นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อังคาร 30 เม.ย. 2024 4:49 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 22 มิ.ย. 2016 5:01 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
เราไปดูเวลาเขาทำบุญซิ
เขาจะสร้างกองกฐินก็ดี จัดกองบวช กองอะไรก็ดี
เขาทำถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่
ถ้าใจเป็นบุญแล้ว มันต้องทำให้ถูกต้อง
ตามหลักพระพุทธศาสนา
คือไม่เสียไปในทางที่เป็นโลกๆ
ไม่เสียไปในทางที่เป็นบาป มันเป็นอย่างนั้น
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม





หลวงปู่คำบ่อ.."เราขอเอา พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นที่พึ่ง ขอแล้วก็ต้องทำด้วยถ้าเราไม่ปฏิบัติ พระสงฆ์ พระพุทธเจ้า ก็เกิดไม่ได้ในเรา พุทธะ ธัมมะ สังฆะ อยู่ที่เราเอง ไม่ใช่พระพุทธรูป แต่อยู่ในตัวเราเอง
ความดีอยู่ที่ใจเราเอง มีความอ่อนน้อม ระลึกคุณความดีของผู้มีพระคุณเช่นพระพุทธเจ้า
(ขณะกราบท่าน)ทำกายให้ดี พูดทางวาจาให้ดี ทำใจให้ดี ก็จะนำมาซึ่งการปฏิบัติบูชา (ปฏิปัตติปูชา) ถวายพระพุทธเจ้า พระธรรมพระสงฆ์.."







"เสียสัจจะ" ทำอะไรก็ไม่ขึ้น...

เวลาง่วงเหงาหาวนอน... อยากจะนอน พวกนิวรณ์มันเข้ามา เราก็ต้อง "อดทน"

เดินจงกรมต่อไป... ตายให้มันตาย จะหลับก็อดทนเข้าไว้! ตั้งสติ! เดี๋ยวมันก็หายไปเอง หายไปแล้วมันจะเกิดปัญญา "ขันติ" คือ "ความอดทน"

"สัจจะ" คือ ตั้งใจว่าจะเดินจงกรม 1 ชั่วโมง เราตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะนั่ง 1 ชั่วโมง ต้องทำให้มันถึง!

นั่งได้ 30 นาทีเลิกแล้ว! เดิน 30 นาทีก็เลิก! ไม่ถึงชั่วโมงก็มีเยอะ มันเสียท่าเสียที มันเป็นมารร้ายสกัดกั้นความดี ไม่ตั้งใจทำกรรมฐาน!

ถ้าตั้งใจดีแล้วเหตุผลก็ดีด้วย ตายให้มันตาย! ให้รู้ไว้... จะได้รู้ว่าจิตใจจะเป็นอย่างไร ทำดีแล้วจะได้มรรคได้ผล จะค้าขายก็รวย ทำธุรกิจก็ได้ผล

ถ้า "เสียสัจจะ" สักครั้ง... ทำอะไรเสียสัจจะ คือ จะพูดจากับใครก็เสียสัจจะ พูดแล้วไม่ทำตามคำพูด

พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจน "วาจาสัตย์เป็นวาจาที่ไม่ตาย" อันนี้สำคัญ!

พูดจาเหลวไหลก็ไม่มีคนนับหน้าถือตาเลยกลายเป็นชายก็ไม่จริงหญิงก็ไม่แท้เป็นคนแก่ที่ไม่น่าบูชาเป็นคนสับปลับ หละหลวม เหลวไหล

นี่สกัดกั้นความดีของท่านเอง
ท่านหาความดีใส่ตัวไม่ได้แล้ว
ใครจะสร้างความดีให้ท่านได้?

# พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)






โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง

บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า ผู้มาปฏิบัติยังลังเลใจเสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลกล้วน จนไม่อยากละมาปฏิบัติธรรม

ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า..

“ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่าตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยรู้เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำๆ ซากๆ อยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ร่ำไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย”

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ที่มา หลวงปู่ฝากไว้





อานิสงส์ของการเดินจงกรมมี
.
๑. เดินทางบ่มีเจ็บแข้งเจ็บขา
๒. ทำให้อาหารย่อย
๓. ทำให้เลือดลมเดินสะดวก
๔. เวลาเดินจงกรมไป ๆ มา ๆ จิตจะลงเป็นสมาธิได้ ถ้ามันรวมลงเวลาเดินจงกรมได้ สมาธิของผู้นั้นไม่เสื่อม
๕. เทพยดาถือพานดอกไม้มา สาธุ ๆ มาอนุโมทนา
.
นี่เป็นอานิสงส์ของการเดินจงกรม บางวันเมื่อครั้งอยู่กุฏิเก่าตรงข้างเจดีย์ อาตมาเดินจงกรม มันหอม ๆ หมด ทั่วหมด หอมอิหยังนี่มันไม่เหมือนดอกไม้บ้านเรา มันแม่นเทพยดามาอนุโมทนา ถือพานดอกไม้มาอนุโมทนา
.
เรื่องเดินนี่มันเรื่องหัดสติ จะใช้นึกพุทโธไปพร้อมกันกับเท้าที่ก้าวไปก็ได้ ยังไงก็ได้ อย่าให้จิตมันออกไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งอดีตและอนาคต ให้อยู่ที่จิตเท่านั้น อาตมากำหนดพุทโธ ๆ อยู่ที่จิต เท้าก็เดินไป กำหนดอยู่ที่จิต ไม่ให้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใด ๆ ส่วนทางเดินจงกรม ก็ไม่เลือกทิศเลือกทาง ได้หมด แล้วแต่มันจำเป็น ในที่เหมาะสม เดินไปเพื่อแก้ทุกข์เวทนา
.
ท่านอาจารย์มั่น ท่านว่าให้เดินตัดกระแสของโลก จากทิศตะวันออกไปตะวันตก ท่านว่าตัดกระแสของสมุทัย ให้ตัดกระแส แต่ถ้ามันจำเป็น มันยังไม่มีบ่อนที่เหมาะสม ก็ไม่เป็นไร เดินมันไปอย่างนั้นเพื่อแก้ทุกขเวทนาดอก
.
หลวงปู่ขาว อนาลโย





" มิจฉาสมาธิ คือ ความที่จิตเข้าสู่สมาธิ
เงียบหมด ไม่รู้อะไรเลย ปราศจากความรู้
นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้ ทั้งวันก็ได้ แต่จิต
ไม่รู้ว่ามันจะไปถึงไหน มันเป็นอย่างไร ไม่รู้
เรื่อง นี่สมาธิอันนี้ เป็นมิจฉาสมาธิ มันก็
เหมือนมีดที่เราลับให้คมดีแล้ว แต่เก็บไว้
เฉยๆ ไม่เอาไปใช้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์
อะไรอย่างนั้น ความสงบอันนั้นเป็นความ
สงบที่หลง คือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว เห็นว่า
ถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไป จึง
เป็นอันตราย เป็นข้าศึกในขั้นนั้น อันนี้เป็น
อันตราย ห้ามปัญญาไม่ให้เกิด ปัญญาเกิด
ไม่ได้ เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ

ส่วนสัมมาสมาธิ สมาธิที่ถูกต้อง ถึงแม้
จะมีความสงบไปถึงแค่ไหน ก็มีความรู้
อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา มีสติสัมปชัญญะ
สมบูรณ์บริบูรณ์ รู้ตลอดกาล นี้เรียกว่า
สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไป
ในทางอื่นได้ "

หลวงพ่อชา สุภัทโท





คาถาต่างๆ ถ้าเราสวดแล้วหวังว่าจะรวยๆ
สวดเพราะความอยาก มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว

คาถา... ไม่ว่าจะคาถาอะไร ของใครแต่ง ก็ล้วนมาจาก พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เราสวดเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สวดเพื่อให้สติแน่วแน่เป็นสมาธิ นั้นละมันถึงจะได้ นั้นละถึงจะเป็นประโยชน์

- หลวงตาสมหมาย อัตมโน -
วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี



ธรรมะก่อนนิทรา : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
คืนที่ ๙๗๒ วิมุตติจิต : อาสวักขยญาณ
และต่อจากนั้นก็ทรงจับได้ถึงต้นเหตุ ก็คืออาสวะกิเลส กิเลสที่ดองจิตสันดาน ตรัสรู้เข้าไปถึงอาสวะกิเลส กิเลสที่ดองจิตสันดาน อันทำให้ได้ทรงพบ อริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดาน เหตุเกิดอาสวะ ความดับอาสวะ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ ซึ่งพระญาณที่ ๓ นี้ เรียกว่า อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO