นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 4:51 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ปัจจัยของกรรม
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 30 มิ.ย. 2016 4:54 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
พอเวลาตายแล้ว จะนิมนต์พระไปสักร้อยวัดให้สวดกุศลาธัมมา อกุศลาธัมมา อพยากตาธัมมา หมดวันหมดคืน นั่น อยากจะไปสวรรค์ ด้วยคำสวดของพระไม่ได้หรอก

ให้เราละเท่านั้นแหละ ตายปุ๊บก็ไปทุคติปั๊บ ไอ้คนชั่วมันไม่ไปคอยฟัง สวดกุศลาอยู่นั่นดอก

อันคนใจบุญก็เหมือนกัน ตายปุ๊บก็ไปสู่สุคติทันที ไม่คอยมาฟัง กุศลาธัมมากับพระหรอก มันเป็นยังงั้น

เมื่ออาตมาตาย ไม่ต้องนิมนต์พระสวดให้เมื่อยหรอก มีเครื่องไทยทาน ก็ถวายท่านเลย ไม่ต้องสวดกุศลาธัมมาอะไรหรอก ไม่ต้องให้สวด พระอภิธรรม อารามณาปัจจโย อะไรก็ไม่ต้องว่า

อาตมาสวดใส่ไว้แล้ว กุศลาธัมมาก็สวดใส่ทุกวัน
อกุศลาธัมมา ก็สละ ออกทุกวัน
อพยากตาธัมมาก็ไม่ให้มันติด บุญก็ไม่ให้มันติด บาปก็ไม่ให้ มันเกิด

ทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นยังงั้น มันคงไม่เป็นพระโง่เท่าใดดอก

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม







เวลานี้ขันธ์ห้าของเราร้อน เราอย่าเอาร้อนมาขี่ใจ ถ้ามันหนาวเราอย่า เอาหนาวมาขี่ใจ ร้อนให้

เป็นธาตุไฟของท่านบิดมารดา ให้สละออก หนาว ให้เป็นธาตุน้ำของบิดามารดา เย็นให้เป็นธาตุลมของบิดามารดา

ร้อนเราไม่นิมนต์ เขาเป็นเอง
หนาว เราไม่นิมนต์ เขาเป็นเอง
เกิด เขาก็เป็นเอง
แก่ เขาก็เป็นเอง
เจ็บ เขาก็เป็นเอง
ตายเขาก็เป็นเอง

ตัวอะไรตาย ไอ้ตัวขันธ์มันตาย ตัวใจผู้เลิศผู้ประเสริฐ ใจไม่ตาย

เหตุนั้น ที่ใจของเรา ตามพุทโธ ธัมโม สังโฆ คือ ใจดวงเดียว นั่นแหละ มันเป็นกิริยาเท่านั้นเอง

พุทโธ เหมือนกับข้าวสาร ธัมโมเหมือนกับข้าวแช่ สังโฆ เหมือนกับ ข้าวสุก เป็นกิริยา

ย่อเข้า มะพร้าวลูกเดียวนั่นแหละ พุทโธ เหมือนเปลือกมะพร้าว ธัมโม กะลามะพราว สังโฆ ชิ้นมะพร้าว

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม







แลกทุกข์กันไหม ?

วันหนึ่ง...
ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร
ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง
จังหวัดอำนาจเจริญ พอสมควร

ปรากฏว่า...
มีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้ามีตา ของอำเภอ
และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ นักปฏิบัติ
มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่
จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง
ท่านก็ถามว่า...

"เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้"

โยมผู้นั้นเล่าว่า...
รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว
แต่หลวงพ่อก็นั่งเงียบ เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็นอะไรไปล่ะ"

เขาก็ตอบว่า...
"เมียตายสองคน ลูกตายสองคน"
(เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน)

หลวงพ่อก็ถามต่อว่า..
"เป็นอะไรตายล่ะ"
โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย"

หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยังน้ำตาซึม
แต่ก็นั่งเงียบ..
ฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วยและพูดว่า..
"แลกกันไหมล่ะ...
ดูซิ...
ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน
ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้เป็นอย่างนี้แหละ
มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

ไม่อยากให้รถหาย...มันก็หาย
ไม่อยากให้ลูกเมียตาย...ก็ตาย
ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ

ใครอยากล่ะ..
โยมอยากให้รถหายไหม
โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม"

ทั้งคู่ก็ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)"

หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า..
"เป็นอย่างนี้แหละ
ความโศก ความร่ำไรรำพัน

ให้เราพิจารณาดู..
ทุกสิ่งทุกอย่าง..
ถ้าเราไม่หนีมัน..มันก็หนีเรา

คนก็เหมือนกัน..
เราไม่จากเขา..เขาก็จากเรา
มันอยู่ที่ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง

บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา.. บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ
บางทีคนใกล้ชิดเรา..
เขาก็ไปก่อน.. บางทีเราไปก่อนเขา

มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม

ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า..
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท
มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล
ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม
เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน

สำหรับโยมผู้ชายนั้น
โยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่นี้
เขาตายไปเขาก็ไม่ขออนุญาตเรา
ไม่บอกเรา ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป

โยมผู้หญิงก็เช่นกัน..
รถคันนี้มันทำกรรมกับโยมมาแค่นี้
รถมันก็ไม่บอกเราก่อน ว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ
อยู่ ๆ มันก็หายไป

ดังนั้นให้เราเห็นว่า..
เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง
เราไม่หนีมัน.. มันก็หนีเรา
เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ครั้ง ๆ
โลกก็เป็นเช่นนี้

เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า..
นี่รถของเรา นี่ลูกนี่เมียของเรา
รถมันไม่เคยบอกนะว่ามันเป็นของเรา เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร

มันเป็นของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย
มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา
แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหายไป
ให้เราคิดว่านั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ

โยมผู้ชายก็เหมือนกัน..
ลูกเมียก็เสียไปแล้ว พิจารณามองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่ เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรมของธรรมชาติ"

หลวงพ่อกล่าวเป็นสังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์...
หน้าที่ของพระก็คือแก้ไขทุกข์
โดยคิดว่า...
ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่า จะแก้ได้หรือไม่ได้

เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง...
มีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ
ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

...หลวงพ่อชา สุภัทโท...


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO