นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 06 พ.ค. 2024 11:34 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: จิตผู้มีอสุภะ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 10 ก.ย. 2016 9:30 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4550
จิตผู้มีอสุภะเต็มที่แล้ว ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน
ย่อมเป็นสมาธิอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มองเห็นกิเลสของตน
ซึ่งเกิดจากจิตของตนได้ชัดเจนว่า กิเลส คือ ความโลภ
ความโกรธ ความหลง มัน เกิด จากสิ่งนี้ๆ และมันตั้งอยู่ได้
ด้วยอาการอย่างนี้ๆ แล้วหาอุบายละ ด้วยอย่างนี้ๆ

เหมือนกับนํ้าในสระที่ขุ่นมาเป็นร้อยๆ ปี เพิ่งมาใสสะอาด
มองเห็นสิ่งสารพัดที่มีอยู่ก้นสระว่า แต่ก่อนแต่ไร
เราไม่นึกไม่คิดเลยว่า ในก้นสระมันจะมีของเหล่านี้
นั้นเรียกว่า วิปัสสนา คือความรู้ความเห็นตามสภาพจริง..

โอวาทธรรม....หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี..





"..เมื่อจิตไม่มีความสงบ สมาธิก็ไม่มี
สมาธิไม่มี ฌานไม่มี
ในเมื่อไม่มีฌาน ก็ไม่มีญาณ
ไม่มีญาณ ก็ไม่มีปัญญา
ไม่มีปัญญา ก็ไม่มีวิชชา
นี่กฎธรรมชาติ มันเป็นอยู่อย่างนี้.."

โอวาทธรรม....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย





สัตว์บางตัว มีวาสนาบารมี และอัธยาศัย ดีกว่า มนุษย์บางคน
แต่เขาตกอยู่ ในภาวะความเป็นสัตว์ ก็จำต้องทนรับเสวยไป
มิให้ประมาทเขาว่า เป็นสัตว์ ที่เกิดในกำเนิดต่ำทราม
ความจริงเขาเพียง เสวยกรรมตามวาระ ที่เวียนมาถึงเท่านั้น

เช่นเดียวกับมนุษย์ ขณะที่ตกอยู่ในความทุกข์ จน ข้นแค้น
ก็จำต้องทนเอา จนกว่าจะสิ้นกรรม ..เมื่อมนุษย์เรา เกิดเสวยชาติ
เป็นคน มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ตามวาระของกรรม ที่อำนวย
เพราะฉะนั้น ไม่ให้ดูถูกเหยียดหยาม ในชาติกำเนิด
ความเป็นอยู่ ของกันและกัน และสอนให้รู้ว่า
สัตว์ทั้งหลาย มีกรรมดี กรรมชั่ว เป็นของๆ ตน..

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต..





ใบไม้นั้น ถ้าไม่มีลมพัด มันก็นิ่ง สงบระงับอยู่
ถ้ามีลมมาพัด ใบมันก็กวัดแกว่ง ไปตามลม
จิตใจนี้ ก็เหมือนกัน.. ถ้าอารมณ์มาถูก มันก็กวัดแกว่ง
ไปตามอารมณ์ ยิ่งมันไม่รู้เรื่องธรรมะแล้ว ก็ยิ่งปล่อย
ไปตามอารมณ์ ..อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ ก็ปล่อยตามไป
วุ่นวายไปเรื่อยๆ เกิดเป็นโรคประสาท เพราะไม่รู้เรื่อง
ปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่รู้จัก ตามรักษาจิต

ฉะนั้น ทำจิตของเรา ให้มีรากฐาน เอาลมหายใจเข้า ออก
เป็นรากฐาน เรียกว่า "อานาปานสติ" ให้พยายามทำ
ทุกวัน ทุกที่ ..เราจะมีสติสัมปชัญญะ ตลอดเวลา

หลวงพ่อชา สุภัทโท..





ถามท่านว่า ชีวิตบวชของอาจารย์เคยสะดุดในเรื่องแบบนี้หรือเปล่า

หลวงพ่อสมศรีท่านก็ยิ้มตามบุคลิกลักษณะนิสัยของท่าน
ท่านบอกก็มีเหมือนกัน เคยเป็นครั้งเดียวตอนพรรษายังไม่ถึงสิบ
หัวใจหลงทางอยู่สี่วันจึงแก้กลับคืนมาได้
ตอนนั้นตัวท่านเองป่วยทั้งกาย ป่วยทั้งใจ

พอว่าจบหลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะกับเรื่องราวของตนเองที่ผ่านมา

เราก็เลยนิมนต์ขอให้ท่านเล่าถึงเหตุที่มาที่ไป
และกลอุบายวิธีที่ท่านใช้แก้ไขจิตใจตนเองให้ผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้
หลวงพ่อสมศรีท่านก็พูด ผมไม่อยากเล่าให้ท่านฟังในเรื่องนี้
เดี๋ยวท่านจะเอาไปเล่าต่อ ถ้าเล่าให้ฟังแล้วท่านอย่าเอาไปเล่าต่อได้ไหม

เราก็บอกท่านว่า เรื่องนี้ผมไม่กล้ารับปากเพราะผมเป็นคนปากบอน
ถ้าเรื่องไหนได้ยินได้ฟังมาแล้วเป็นเรื่องที่สะดุดใจได้คติ
ถ้าไม่ได้พูดไม่ได้เล่าออกมาแล้วมันจะจุกในใจ กินข้าวบ่แซบ
นอนกะบ่หลับ หลวงพ่อสมศรีท่านก็หัวเราะอย่างใหญ่

ท่านบอกท่านจะเล่าเพียงจบเดียวแล้วจะไม่เล่าอีก
จากนั้นท่านก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องท่านจิตสะดุด ท่านว่า
ตอนนั้นท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร
พาท่านไปเที่ยววิเวกแถวภูเรือ หลังจากออกจากบ้านกลาง ตำบลสานตม
อาจารย์จันทร์เรียนชวนท่านกลับมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบ
ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน จังหวัดเลย
อาจารย์จันทร์เรียนพากันเดินทางออกจากบ้านกลาง
โดยท่านอาจารย์จันทร์เรียนเดินนำหน้าไปกับเณรอีกรูปหนึ่ง
หลวงพ่อสมศรีท่านเดินตามหลังมาพร้อมกับเณรนารี (ทิดนารี)
เนื่องจากตอนนั้นท่านป่วยเป็นไข้จึงเดินตามอาจารย์จันทร์เรียนไม่ทัน

ท่านเดินทางผ่าทางบ้านถ้ำมูลตัดเข้าถนนเส้นภูเรือ-วังสะพุง
โดยที่ท่านไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จันทร์เรียนแวะเข้าพักรอท่านอยู่ที่ถ้ำมูลน้อย
ท่านเข้าใจว่าอาจารย์จันทร์เรียนคงแวะพักที่บ้านกกกอก
พอเดินทางมาถึงทางปากทางแยกเข้าบ้านหมากแข้ง
หลวงพ่อสมศรีกับเณรนารีจึงพากันแวะเข้าไปบ้านกกกอก
เพราะท่านเข้าใจว่าท่านอาจารย์จันทร์เรียนท่านรออยู่ที่นั่น…

ตอนเย็นท่านกับเณรนารีพากันเดินทางมาถึง
วัดป่าบ้านกกกอก (วัดปริตตบรรพต)
ปรากฏไม่พบท่านอาจารย์จันทร์เรียนอยู่ที่นี่
และไม่มีพระเณรซักองค์อยู่ที่วัดป่าบ้านกกกอกเลยในตอนนั้น
ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงตอนค่ำมืดแล้ว
ร่างกายตนเองก็ไม่ไหวเจ็บระบมเพราะพิษไข้
ท่านกับเณรนารีจึงพากันพักอยู่ที่นี่ก่อน
ท่านอยากจะพักฟื้นร่างกายของตนเองให้หายจากพิษไข้
ก่อนที่จะเดินทางมาหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน

วันที่สองที่หลวงพ่อสมศรีท่านพักอยู่บ้านกกกอก
ชาวบ้านเมื่อทราบว่ามีพระเณรมาพักที่วัด
เป็นธรรมเนียมของชาวบ้านกกกอกสมัยนั้น
เมื่อมีครูบาอาจารย์พระเณรเข้ามาพักอยู่ในวัด
คนหนุ่มสาวเขาจะพากันมาตักน้ำใส่ตุ่มใส่ไห
เอาไว้ให้ครูบาอาจารย์พระเณรใช้บริโภคอาบสรง
วันนั้นหลวงพ่อสมศรีท่านยืนอยู่ที่ศาลา
มองดูวัยรุ่นหนุ่มสาวพากันมาตักน้ำในวัดใส่ตุ่มใส่ไห
สายตาของท่านก็ไปสะดุดกับหญิงสาวคนหนึ่งที่มาตักน้ำกับเพื่อนๆ

พอท่านได้สบหน้าสบตากับหญิงสาวนางนี้แค่เพียงชั่วขณะจิต
ใจของท่านก็เกิดวูบวาบ มีใจปฏิพัทธ์ให้กับหญิงสาวคนนี้ขึ้นมาในทันทีทันใด
แต่ก่อนแต่ใดมาจิตใจของท่านก็ไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย
แต่พอมาเจอกันกับหญิงสาวคนนี้ ใจของท่านถึงกับรวนเรเซซวนไป
ตั้งแต่พบกับหญิงสาวคนนี้จิตใจของท่านก็ว้าวุ่น
ข่มจิตข่มใจภาวนาไม่ลงปลงไม่ตก สามวันผ่านที่ใจเป็นแบบนี้
ท่านก็ยังหาอุบายวิธีปลงจิตปลงใจให้กับตนเองยังไม่ได้...

เข้าวันที่สี่ หลังจากหลวงพ่อสมศรีท่านเดินจงกรม
ดับความว้าวุ่นให้หัวใจของตนเองไม่ลง
ท่านเข้ามานั่งพักในศาลาวัดป่าบ้านกกกอก
ท่านนั่งพิจารณาหาอุบายวิธีดับทุกข์ปัญหาคาใจให้กับตนเอง
จู่ๆ เหมือนมีสิ่งดลใจหรือเป็นเพราะบุญบารมีธรรมของท่าน
มาดลบันดาลให้ก็ไม่รู้ได้ ท่านเดินไปเปิดตู้พระไตรปิฎก
เพื่อจะเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่าน
ท่านบอกตอนนั้นเรากะจะเอาหนังสือพระไตรปิฎกออกมาอ่าน
เพื่อแก้กลุ้มให้กับหัวใจของตนเองเท่านั้น...

เหมือนมีสิ่งดลใจให้ท่านหยิบหนังสือไตรปิฎกเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน
หนังสือเล่มที่ท่านหยิบขึ้นมาอ่าน
ท่านบอกมีเรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงพระภิกษุบวชใหม่
สมัยพุทธกาล แอบมีใจหลงใหลใฝ่รักหญิงสาวคณิกานางหนึ่ง
ท่านเล่าแบบรวบรัดพระภิกษุรูปนี้พิจารณาซากศพของหญิงคณิกานางนี้
จนปัญญาของท่านแตกฉานในอสุภกรรมฐาน
ถอดถอนกามคุณออกไปจากจิตใจของท่านได้
จนท่านพิจารณาในอวิชชาแตกฉาน สามารถบรรลุมรรคผลได้ในปัจจุบัน

หลวงพ่อสมศรีท่านอ่านธรรมบทเรื่องนี้จบ
ท่านหันเข้ามาพิจารณาตัวเอง
กายเราก็ป่วย จิตเราก็ยังมาป่วยตามอีกหรือนี่
ขณะนั้นกามคุณในจิตของท่านอ่อนตัวลงให้เห็น
ท่านวางหนังสือไตรปิฎกเล่มนี้ไว้ที่ตัก
ท่านพลิกหมุนจิตของตนเองเข้ามาพิจารณาในกายธาตุ
ตามกำลังของวิปัสสนาที่กำลังฮึกเหิมห้าวหาญในตอนนั้น
ท่านเกิดปัญญาพิจารณาในกายธาตุอย่างรวดเร็ว
ท่านว่าเราพิจารณาเข้าไปในเนื้อหนังมังสาเอ็นเสาเถ้ากระดูกตรงไหน
ปัญญาก็ทำหน้าที่อย่างแหลมคมตัดขาดปัญหานั้นๆ
จนแหลกกระจุยขาดกันไปหมด
ไม่ต่างอะไรกับเอามือฉีกกระดาษให้ขาดสะบั้นโดยทันที

ท่านว่าใช้เวลาไม่นานเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลก
จิตท่านก็ถอนจากความหลงใหลในผู้หญิงคนนี้
และถอดถอนอุปาทานคนอื่นใดในโลกนี้
ออกไปจากจิตของตนเองได้ทั้งหมด
จิตพ้นสภาวะเป็นทาสของกามคุณ จิตเป็นธรรมไท
เป็นอิสระสิ้นสุดในสัญญาของกามารมณ์
มองหญิงมองชายคนไหนก็เป็นไปด้วยเมตตาธรรม
จิตไม่ยึดติดกับบุคคลหญิงชายเหมือนกับคฤหัสถ์ผู้สร้างโลก
ท่านมาสิ้นสุดในการอาศัยท้องผู้อื่นเพื่อถือกำเนิดที่บ้านกกกอกนี้เอง

ฟังหลวงพ่อสมศรีท่านเล่าแล้วเราก็ทึ่งในบุญบารมี
ที่ท่านถอดถอนกิเลสธรรมราชาหยาบหนาออกไปจากจิตใจได้
เมื่อท่านยังเป็นพระหนุ่มพรรษาไม่พ้นสิบ
ไม่แปลกใจเลยที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบ
กล่าวยกย่องคุณธรรมของท่านให้พระเณรรุ่นน้องฟังว่า

“ท่านศรีเห็นเงียบๆ อย่างนี้ ข้างในท่านแหลมคมแล้วนะ
อย่าประมาทในคุณธรรมของท่านศรีเป็นอันขาด
จะทำให้ตนเองเป็นกรรมภาวนาไม่ขึ้น”

โอวาทธรรม....หลวงพ่อสมศรี อัตตสิริ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO