นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 5:58 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: พรรณาถึงความทุกข์
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 28 ก.ย. 2016 5:40 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
" เกิดมาภพใดชาติใดก็ทุกข์แย่เต็มประดา ทุกข์ตั้งแต่วันเกิดถึงวันแก่ ทุกข์จากวันแก่ถึงวันแตกดับวันตาย ทุกถ้วนหน้าไม่มีใครข้ามมันไปได้ จึงให้เรามาสนใจในการรวมจิตใจของเรา มาให้สงบระงับ ตั้งมั่น เที่ยงตรงอยู่ภายในดวงใจ ให้ได้ทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก จนกระทั่งจิตใจสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาให้ได้ "

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร





หลงป่า...

ท่านเดินทางเข้าไปในป่าลึกทางภาคเหนือ เดินวนเวียนอยู่ในป่าหลายวัน แล้วก็ไปพบชาวเขากำลังทำไร่ พวกเขาเห็นท่านก็สงสาร พูดขึ้นว่า..

"ท่านครับ ท่านจะมาหาความลำบากทำไม ป่านี้เป็นป่าใหญ่ พวกผมยังไม่กล้าเดินเข้าไปในที่ลึกๆเปลี่ยวๆ สัตว์ป่า ช้าง เสือ มีมาก อันตรายทั้งนั้น ถ้าท่านยังจะเดินบุกต่อไปอีกมีแต่ตายเปล่าๆ"

ท่านพ่อลีกล่าวตอบว่า..

"..โยมเอย อาตมาหลงป่ามาหลายวัน ก็ยังน่าชื่นชม ถ้าอาตมาหลงโลกโยมจะชื่นชมมั้ย

หลงโลกนี้หลงมานานแสนนาน หลายภพหลายชาตินับไม่ได้ สร้างเวรสร้างกรรมไม่รู้จักเบื่อหน่าย ไม่คลายความกำหนัด พวกโยมที่ปลูกเผือกปลูกมันอยู่นี้ ไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือ?

หลงทางหลงป่าเพียงสองสามวันเหนื่อยหน่อยเดี๋ยวก็หาทางออกเจอ แต่หลงโลกอันย้อมด้วยกิเลสเป็นเครื่องฉาบทานี้สิ โยมเอ๋ย! ตายจากความดีอย่างเดียว ตายเข้าโลงแล้ว เขาเอาไปเผาไฟยังไม่รู้ตัวเลย.."

อัตตชีวประวัติส่วนหนึ่งของ
ท่านพ่อลี ธัมมธโร







การออกบวช คือการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตซึ่งหายากที่คนทั้งหลายจะทำได้ สละลูกเมีย ทรัพย์สมบัติ สละตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส อีกแล้ว เพราะรูป เสียง กลิ่น รส โอฐัพภะ เป็นเหยื่อของโลก ถ้าติดอยู่ในโลก จะต้องเป็นเหยื่อของมัน” ..

“การบวชคือการสละเพศเป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือที่อยู่ของพรหมโลก สูงกว่าเดรัจฉานและมนุษย์อีก การนุ่งห่ม การกินอยู่ไม่ เหมือนกัน พรหมจรรย์นี้ มิใช่ประพฤติเพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่ออานิสงส์ ลาภสักการะและความสรรเสริญ” ..

“บุคคลจะเป็นคนดีเพราะชาติหรือผิวพรรณก็หาไม่ได้ จะเป็นคนดี ก็เพราะประพฤติดี คนชั่วเป็นอันมากปกปิดความชั่วของตัวไว้ เสมือนหม้อดินที่ฉาบทาด้วยทองคำภายนอก”

“อานิสงส์พรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายเอาลาภสักการะ เป็นอานิสงส์ ไม่ได้หมายเอาศีลเป็นอานิสงส์ ไม่ได้หมายเอาสมาธิเป็น อานิสงส์ ไม่ได้หมายเอาฌานทัสสนะเป็นอานิสงส์ หากหมายเอาโสดามรรค โสดาผล สกทามิมรรค สกทามิผล อนาคามิมรรค อรหันตมรรค เป็นอานิสงส์เท่านั้น” ..

“ความขี้เกียจมักง่าย อ่อนแอไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ทางแก้กิเลส ไม่ใช่ทางออกจากทุกข์” ..

“โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน สมบัติของโลกไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของของเรา มีแต่ความตายหนีจาก ไม่มีใครเอาสมบัติไปได้ เมื่อตายไปแล้ว”

“มองดูโลกก็มีแต่หมู่สัตว์น้อย ใหญ่ ในน้ำ บนบก ในดิน ในอากาศ นับไม่ไหว สัตว์ทุกอย่างรู้จักภาษากันหมด มีการข่มเหงรังแกกัน ฆ่ากินกันเป็นอาหารตลอด มีความกลัวตายกันทั้งนั้น”

“สมบัติทั้งหลายไม่ได้หายไปจากโลก มันเป็นธาตุ ๔เราอยู่กินใช้สอยชั่วประเดี๋ยวเท่านั้นก็จะจากมันไป”

“เครื่องผูกที่ผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากคือบ่วงบุตร ภรรยา(สามี) และทรัพย์สมบัติ” ..

“ทาน ศีล ภาวนา เป็นทรัพย์สมบัติภายใน หากหาทรัพย์มาได้ ให้รีบเปลี่ยนทรัพย์สมบัติภายนอกให้เป็นทรัพย์สมบัติภายในเสียนำติดตัวไปเสวยในภพในชาติหน้าต่อไป เรียกว่าอริยทรัพย์” ..

“ชีวิตนี้ เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย และจบลงด้วยเรื่องเศร้าเริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกครั้งแรกก็ร้องไห้ เมื่อหลับตาจะลาโลกก็ร้องไห้ หรือคนอื่นก็หลั่งน้ำตาเมื่อเกิดมาร้องไห้กำมือแน่นเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวและยึดถือ แต่เมื่อจะหลับตาลงทุกคนแบมือออก เหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึกและเป็นพยานว่า ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วยเลย”

“ผู้ใดมีอะไร รักอะไร ก็จะเป็นทุกข์เพราะอันนั้น”

“ทุกครั้งที่มีความหวัง ความผิดหวังก็จะรออยู่ อย่าสร้างความหวังกับอะไรให้มากเลย มันจะผิดหวังเสียใจ”

“ความใคร่ทำให้คนมืดบอด”

“ความรักความเสน่หา ไม่เป็นที่พึ่งแก่ใครได้”

“ไม่ควรปล่อยให้ตนตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นเรื่องทรมานนัก และเรื่องที่จะบังคับไม่ให้พลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” ..

“คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความอยาก ความดิ้นรนออกหน้าแล้วตนวิ่งตาม เหมือนวิ่งตามเงาของตนเองในเวลาบ่าย ยิ่งวิ่งก็ดูเหมือน เงาจะห่างจากตัวเราไปทุกที ทุกคนต่างมุ่งมั่นในความสุข แต่ความสุขก็เปรียบเสมือนเงานั่นเอง” ..

“ถ้าอยากมีความสุข จงมองทุกข์ให้แลเห็น พร้อมกับตรวจสอบพิจารณาสาเหตุแห่งความทุกข์นั้น แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเสียโดยนัยนี้ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง” ..

“รดน้ำต้นไม้ที่โคน ย่อมได้ผลที่ปลายฉันใด การให้ทานก็ฉันนั้น” ..

“แม่น้ำที่ตาย ไม่มีที่ไหลออก ไม่ถ่ายเทสู่ที่อื่น ย่อมตื้นเขินและสกปรก เน่าเหม็น แม่น้ำสายใดไหลเอื่อยๆ ลงสู่ทะเล แตกสาขาออกไป คนได้ดื่มอาบอยู่เสมอ พืชพันธุ์ก็เขียวสดงดงาม ไม่มีวัน ตื้นเขินอุดตันเน่าเหม็น สกปรกได้เลยฉันใด คนตระหนี่เมื่อมีทรัพย์แล้ว เก็บไว้ไม่ยอมให้ผู้ใด ก็ฉันนั้น” ..
“ผู้สั่งสมบุญย่อมได้บุญ ผู้สั่งสมบาปย่อมได้บาปแน่แท้.

# น้อมกราบคำสอน หลวงตาสิริ อินทสิริ ด้วยเศียรเกล้า





"...ข้าศึกใดๆในโลกนี้ ไม่มีอำนาจลึกลับร้ายกาจแหลมคมเหมือนข้าศึกภายในใจเรา ศีลห้า เป็นรากฐานของการกระทำกรรมต่างๆ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว กรรมดีต้องเว้นจากโทษห้าข้อนี้ ข้ออื่นๆเป็นเรื่องปลีกย่อยออกไปจากศีลห้าทั้งนั้น

เมื่อไม่มีศีลห้าข้อนี้กำกับอยู่กับใจแล้ว ความชั่วนอกนั้นทั้งหมดจะหลั่งเข้ามาครอบครองใจ ความดีทั้งปวงไม่สามารถจะทำให้เกิดขึ้นมาได้ ถึงทำให้เกิดมีขึ้นมาได้ ก็ไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้นาน

ไม่ต้องพูดถึงสมาธิ สมาบัติ ปัญญาหรอก เครื่องกลั่นกรองของธรรมเพื่อให้ใสสะอาดจากโลกนั้น นอกเหนือไปจากศีล สมาธิ ปัญญา แล้วไม่มี..."

โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี







"..ไปวัดขี้เกียจก็เท่าเดิม ไปวัดไปทะเลาะกันก็เท่าเดิม ไม่ได้อะไร พระสงฆ์องค์เจ้าก็เหมือนกัน ขี้เกียจก็เท่าเดิม ป่ามันก็ทำให้ไม่ได้

แต่อาศัยจิตตัวนี้เป็นตัวจริง เมื่อจริงอยู่ในบ้านแล้ว ออกไปที่วัดก็เป็นคนจริง ออกไปในป่าในเขาก็เป็นคนจริง

ห้ำหั่นกิเลส กิเลสนี้ไม่จริง ธรรมเป็นของจริง จะชะล้างกิเลสออก ทำลายกิเลสลงจากจิตของเรา เหมือนพระพุทธเจ้า สาวก ตลอดสมัยปัจจุบัน เมืองไทยเรายังมี วิสุทธิบุคคล ยังพอมี.."

โอวาทธรรม
หลวงปู่ทุย ฉันทกโร

แสดงธรรมเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2556
ณ สวนสุจิตรา พุทธมณฑลสาย 2










"... ธรรมะ คือเรื่องของจิตใจ การพูดก็เป็นธรรม เจตนาที่พูดก็เป็น ธรรม คนที่จะฟังก็ต้องตั้งใจให้เป็นธรรมะด้วย จึงจะเป็นธรรม

เมื่อองค์ทั้งสามนี้ได้สันนิบาตกันขึ้น ก็ย่อมเกิดประโยชน์แก่การฟังธรรม เป็นเอนกประการ ..."

โอวาทธรรมคำสอน..
พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO