นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 5:43 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ให้อภัย
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 02 ส.ค. 2016 5:42 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
พระอาจารย์ประสิทธิ์ ปุญญมากโร
วัดป่าหมู่ใหม่
ต.แม่แตง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

จิตเกิดอัศจรรย์ในธรรม
แรงบันดาลใจให้อยากบวช
บันทึกโดย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท

หลวงพ่อประสิทธ์ ปุญญมากโร ในวัยเด็กของท่าน
ท่านใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และท้องไร่ท้องนาเป็นหลัก
ท่านบอก แต่ก่อนเราก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย
เล่นหัวไปตามประสาเด็กบ้านนอกชนบททั่วไป
แต่พอนานวันเข้าท่านกลับมีความคิดเปลี่ยนไป
มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของท่าน

ท่านมีความคิดขึ้นมาว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร
เราเกิดมาเพื่อใคร เรามาอยู่ในที่ตรงนี้เพื่ออะไร
คำถามต่างๆ เหล่านี้จะวนเวียนเกิดขึ้นมาในใจของท่านประจำ
ท่านเองในตอนนั้นก็หาคำตอบให้กับใจของตนเองไม่ได้
คำถามต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาในใจขององค์ท่านเมื่ออายุ ๑๔ ปี

วันหนึ่งในฤดูตกกล้าทำนา พ่อสนธิ์ (หลวงปู่สนธิ์ พ่อขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์)
ใช้ให้ท่านไปเฝ้าควาย เพราะกลัวว่าควายจะแอบเข้าไปลักกินต้นกล้า
หลังจากหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านเฝ้าเลี้ยงควายอยู่นาน
ท่านรู้สึกเหนื่อยร้อนแดด ท่านจึงหลบเข้ามานั่งพักอยู่ในเถียงนา (ห้างนา-ขนำนา)

ท่านนั่งมองดูพ่อกับแม่ช่วยกันดายหญ้า ถอนหญ้าในที่นา
ขณะท่านมองดูพ่อแม่ถอนหญ้าดายหญ้าอยู่ในนานั้น
ท่านเกิดมีคำถามขึ้นมาในใจของตนเอง
“ชีวิตแต่ละเดือน แต่ละปี มันหมุนเวียนอยู่แต่เพียงแค่นี้หรือ
เสร็จจากหน้านาก็ไปทำไร่ เสร็จจากทำไร่ก็ไปทำนา
หมุนเวียนเปลี่ยนวนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบสิ้นเป็น
จะมีหนทางอื่นไหมที่เราจะหลุดพ้นจากวิถีชีวิตแบบนี้”
องค์ท่านนั่งคิดนั่งตรึกอยู่คนเดียวบนห้างเถียงนา
เมื่อหาคำตอบให้ใจของตนเองไม่ได้
องค์ท่านจึงนั่งหลับตาพิจารณาหาเหตุหาผลให้ใจของตนเองในเรื่องนี้

เริ่มแรกท่านบอก เราก็ปล่อยจิตปล่อยใจของตนเอง
ให้มันไหลล่องลอยไปตามอารมณ์ความคิดที่ใจสร้างขึ้นมา
ขณะที่เรากำลังปล่อยจิตปล่อยใจของตนเอง
ให้ไหลล่องลอยไปตามอารมณ์ความคิดอยู่นั้น
จู่ๆ มีคำพูดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของเรา...

“จะปล่อยใจให้ไหลไปตามความคิดของอารมณ์ทำไม
ให้เอาสติของตนเองมาจับจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออกจะดีกว่า
ชีวิตคนเราอยู่หรือตายก็อยู่ที่ลมหายใจของตนเองนี่แหละ”

ทีแรกท่านเองก็นึกแปลกใจว่าทำไมเราถึงมีความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมา
แต่อีกใจหนึ่งท่านก็อยากจะทำตามความคิดแบบนี้ดู
หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงเอาสติของตนเอง
มาจับจ่อที่ปลายจมูกตรงทางเข้าออกของลมหายใจ

ชั่วเวลาไม่นานประมาณสิบนาที
จิตของท่านเกิดอาการวูบวาบวับแวมแสงระยับขึ้นมาในตาให้เห็น
จากนั้นจิตของท่านก็ดำดิ่งลงสู่ความสงบทันที

ท่านบอก จิตเป็นเอกัคคตาหนึ่งเดียวในความสงบ จิตเกิดโอภาสสว่างจ้าขึ้นมา
ณ ขณะนั้นไม่ปรากฏมีกายให้เห็น ไม่ปรากฏความคิดให้เห็น
จิตสว่างจ้าสดใสหาที่สิ้นสุดของขอบเขตแสงสว่างไม่ได้
จิตเราพักค้างอยู่ในความสงบสว่างสดใสแบบนี้อยู่นานร่วมสองชั่วโมง
ถึงถอนออกมาอยู่กับภาวะจิตครองขันธ์ห้าในปัจจุบัน

พอจิตถอนออกจากความสว่างสดใส ท่านลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
องค์ท่านมองเห็นพ่อสนธิ์ (พ่อขององค์ท่านหลวงพ่อประสิทธิ์) ยืนอยู่ข้างเถียงนา
พ่อสนธิ์พูดกับท่านว่า ใช้ให้มาเฝ้าควายกับมานั่งหลับอยู่ที่นี่หรือ
พอว่าจบพ่อสนธิ์ก็ยิ้มให้กับท่าน หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านบอก
ในใจของเราตอนนั้นอยากจะบอกพ่อว่า เราไม่ได้นั่งหลับเหมือนกับคนทั่วไป
แต่ตอนนั้นท่านก็ไม่รู้ว่าจะบอกเล่าอธิบายให้ผู้เป็นพ่อฟังอย่างไร
กับเรื่องเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
พ่อสนธิ์บอกให้ท่านต้อนควายกลับบ้านได้แล้ว
เดี๋ยวค่ำมืดตืดตากว่านี้หูตาจะฟ่าฟางมองทางไม่เห็น...

หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านไล่ควายรวมฝูงเพื่อต้อนกลับคอก
ตอนกำลังไล่ต้อนควายอยู่นั้นองค์ท่านเกิดฉุกคิดขึ้นมาในใจ
เอ..ปรกติถ้าเราไม่ได้มัดควายพวกนี้เอาไว้
ควายพวกนี้มันจะแอบเข้าไปลักกินต้นกล้าในนาอยู่เสมอ
ครั้งนี้เราก็เผลอเรอลืมผูกควายเอาไว้กับหลักแหล่ง
แต่ครั้งนี้ทำไมควายพวกนี้มันถึงไม่เข้าไปกินต้นกล้าในนา

องค์ท่านฉุกคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ จู่ๆ ความคิดหนึ่งเกิดผุดขึ้นมาในใจขององค์ท่าน
“ที่ควายไม่กินต้นกล้าก็เพราะพระธรรมที่เราปฏิบัติอยู่นั้นช่วยปกปักรักษาเอาไว้ให้”

เมื่อคำตอบนี้ปรากฏขึ้นมาในใจ
ท่านถึงกับอัศจรรย์ใจในธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของตนเอง
ตอนขี่ควายกลับเข้าบ้าน ท่านบอก
เราเกิดปีติในใจที่จิตเราสงบรวมเป็นสมาธิครั้งแรก
นั่งบนหลังควายไปใจของตนเองก็ชุ่มเย็น...

เมื่อกลับมาถึงบ้านหลังจากท่านกินข้าวปลาอาหารกับคนในครอบครัวเสร็จแล้ว
องค์ท่านหลบมานั่งพิจารณาถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองเมื่อตอนกลางวัน
ท่านบอก เรามองดูเรือนชานบ้านช่อง มองดูวัวควายใต้ถุนบ้าน
เราคิดพิจารณาถึงไร่นาสาโทอันเป็นสถานที่
ประกอบสัมมาหาเลี้ยงชีพของตนเองและคนในครอบครัว

เราถามตนเองว่าอยากจะได้สิ่งเหล่านี้ไหม คำตอบในใจของเราคือ
ไม่อยากได้สิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นทุกข์เวียนวนที่ไม่มีวันจบสิ้น

ท่านถามใจของตนเองว่า เราจะอยู่ในที่ตรงนี้อีกต่อไปได้ไหม

คำตอบในใจของท่านคือ “เราจะใช้ชีวิตอยู่แบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว”

เมื่อมีคำตอบในใจของตนเองออกมาแบบนี้
ท่านจึงตั้งคำถามให้กับตนเองว่า
“ถ้าเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว แล้วที่ไหนคือที่อยู่ของเราล่ะ”

คำตอบนั้นผุดขึ้นมาในใจของท่านทันที
“ที่อยู่ของเราคือวัด ที่อยู่ของเราคือพระศาสนา
นั่นคือสถานที่ที่เราจะอยู่ได้ตลอดชีวิต”

เมื่อคำตอบนี้ปรากฏ ท่านเกิดโล่งขึ้นมาในใจของตนเองทันที
ใจของท่านคิดถึงวัดป่านิโครธาราม
ใจของท่านคิดถึงองค์ท่านหลวงปู่อ่อน (ญาณสิริ)
ในคืนวันนั้นหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านจึงตัดสินใจว่า
“ชีวิตนี้เราจะต้องบวชให้ได้ ถ้าเมื่อใดที่เราได้บวช
เราจะบวชตลอดชีวิตโดยไม่สึกออกมาเป็นฆราวาสครองเรือนกับใคร”
เมื่อหลวงพ่อประสิทธิ์ท่านได้ข้อสรุป
รู้ว่าชีวิตขององค์ท่านจะดำเนินไปในทิศทางใดแล้ว
ท่านบอก คืนวันนั้นเรานอนอย่างมีความสุข
ในชีวิตฆราวาสของเราไม่มีคืนไหนที่เราจะได้นอนสบายเท่ากับคืนวันนั้น
คืนวันที่เราตัดสินใจออกบวช คือคืนที่จิตเราสว่างจ้าทั้งราตรี
คืนนั้นเรานอนอยู่ในอิริยาบทสีหไสยาสน์จนตลอดรุ่ง
ตื่นมาร่างกายก็ไม่เหนื่อย จิตใจเกิดปีติสุขในความสงบ
จิตเป็นลหุตา กายเป็นลหุตา (กายเบา จิตเบา) ไปพร้อมกัน




“เรื่องทำบุญทำกุศล ให้ทานรักษาศีล ภาวนาอยู่แต่ใจทั้งนั้น อะไรโม๊ดอยู่กับใจ สงสัยก็พิจารณาดวงใจ ทำบาปห้าอย่างนี้แล้ว ศีลไม่มี เป็นคนไม่มีศีล คนมันขอบทำแต่บาป ศีลไม่ชอบทำ อยากทำแต่บาป ท่านเปรียบไว้ว่า คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่าขนวัว วัวมีสองเขาแต่ขนมันนับไม่ถ้วน…”

โอวาทธรรม...หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู





ให้มาอยู่กับ "ผู้รู้"

ให้มาเอา "พระพุทธเจ้า" เป็นอารมณ์

หรือจะเอา "พระธรรม" เป็นอารมณ์

พุทโธ ธัมโม ก็ตาม สังโฆ ก็ตาม

หรือ อัฐิ ๆ กระดูก ๆ ก็ตาม

ระลึกอยู่ .. นั่งอยู่ก็ตามใจ นอนอยู่ก็ตาม เดินอยู่ก็ตาม

เอามันอยู่อย่างนั้น

หลับไปแล้วก็แล้วไป

นั่นเป็นของไม่เหน็ดไม่เหนื่อย พระพุทธเจ้าก็ว่าอยู่

ผู้ที่ภาวนา ..

จิตสงบลงชั่ว "ช้างพับหู งูแลบลิ้น" ชั่ว "ไก่กินน้ำหนึ่ง"

อานิสงส์อักโข อักขัง .. ตั้งใจทำไป

มันลงไปบางครั้ง ลงไปมี ๓ ขั้นสมาธิ

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

ขณิกสมาธิ ..

เราบริกรรมไป พุทโธก็ตาม อะไรก็ตาม จิตสงบไป สบายไปสักหน่อย

มันก็ถอนขึ้นมา ก็คิดไปอารมณ์เก่าของมัน นี่ ขณิกสมาธิ

อุปจารสมาธิ ..

ลงนานหน่อยก็ถอนขึ้นมาไปสู่อารมณ์อีก

ภาวนาอยู่ ไป ๆ มา ๆ อย่าหยุดอย่าหย่อน

แล้วมันจะค่อยเป็นไปหรอก

ทำไป ทำไป จะให้มันเสียมันไม่เสีย

"เป็นก็ไม่ว่า ไม่เป็นก็ไม่ว่า" .. แล้วแต่เขา อย่าไปนึก

อันเรื่องเราทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง มีกรรมอะไรก็ตาม

เราจะเอา "เนื้อและเลือดและชีวิตจิตใจ"

"ถวายบูชาพระพุทธเจ้า ถวายบูชาพระธรรม ถวายบูชาพระสงฆ์" ต่างหาก

"ความอยาก" พึงเข้าใจว่านี่แหละ หน้าตาของ "ตัณหา"

อยากให้มันเป็น อยากให้มันลงโดยเร็ว อันนั้นแหละ นิวรณ์ตัวร้าย

ให้ตั้งใจว่า " ไม่เป็นก็ไม่ว่าหรอก"

เราจะเอาชีวิตจิตใจ

ถวายบูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ ตลอดวันตาย

นี่ก็เป็น มัชฌิมาปฏิปทา

เราอยากนั่น ก็เป็นตัณหา ยืนขวางหน้าอยู่ จิตจึงไม่ลง

โอวาทธรรม....หลวงปู่ขาว อนาลโย




ปัจจุบันโลกเราต้องการคนดี
โลกต้องการให้อภัย
เพราะนั่นเป็นทางแห่งความสันติสุขนะ
ต้องให้อภัย ทำให้ใจกว้างขวาง
จึงจะได้ชื่อว่า เชื่อฟังคำสั่งสอน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้จริง.

โอวาทธรรม....หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO