นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 6:01 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ชีวิตรอบตัวมีธรรมะ
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 17 พ.ค. 2016 5:23 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
หยิบเม็ดขนุนขึ้นมาน่ะ หยิบต้นขนุนทั้งต้นขึ้นมา แต่เวลานั้นมันยังไม่เห็นหรอก จะเอาไปทุบดู มันก็ไม่เห็นต้นมัน คือมันละเอียดมันเป็นจุล มีจุลที่ละเอียดๆ นั่นแหละ จะว่าต้นมันอยู่ตรงไหน ใบอยู่ตรงไหน ดอกมันอยู่ที่ตรงไหน กิ่งมันอยู่ที่ตรงไหน ไม่ได้ ไม่เห็น ถ้าไม่เห็น เราก็รู้สึกว่า ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไร คือมันยังไม่ถูกส่วนของมัน ถ้าเราเอาเม็ดมันไปฝังลงในดินสิ มันจะงอกขึ้นมา ต้นก็จะเกิดขึ้นมา ใบก็จะเกิดขึ้นมา กิ่งมันก็จะเกิดขึ้นมา ต่อไปมันโตขึ้น ดอกมันจะเกิดขึ้นมา ผลเล็กมันจะเกิดขึ้นมา ผลโตมันจะเกิดขึ้นมา ผลที่สุกๆ มันจะเกิดขึ้นมาอย่างนั้น
แต่ว่าเมื่อมันยังเป็นเม็ดอยู่เช่นนี้ เราชี้มันไม่ถูก คนจึงไม่สนใจความเป็นจริง

ถ้านักปฏิบัติเรานี่ หยิบมะม่วงขึ้นมาสักลูกหนึ่ง คือเราแบกต้นมะม่วงอยู่แล้ว ถ้าเรารู้จักอย่างนี้มันก็สบายสิ เมื่อเกิดทุกข์ขึ้นมา มันก็ตายแล้ว

อย่างเราหยิบขนุนขึ้นมาฉัน มะม่วงขึ้นมาฉัน เราก็เห็นอะไรมันบังอยู่ รสหวานมัน รสมันมัน รสเปรี้ยวมัน เราไม่มองไปถึงต้นมะม่วงอยู่ในนี้ มองว่าอันนี้มันหวานดีนะ อันนี้มันอร่อยเท่านั้นล่ะ กั้นไว้ สิ่งทั้งหลายนี้มันกั้นไว้

ไม่เห็นต้นมะม่วงในเม็ดมะม่วง
ไม่เห็นต้นขนุนในเม็ดขนุน
เรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
เราทับอยู่ นั่งทับอยู่ซึ่งธรรมะ
นอนก็ทับอยู่ซึ่งธรรมะ
เดินไปก็เหยียบธรรมะทุกก้าว แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราเหยียบธรรมะ

เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ ธรรมมันอยู่ที่ไหน อย่างนี้เป็นต้น อย่างเราจับเม็ดมะม่วงขึ้นมา ต้นมะม่วงอยู่ที่ไหน เห็นโน่นต้นใหญ่ๆ โน่น ความเป็นจริงต้นที่เราหยิบอยู่นี้ไม่เห็น ทำไม มันยังไม่สมดุลของมัน เพ่งกำหนดพิจารณา เอาให้มันเห็นถึงใจ รู้แจ้งซึ่งอารมณ์ รู้โลกอย่างแจ้งชัดเป็นโลกวิทู

หลวงพ่อชา สุภัทโท







อาตมาเคยเล่าให้ฟังครั้งหนึ่งว่า คนสี่คนเดินเข้าไปในป่า ได้ยินเสียงไก่ขัน “เอ๊ก อี้เอ้ก เอ้ก” ต่อกันไป คนหนึ่งก็เกิดปัญญาขึ้นมา ว่า เสียงขันนี้ใครว่าไก่ตัวผู้หรือว่าไก่ตัวเมีย สามคนรวมหัวกันว่าไก่ตัวเมีย ส่วนคนเดียวนั้นก็ว่าไก่ตัวผู้ขัน เถียงกันไปอยู่อย่างนี้แหละ ไม่หยุด สามคนว่าไก่ตัวเมียขัน คนเดียวว่าไก่ตัวผู้ขัน “ไก่ตัวเมียจะขันได้อย่างไร?” “ก็มันมีปากนี่” สามคนตอบ คนคนเดียวนั้นเถียงจนร้องไห้ ความจริงแล้วไก่ตัวผู้นั่นแหละขันจริงๆ ตามสมมุติของเขา แต่สาม คนนั้นว่าไม่ใช่ ว่าเป็นไก่ตัวเมีย เถียงกันไปจนร้องไห้ เสียอกเสียใจมาก

ผลที่สุดแล้ว มันก็ผิดหมดทุกคนนั่นแหละ ที่ว่า ไก่ตัวผู้ ไก่ตัวเมีย ก็เป็นสมมุติเหมือนกัน

ถ้าไปถามไก่ว่า “เป็นตัวผู้หรือ” มันก็ไม่ตอบ “เป็นไก่ตัวเมีย หรือ” มันก็ไม่ให้เหตุผลว่าอย่างไร

แต่แรกเคยสมมุติบัญญัติว่ารูป ลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้ รูปลักษณะอย่างนั้นเป็นไก่ตัวเมีย รูป ลักษณะอย่างนี้เป็นไก่ตัวผู้มันต้องขันอย่างนี้ ตัวเมียต้องขันอย่างนั้น อันนี้มันเป็นสมมุติติดอยู่ในโลกเรานี้

ความเป็นจริงของมัน มันไม่มีไก่ตัวผู้ตัวเมียหรอก

ถ้าพูดตามความสมมุติในโลกก็ถูกตามคนเดียวนั้น แต่เพื่อนสามคนไม่เห็นด้วย เขาว่าไม่ใช่ เถียงกันไปจนร้องไห้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มันก็เรื่องเพียงเท่านี้

หลวงพ่อชา สุภัทโท






ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นซับซ้อน ไม่เห็นได้โดยง่าย ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว เห็นไม่ได้ เหมือนเราได้ไม้มาท่อนหนึ่ง เป็นไม้ท่อนใหญ่

แต่ความเป็นจริงไม้ท่อนน้อยก็แทรกอยู่ในไม้ท่อนใหญ่นั้นแหละ

หรือได้ไม้ท่อนน้อยมา ไม้ท่อนใหญ่มันก็แทรกอยู่ในนั้นด้วย

โดยมากคนเราเห็นไม้ท่อนใหญ่ ก็เห็นแต่ว่ามันใหญ่ เพราะคิดว่าน้อยจะไม่มี ได้ไม้ท่อนน้อยก็เห็นแต่มันน้อย เพราะคิดว่าใหญ่ไม่มีมันไม่มองไปข้างหน้า ไม่มองไปข้างหลัง เมื่อสุขก็นึกว่าจะมีแต่สุข เมื่อทุกข์ก็นึกว่าจะมีแต่ทุกข์

ไม่เห็นว่าทุกข์อยู่ตรงไหน สุขก็อยู่ที่นั่น
สุขอยู่ที่ไหน ทุกข์ก็อยู่ที่นั้น
ไม่เห็นว่าใหญ่อยู่ที่ไหน น้อยก็อยู่ที่นั้น
น้อยอยู่ที่ไหน ใหญ่ก็อยู่ที่นั่น

ให้คิดเห็นอย่างนั้น

หลวงพ่อชา สุภัทโท







หลวงปู่บอกว่าคนเราเกิดมาต้องหัดเป็นคนพูดจามีสัจจะ รักษาสัจจะ สัจจะนี้สำคัญมาก พูดอะไรแล้วต้องทำให้ได้ รับปากกับใครไว้ต้องพยายามทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้อย่าไปรับปากเขา เสียสัจจะเปล่าๆ ท่านว่าเสียสัจจะบ่อยๆ ใครก็ไม่อยากคบไม่มีคนไว้ใจ ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะสำเร็จเทวดาเขาไม่ช่วย หลวงปู่ท่านเป็นบุคลที่รักษาสัจจะมาก
แล้วท่านบอกว่า "อย่าเป็นคนขี้บ่น" ลำบาก ยาก ขี้เกียจ เหนื่อย หรือพล่ามบ่นอย่างไรสาระตามอารมณ์ตัวเอง บ่นไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น บ่นไป บ่นมาก็จะเป็นไปตามปาก เหนื่อยนักก็พักไป บ่นมากๆคนยังไม่ชอบเลย ท่านว่าเทวดาหนีจากหมด อยู่กับหมู่กับฝูงก็ต้องมีความจริงใจให้กัน อย่าเป็นคนตอแหล ปลิ้นป้อน เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น

.....หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ





หน้าที่อันเร่งด่วนของเราทุก ๆ คน
ขณะนี้ คือ จะต้องแสวงหาความดีใส่ตน
ปรับปรุงตนให้ดี เป็นหน้าที่ประการที่สำคัญ
ที่จะต้องทำไปจนตาย ไม่ทำไม่ได้
การกระทำความเจริญก็เจริญมาจากความดี
ความเสื่อมก็เสื่อมมาจากความชั่ว
เราชอบให้ตนเสื่อมหรือชอบให้ตนเจริญ...
โอวาทธรรมองค์หลวงปู่จาม มหาปุญโญ ผู้มากมีบุญ วัดป่าวิเวกวัฒนาราม
(วัดป่าบ้านห้วยทราย) บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙







" สังขารคือความคิดความปรุง อยากรู้
อยากเห็น อยากเป็นอย่างนั้นอยากเป็น
อย่างนี้ อยากๆ ตลอด ออกมาจากใจนั่น
แหละ
เมื่อมีสติแล้วจะรู้ทันทีๆ มันผลักดันออกมา
มากน้อยรู้เป็นระยะๆ นี่เรียกว่านักภาวนา
ต้องรู้ความกระเพื่อมของจิต
กระเพื่อมออกไปปั๊บเกิดเรื่องเกิดราวๆ ไม่มี
กิเลสตัวใดจะเหนือธรรม เฉพาะอย่างยิ่งสติ
ธรรมไปได้ "

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO