นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 2:20 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: แก้จิตให้บริสุทธิ์
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 29 ก.ค. 2016 4:35 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
บุคคลผู้ประสงค์จะแก้บาปนั้น
นอกจากการนั่งสมาธิภาวนาแล้ว
ไม่มีวิธีอย่างอื่นที่จะแก้ได้
เพราะมีอานิสงส์มาก
เป็นวิธีแก้จิตที่เป็นบาปให้กลับมาเป็นบุญได้
แก้จิตที่เป็นโลกีย์ให้เป็นโลกุตระได้
เมื่อแก้จิตให้บริสุทธิ์ดีแล้ว
บาปอกุศลก็หลุดหายไปเอง
พึงเห็นองคุลิมาลเป็นตัวอย่าง

________________

คติธรรมคำสอน
หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา




ข้อพึงสังวร ความทะเยอทะยานในการรักษาศีลของคฤหัสถ์
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คู่ควรแก่การที่จะบำเพ็ญคุณงามความดี เพื่อให้เกิด มรรค ผล นิพพาน หรือรู้จริงเห็นจริงในธรรมะตามความเป็นจริง เราจะต้องอาศัยศีล ๕ เป็นพื้นฐาน อย่าเพิ่งทะเยอทะยานว่า เราจะต้องรักษาศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เมื่อเรามีความมั่นในในกรรรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อมๆ กับทำสมาธิเจริญปัญญาให้เกิดขึ้น ศีลอื่นๆ ซึ่งจำนวนมากกว่านั้น แม้เราไม่ได้ตั้งใจจะเพิ่ม โดยกฏธรรมชาติแห่งความดีที่เราบำเพ็ญให้ถึงพร้อม เราจะเพิ่มขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
การทำบาป ผิดธรรม ผิดวินัย ผิดคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะยังผู้ทำให้ตกนรกกันจริงๆ มีแต่ศีล ๕ ข้อเท่านั้น ผู้มีศีล ๕ รับประทานข้าวเย็นก็ได้ ประดับตกแต่งด้วยระเบียบของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาก็ได้ ดูการประโคมขับดนตรีหรือเราจะแสดงเองก็ได้ไม่ผิดศีล แต่ถ้าเราไปสมาทานเพิ่มเข้าอีก ๓ ข้อข้างปลาย ปฏิบัติไม่ได้ผิดทันที
เพราะฉะนั้นจึงใคร่ขอเตือนท่านผู้มีความละโมภในศีลให้พึงรับไปพิจารณา และพึงสังวรระวังให้ดี อยู่ดีๆ แล้วเรารับประทานข้าวเย็นไม่ตกนรก แต่เราไปตั้งเจตนางดเว้นเข้า เมื่อเราปฏิบัติไม่ได้ไปละเมือเข้า ตกนรกทันที จะเป็นการดีอยู่หรือที่เราจะไปสร้างนรกให้กับตัวเองโดยไม่จำเป็น
เพราะฉะนั้น ท่านผู้มุ่งความเจริญในการปฏิบัติจริงๆ ในฐานะที่เป็นคฤหัสถ์ ผู้จะต้องสร้างโลก อย่างดีก็ให้เคร่งครัดศีล ๕ ข้อนั้นเป็นพอ พอเหมาะพอความแก่ความเป็นคฤหัสถ์แล้ว อย่าไปทะเยอทะยานว่าเราจะต้องรักษาศีลให้มากๆ
ถ้าหากจะถามว่าคนที่มีศีล ๕ จะสามารถปฏิบัติให้ถึงมรรคผ่ลนิพพานได้ไหม เป็นข้อที่ควรสงสัย อย่างพระเจ้าสุทโธทะนะ นางวิสาขา มีศีล ๕ แล้วก็ปฏิบัติ ก็บรรลุ มรรค ผล นิพพานได้ เพราะฉะนั้น ศีล ๕ นั้นก็เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เกิดมรรคผล นิพพานได้

โอวาทธรรม...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย....




สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
อินทรียสังวร (๑)

หัดทำสติให้มีประจำใจรักษาใจ คอยระลึกรู้คอยเตือนใจอยู่เสมอดั่งนี้ นี่แหละเรียกตัว อินทรียสังวร คือความสำรวมอินทรีย์ อินทรีย์แปลว่าสิ่งที่เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึงตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ เพราะว่าตาเป็นใหญ่ในการเห็นรูป หูเป็นใหญ่ในการฟังเสียง ลิ้นเป็นใหญ่ในการลิ้มรส จมูกเป็นใหญ่ในการดมกลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการลิ้มรส กายเป็นใหญ่ในการถูกต้อง และมโนเป็นใหญ่ในการรู้เรื่องคิดเรื่อง

และนอกจากนี้หากไม่มีสติคอยรักษาอยู่ดังกล่าว ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ ยังมาเป็นใหญ่ครอบงำจิตใจอีกด้วย ทำให้จิตใจนี้ต้องปฏิบัติไปตามอำนาจของกิเลส เช่นว่าอยากดูอะไรทางตา ก็ต้องไปดู อยากได้ยินอะไรทางหูก็ต้องไปให้ได้ยินได้ฟังเหล่านี้เป็นต้น ก็ยิ่งเป็นใหญ่ครอบงำจิต คนเราจึงต้องปฏิบัติเอาอกเอาใจตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจอยู่ตลอดเวลา ก็ล้วนแต่หาเรื่องต่างๆ มาป้อนให้ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจทั้งนั้น และเมื่อดูลึกซึ้งเข้าไปอีกแล้ว ก็คือป้อนให้แก่ตัวกิเลสนี้เอง ซึ่งตั้งอยู่ในจิตใจ เพราะเหตุที่รับอารมณ์ทั้งหลายทางตาหูเป็นต้นนั้นเข้ามาปรุงจิตใจให้เป็นกิเลส แล้วก็ต้องไปปฏิบัติเอาอกเอาใจกิเลส มาป้อนกิเลส ตามที่กิเลสต้องการ.








บ้าบุญ เมาบุญ นั่นแหละ เป็นมูลเหตุแห่งโรคจิตชนิดหนึ่ง เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่ง หรือกลายเป็นโรคจิตไปเลยก็ได้ มีโรคจิตชนิดหนึ่งซึ่งหมอเขาจัดไว้ว่ามีมูลเหตุมาจากพระศาสนา จะหมายถึงพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าความวุ่นวายใจ ความไม่พักผ่อนแห่งจิตใจ มันได้เกิดขึ้นเพราะความหลงใหลในศาสนาเป็นต้นเหตุ

แล้วโรคจิตชนิดนั้นก็จัดไว้ว่าเป็นโรคจิตที่มีมูลมาจากพระศาสนา รักษายาก ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา อาตมาเคยสนทนากับหมอโรคจิต บางคนเขาเอาตำราให้ดูว่า โรคจิตที่เนื่องมาแต่ศาสนานี่รักษายากที่สุดเลย เพราะมันลึกซึ้งเหนียวแน่น ยิ่งกว่าโรคจิตธรรมดา ซึ่งกระทบอารมณ์เพียงบางอย่างบางคราวนี้ อาจจะหายไปได้ แต่ถ้าเป็นโรคจิตมามีมูลมาจากเรื่องทางศาสนา ฝังแน่นลึกอยู่ในสันดาน แล้วรักษายาก นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่ต้องเอาใจใส่ แล้วสิ่งที่ต้องศึกษา ต้องใคร่ครวญดูให้ดี ๆ

ทีนี้ ก็จะสรุปความว่า จะเอือมบุญกันเมื่อไร มันก็แล้วแต่บารมีที่สร้างสมมาดีหรือไม่ ถ้าสร้างสมบารมีมาดี มันก็จะเอือมบุญกันได้เร็วกว่า พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจผิด ว่าอาตมาสอนให้เลิกทำบุญ ไม่ได้สอนให้เลิกทำบุญ เพราะบุญที่เป็นชื่อของความสุขที่ควรปรารถนาก็มี แล้วบุญเป็นชื่อของเครื่องชำระบาป ล้างบาปให้หมดไปก็มี คนทำบุญอย่างนี้ไปได้ แต่ขอให้มันถูกต้องอย่างนี้ อย่าให้กลายเป็นบุญที่เป็นที่ตั้งแห่งความบ้าบุญ เมาบุญ จนกระทั่งเป็นโรคจิตไปเสีย

ทำไมจึงต้องหยิบปัญหานี้ ขึ้นมาพิจารณาเพราะว่าเรื่องบุญนี้ มันมีด้วยกันทุกชาติ ทุกศาสนา ในบรรดาหมู่มนุษย์ในโลกนี้ ก็มีคำพูดใช้ตรงกันหมด คือสิ่งที่เรียกว่าดี หรือว่าบุญ แล้วก็ส่วนใหญ่มันก็เนื่องกันอยู่กับศาสนา หรือเป็นคำสอนในทางศาสนา สอนให้รู้เรื่องบุญ ให้ทำบุญ ให้มีบุญ เขาสอนผิด ๆ เขาก็อาจจะเลยไปถึงว่าให้บ้าบุญ

ถ้าเอากันแต่เพียงว่าเป็นเครื่องล้างบาปอย่างนี้ ก็จะไม่เป็นไร เช่นทำบุญให้ทาน เพื่อจะล้างความขี้เหนียวความตระหนี่ ล้างความเห็นแก่ตัว ล้างโทสะ ล้างจิตที่มันเลวร้ายก็ดีแหละ มันเป็นส่วนดี เป็นความดีโดยส่วนเดียว บุญที่เป็นเครื่องชำระกิเลส แต่แล้วส่วนมากในโลกนี้ เกือบจะทุกศาสนา ไม่ค่อยจะได้มีบุญกันในลักษณะล้างบาป แต่มีบุญกันในลักษณะที่เป็นอุปธิ คือของหนักที่ยินดีที่จะแบก จะหาม จะทูน จะหอบ จะหิ้ว ไปกับตัวทีเดียว เป็นเสียอย่างนี้โดยมาก แล้วก็เป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคจิตเพราะบุญนั้นเองก็ไม่รู้สึก มันก็ไม่รู้สึก

พุทธทาสภิกขุ





“จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มีมากบ้าง น้อยบ้างต่างกัน
เป็นเรื่องของสัตว์โลกที่เกิดมา ได้สร้างความดีไว้ที่ต่างกัน
ทุกคนจึงต้องเป็นตามกรรมนั้นๆ

จริตของคนเราที่เกิดมาในโลก มี ๖ ประการ คือ

-ราคจริต เป็นผู้ที่รักสวยรักงาม เป็นเจ้าเรือน
-โทสจริต เป็นผู้มักโกรธง่าย ผูกโกรธไว้เป็นเจ้าเรือน
-โมหจริต เป็นผู้หลงงมงาย มืดมน วิตกจริต เป็นผู้ไม่แน่นอน ตกลงใจไม่ได้
-สัทธาจริต เป็นผู้มักเชื่อง่าย ถือมงคลตื่นข่าว และ
-พุทธิจริต เป็นผู้ใช้ปัญญาตรึกตรองมาก

จริตทั้ง ๖ ประการ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องรู้และหมั่นพิจารณาเนืองๆ ว่า ตนนั้นตกอยู่ในจริตข้อใด หรือจริตข้อใด เป็นเจ้าเรือน
เมื่อรู้แล้ว จงกำหนดจิตของตน ให้แน่วแน่ละจริตนั้นๆ เสีย
ทำบ่อยๆ จนจิตสงบ เยือกเย็น
ได้ชื่อว่า เป็นผู้ละกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เกิดขึ้นได้”

"พระอาจารย์อ่ำ ธัมมกาโม"
วัดสันติวรญาณ
ต.วังศาล อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์




ก็พระผู้มีพระภาคของเรานั้นก็เป็น "คนธรรมดา" เป็น "มนุษย์" ธรรมดาฯ ไม่ใช่พรหม ไม่ใช่อินทร์..เป็นมนุษย์ แต่เป็น "มนุษย์ที่อัศจรรย์" เป็นมนุษย์ที่แปลก เป็นมนุษย์ที่อัศจรรย์ มนุษย์ผิดปกติ ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาเรา

มนุษย์ถ้าผิดปกติแล้วมี ๒ อย่าง หนึ่งผิดปกติไปในทางสูง ก็เรียกว่า เป็น "พระอริยเจ้า" เป็น "พระพุทธเจ้า" เป็น "พระอรหันต์เจ้า" ขึ้นไป นี่เป็นมนุษย์ที่ผิดปกติทั้งนั้นน่ะ

ถ้าผิดไปทางข้างล่าง..เป็นบ้า เห็นไหม เป็นบ้ากัน โรคประสาท ผิดปกติเหมือนกัน ผิดปกติมาข้างล่าง ข้างต่ำ

พวกปุถุชนธรรมดา สามัญชนธรรมเป็นมนุษย์ที่อยู่กลางๆ ยังไม่เสีย ยังไม่เป็นโรคประสาท แต่ว่ายังไม่เป็น "พระอริยเจ้า" แต่แล้วก็จะเป็นได้ทั้งสองอย่างนะ เป็นได้ทั้งพระอริยเจ้า เป็นได้ทั้งบ้า ดังนั้นทุกวันนี้ก็กลัวแต่ส่วนมากมันอยากลงไปข้างล่างมาก

"พระอาจารย์ชา สุภัทโท"
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO