นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 5:47 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กลิ่นอายความทุกข์
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 24 ก.ค. 2016 5:18 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
เหตุเกิดที่วัดอรัญญบรรพต

ในปีพ.ศ. ๒๕๒๔ ขณะนั้นที่วัดอรัญญบรรพตกำลังอยู่
ระหว่างการก่อสร้างพระอุโบสถ ได้มีเหตุอันน่า
อัศจรรย์เกิดขึ้น คือพญานาคขึ้นมาอยู่ผิวน้ำกลาง
ลำโขง บริเวณท่านน้ำวัดอรัญญบรรพต เหตุการณ์
ครั้งนั้นมีเด็กวัดได้เห็นเข้าจึงได้วิ่งไปกราบเรียนหลวง
ปู่เพื่อให้ท่านไปดู ขณะนั้นหลวงปู่กำลังเขียนหนังสือ
อยู่ในกุฏิ

“หลวงปู่ๆ ไปดูนาคไหม มันขึ้นมาลอยเล่นอยู่กลาง
แม่น้ำโขง” เด็กวัดกราบเรียนหลวงปู่

หลวงปู่ตอบ “นากกินปลาเราเห็นมาพอแรงแล้ว”

เด็กวัดจึงวิ่งกลับไปดูอีก พญานาคตนนั้นก็ยังคงลอย
อยู่กลางลำโขงเช่นเดิม สักครู่เดียว เด็กวัดคนนั้นก็วิ่ง
กลับมานิมนต์หลวงปู่อีก ท่านก็ตอบเด็กคนนั้นเหมือน
เดิม จนเด็กคนนั้นวิ่งมานิมนต์หลวงปู่เป็นครั้งที่ ๓
หลวงปู่ท่านนึกเอะใจว่า คงจะไม่ใช่นากกินปลา
ธรรมดาเสียแล้ว ท่านจึงได้ไปดู

เมื่อหลวงปู่ไปถึง พญานาคตนนั้นดำน้ำลงไปเสียแล้ว
แต่ก็ยังมีเครื่องยืนยันให้ท่านได้ประจักษ์ว่าพญานาค
นั้นมีอยู่จริงคือ ขณะนั้นแม้ว่าพญานาคจะจมลงไปใน
ท้องน้ำแล้วก็ตาม แต่มันยังมิได้ไปไหน ได้พ่นน้ำพุ่ง
ออกมาเป็นสาย คล้ายน้ำพุสูงขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ไป
จนถึงเวลาประมาณ ๕ โมงเย็น ถึงได้เคลื่อนหายไป
หลวงปู่ท่านจึงได้เห็นเฉพาะน้ำที่พญานาคพ่นขึ้นมา
เท่านั้น

หลวงปู่ได้ถามเด็กวัดคนนั้น ถึงรูปร่างลักษณะของ
พญานาค ว่าเป็นอย่างไร เด็กคนนั้นได้กราบเรียนถึง
ลักษณะของพญานาคตนนั้นว่า หงอนมันมีสีแดงจัด
ลำตัวมีสีดำเป็นเงางาม เกล็ดมีสีดำ ขนาดของ
ลำตัวใหญ่เท่าต้นตาล และยาวมาก

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน
หลวงปู่ได้เดินทางไปกราบเยี่ยม หลวงปู่ขาว
อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล จังหวัดหนองบัวลำภู
ซึ่งกำลังอาพาธอยู่ ในครั้งนั้น หลวงปู่ได้ร่วมเดินทาง
ไปกับหลวงปู่อ่อนศรี สุเมโธ หลวงปู่บัวพา
ปญฺญาภาโส และหลวงปู่ต้น สุทฺธิกาโม เป็นต้น

ครั้นเมื่อคณะของหลวงปู่ได้เข้ไปถึงกุฏิหลวงปู่ขาว

หลวงปู่ขาวท่านกล่าวขึ้นว่า “ท่านเหรียญได้ข่าวว่า
พญานาคขึ้นที่วัดหรือ”

หลวงปู่ท่านเล่าว่า ไม่ทราบหลวงปู่ขาวท่านทราบได้
อย่างไร ทั้งๆ ที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน และท่านกำลัง
อาพาธอยู่

จากนั้นหลวงปู่ขาวท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า
“ที่พญานาคตนนั้นลอยตัวขึ้นมาให้เห็น นั่น ก็เพราะ
ว่ามันมาตามหาลูก ซึ่งหายไปเป็นอาทิตย์แล้ว เลย
ทำให้น้ำในแม่น้ำโขงตั้งแต่อำเภอท่าบ่อ เรื่อยไปจน
ถึงเขตจังหวัดเลย น้ำขุ่น”

จากการที่หลวงปู่ขาวท่านกล่าวเช่นนั้น ก็ตรงกับ
ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือ สีของน้ำใน
แม่น้ำโขงละแวกวัดอรัญญบรรพตในขณะนั้นขุ่นมาก
และที่สำคัญคือ ชาวญวนที่ปลูกผักอยู่ริมโขงได้ตัก
น้ำนั่นขึ้นมารดผัก ผักทั้งหลายในแปลงกับไหม้
และเฉาตายหมด นั้นก็อาจจะเป็นเหมือนกับที่คน
โบราณได้กล่าวว่า ตัวของพญานาคนั้นมีพิษ ใครได้
สัมผัสแล้วจะร้อน และเกิดแผลพุพอง ดั่งไฟไหม้
หรืออาจตายได้

ดังนั้น เมื่อมันออกตามหาลูกที่หายไป จึงกวนน้ำใน
ละแวกดังกล่าวให้ขุ่น และพิษจากตัวพญานาคได้เกิด
ตกค้างในกระแสน้ำก็เป็นได้

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีพญานาค
ขึ้นในแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดอรัญญบรรพตอีกเลย

‪#‎ที่มา‬ พระสุธรรมคณาจารย์
(หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)




“ หนูเข้ากุฏิของท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ”

“ ท่านอาจารย์สิงห์ทอง (ธมฺมวโร) เคารพยินดีกับย่าแก้ว เสียงล้ำ เหมือนกับแม่ของท่าน แต่กับท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน มักชอบหยอกเย้ากันเล่นให้ม้วนสนุก ผู้ใหญ่จูม (ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จูม พันธุโล) ว่า........ เวลาท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน โกรธ ใคร ๆ ก็เข้าใกล้ไม่ได้ มีแต่อาจารย์สิงห์ทอง (ธมฺมวโร) องค์เดียวที่เข้าใกล้ได้

มาอยู่บ้านห้วยทราย คำชะอี นครพนม (มุกดาหาร) ก็เล่นกันหลายเรื่อง..............

มีอยู่ครั้งหนึ่ง วัดนี้แต่ก่อนหนูมันมากมันหลายกัดผ้า กัดหมอน กัดมุ้ง เก็บอย่างใด มันก็กัดขาดฟุงฟิงไปหมด พระเณรก็พากันจับเอาไปปล่อยไกลๆ มันก็กลับมา

วันนั้นหนูมันเข้ากุฏิของท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ในระหว่างอบรมพระเณรตอนหัวค่ำกันอยู่

“ เอ้า ลัดๆ จับให้ได้ จับให้ได้ ”...(หลวงตามหาบัว)

พระเณรต่างก็ลุกลัดช่องที่หนูจะไป หนูมันก็วิ่งวนไปวนมาวิ่งมาทางท่านสิงห์ทอง (ธมฺมวโร)

ท่านสิงห์ทอง (ธมฺมวโร) ก็ปล่อยไปเสีย เก็บเอาไม้ค่อล่อสำหรับจะทำเป็นด้ามมีด โยนไปทางท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน

ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ก็ตะครุบทันที เป็นไม้ด้ามมีด แล้วท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เลยเอะอะโวยวาย

“ ใครๆ ใครเป็นผู้ทำอย่างนี้”...(หลวงตามหาบัว)

“ ผมเองครับ บ่แม่นหนูหรือครับ”...(หลวงปู่สิงห์ทอง)

“ หนูผีบ้าไม่ค่อล่อด้ามมีด มาทำอย่างนี้มันไม่เคารพกันไม่นับถือกัน ก็อย่ามาอยู่ด้วยกันกับผม อยู่กับผมไม่ได้หรอกนิมนต์ออกไปเลย”...(หลวงตามหาบัว)

“ก็ท่านอาจารย์เทศน์อบรมอยู่ดีๆ แค่หนูกัดผ้าตัวเดียว ก็เลิกอบรมพระเณรผู้กำลังฟังอย่างตั้งใจอยู่ กระผมก็อยู่กับท่านอาจารย์ไม่ได้แล้วเช่นกัน”...(หลวงปู่สิงห์ทอง)

ท่านสิงห์ทอง (ธมฺมวโร) ก็กราบลา ๓ ครั้ง กลับไปกุฏิเก็บบริขารใส่บาตรเอาผ้าจีวรพาดบ่าก็ออกไปท่ามกลางสายตาหมู่เพื่อนพระเณรมองอยู่ ออกไปพ้นเขตวัด นั่งพักอยู่นอกวัด

สักพักก็กลับเข้ามาเข้ากราบท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ว่า...........

“ กระผมเดินทางมาค่ำมืดขออนุญาตพักได้บ่ครับผม”...(หลวงปู่สิงห์ทอง)

“มาทำไม ไล่ไปแล้วมาทำไม”...(หลวงตามหาบัว)

“ผมทำตามคำของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทุกอย่างแล้วนี่ครับ ไล่ให้ผมไปผมก็ไปแล้ว แต่ท่านอาจารย์บ่ได้บอกว่าบ่ต้องกลับมาอีก ผมกลับมา ก็ขอพักอาศัยได้เพราะเป็นนักบวชพวกเดียวกันที่สุดนั้น บ่ประสงค์ต้องขาดจากการฟังธรรม ขอนิมนต์พ่อแม่ครูบาอาจารย์คิดอ่านแก้ไขอย่างใหม่เถิด”...(หลวงปู่สิงห์ทอง)

“ เอ้าพระเณรพากันเอาอีพ่อใหญ่นี้(หลวงปู่สิงห์ทอง) ไปพักกุฏิเดิมของท่านเสีย”...(หลวงตามหาบัว)

เป็นอันว่าจบกันได้..............

ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๑๐

(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

๒๓ กรกฏาคม ๒๕๕๙




“ กลิ่นอายของทุกข์ ”

“ บุหรี่ไม่กิน หมากไม่กิน กาแฟไม่กิน น้ำส้มน้ำหวานขี้คร้านกินมันรุงรัง ยาสูบก็เหม็นเห็นเขาสูบก็รำคาญแล้ว กินหมากปะรากปากเปรอะสกปรก กาแฟก็กินไม่ได้หัวใจเต้น น้ำส้มน้ำหวานไม่ฝึกกินมันไม่ดี เดี๋ยวมันจะติดใจ หาเงินซื้อมิได้

ใครเขากินก็กินไปปากท้องเขา แต่เราไม่เอาเพราะสบายดีไม่ต้องกังวลห่วงอยู่ห่วงกิน กินข้าวกับน้ำก็อยู่ได้แล้วสืบธรรมสืบวินัยได้แล้ว

เพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านฉันหมากแต่สะอาดมากไม่เคยเห็นน้ำหมากขี้คำหมาก ตามพื้นดินรอบๆ ที่อยู่สะอาดเห็นบางคนกินหมากปากแดงจายวาย ถ่มน้ำหมากขากน้ำลายปะรากปากปรีกดินแดงเป็นสะล้าน แต่เพิ่นครูอาจารย์มั่น ภูริทัตโต สะอาดทั้งปากทั้งมือ

...“ทำไมท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จึงยังเคี้ยวหมากอยู่ละครับ”.........

“กลิ่นอายของทุกข์อันเหลืออยู่นั่นแหละพาให้เคี้ยวไม่ผิดธรรมหรอก เพียงแต่เป็นเครื่องรุงรัง พระพุทธเจ้าห้ามฉัน แต่ท่านมิได้ห้ามเคี้ยว”

“หลวงปู่สิม (พุทฺธาจาโร) สูบยาเกร็ดทอง วันละ ๔ – ๕ ซอง จนเป็นวัณโรค”

หลวงปู่ลือ (สุขปุญฺโญ) นัตถุ์ยานัตถุ์ จนเป็นกังจมูก-ริดสีดวงจมูก บางคนสูบยาจนตนตัวออกซี่ไฟเหม็นไปทั่ว หลวงปู่แหวน สุจิณโณ สูบยาจนหมดอายุของเพิ่น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม กินหมาก หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พาขึ้นดอยลางแง้นยาสูบจนได้ลงมา

ท่านอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน เพิ่นก็ฉันหมากสีหมาก เทศน์สอนธรรมทั้งพระ เณร แม่ชี แม่ขาว และฆราวาส

ส่วนผู้ข้าฯ ยังกินแต่น้ำชา เฒ่ามาแล้วท้องผูกน้ำชาก็ไม่กิน กินน้ำเปล่าก็พอ ”……..

ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๑๑

(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

๒๓ กรกฏาคม ๒๕๕๙





“ ชีวิตและปฏิปทาของพระธุดงค์ ”

อยู่เมืองเหนือ แต่คราวก่อนยังหนุ่ม เรื่องผ้าบังสุกุลเขายังไม่รู้จักไม่เข้าใจได้ดี หากเขาพอใจพระเณรตนใดเขาก็เอามาให้ใช้เฉพาะตนนั้นๆ

การถือธุดงค์การปฏิบัติต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งให้มั่นคงเป็นคราวๆไปเช่น การอยู่ที่แจ้งจะกำหนดช่วงใด การอยู่รุกขมูล การอยู่ป่า การอยู่ป่าช้า การอยู่เสนาะสนะที่จัดให้ การเดินแถวบิณฑบาต การบิณฑบาตตามลำดับเรือน การไม่รับภัตกายหลัง การฉันหนเดียว การใช้ผ้าต้องรู้ต้องฉลาดในการรับอุบายข้อปฏิบัติแต่ละข้อ แต่ละกาล ว่ามีข้อจำกัดอย่างใดจึงได้ชื่อว่ามีวัตรปฏิบัติถือธุดงค์

ส่วนการเที่ยวธุดงค์นั้นให้ไปง่ายมาง่าย อยู่ง่าย กินง่าย อย่าให้มีโทษ อย่าให้เป็นบาป จะนั่งจะนอนก็ไม่วุ่นวายอะไรมาก กวาดเอาใบไม้แห้งมารวมกองแล้วเอาผ้านุ่งอาบน้ำปูทับลงก็นอนได้แล้ว จะนั่งก็อาศัยผ้าปูนั่งรองนั่ง ใบไม้ใบหญ้าฟางเฟืองก็ใช้ได้หรืออยู่ประจำที่นานหน่อย ญาติโยมเขาก็มาทำที่พักนั่งร้านให้ เป็นเพิงหมาแหงนบางทีมีแต่หลังคาก็อยู่ได้ หากจะจำพรรษาก็บอกเขาให้ทำที่มุงที่บังให้ก็พอ นอนในหลังหลับในตาจะอะไรมาก พื้นสับฟาก พื้นไม้เรียงลำ พอพ้นจากสัตว์เลื้อยคลานอันตรายได้ หนาวมาก็สุมไฟขึ้นพอได้ไออบอุ่น

การใช้สอยอยู่กิน ไม่เคยขออะไรของใคร ตาเขามีเขาต้องเห็น ใจเขามีเขาต้องพิจารณา ป่วยเป็นก็ฉันยาไปตามเรื่อง ไม่มียาก็ฉันน้ำมูตร ไม่หายก็ฉันภาวนาให้อิ่ม ญาติโยมเขาก็ดูแลอยู่หรอก เขาไม่ปล่อยให้ตายหรอก เพราะเขากลัวไม่มีที่ทำบุญ

การใช้สอยอะไรมีอยู่ก็ใช้ไป ไม่มีก็อย่าไปบอกร้องขอ หากบวชตั้งใจแล้วพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์อดยากหรอก ที่ว่าอดยากก็เพราะไม่พอไม่รู้จักพอนั่นเอง

จะไปจะอยู่ก็อย่าให้กังวล อย่าให้ผิดธรรมผิดวินัยไปลามาบอก ที่อยู่ก็อย่าอาลัย ผู้คนก็อย่าได้อาวรณ์ก่อพันธะต่อกัน อยู่ก็ขอข้าวเขามากินเท่านั้นอย่าคลุกคลีหาคุ้นหาเคยหาโลกหาสงสารอะไรกับเขา

เมตตาอบรมพร่ำสอนเขาไปตามเรื่องตามเหตุเท่านั้นก็พอแล้ว ขอให้มั่นคงเฉียบขาดในพระธรรมพระวินัย การปฏิบัติที่ควรส่งเสริมก็คือ การปฏิบัติตนเอง

การเสาะหาที่วิเวกเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมนี้ ที่ใดได้สัปปายะดีก็พักอยู่นานหากที่ใดไม่เหมาะไม่ควรถูกรบกวนมากก็ย้ายไปเสียที่อื่น ไปอย่างนกไปตามอัธยาศัย อนุเคราะห์โปรดสัตว์โลกผู้ตกทุกข์ผู้สาธุชนเรื่อยไป

อย่าประพฤตินอกธรรมนอกวินัย
อย่าละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
ระเบียบการของหมู่คณะสงฆ์ผู้ปกครอง
ทำตนเพื่อเป็นแบบอย่างอันดี
ไปดีมาดีอย่ามีเวรมีภัย
มีสัมมาคารวะต่อเจ้าถิ่น
เว้นการยกตนข่มท่านผู้ใด

การปฏิบัติควรใส่ใจให้มาก เพราะในพระศาสนานี้ผู้ปฏิบัติมีน้อยมากจึงควรส่งเสริม แต่ในส่วนของปริยัติก็ให้แตกฉานพอสมควรให้ชอบศึกษาเล่าเรียนให้ใฝ่ใจการปฏิบัติ สันโดษ เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย มักน้อย มีความเผื่อแผ่เจือจานประกอบตนด้วยเมตตา ให้เป็นผู้ฉลาดชำนาญในพระศาสนาให้ได้

หากอยู่กับครูบาอาจารย์ต้องตั้งใจในการปฏิบัติอุปัฎฐากครูบาอาจารย์ อย่าให้บกพร่องและกระทบกระเทือนท่านได้ ตื่นก่อนนอนทีหลัง กินทีหลังอิ่มก่อน คอยฟังว่าท่านจะใช้ให้ทำอะไร

หากจะเกี่ยวข้องกับตระกูลผู้คนก็ให้ทำตัวเหมือนแมลงที่ดูดกินแต่น้ำหวานเกสรของดอกไม้อย่าทำให้ดอกไม้บอบช้ำเป็นอันตรายไป”

“ฤดูฝนก็อยู่ประจำที่จำพรรษาเสีย ตกแล้งดินแห้งดินหมาดแล้วจึงขึ้นเขาขึ้นดอยเสาะหาที่ภาวนาต่อไป

ชีวิตการอยู่ป่าต้องฉลาด
ฝนตกทำอย่างไรบริขารจะไม่เปียก
แดดออกจะไปอย่างไรจึงจะไม่ร้อน
หนาวจะอยู่อย่างไร

มดปลวกสัตว์เลื้อยคลานตัวไรตัวเรือดตัวขุ้นแมงเลือดจะเข็บแมงป่อง สัตว์มีพิษต่างๆ จะทำอย่างไร งูเงี้ยวเขี้ยวขอจะทำอย่างไร

จะอยู่ป่าต้องฉลาดจึงจะรักษาตัวเองได้ สู้แดดสู้ลมสู้ฝน หนาวสั่นเป็นลูกนกนั่งเจ่าเป็นลิงตลอดคืนก็เคยมาหลายครั้ง ต้องขึ้นไปนั่งงอยขอนไม้น้ำไหลท่วมมาทั้งสัตว์เลื้อยคลานมันก็หนีน้ำขึ้นมา

ต่อสู้ตลอดคืนจนเช้า ตอนเช้าครองจีวรเปียกน้ำออกไปบิณฑบาตมาฉัน

ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยเท้า บางครั้งเท้าเปล่า ก็เดินไปได้สบายเพราะภาวนาไปเดินไป กำหนดจิตไป บ่าสะพายบาตรแบกกลด มือหิ้วหม้อ(กา)น้ำ ขึ้นเขาลงห้วยบุกดงบุกป่าหลงทางวกไปวนมา ฝนตกแดดออกก็อดก็ทนไปตามเรื่องเพราะใจมันชอบอย่างนั้น

สังฆาฏิ ๑ ผืน
จีวร ๑ ผืน
สบงอังสะติดตัวอย่างละผืน สำรองอีกอย่างละผืน
ผ้าอาบน้ำ ๒ ผืน ผ้าปูนั่ง กลด มุ้งกลด ย่าม ถุงบาตร ธรรมกรกหม้อ(กระติกหรือกา)น้ำ โคมไฟ เทียนไข ไม้ขีด(ไฟ) สบู่ยาสีฟันแปรงสีฟัน หินส้ม มีดพับ ถุงไม้สีฟัน ยาเวชภัณฑ์สำหรับโรคประจำตัว ยากาพระ (ยาหม่อง)

มันลำบากที่สุดคือไม้ขีดไฟ แต่ก่อนไฟแก๊สไม่มี มีแต่ไม้ขีดก้านกล่องกระดาษต้องเอากระดาษพลาสติกมาห่อเอาไว้ ฝนตกก็ต้องระวัง

เดินไปบางทีจนลืมมื้อลืมวัน หนทางนับได้เป็นร้อยเป็นพัน ไปบางทีก็ถึงจุดหมาย บางทีก็ตายสลบไป

ชีวิตนี้เที่ยวธุดงค์ ตายสลบไป ๓ ครั้ง เพราะเกี่ยวแก่ไม่ได้ฉันจังหันมาหลายวัน

ไปนอนตายสลบอยู่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ บ้านนายาว อำเภอห้างฉัตร ลำปาง และอยู่ออบหลวง

อยู่อำเภอห้างฉัตร นั้นหลงป่าหาทางไปทางมาไม่ได้ เกี้ยวไปเวียนมา ถึงแต่ที่เก่า น้ำก็หมดในกาน้ำ เป็นลมล้มสลบลง

ไปด้วยความสงบสบายดีอยู่ พอบุพกรรมมาถึงแล้วก็มืดตึบเป็นเงาดำครอบเอาไว้ มาพิจารณารู้จักได้ในภายหลังว่าเป็นบุพกรรม แต่เมื่อครั้งทรมารทหาร ทรมารช้าง ม้า ในสงครามกับพวกลัวะสมัยที่เกิดเป็นลูกชายเจ้าแม่จามเทวี

หากจิตสบายแล้วบริขารจะมากอย่างไรไม่หนักหรอก มันเบาสบายมันสงบเยือกเย็น จิตสบาย กายสบาย จิตสงบ กายสงบ จิตเบากายเบาเดินไปได้ทั้งวัน เท้าแตก บ่าแตกไปตามเรื่อง

ตั้งใจของตนที่สุด ตั้งใจอยู่ทุกกิริยาอาการ จะเดินอยู่จะนั่งพัก จะหลับจะนอน จะอยู่จะกินเรียกได้ว่าไม่ลดละอยู่ได้หมดค่ำมาใกล้บ้านคนก็หยุดพัก ถามหาน้ำ ถามหาป่าช้า ที่ว่าง เถียงนา อยู่ตามโคนไม้ กลางแจ้ง ทุ่งนา ริมธาร เงื้อมหิน หน้าผา ท้องถ้ำ โลงผี ดอนปู่ตา ศาลาผี ศาลาริมทาง อยู่ได้หมด อาบน้ำอาบท่าแล้ว ไหว้พระสวดมนต์ พักผ่อนหลับนอน ตื่นลุกขึ้นเจริญภาวนาปฏิบัติของตน

เรื่องการอดอาหารได้ทดลองทำแล้ว แต่เป็นการบังคับธาตุขันธ์เกินไป ต่อสู้ปฏิบัติไปมิได้ ต้องเลิก มาอดนอนผ่อนอาหารจึงถูกกับจิตจริตศรัทธาปฏิปทาของตน การปฏิบัติก็ก้าวหน้าเป็นไปได้

การอดนอนนี่พ้น ๗ วัน ไปแล้วจึงสบาย

การถืออริยาบถ ๓ นี่ทำเฉพาะวันพระ แต่การอดนอนนั้นให้กายนี้เหยียดนอนได้แต่ไม่ให้หลับ เพื่อให้ผ่อนคลายบ้าง

กลางวันอากาศร้อนแดดแข็งก็หยุดพักผ่อนภาวนา หลบอยู่ตามริมน้ำริมห้วย กลางคืนข้างขึ้นข้างแรมใหม่ๆ ก็อาศัยแสงพระจันทร์พอได้เดินทางไป

เรื่องอุตุสัปปายะ นี้ผู้ข้าฯ ชอบอากาศเย็นสบายเพราะไม่ร้อนเหนียวเหงื่อไคลจิตก็สบายกายก็สะดวกจิตก็รวมลงได้ง่าย

บางทีเดินไปตอนกลางคืน เทวดาโปรยหว่านดอกไม้ทิพย์ โปรยหว่านเพชร หว่านพลอยบูชาก็มี แต่ไม่สนใจพวกเขาหรอก เราก็อนุโมทนาให้พรแล้วก็จากกันไป

บางทีเดินไปเดินไป ธรรมะปัญญาเกิดขึ้นมาต้องหยุดยืนพิจารณาให้รู้ถูกผิดเหตุผล”

“เมืองเหนือเว้นแต่แม่ฮ่องสอน ไปไม่ถึง นอกนั้นได้ไปทุกจังหวัด
ภาคกลาง กรุงเทพฯ เมืองเพชร สมุทรปราการ ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์

พม่า ไม่ได้ข้ามไป

อยู่นานที่สุด อำเภอแม่แตง อำเภอพร้าว เชียงใหม่ วกไปวนมาเกือบทุกหมู่บ้านภาวนาแล้วหมู่เทวดาหมู่พรหมมาหามากที่สุด อยู่ถ้ำมะกะ ปางหนาด ปางเมี่ยง แม่ทะพระสะบาย
จะนับดอยไม่รู้กี่สิบลูกร้อยดอย
จะนับห้วยน้ำก็ไม่รู้เท่าใด
จะนับถนนหนทางก็นับมิได้
ไปแท้ไปว่าสมัยยังหนุ่มเรี่ยวแรงกำลังดี

เป็นพระธุดงค์ต้องทราบความมุ่งหมายของธุดงค์ประโยชน์ของธุดงควัตร ของวัตร ของข้อวัตร ทุกข้อทุกอย่าง

ข้อใดปราบปรามใจอย่างใด ได้ผลได้ประโยชน์อย่างใด
ข้อใดแก้มูลกิเลสในกาลใดเวลาใด ประเภทใด”

“พระธุดงค์คือ ผู้ทำความดับเชื้อทุกข์อยู่เสมอ กลั่นกรองตัวเองอยู่เสมอ ธุดงค์ ข้อวัตร วัตรปฏิบัติทั้งหลาย เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติอยู่เสมอตลอดเวลา ตัดอุปสรรค ดำรงวงศ์ตระกูลของกรรมฐานเอาไว้ เพราะต้นแบบอย่างปฏิปทาของนักบวช ของผู้มุ่งความพ้นทุกข์

ธุดงค์วัตรไม่เกินสมัย ไม่ล้าสมัย
มีศีลเสียก่อนจึงมีวัตร
มีศีลมีวัตรจึงจักเป็นธรรมเป็นวินัย

ความปฏิบัติตน ความประพฤติตน ความเป็นผู้มีศีลอันดีบริสุทธิ์ความรอบรู้ในการเป็นอยู่การใช้สอย ล้วนแล้วแต่เป็นอัญญมัญญปัจจัยธรรมให้แก่มรรคแก่ผลทั้งหมด

การไปคนเดียวอยู่คนเดียวนั้นเหมาะกับจริตนิสสัยของผู้ข้าฯ ที่สุด เพราะชอบนิสสัยสงบ แม้จะมีหมู่มาอยู่ด้วยก็ไม่เกิน ๕ หากเกิน ๕ แล้วผู้ข้าฯ ก็หนีไปเสีย อยู่คนเดียวมันมีสติระลึกรู้สึกตัวเอง จิตใจไม่สนใจเรื่องอื่นใด ไม่มีอารมณ์เกาะเกี่ยวเที่ยวหาโทษ มีแต่สติมีแต่ความเพียรมีแต่ความรู้ตัว รับผิดรับชอบแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

คนสละเป็นสละตายได้จึงอยู่คนเดียวไปมาคนเดียวได้ จะตายอย่างไรไม่ห่วงแล้ว

หากใจมีความสะดวกสบาย หากจิตดี ร่างกายก็ดี มันกลมกลืนล้มไปด้วยกันได้ ความจดจ่อพากเพียรในอิริยาบถ ความมีพร้อมสติปัญญา หากมีขึ้นช่วงใดเวลาใด การกินก็เกิดความพอดี การหลับนอนก็พอแต่กายพักผ่อนได้เท่านั้น มันถึงความพอดีมีประมาณ มันเหมาะสมไปด้วยกันได้หมด

วัตถุใดๆ ไม่ทันกายใจ อาหารหยูกยาที่หลับนอนเครื่องนุ่งของห่มไม่มาทับถมกายใจได้

กินมากก็นอนมาก เพราะมันขี้เกียจขี้คร้าน มันเมาอาหารเมาหลับเมานอน

ผู้ข้าฯ เป็นคนไม่ยอมรับคนง่าย มันจึงภาวนายาก เป็นยากได้ยาก เพราะใจมันคอยฝืนสู้อยู่กับสิ่งที่ว่าไม่ถูกไม่ต้อง ไม่รู้มันเป็นกิเลสเป็นตัณหาอะไรหรอก รู้แต่ว่ามันยาก

พอรู้ว่ายากก็เสาะหาที่ภาวนาป่าเขา ทรมานตนอยู่กับป่า เสาะหาครูบาอาจารย์ผู้รู้จริตนิสสัยของเรามาเข่นขู่สู้ขนาบให้ จึงพอไม่ตาย มีช่องหนทาง

อดนอน ผ่อนอาหาร ทรมานตนอยู่ป่า จิตใจมันชอบของมันอย่างนี้มันชอบให้บังคับ มันยอมพระอุปัชฌาย์เพิ่นสอนไว้แต่วันบวช

อย่ามาถามหาความทุกข์ความยากกับพระธุดงค์ มันเดนตายเหลือตายกันมาทุกคนแล้ว จึงได้เป็นอยู่ในวันนี้ได้ มันฟากตายแล้วทั้งนั้น ”………….

ธรรมะประวัติองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม ตอนที่ ๑๐๘

(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร

๒๒ กรกฏาคม ๒๕๕๙


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO