นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 5:26 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความเสื่อม
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 27 ก.ค. 2016 1:47 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
การเสื่อมญาติก็ดี
เสื่อมทรัพย์ก็ดี
เสื่อมยศก็ดี เป็นอาทิ
พระพุทธองค์สอน ให้จัดว่า
เป็นการเสื่อมเล็กน้อย
แต่ การเสื่อมปัญญา
เป็นการเสื่อมวินาศใหญ่หลวงทีเดียว.
หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร



สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช

เพราะฉะนั้น จิตใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ และจิตใจนี้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย รักษายากห้ามยาก ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายนั้น ก็คือดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในอารมณ์ คือเรื่องทั้งหลาย ที่ประสบพบผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางมนะคือใจเองอยู่ตลอดเวลา อารมณ์คือเรื่องทั้งหลายที่ประสบพบผ่านเข้ามาสู่จิตใจนี้ บางอย่างก็เป็นที่ตั้งของราคะ คือความติดใจยินดี บางอย่างก็เป็นที่ตั้งของโทสะ ความโกรธแค้นขัดเคือง บางอย่างก็เป็นที่ตั้งของโมหะ คือความหลง

เพราะฉะนั้นเมื่อมีสติซึ่งเป็นเครื่องรักษาใจ อ่อน อารมณ์เหล่านี้มีกำลังแรง ก็เข้ามาครอบงำจิตใจ ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เมื่อเป็นดั่งนี้หากระงับใจไว้ไม่อยู่ ก็ทำให้ละเมิดออกไปทางกายทางวาจา เป็นการผิดศีลน้อยบ้างมากบ้าง ศีลก็ไม่บริสุทธิ์.





ถึงแม้ของน้อยก็อานิสงส์มาก

“การถวายสังฆทานนี่ถึงแม้จะมีของน้อยก็มีอานิสงส์มาก ก็ดูตัวอย่างพระสารีบุตรถวายสังฆทานให้แม่ของท่าน แม่คนละชาตินะ แม่ชาตินี้ของท่านก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านแนะนำให้แม่ของท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ถอยหลังไปอีกร้อยชาติมีแม่อีกคนหนึ่ง คนละชาติ แม่ชาติโน้นเป็นเปรตอยู่…”

“วันหนึ่งพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐาน แล้วท่านก็ไปเที่ยวแดนนรก ออกจากแดนนรกท่านเข้าสู่แดนเปรต เข้าใจว่าท่านรู้ ไม่รู้ท่านคงไม่ไป ก็เดินผ่านคณะเปรตมา มาถึงเปรตผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ก็มีผ้าดึงไปดึงมา ดึงผ้าไม่หยุด หยุดดึงไม่ได้ไฟไหม้ตัว แล้วท่านก็หยุดยืนข้างๆ หญิงคนนั้นก็มองหน้าท่าน

พระอยู่ใกล้ไฟก็ไม่ไหม้ เมื่อท่านมองหน้า เธอมองหน้าพระสารีบุตร
หญิงเปรตก็ถามว่า “..ท่าน จำฉันได้ไหม...” พระสารีบุตรความจริงรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ลีลาของพระทุกองค์เหมือนกัน รู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ไอ้นี่มันเป็นปกติของพระ
พระสารีบุตรถามว่า “...เธอกับฉันเคยรู้จักกันมาหรือ...”

เธอก็บอกว่า “...เมื่อร้อยชาติโน้นที่ผ่านมาฉันเคยเป็นแม่ท่าน ท่านเป็นคนมีเมตตา ใจบุญสุนทาน ชอบทำบุญชอบให้ทาน แต่ฉันเป็นแม่ เป็นคนที่มีใจร้าย มีความตระหนี่มาก ไม่ทำบุญไม่ให้ทาน เป็นคนโหดร้าย ท่านตายจากความเป็นคนท่านก็เกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ฉันต้องมาเป็นเปรตถึงชาตินี้ ตั้งแต่เวลานั้นถึงเวลานี้ฉันยังไม่พ้นจากความเป็นเปรต...”

พระสารีบุตรเกิดมาร้อยชาติแล้วนะ พระสารีบุตรก็ถามว่า “...เธอต้องการให้ช่วยอะไรบ้าง...”
หญิงเปรตก็บอกว่า “...ถ้าท่านจะช่วยฉัน ขอให้ท่านถวายสังฆทานกับพระสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระสมณโคดม. ..”
พระสารีบุตรก็รับว่าจะทำ ท่านก็ขึ้นมา พอตอนเช้าท่านไปบิณฑบาตเสร็จ เวลานั้นท่านอยู่ป่า มีลูกศิษย์อยู่ประมาณ ๕๐๐ รูป

ท่านฉันนอกวง คือท่านฉันองค์เดียว พระคณะของท่านฉันรวมกัน ก่อนที่พระจะฉันท่านก็นำข้าวหยิบเท่าที่บิณฑบาตมาได้เล็กน้อย แบ่งไปหยิบมือหนึ่งใส่ใบไม้แล้วก็ส่งไปให้พระ และก็เอาน้ำส่งให้พระ กับข้าวนิดหนึ่งใส่ใบไม้ส่งให้พระ กับผ้ากว้างคืบยาวคืบส่งให้พระ ถ้าผ้ากว้างคืบยาวคืบ ในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นจีวร เป็นผ้าที่มีความสำคัญ โตกว่านั้นไม่เป็นไร ถ้าเล็กกว่านั้นไม่ถือเป็นจีวร

ถวายไปในวงพระ เวลาถวายไม่ได้ว่าอะไร เป็นสังฆทานโดยตรง การถวายสังฆทานโยมไม่ต้องว่าอะไรก็เป็นสังฆทาน ถ้าเราเห็นว่าพระนั่งตั้งแต่สี่องค์ขึ้นไปก็ถวายไปปั๊บ ไม่ต้องพูด เป็นสังฆทานเลย อานิสงส์ได้ครบ ถ้าองค์เดียวต้องบอกนี่สังฆทานนะ หลังจากนั้นท่านก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่มารดาของท่านในร้อยชาติที่ผ่านมา ที่พบเมื่อตอนกลางคืน

พอตอนสายท่านไปพบพระโมคคัลลาน์ พระมหากัจจายนะ พระอนุรุทธ ท่านก็บอกว่า “...เมื่อคืนนี้ผมไปพบมารดาของผมในร้อยชาติที่ผ่านมา กำลังเป็นเปรต วันนี้ผมถวายสังฆทานไปให้แล้ว ก็ต้องการให้มารดามีวิมานเป็นที่อยู่ ชวนท่าน ๓ องค์สร้างศาลาคนละหลัง...” ทั้ง ๔ องค์ก็ตัดสินใจร่วมกันสร้างศาลาคนละหลัง ทำเป็นเพิงหมาแหงน

เสา ๔ เสาเอาไม้พาด เอาใบไม้วางข้างบน อุทิศให้เป็นของสงฆ์ แค่นั้นก็เป็นวิหารทาน และพอเวลากลางคืน เวลาที่พระเจริญกรรมฐาน พระโมคคัลลาน์กำลังเจริญกรรมฐานอยู่ ตามธรรมดาพระโมคคัลลาน์นี่ต้องไปสวรรค์ไปนรกทุกคืน คืนนั้นกำลังรวบรวมกำลังใจให้จิตเป็นสุขก่อน ทีนี้เวลารวบรวมกำลังใจยังไม่ทันจะเคลื่อนจากที่ ปรากฏมีนางฟ้าคนหนึ่ง มีภาพนางฟ้าปรากฏขึ้นสวยงามมาก

มีเครื่องประดับประดาสวยมาก แสงสว่างทั่วจักรวาล แถมมีวิมานตามมาด้วย มีสระโบกขรณีตามมาด้วย พระโมคคัลลาน์ท่านรู้จักเทวดานางฟ้าทั้งหมด เพราะท่านไปทุกคืน เกิดใหม่จุติใหม่ท่านรู้หมด ท่านเห็นท่านก็แปลกใจ “...เอ๊ะ...นางฟ้าองค์นี้มาจากไหน ทุกวันเราไปไม่เห็นพบ...” จึงถามว่า

“...ภคินี ดูก่อนน้องหญิง เธอเป็นนางฟ้าตั้งแต่เมื่อไร...”
นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า “...ฉันคือมารดาพระสารีบุตรเมื่อร้อยชาติที่ผ่านมา...”
พระโมคคัลลาน์ก็ถามว่า “...ที่เธอเป็นนางฟ้าก็ดี มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงามก็ดี มีวิมานทองคำสวยก็ดี มีสระโบกขรณีก็ดี มันได้บุญมาจากไหน...”

เธอก็บอกให้ฟัง บอกว่า “...เมื่อตอนเช้าพระสารีบุตรได้ถวายสังฆทานกับพระ มีข้าวหยิบมือหนึ่ง มีอาหารหน่อยหนึ่ง ใส่ใบไม้ถวายพระเป็นสังฆทาน เป็นเหตุให้ฉันได้ร่างกายอันเป็นทิพย์
และประการที่สอง พระสารีบุตรได้ถวายผ้ากว้างหนึ่งคืบยาวหนึ่งคืบแก่พระ เป็นเหตุให้ฉันได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระสารีบุตรเอาน้ำใส่ฝาบาตรหนึ่งฝาบาตรถวายพระเป็นสังฆทาน

เป็นเหตุให้ฉันได้สระโบกขรณีอันเป็นทิพย์ แล้วที่ได้วิมานสวยสดงดงามเพราะพระคุณเจ้าทั้งสี่สร้างศาลาเพิงหมาแหงนให้ ถวายแก่สงฆ์ เป็นเหตุให้ฉันได้วิมาน...” นี่เห็นไหม รวมความว่าการถวายสังฆทานแม้จะเป็นของเล็กน้อยแต่อานิสงส์มากเหลือเกิน แต่ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย แสดงว่าจะมีร่างกายสว่างมาก ผีบอก แต่เรื่องผีบอกนี่ตรงมากกว่าคนเดา เพราะผีได้รับอานิสงส์”

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง : หนังสือคำสอน "ทางสายเอก" (ถึงแม้ของน้อยก็อานิสงส์มาก)


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO