นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 3:58 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 23 เม.ย. 2016 3:34 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
หลวงตามหาบัวได้แสดงธรรมเทศนาครั้งที่ดีที่สุด
ครั้งหนึ่งในชีวิตของท่าน เป็นการเทศน์ที่ยากนักจะได้รับฟังจากที่ใด ตลอดการเทศน์ท่านได้รวบรวมกระแสจิต หลับตาดำดิ่งลงสู่ห้วงสมาธิและถ่ายทอดธรรม
จากใจออกสู่ทางวาจา ภิกษุสงฆ์ชราภาพสังขาร
เกือบร้อยปี เทศนาธรรมด้วยน้ำเสียงก้องกังวานใส ตลอดระยะเวลา 1ชั่วโมง 20 นาทีโดยที่ไม่มี
การหยุดดื่มน้ำ ไม่มีการหยุดพักครึ่งใดๆทั้งสิ้น วันนั้นเป็นวันที่คณะสงฆ์สายพระป่ากรรมฐาน
เดินทางมารวมตัวกันนับหมื่นรูป บางองค์อยู่ต่างจังหวัด บางองค์อยู่ต่างแดน หรือแม้แต่อยู่ในป่าลึกก็ยังออกมาฟังธรรมเทศนา
ในครั้งนี้ของสุดยอดอรหันต์ จึงถือได้ว่า การร่วมตัวของเหล่าภิกษุในวันนั้น เป็นการรวมตัวกันของเหล่าศิษย์แห่งพระคถาคต ผู้ที่ต้องการบำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น เป็นการรวมตัวของพระนักปฏิบัติผู้มีนิพพาน
เป็นธงชัยแทบทั้งสิ้น

ธรรมะที่สอนกันในวันนั้นจึงเป็นธรรมชั้นสูง เป็นแก่นธรรมแท้ที่ไม่มีการผ่อนปรนใดๆ เนื้อหาสาระจึงเต็มไปด้วยรสธรรมอันเผ็ดร้อน ดุเดือด องอาจแกล้วกล้า ถึงลูกถึงคน ด้วยมิต้องห่วงคำนึงถึงความเป็นโลกียะจอมปลอม หรือเป็นห่วงฆราวาสที่ฟังธรรมเสร็จแล้วต้องหวนกลับไป ดูแลลูกผัว เฝ้าเหย้า เฝ้าเรือนใช้ชีวิตทางโลกธรรม เทศนาในวันนั้นว่าด้วยเรื่อง “การปฏิบัติเพื่อเอามรรคเอาผลสำหรับผู้ไม่ต้องการเกิด” เป็นธรรมะชั้นลึกจากประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า
ประหนึ่งมหาสมบัติ เพราะทำให้นักเดินทางผู้มีนิพพานเป็นธงชัย ได้รู้ชัดถึงหนทางเดินว่า ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินี้ เราต้องปฏิบัติอย่างไร เริ่มตรงไหน จบตรงไหน ต้องทำอะไรก่อนหลัง การเดินทางสู่เส้นทางแห่งพระนิพพาน
โดยปราศจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์คงไม่ต่าง
อะไรกับการคลำหาทางกลับบ้านกลางถ้ำมืด เมื่อท่านได้เขียนแผ่นที่ทิ้งไว้ให้เราแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้สำรวจตรวจสอบกันว่า ในปัจจุบันนี้สองเท้าของเรากำลังเหยียบย่าง
อยู่ตรงไหนในระหว่างทางกันแน่ กำลังเดินอยู่ในทาง หรือหลงออกนอกเส้นทางไปแล้ว

โอกาสนี้เอง ผู้เขียนจึงใคร่ขออนุญาตนำบทเทศนา
ของหลวงตามหาบัวมาถอดความ และจำแนกออกเป็นข้อๆ พร้อมทั้งอนุญาติอธิบายเพิ่มเติมสมทบลงไป เพื่อให้เหล่าโยคาวจรทั้งหลายได้ศึกษา
หนทางแห่งการดับทุกข์ที่ถูกต้องตรงธรรม และสามารถเข้าใจได้โดยง่ายไปพร้อมๆกันดังนี้

1. ผู้ปฏิบัติเพื่อมุ่งนิพพานจะต้องถือศีลให้บริสุทธิ์ ข้อนี้สำคัญมาก ต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเรื่องอื่นใด คือใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของศีลธรรมความดีงาม อะไรผิดศีลห้ามทำโดยเด็ดขาด

2. ให้คิดถึงนิพพานทุกขณะ เหมือนนิพพาน
อยู่ตรงหน้า คือระลึกไว้เสมอว่า เราจะไปนิพพานเท่านั้น จุดเดียวที่เดียว อย่างอื่นไม่เอา ให้พุ่งตรง ตัดตรงไปเลย

3. ทำสมาธิในชีวิตประจำวันให้ได้
คือถ้าใครบริกรรมพุทโธ ก็ให้ทำไป
ใครดูลมหายใจ ก็ให้ดูไป เรื่องนี้เน้นย้ำมากให้คุมกรรมฐานไว้ระหว่างวัน ส่วนจะใช้กรรมฐานชนิดใด ตรงนี้ใช้ได้หมด ขอให้อยู่ในหมวดกรรมฐาน 40 ไม่มีอะไรผิด จุดนี้ให้เน้นไปที่การทำสมถะก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจวิปัสสนาในช่วงแรกๆ ต้องฝึกให้จิตมีความตั้งมั่นก่อน ให้จิตอยู่กับกรรมฐานของตนตลอดเวลาทั้งวัน
ยกเว้นเวลาที่ต้องทำงานเท่านั้น เน้นว่า นี่คือการปฏิบัติเบื้องต้นไม่ควรทำสุ่มสี่สุ่มห้า
ไม่ควรทำผิดไปจากนี้

4. เมื่อทำสมาธิในชีวิตประจำวัน ไปจนจิตเข้าสู่สมาธิได้แล้ว ให้สังเกตดู ช่วงนี้จิตจะปรุงกิเลสน้อยลง เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่งมากขึ้น ทำความสงบได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆ ว่าจิตของเราเริ่มมีกำลังเกิดความตั้งมั่นได้ง่าย คือในชีวิตประจำวันก็ทรงอารมณ์อยู่กับกรรมฐานได้ เมื่อทำสมาธิในรูปแบบก็มีอารมณ์เป็นหนึ่งได้ อย่างนี้ถือว่าเริ่มใช้ได้แล้ว ตรงนี้ ให้เริ่มพัฒนา
ในขั้นตอนต่อไป อย่าหยุดอยู่แค่การทำสมาธิ

5. พอจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว คราวนี้ท่านให้เริ่มเดินปัญญาต่อไปเลย เพียงแค่สมาธิอย่างเดียวนั้น จิตจะไม่มีความกว้างขวาง จะต้องเดินปัญญาต่อ จึงจะเกิดความกว้างขวาง นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำเอาไว้ ต้องทำตามพระพุทธเจ้าท่านสอน

6. ให้เริ่มต้นพิจารณาร่างกาย โดยให้แยกเป็นส่วนๆ
คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรือ
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นตำหรับแท้ๆ
ของพระพุทธเจ้า ให้เอามาดูเป็นส่วนๆ ดูสิ เส้นผมของเราเป็นยังไง สะอาดหรือสกปรก เหมือนกันกับขนสัตว์ชนิดอื่นหรือเปล่า ถ้าไม่อาบน้ำมันจะเป็นอย่างไร
แล้วไล่พิจารณาเรียงไปเรื่อยๆ
จนครบทั้ง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐาน 5 นี้เป็นพื้นฐานทางเดินทางด้านปัญญา ให้หัดดูไปเรื่อยๆ เห็นชัดบ้างไม่ชัดบ้างก็ให้พิจารณาไป ให้เห็นว่าที่ทำอยู่นี้คือหินลับปัญญา

7. เมื่อทำจนชำนาญ ต่อไปก็ลองแยก
ให้เป็นธาตุ 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ
พิจารณาให้เป็น อนิจจัง(ไม่เที่ยง)
ทุกข์ขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา(ไม่ใช่ตัวตน)
ทำเช่นนี้ สติปัญญาจะมากขึ้นเป็นลำดับ

8. เมื่อพิจารณาสักพัก ก็ให้ย้อนกลับมา
ทำสมาธิ เอาความสงบ เอากำลังของจิตใหม่ ต่อเมื่อจิตอยู่ในความสงบ เริ่มมีกำลังฟื้นตัว ก็กลับมาเดินไปปัญญาอีกครั้ง ให้ทำเช่นนี้สลับไป ห้ามทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว ต้องมีทั้งการทำสมาธิ และเดินปัญญาสลับกันเรื่อยไป

9. เมื่อถึงจุดหนึ่ง คราวนี้ให้กำหนดเป็นอสุภะ อสุภะก็คือกรรมฐานกองหนึ่ง ที่ทำให้เห็น ธรรมชาติของร่างกายคนเรา มีอยู่10 ระยะคือ ซากศพที่เน่าพองขึ้นอืดซากศพ
ที่มีสีเขียวคล้ำคละด้วยสีต่างๆ ซากศพที่มีน้ำเหลืองน้ำหนองไหลเยิ้ม (เน่าเฟะ)
ซากศพที่ขาดออกเป็น ๒ ท่อน
ซากศพที่ถูกสัตว์กัดกินแล้ว
ซากศพที่กระจุยกระจายซากศพที่ถูกฟัน บั่นเป็นท่อนๆ
ซากศพที่มีโลหิตไหลอาบอยู่ (จมกองเลือด)
ซากศพที่มีหนอนคลาคล่ำเต็มไปหมด
ซากศพที่เหลืออยู่แต่ร่างกระดูก
หรือเหลือแต่ท่อนกระดูก

ในการกำหนดอสุภะนี้ ให้กำหนดภาพเหล่านี้
ขึ้นมาตรงหน้าเลย ทำให้ภาพนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างนั้น หมั่นเอาภาพอสุภะมาตั้งไว้ตรงหน้าเสมอ ตอนนี้ยังไม่ต้องทำอะไร แค่ให้จิตกำหนดภาพเหล่านี้ให้ได้ก็พอ
แล้วดูไป ดูอย่างเดียว เพ่งไปเลยอย่าให้คลาด เมื่อถึงจุดที่เพียงพอ จิตมันจะรู้ของมันเอง

10. เมื่อถึงจุดที่เพียงพอแก่ความต้องการของจิต คราวนี้ธรรมชาติจะหมุนไปสู่ความจริง ซึ่งในขั้นตอนนี้จะเป็นธรรมที่ละเอียดมาก จิตมันจะมีปัญญาในเรื่องกามราคะ ถึงตอนนั้น จิตมันจะสิ้นข้อสงสัยในเรื่องกามราคะไปเลย โดยไม่ต้องมีใครบอก ในขั้นนี้ จะสำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้ว

11. เมื่อทำซ้ำๆ จนบรรลุอนาคามี
จิตจะไม่กลับมาเกิดอีก
เพราะกามราคะมันขาดสะบั้นไปสิ้น จิตมันจะหมุนขึ้นสูงอย่างเดียวไม่ลงต่ำ ไปอยู่ชั้นพรหมสุทธาวาส
เวลานั้นจิตจะรู้ความจริงไปตามลำดับ

12.ทบทวนและย้ำอีกรอบว่า "เมื่อทำสมาธิ(สมถะ) ให้พักเรื่องปัญญา(วิปัสสนา)
และเมื่อเดินปัญญา(วิปัสสนา)
ก็ให้พักเรื่องสมาธิ(สมถะ) ทั้งสองสิ่งนี้จะต้องทำสลับกันไปตลอด

ห้ามทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใด และเมื่อทำสิ่งหนึ่ง ก็ไม่ต้องคิดถึงอีกสิ่ง คือทำความสงบ ก็ทำไป พิจารณาความจริง ก็ทำไป ห้ามนำมาปนกัน ให้ทำสลับไปอย่างนี้เรื่อยๆ ตลอดการปฏิบัติ

13. เมื่อก้าวถึงภูมิอนาคามีแล้ว จะมีภูมิของอนาคามีที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งมีความเข้มข้นอยู่ 5 ระดับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นขั้นๆ
พวกที่ก้าวข้ามขั้นไปเลยก็มี แต่ส่วนใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาลเช่นนี้
จะหายาก โดยมากแล้วจะไปทีละขั้น เพราะด่านกามราคะมันยากจริงๆ ไม่ใช่ของง่าย

14. ในขั้นนี้ปัญญาจะเดินอัตโนมัติ
ตลอดเวลาแล้ว เห็นนิพพานอยู่ตรงหน้า ช่วงนี้ปัญญาจะฆ่ากิเลสตลอดเวลาทุกอิริยาบถ
ทั้งยืน เดิน นั่ง ฆ่ากิเลสตลอดเวลา
ยกเว้นเวลานอนหลับ ตอนนั้นไม่มีคำว่า เผลอแล้ว เพราะปัญญาจะเกิดอย่างถี่ยิบ

15. สติปัญญาเดินมาก ต้องย้อนสู่สมาธิ ห้ามเดินปัญญาแต่อย่างเดียวเด็ดขาด
ต้องทำสลับกันไปเช่นนี้

16. ต่อไปจะก้าวเข้าสู่มหาสติปัญญา ถึงตรงนี้จะหมดนิมิตที่เกี่ยวกับจิต เหมือนฟ้าแลบตลอด ไม่ต้องบังคับให้จิตทำงาน กิเลสซ่อนอยู่ตรงไหน ปัญญาจะตามไปฆ่าเชื้อที่นั่น ส่วนใหญ่ถึงตรงนี้ ทุกข์เวทนาจะน้อยมากๆ เหลือเพียงสุขเวทนาเท่านั้น มันจะเห็นสุขเวทนาชัดเจนมาก จุดนี้เองที่มันจะเข้าไปในปราสาทราชวัง ไปเจอนายใหญ่ คืออวิชชา ค้นพบอริยสัจ 4
มันจะเห็นกษัตริย์แห่งวัฏฏะคือ ตัวอวิชชา ถึงตรงนั้นทุกสรรพสิ่งจะว่างไปหมด ยกเว้นเพียงตัวเองที่ยังไม่ว่าง

17. เมื่อถึงจิตตะ คืออวิชชา
พอเปิดอันนี้ออก จิตมันก็จ้าขึ้น
ตอนนี้ข้างนอกก็สว่าง ภายในก็สว่าง ว่างทั้งหมด
ตัวเราก็ว่าง เป็นวิมุต คือธรรมชาติที่แท้จริง
จิตเป็นธรรมธาตุ เป็นภาวะนิพพาน จิตไม่เคยตาย ถึงธรรมชาติแล้ว หายสงสัยล้านเปอร์เซ็นต์

18. แรกเริ่ม ธาตุขันธ์ เป็นเครื่องมือของกิเลส แต่ปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง ธาตุขันธ์จะเป็นเครื่องมือของธรรมทั้งหมด"
ธรรมเทศนาของหลวงตามหาบัว ข้างต้นเปรียบได้ดั่งแผนที่เส้นทางปฏิบัติธรรม
ที่ชัดเจนที่สุด ตั้งแต่เบื้องต้นต้นถึงปลายทาง
แห่งพระนิพพาน เป็นของขวัญอันล้ำค่าที่ครูบาอาจารย์
ได้มอบแก่เหล่าศิษย์นักปฏิบัติทั้งหลาย





ความเกิดนี้ก็เป็นทุกข์ด้วย พิจารณาความเกิดว่าเป็นทุกข์อย่างไร เห็นคนทั้งหลายพอถึงวันเกิด ก็ทำบุญเลี้ยงเพื่อนเลี้ยงฝูงสนุกสนาน วันเกิดไม่น่าเป็นทุกข์ นี่แหล่ะคือกิริยาเหล่านี้บังทุกข์ไว้ ถ้าพิจารณาว่าถึงวันเกิดเข้าไปอีก 1 ปีแล้ว
หมดไป 1 ปีแล้ว ปีหน้าวันเกิดอีก หมดไปอีกแล้ว
" ธรรมเทศนาภาวนาเพื่อให้เห็นทุกข์ "
หลวงปู่บัวเกตุ ปทุมสิโร

คัดลอกจาก
หนังสือกองทุนปทุมสิโร






เวลานั่งสมาธิภาวนา ความพยายามหรือความตั้งใจเดิมนั้น ตั้งใจพยายามว่าจะให้จิตมีความสงบเย็นใจ ดังที่ครูบาอาจารย์หรือธรรมสอนไว้ แต่เวลานั่งลงไปแล้วก็มีแต่กิเลสไปทำหน้าที่แทนอยู่ภายในความเพียรนั้นเสีย ขับไล่สติซึ่งเคยควบคุมงานในทางด้านอรรถธรรม ให้เตลิดเปิดเปิงไปไหนก็ไม่รู้ มีแต่กิเลสเข้าทำงานป่วนปั่นจิตใจให้คิดโน้นคิดนี้ ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด ไม่มีกิริยาแห่งความเพียรของผู้ปฏิบัติธรรมปรากฏอยู่ในจิตดวงนั้นเลย มีแต่กิเลสทำหน้าที่โดยถ่ายเดียว นี่เป็นเรื่องสำคัญ ตอนนั้นเราไม่รู้

ทีนี้พอกิเลสปล่อยวาง มันกินเสียอิ่มแล้ว พอปล่อยวางแล้ว สติก็ระลึกได้ว่าตนนั่งภาวนา แล้วก็มาทวงผลด้วยเวล่ำเวลาว่านั่งนานเท่านั้นนั่งนานเท่านี้ เดินจงกรมนานเท่านั้นเท่านี้ เท่านั้นนาทีเท่านั้นชั่วโมง ไม่เห็นได้ผลได้ประโยชน์อะไร การมาทวงเช่นนี้ก็เพื่อจะแหวกแนวอีก

มันเป็นอุบายวิธีการของกิเลสทั้งนั้น

เราจะไปแง่ไหนที่นี่มันถึงจะดี ภาวนาเพื่อความดีมันก็ไม่ได้ดี เพราะกิเลสไปทำหน้าที่ของมัน ด้วยความเป็นข้าศึกต่อความเพียรของเราเสีย ต่อธรรมเสีย แล้วจะออกทางไหนดี อย่างน้อยก็นอนเสียดีกว่า มากกว่านั้นก็ทำไปทำไมความเพียรนี่ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ยิ่งไปกว่านั้นก็สึกเสียดีกว่า

มันมีตั้งแต่กลอุบายของกิเลสทั้งมวลที่หลอกหัวใจเราหัวใจคน นี่เราก็ไม่ทราบตอนนั้น จะทราบได้ยังไงเมื่อสติปัญญายังไม่เหนือมัน

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน





“ผู้ที่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นดับไป” นั้น “ไม่ดับ” กายกับจิตเป็นอุปาทานต่อกัน

ที่วัดดอยฯ ขณะนั้น “จิตมันสว่าง” จนตัวเองเกิดความอัศจรรย์ในความสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้อัศจรรย์นั้น รู้สึกมา“รวมตัวอยู่ในจิตนั้นหมด” จนเกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่า แหม จิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้นะ

มองดูกายทั้งกายไม่เห็น มันเป็น “อากาศธาตุเสียหมด” “ว่างไปหมด” จิตมีความสว่างไสวอย่างเต็มที่ ทำไมจิตของเราถึงได้เป็นขนาดนี้ พอว่าอย่างนั้น ก็มี “ธรรมะบันดาล”ขึ้นมา อันนี้ก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน “ผุดขึ้นมา” เหมือนกับมีคนพูดอยู่ภายในจิตนี้ “แต่ไม่ใช่คนพูด” ผุดขึ้นมาเป็นบทๆ ว่า

“ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ” ว่าอย่างนั้น

“ธรรมชาติ” นั้นมันเป็น “จุดจริงๆ” “จุดของความรู้” “จุดของความสว่าง”นั้นมัน “มีจุดจริงๆ” ดัง “อุบายผุด” ขึ้นมาบอก ทีนี้เราก็ไม่ได้คำนึงว่าอะไรมันเป็นจุด เลยงงไปเสียอีก

“ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน” นั้นแลคือ “ตัวภพ” พออันนั้น “สลายลง” ไปแล้ว” “มันไม่มีจุด” เพราะ “จุด” มันเป็น “สมมุติ”

“สิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นก็ต้องดับ”

“หลักธรรมชาติ” ของตัวมันเองแล้วก็จะ “ไม่ดับ คือ” “จิตที่บริสุทธิ์” นั้นจะ “ไม่ดับ” “ทุกสิ่งทุกอย่างดับไป” แต่ “ผู้ที่รู้ว่าดับ” นั้น “ไม่ดับ”

“อันนั้นดับไป” “อันนี้ดับไป” “ผู้ที่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นดับไป” นั้น “ไม่ดับ”

ถ้า “สงวนจิตก็เท่ากับสงวนอวิชชา” เอ้า ถ้า “จิตจะฉิบหาย” ไปด้วยกันก็ขอให้ “ฉิบหายไป” เอา “กิเลส” ออกให้หมด อะไรจะดับก็ดับให้หมด เอาไฟเผาเข้าไปเลย นี่แหละที่ว่า “เผาอวิชชา”

แท้จริง “จิตไม่ดับ” พอ “อวิชชาดับ” ไปพับ “อันนี้ก็เปิด” แทนที่ “จะดับ” ไปด้วยแต่ “ไม่ดับ”

หลักความจริง อันเป็น หลักธรรมชาติ ที่รู้ในหลักความจริงก็ย่อมเชื่อต่อหลักความจริงอันนั้นเหมือนกันหมด เพราะ “พุทธะแท้” “ธรรมะแท้” “สังฆะแท้” อยู่ที่ “ใจ”

ใจที่บริสุทธิ์แท้ คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ โดยสมบูรณ์ ไม่มีกาลสถานที่เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายเหมือนสมมุติทั่วๆ ไป.

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี







อะไรจะอัศจรรย์เท่าธรรมในแดนโลกธาตุนี้ไม่มี ลงธรรมกับใจ เป็นของอัศจรรย์เหลือล้นถึงขนาดนี้แล้ว

จิตดวงนี้จะไปเกิดที่ไหน เมื่อไม่มีเชื้อ ไม่มีเงื่อนต่อ ทั้งเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ทั้งอดีต อนาคต แม้แต่ปัจจุบัน

“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่ถือมั่นแล้ว”

มีธรรมอะไรที่ ไม่ใช่อนัตตา ไม่ใช่อัตตา คือ “วิสุทธิธรรม วิสุทธิจิต” จะเรียก “นิพพาน” ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อถึงตัวจริง ไม่มีกิเลสสมมุติใดๆ เข้ามาขัดขวางแล้ว เรียกไม่เรียกก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น เพราะ “จิตหลุดพ้น” ไปแล้ว

สัจธรรมทั้งสี่เป็นเพียงกิริยาอาการ ดำเนินในขณะที่ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสกองทุกข์เท่านั้น

เพราะฉะนั้น เรื่อง “อรหัตมรรค อรหัตผล” จึงเป็น “ธรรมที่คาบเกลียว” กันอยู่ ยัง “ไม่ละกิริยา” ระหว่าง “มรรคกับผล” วิ่งถึงกันในชั่ว “ระยะจริมรรคจิต”

ตามปริยัติท่านว่าไว้ “ชั่วจริมรรคจิต” คือ “ชั่วลัดมือเดียว” ขณะเดียวเท่านั้น ขณะนั้นท่านว่า “มรรคกับผลวิ่งถึงกัน” ทำหน้าที่ต่อกันเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นเรียกว่า “นิพพานหนึ่ง” ในขณะเดียวกันเรียกว่าถึง “แดนแห่งความบริสุทธิ์” เต็มที่แล้ว


หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๑


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO