ่งฟัง
จากนั้นท่านก็เดินเข้าทางจงกรมไม่พูดจากับตนเอง
.
พ่อตู้เสนบอก “ตอนนั้นผมก็สะเทือนใจที่พูดคำนี้ให้ครูบาจันทร์เรียนฟัง
ครูบาจันทร์เรียนเพิ่นฮักแม่เพิ่นหลาย เพิ่นพาผมขึ้นภูขึ้นผา
ไปหายาอยู่ภูหลวงเอามารักษาป่วยของแม่เพิ่น”
.
ขณะโยมแม่ป่วย หลวงปู่จันทร์เรียนท่านก็ดูโยมแม่ของท่านภายใน
การปฏิบัติของท่านตอนนั้นค้างคา จะเดินหน้าก็ไม่ดำเนินสะดวก
จะถอยหลังกลับบ้านก็ติดคาสัจจะที่ตนเองได้ตั้งไว้
ท่านรู้ว่าโยมแม่ของท่านจะจากไปในเวลาไม่นาน
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านเดินจงกรมภาวนาตลอดรุ่ง
ไม่หลับไม่นอน ท่านทำความเพียรถวายคุณ “ผู้เป็นแม่”
.
ตอนเช้าก่อนอรุณหลวงปู่จันทร์เรียนท่านไปทำข้อวัตรอุปัฏฐาก
พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบ
ท่านบอกพอเปิดประตูกุฏิจะไปหยิบบาตรของหลวงปู่ชอบ
พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชอบดุธรรมใส่ท่านว่า...
.
“เรียน ใจท่านคึดฮอดแต่บ้านบ้อ สิเอาบ้าน เอาเฮือนเป็นสรณะบ้อ
คึดฮอดบ้านหลาย คือบ่ย้ายบ้านมาลงเสาเฮือนในใจเจ้าของไห่มันแล้วสา
ไห่ทุกข์ไฟอุปาทานอาลัย อาวรณ์ ความคึดฮอด สุมใจเจ้าของอย่างเต็มที่”
.
คำพูดประโยคธรรมสั้นๆ ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ผู้เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงปู่จันทร์เรียนบอก
“เฮาน้ำตาตกใน เบิ่งใจเจ้าของ ซาตินี่กูสิบ่พ้นการเกิดเป็นลูกผู้ใด๋บ้อ”
.
หลวงปู่จันทร์เรียนท่านหมุนจิตเข้าข้างใน
สติปัญญามหาธรรมของท่านฉีกลอกเนื้อหนัง อสุภะอสุภัง พรวดลงในทันที
ในเวลาไม่นาน อุปาทานการเกิดในอุทรของท่าน
ก็ขาดสิ้นสะบั้นลงไม่เหลือแม้เสี้ยว จุละ จุล ให้อาลัยในอุทร…
.
ท่านบอก สติปัญญามหาธรรมตอนนั้น
ท่านฉีก “ธรรมผู้ครองโลก” กามคุณขาดสะบั้นออกจากจิตใจ
อุปมาอย่างกับเราฉีกกระดาษให้ขาดแคว่กออกจากเล่ม
ทุกอย่างสิ้นลงปลงธรรมการเกิด
ในเวลารุ่งอรุณที่หน้าห้องพัก กุฏิหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ต่อหน้าพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ที่วัดป่าวิเวกธรรม บ้านบง ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙
.
หลวงปู่จันทร์เรียน คุณวโร





"ถ้าโยมไม่รู้สรณะ พุทธะ พระไม่รู้กรรมฐาน ศาสนาจะตั้งอยู่ไม่ได้เลย จะทำจะพูดจะคิดสิ่งใด ก็จงทำ พูดคิด แต่ในทางที่จะเป็นประโยชน์ แก่ตนและผู้อื่นเถิด การที่เราต้องการอยากจะพ้นทุกข์
เราต้องเข้าหาทุกข์ ถ้าเรากลัวทุกข์ เราก็พ้นทุกข์ไม่ได้"

...หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ






"...ทุกคนมีความทุกข์
ทุกคนจะต้องมีความตายไปในที่สุด
แล้วเราจะมานั่งถือตัวถือตน
เสมอกัน เลวกว่ากัน ดีกว่ากัน
เพื่อประโยชน์อะไร เพราะต่างคนต่างก็
ไม่มีร่างกายเป็นเรา เป็นของเราจริง .."

หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง





"มีความโลภอยู่ตรงไหน มีโจรอยู่ตรงนั้น มีความโกรธอยู่ตรงไหน มีโจรอยู่ตรงนั้น มีความหลงตรงไหน โจรก็มีอยู่ตรงนั้น ปราบโจรปราบความโลภ ปราบความโกรธ ปราบความหลง ไม่ต้องไปหาปราบเมืองใต้หรอก ปราบเมืองใกล้ๆ ในหัวใจของเรานี่งานเหลือมือ"
หลวงปู่แบน ธนากโร






"การติดหนี้ติดสินเป็นทุกข์มาก และเป็นโทษมากยิ่งกว่าความอดความทน อันนี้ยังดีกว่านะ ให้พากันระมัดระวัง การติดหนี้ติดสินไม่จำเป็นอย่าไปติด มีมากมีน้อยเราก็ถูไถใช้ไปตามกำลังของเรา เกิดมาท้องพ่อท้องแม่มีเศษสมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขากองอยู่ในท้องแม่คนไหนมีไหม ก็เกิดมาจากท้องแม่เหมือนกันหมดนั่นแหละ เกิดมาแล้วพ่อแม่พาตะเกียกตะกายหาอยู่หากิน ใครอยู่ที่ไหนพ่อแม่อยู่ที่นั่น ก็พาหาอยู่หากิน พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันหนึ่ง ๆ นี้เป็นความผาสุกยิ่งกว่าคนที่ดีดที่ดิ้น หาเหตุหาผลไม่ได้ กู้หนี้ยืมสิน ได้อะไรมาไม่พอ ๆ พวกนั้นเป็นกองทุกข์มากนะ ให้พากันระมัดระวังให้ดี

ในธรรมท่านก็แสดง เวลาพระจะไปบวชท่านไล่ตรงนี้ก่อนนะ พอจะไปบวช อนโณสิ ท่านไม่มีหนี้สินติดตัวเหรอ ถามนาคที่จะบวช ถ้าภาษาของเราท่านมีหนี้สินติดตัวไหม ถ้าบอกว่าไม่มียอมให้บวช ถ้ามีหนี้สินแล้วไล่ไม่ให้บวช ทุกวันนี้ก็มี นี่ละพระพุทธเจ้าตำหนิเอามาก คนไม่บริสุทธิ์ ติดหนี้ติดสินเขาไปบวชเป็นประโยชน์อะไร ท่านจึงสอนหรือบังคับ ในกฎกติกาก่อนบวชมีข้อนี้เป็นสำคัญ ถามถึงเรื่องหนี้เรื่องสิน เสียก่อน เมื่อไม่มีหนี้มีสินยอมให้บวช จะเป็นคนมีคนจน พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ แต่ถ้าการติดหนี้นี้ตำหนิทันที ไม่เป็นของดี เราควรยึดมาเป็นคติตัวอย่างของพวกเรานะ"

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๖





ผู้ใดมีทุกข์…ผู้นั้นมีบุญวาสนา
.
"ผู้ใดที่มีทุกข์ จงให้รู้ไว้
นั้นแล…ผู้นั้นถือว่ามีบุญวาสนา
ผู้ใดที่มีทุกข์มาก ผู้นั้นกำลังเสวยวิบาก
เพราะใครที่มีทุกข์มากแค่ไหน
ให้จงจำไว้ กำลังได้ชดใช้หนี้กรรม
แม้กรรมนั้นเป็นกรรมทางใจที่ทุกข์ทรมาน
ถ้าเลือกด้วยมีอัฐมีเบี้ยไปทดแทน
ก็หาว่าคุ้มค่ากันไม่
.
เพราะอัฐเบี้ยนั้น เมื่อเราใช้จ่ายหรือซื้อไปแล้ว
ไม่สามารถซื้อความรู้สึกกลับคืนมาได้
แต่ถ้าใจเราไปสัมผัสกับทุกข์ที่แท้จริงแล้ว
นี่แล…คือธรรม คือเหตุ คือมรรค
ถ้าโยมไม่เห็นทุกข์ถึงที่สุด
โยมจะไม่เห็นทางมรรคเลย
โยมก็จะมีการ ลดละ ตัวตน
ของโยมได้…ไม่มีทาง
.
แต่ผู้ใดที่มีทุกข์มากแค่ไหน
ผู้นั้นจะเห็นทางสว่าง ต่อเมื่อผู้นั้นมีสติ
ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้กระทำมาอยู่บ่อยๆ"
.
ธรรมะมหัศจรรย์
คติธรรมคำสอน สมเด็จฯโต




การที่จะแนะนำให้คนประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น เริ่มแรกก็ต้องให้เข้าใจในไตรสรณคมน์เสียก่อน
คือนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง จึงจะเรียกว่าเป็นพุทธมามกะอย่างแท้จริง

โอวาทธรรม.....หลวงปู่กิ ธัมมุตตโม
วัดป่าสนามชัย อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี





“ผู้ประสบความสำเร็จ” ล้วนเคยเดินบนหนทางที่ยากลำบาก “ผู้ล้มเหลว” ล้วนแล้วแต่เดินบนเส้นทางแห่งความสบาย

โอวาทธรรมหลวงพ่อสุธรรม สุธัมโม
วัดป่าหนองไผ่ อ.เมือง จ.สกลนคร







-:- อานุภาพการสวดมนต์ โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต -:-

สมัยที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พักอยู่บนดอยปะหร่อง (จ.เชียงใหม่) กับพระอาจารย์มนู ตอนเช้าเที่ยวบิณฑบาต พอให้พรเสร็จ ท่านได้สอนให้ชาวบ้าน กล่าว "สาธุ" พร้อมกันด้วยเสียงสูง

ท่าน (พระอาจารย์มั่น) เล่าเป็นเชิงตลกว่า มือทั้งสองข้างของเขาชูขึ้นข้างบนเหมือนบั้งไฟ จะขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่างั้น

วันหนึ่ง ท่านนั่งพักในส่วนที่ทำเป็นที่พักกลางวัน มีเทพพวกหนึ่ง มาจาก เขาจิตรกูฏ มาถามท่านว่า

" เสียงสาธุ สาธุนั้น สาธุอะไร สะเทือนสะท้าน ทุกวัน พวกเทพทั้งหลาย ได้ฟัง มีความสุข ไปตามๆ กัน "

ท่านมาพิจารณาว่า เสียงอะไร ที่ไหน จึงระลึกได้ว่า เสียงสาธุการของชาวบ้าน ตอนถวายทาน นั่นเอง

พอรับทราบแล้ว พวกเทพก็กล่าวว่า " เขาก็สาธุการด้วย " แล้วทำ ประทักษิณ เวียนขวา ลากลับไป ส่วนมาก พวกเทพเขาจะทำอย่างนั้น

ท่านพระอาจารย์มั่น เลยมาพิจารณาต่อ ได้ความว่า

"พุทธมนต์นั้น ใครสวดก็ตาม จะเป็นกิจวัตรของ พระสงฆ์ เช้า-เย็น หรือ ชาวพุทธทุกคน สวดมนต์ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้ หมื่นจักรวาล สวดออกเสียงพอฟังได้ มีอานุภาพแผ่ไปได้ แสนจักรวาล สวดมนต์เช้าเย็นธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้ แสนโกฏิจักรวาล สวดเต็มเสียงสุดกู่ มีอานุภาพแผ่ไปได้ อนันตจักรวาล แม้สัตว์ที่อาศัยอยู่ในสามภพ และที่สุด อเวจีมหานรก ยังได้รับความสุข เมื่อแว่วเสียงพุทธมนต์ ผ่านลงไปถึง ชั่วขณะชั่วครู่หนึ่ง ดีกว่าหาความสุขไม่ได้เลย ตลอดกาล"

นี้คือ อานิสงส์ของพระพุทธมนต์ ท่านพระอาจารย์มั่น ว่าอย่างนี้


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO