นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 12:37 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ควรมีสติอยู่เสมอ
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 23 มิ.ย. 2016 5:44 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
"..ถ้าเรามีสติอยู่มีสัมปชัญญะอยู่ มีความรู้ตัวอยู่เสมอแล้ว ก็คือเราได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ตลอดกาลตลอดเวลา
ดังนั้นไม่ควรคิดว่าธรรมะอยู่ไกล ถ้าเราเห็นสิ่งเหล่านี้สักแต่ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เท่านี้ปัญญามันก็เกิด
ถ้าอารมณ์สุขขึ้นมา ทุกข์ขึ้นมา ชอบใจขึ้นมา ไม่ชอบใจขึ้นมา เรานึกเห็นมันทุกอย่างว่ามันก็เท่านั้นแหละ สุขมันก็เท่านั้นแหละ ทุกข์มันก็เท่านั้นแหละ ก็แปลว่าเราเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแล้ว
เมื่อเห็นแล้วเราไม่ยึดไม่ถือ คลี่คลายจากราคะ โทสะ โมหะ อยู่เรื่อยไป เรียกได้ว่าเราปฏิบัติอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งยืนเดินนั่งนอน มีความรู้อยู่ มีความเห็นอยู่ มีความพร้อมเพรียงอยู่ มีความปฏิบัติอยู่ พิจารณาอยู่ ภาวนาอยู่ตลอดเวลา.."

หลวงปู่ชา สุภทฺโท




“วิธีเดินจงกรม ผู้จะเดินกรุณาไปยืนที่ต้นทางจงกรมที่ตนกำหนดหรือตกแต่งไว้แล้วนั้น พึงยกมือทั้งสองขึ้นประนมไว้เหนือระหว่างคิ้ว ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่ตนถือเป็นสรณะคือที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวของใจ และระลึกถึงคุณของบิดามารดาอุปัชฌาย์อาจารย์ ตลอดท่านผู้เคยมีพระคุณแก่ตน จบลงแล้วรำพึงถึงความมุ่งหมายแห่งความเพียรที่กำลังจะทำด้วยความตั้งใจเพื่อผลนั้น ๆ เสร็จแล้วปล่อยมือลง เอามือขวาทับมือซ้ายทาบกันไว้ใต้สะดือตามแบบพุทธรำพึง เจริญพรหมวิหาร ๔ จบแล้ว ทอดตาลงเบื้องต่ำ ท่าสำรวม ตั้งสติกำหนดจิตและธรรมที่เคยนำมาบริกรรมกำกับใจหรือพิจารณาธรรมทั้งหลาย ตามแบบที่เคยภาวนามาในท่าอื่น ๆ เสร็จแล้วออกเดินจงกรมจากต้นทางถึงปลายทางจงกรมที่กำหนดไว้ เดินกลับไปกลับมาในท่าสำรวม มีสติอยู่กับบทธรรมหรือสิ่งที่พิจารณาโดยสม่ำเสมอ ไม่ส่งจิตไปอื่นจากงานที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น”
.
ปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน




พอเราทำสมาธิ
เราจะได้ประโยชน์สองประโยชน์
.
...หนึ่ง..ได้ความสุข
ได้ความอิ่มความพอ ที่จะทำให้เรา
ไม่ไปใช้ร่างกาย "เป็นเครื่องมือ"
หาความสุขให้กับเรา
.
...สอง...
ทำให้เราแยกออกจากร่างกายได้
แล้วพอเรารู้จักวิธีแยกแล้ว
พอถึงเวลาต้องแยกทางกัน
เราก็ทำใจเฉยๆ พุทโธๆไป
.
...ปล่อยให้ร่างกาย
.."มันหมดลมหายใจไป"..
เราก็จะไม่มีความทุกข์
เวลาต้องแยกทางกัน
.
...เพราะเราฝึกมา การนั่งสมาธินั้น
เหมือนกับการ .."หัดตายกัน
หัดปล่อวางร่างกายกัน"..
เวลานั่งสมาธิ เรา..พุทโธๆไป
"ใจก็ปล่อยร่างกาย"
.
...ใจก็กลับเข้าไปสู่
"ตัวรู้"..อยู่กับตัวรู้ ผู้รู้
พออยู่กับผู้รู้แล้ว...
"ร่างกายจะเป็นอะไร ก็ไม่เดือดร้อน"
.....................................................
คัดลอกการสนทนาธรรม
ธรรมะบนเขา 20/6/2559
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต







ธรรมะก่อนนิทรา : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
คืนที่ ๙๗๓ วิมุตติจิต : พุทธภาวะ สัตตภาวะ (จบ)

และเมื่อทรงพบต้นเหตุดั่งนี้แล้ว วิชชาความรู้แจ่มแจ้งตามเป็นจริงก็บังเกิดขึ้น อวิชชาคือความไม่รู้ก็ดับไปหมด อาสวะทั้งหลายก็ดับไปหมด เพราะฉะนั้นจึงทรงพบความดับทุกข์ เมื่อทรงได้พระญาณที่ ๓ นี้ จึงได้ทรงเป็นพุทโธ คือเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว สัตตภาวะ ภาวะเป็นสัตว์คือผู้ข้องก็สิ้นไปหมดไป ปรากฏเป็น พุทธภาวะ ความเป็นพระพุทธเจ้า คือเป็นผู้ตรัสรู้ ผู้รู้ ผู้พ้น พระพุทธเจ้า พระพุทธะ พระผู้ตรัสรู้นั้น กล่าวสั้นก็คือรู้พ้นไม่ใช่รู้ติดรู้ยึด รู้สิ่งใดยึดสิ่งนั้นติดสิ่งนั้น นั่นคือ สัตตะ ผู้ข้อง แต่ว่ารู้สิ่งใดพ้นสิ่งนั้นวางสิ่งนั้นก็เป็นพุทธะ คือเป็นผู้รู้ เป็นพระพุทธะคือเป็นพระผู้ตรัสรู้

เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากจิตนี้เอง ทำจิตตภาวนา ฝึกจิตให้เป็นศีล ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ และฝึกจิตให้เป็นปัญญาขึ้นมา

เมื่อเป็นดั่งนี้ศีลก็ตั้งขึ้นที่จิต และเป็นจิต จิตก็เป็นศีล สมาธิก็ตั้งขึ้นที่จิต เป็นจิต จิตก็เป็นสมาธิ ปัญญาก็ตั้งขึ้นที่จิต จิตก็เป็นปัญญาเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา

เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญานี้ จึงเป็นวิมุตติจิต จิตที่พ้นแล้ว ทั้งหมดนี้ก็ต้องเกิดจากความที่เริ่มปฏิบัติมาโดยลำดับอันเป็นจิตตภาวนาตั้งแต่ในเบื้องต้น.





ให้เพียรดูจิตใจ ถ้าบาปครอบงำก็รู้ ถ้าจิตผ่องใสก็รู้ ถ้าใจจะเผลอ สติก็รู้ก็ระลึกได้ จะโกรธจะว่าใคร สติก็จะคอยเตือนคอยห้ามและไม่ยึด อโหสิกรรมให้เค้าไปบาปกิเลสก็จะเบาบางไป

ดังนั้น อย่าชอบใจกับคำว่าใจเศร้าหมองขุ่นมัว ก็คือทุกข์ คือบาป
ใจผ่องใสเบิกบาน ก็คือบุญ

พากันมีสติสัมปชัญญะเสมอ ระลึกเข้ามารู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ว่าจะยืน-เดิน-นั่ง-นอน ทำการงานหรืออะไรก็ตาม

เมื่อรู้ว่าจิตเป็นกุศลก็จะเกิดปิติในใจ การสร้างจิตใจให้เป็นกุศลเสมอ จิตใจก็จะสุข สงบ ทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อใครมาว่ามาทำอะไร จิตใจก็ไม่หวั่นไหว ดังนั้นจึงไม่ควรประมาท แต่มีสติเสมอ

มีสติรู้ว่ากายนี้ไม่เที่ยง-เป็นทุกข์-ไม่เป็นไปตามบังคับของใครเมื่อรู้ก็เบื่อ เมื่อเบื่อก็คลายความยึดความถือ อาจยังยึดกายแต่ไม่ยึดความโกรธ
ขอให้พากันฝึกฝนอบรมตนไปเรื่อยๆ กิเลสก็จะเบาบางไปจนหมดไปได้ และนี่เอง

คือจุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ




"...การระวังตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว ส่วนมากมักระวังแต่ผู้อื่นสิ่งอื่น ไม่ย้อนมาระวังตัวเองซึ่งเป็นตัวการสำคัญบ้างเลย จึงมักผิดพลาดอยู่บ่อยๆ ธรรมะท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะได้เห็นความบกพร่องของตัวเอง แล้วแก้ไขไปเรื่อยๆจนสมบูรณ์ได้..."
โอวาทธรรมคำสอน..
องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน





มรรคผล อยู่กับผู้มีบุญ ผู้มีบุญแก่กล้าก็จะบรรลุ เบื่อหน่ายคลายความยึดถือ แล้วก็วาง จิตใจก็รวมเข้าสู่มรรค ถอนออกจากความสงบก็รู้แจ้งว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ทั้งสังขารที่มีวิญญาณครองและสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง เป็นธรรมดา เห็นแล้ว มีปัญญาแล้ว ก็เบื่อหน่าย
ความเบื่อหน่าย มีหลายขั้นตอน เมื่อเบื่อหน่ายแล้ว ก็ไม่ทำบาป เพราะทำบาปแล้วต้องลงนรก ถ้าหากไม่ทำบาปแล้วไม่มีกินก็ยอมตายไปซะดีกว่าตกนรก
ใจนั้นไม่ตาย มีแต่กายที่ตาย เมื่อรู้เช่นนี้ก็จะไม่หวาดกลัวต่อความตาย

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ





เราจะพึ่งคนอื่นไม่ได้ ตายเราก็ตายคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยตายด้วยเลย
คิดถึงความตายอย่างนี้ เมื่อเวลาความตายมาถึง..ใครก็ช่วยไม่ได้ญาติพี่น้องนั่งห้อมล้อมอยู่เต็มก็ช่วยไม่ได้เลย

มีแต่ตัวเองเท่านั้นแหล่ะที่ช่วยประคองจิตใจตัวเองให้ตั้งมั่นอยู่ ไม่ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปเกาะไปข้องอยู่ที่ต่างๆในโลกนี้
ไม่เศร้าโศก
ไม่เสียใจ
ปล่อยวางความอาลัย ความเกี่ยวข้องทั้งหมดลงไป

นี่เรียกว่า จะต้องฝึกตายเสียตั้งแต่ก่อนตาย

ก็เรานั่งภาวนา ก็หัดตายนั่นแหล่ะ
ตายที่เราไม่เอาอะไร จิตใจหยุดคิดเลย หยุดปรุงแต่ง
เราอยากได้อันนั้น อยากได้อันนี้ ก็ไม่ให้มันมีเลย

สมมติว่าเราตายจากโลกอันนี้แล้ว
จิตมันหยุดคิดแล้วมันก็เหมือนกับว่าตายจากโลกนี้นั่นเอง

ให้ทำในใจอย่างนี้ มันจึงจะไม่สะดุ้งหวาดกลัวเมื่อเวลาความตายมาถึงเข้า

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO