นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 3:01 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญเป็นเสบียง
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 07 มี.ค. 2016 5:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
“เมื่อท่านสะสมบุญใส่ตนไว้พร้อมแล้ว เป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ หาสิ่งใดเสมอเหมือนไม่มี เปรียบอุปมาเหมือนกับเรามีกระติกน้ำใหญ่ติดตัวไว้ในเวลาเดินทางไกล ไปถึงร่มไทรก็จะได้ล้างหน้า ไปถึงร่มหว้าก็จะได้ส่วยคิง (เช็ดตัว) ไปถึงที่แจ้ง ๆ แดดร้อน ๆ ก็จะได้อาบเย็นสบาย อันนี้ฉันใด บุญก็ฉันนั้น ไปถึงสถานที่ใดก็เป็นอย่างนั้น สบายดีเลิศประเสริฐสุด นอกนั้นไม่มี”

...หลวงปู่จันทา ถาวโร...




ไม่กลัวความตาย
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)
ไอ้ความตายนี่อย่าไปกลัวมันเลย ไม่ควรกลัวตาย คนเราเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน ถ้าขืนไปกลัวความตาย มันก็หลอกตัวเอง คนไหนยังหลอกตัวเอง คนนั้นยังเอาดีไม่ได้
ต้องพยายามรู้ตัวไว้เสมอ ว่าเราเกิดมาเพื่อตาย นี่เป็นอันดับแรก แล้วก่อนที่จะตาย เราต้องรับผลของกรรม กรรมมีอยู่ ๒ อย่างคือ กรรมดีอย่างหนึ่ง กรรมชั่วอย่างหนึ่ง





ความรักเป็นทุกข์

เมื่อถึงคราวที่แต่งงาน อยู่คนเดียวคิดว่ามันไม่มีสุข แต่ความรักเกิดขึ้นในระหว่างเพศ สิ่งใดก็ตามถ้าเรารัก สิ่งนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่ามันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ตามพระบาลีว่า ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง ซึ่งแปลว่า ความเศร้าโศกเสียใจมาจากความรัก ภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเราก็อาศัยความรักเป็นปัจจัย

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะสิ่งใดถ้าเราไม่รัก เราก็ปราศจากการหวงแหน ใครผู้ใดที่ไหนมีความปรารถนาอะไร นั่นเราก็คิดว่าจงทำตามนั้น ทำตามปรารถนาของเธอ สิ่งใดที่เขาชอบใจจงเอาไปในสิ่งที่เราไม่รัก วัตถุก็ดี บุคคลก็ดี ถ้าเป็นสิ่งที่เรารัก ใครมายื้อแย่งเราก็โกรธ เพียงแค่ต้องการเราก็โกรธ ถ้าเขามายื้อแย่งอาจจะต้องประหัตประหารกัน เป็นอันว่าความรักเป็นปัจจัยของความทุกข์ ความรักเป็นปัจจัยทำให้เกิดภัยอันตรายต่างๆ

คัดลอกมาจากหนังสือคำสอน "ทางสายเอก" โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน






ต้องคิดไว้อยู่เสมอ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)

เมื่อเรารู้ตัวว่า
๑.เราเกิดแล้วเราจะต้องเจ็บไข้ไม่สบาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา
๒.เราจะต้องแก่
๓.เราจะต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่เราไม่ปรารถนาและที่เราไม่ต้องการ
๔.เราจะต้องตาย คิดให้รู้ไว้ เมื่อรู้แล้วอย่างนี้ ถ้าอะไรมันมากระทบ เราก็รู้ตัวแล้วว่ามันจะต้องมี

เหมือนกับคนเดินไปข้างหน้า รู้ว่าข้างหน้ามีแม่น้ำขวาง เมื่อไปถึงพบแม่น้ำเข้าจริงๆ ก็ไม่มีการตกใจ เพราะรู้ว่ามีแม่น้ำ จะได้หาพาหนะเตรียมการเพื่อข้ามน้ำ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ชีวิตของเราก็เหมือนกัน

ถ้าบุคคลทั้งหลาย รู้ว่าสภาวะความเป็นจริงว่า เกิดมาแล้วมันมีแต่ความทุกข์ ทุกข์เพราะอาหาร ทุกข์เพราะการบริหารการงาน ทุกข์เพราะการกระทบกระทั่ง ทุกข์เพราะการป่วยไข้ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น นี่มันเป็นตัวทุกข์ รู้แล้วว่ามันจะต้องทุกข์ เราก็ทำให้มันไม่ทุกข์เสีย ถ้ามันกระทบอะไรเข้า เราก็รู้สึกว่าอันนี้มันธรรมดา เรารู้อยู่แล้ว

แล้วเราก็คิดต่อไปด้วยว่า ทุกข์อันนี้เราจะให้มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติต่อไปไม่ให้มันมีอีก หมายความว่า เราจะไม่เกิดมาเพื่อให้ทุกข์อีก ถ้ายังเกิดตราบใด เราก็ยังต้องมีความทุกข์อยู่เพียงนั้น







เชื่อมั่น ในการที่เราปฏิบัติ เอาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมคุณ พระสังฆคุณรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นี่ก็เรียกว่าเป็นผู้ไม่หลงผิด ถึงจะคิดจะปรุงอะไร แต่ก็ไม่ส่งหลงไปตามอารมณ์อย่างอื่น เราก็คิดย้อนคืนมาหาพุทโธพุทธะอารมณ์เดียวเท่านั้น ก็จะเป็นหนึ่งได้ตลอด
นี่แหละโอวาทธรรมะ ที่ได้ยกขึ้นมาแนะนำให้คติธรรม ในเรื่องหลักพุทธคุณ เป็นหนึ่งเดียวในจิตใจ แล้วจิตใจของเรามีความเคารพสงบเชื่อมั่น มีความรู้ป้องกันกิเลสทั้งหลายไม่ให้มารบกวน ก็จะอยู่สงบร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป

::: หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร :::
วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่






พระอัญญัตรภิกขุ ท่านกำลังสงสัยธรรมขั้นละเลียด จะไปทูลถามพระพุทธเจ้า พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎี พอดีฝนตก ก็เลยยืนอยู่ที่ใต้ถุนนั้น สังเกตดูน้ำฝนที่ตกมาจากชายคา มากระทบน้ำที่พื้น แล้วเกิดตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ฟองน้ำตั้งขึ้นมาเท่าไร มันก็ดับไปแตกไป ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงกับสิ่งภายใน คือ “สังขาร” ความคิดปรุง เพราะขั้นนี้จิตจะพิจารณาเรื่อง “สังขาร”และ “สัญญา” ความปรุงและความสำคัญต่างๆ ของใจมากกว่าอย่างอื่น

ในเวลาน้ำตกลงมากระทบกัน นอกจากมีความกระเพื่อมแล้ว ก็ตั้งเป็นต่อมขึ้นมาเป็นฟองขึ้นมา แล้วดับไป ๆ ท่านก็พิจารณาเทียบเคียงเข้าไปภายใน คือ

"ความคิดปรุงของจิต คิดดีคิดชั่ว มีความเกิดความดับเป็นคู่เคียงกันไปเป็นลำดับๆ เสร็จแล้วก็กลายลงมาเป็นน้ำตามเดิม

*สังขารนี้เมื่อคิดปรุงเสร็จแล้วก็ลงไปที่จิตตามเดิม"

ท่านเลยบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในสถานที่นั้นเอง พอบรรลุธรรมแล้วฝนก็หยุด ท่านก็กลับไปกุฎี! ไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าอีกเลย เพราะหมดข้อสงสัยแล้ว นั่น!

ธรรมของจริง เมื่อเข้าถึงจิตดวงใดแล้ว จิตดวงนั้นย่อมหายสงสัยทันที แม้แต่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าอยู่แล้วก็ไม่ทูลถาม เพราะหายสงสัยแล้ว หากจะไปทูลถามท่านๆ ก็จะรับสั่งอย่างที่เข้าใจแล้วนั่นแหละ ก็เลยหมดปัญหา กลับไปกุฎีตามเดิม นี้เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง

ผู้ปฏิบัติธรรมเมื่อก้าวถึงขั้น “ปัญญา”แล้ว อยู่ที่ไหนก็ฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา มีอะไรมาสัมผัสก็พิจารณาเป็น “ธรรม” ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่มาสัมผัสเป็นเครื่องเตือนสติ ให้ระลึกรู้ ปัญญาก็วิ่งตามทันที ๆ โดยอัตโนมัติ พิจารณาอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องถูกบังคับเหมือนขั้นเริ่มแรก ซึ่งเป็นขั้น “หมูขึ้นบนเขียง แล้วไม่ยอมลง ถ้าไม่ถูกสับให้แหลกเสียก่อน” จิตขั้นนี้ อะไรมากระทบย่อมรู้เท่าทัน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน






‎พุทโธเป็นอย่างไร‬

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวง
อย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบเราก็จะรู้เอง ต้องภาวนาให้มากๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไรๆ ให้มันออกมาจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละ เป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเองให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย.






"การปฏิบัติต่อจิตใจ คือ การสอดรู้อาการของจิตที่ส่งออกไปสู่อารมณ์ต่าง ๆ ด้วยสติปัญญาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ปฏิบัติ นี่คือการเรียนเพื่อรู้ตัวเองโดยเฉพาะ

การเรียนเรื่องของจิต ต้องทราบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับจิต และสิ่งที่เข้ามาสัมผัสจิต ไม่ว่าจิตจะส่งกระแสความรู้ไปในทางใด หรือกับอารมณ์ใด สติปัญญาต้องตามรู้ตามรักษา และตามแก้ไขอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้จิตคิดปรุงไปตามลำพัง ถ้าได้ฝึกฝนอบรมสติปัญญาจนมีกำลังแล้ว เพียงจิตกระเพื่อมเท่านั้น ก็เป็นการปลุก “สติปัญญา” ในขณะนั้นพร้อมๆกัน เพื่อรู้สึกในความคิดปรุงนั้น ๆ ปัญญาก็ตามพิจารณากันทันทีไม่อืดอาดเนือยนาย เมื่อเข้าใจแล้วก็ปล่อยวาง

แต่เรื่องจิต ไม่มีเพียงเรื่องเดียว มันหลายเรื่องด้วยกัน จิตคิดแง่นี้แล้วก็ปรุงแง่นั้น ร้อยสันพันคม ซึ่งล้วนเป็นกลมายาของกิเลสสมุทัย พาให้จิตคิดปรุง สติปัญญาก็ตามพิจารณากันเรื่อย ๆ สุดท้ายจิตก็เข้าใจ เพราะการตามต้อน และพิจารณาด้วยเหตุผล พอใจได้รับเหตุผลที่ถูกต้องแล้ว จิตก็ปล่อยสิ่งนั้น ไม่ไปกังวลยึดถืออีกต่อไป และปล่อยวางกันไปเรื่อย ๆ
การปล่อยวาง “อุปาทาน” ในขันธ์ ในจิต ด้วยสติปัญญา ปล่อยอย่างนี้! "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน




การทำสมาธิภาวนาเมตตาพรหมวิหาร‬

หลวงปู่ทิวา อาภากโร

'นั่งขัดสมาธิ หลับตา นึกคิดตามคำพูดของอาตมา......... ก่อนอื่น...... เราจะต้องแผ่เมตตาให้กับตนเองซะก่อน คิดในใจให้ซึ้งในใจเลยทีเดียว......

ขอข้าพเจ้าจงอย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจ ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข เป็นการปรารถนาความสุขให้กับตนเอง ทุกคน....ถึงแม้ว่าจะมีความทุกข์มากที่สุดเท่าใดก็ตาม ก็ย่อมมีความปรารถนาจะให้ตัวเองมีความสุข ความปรารถนาความสุขอันนั้น ทำให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นในจิตในใจของเรา ขอข้าพเจ้าจงอย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจ ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข......

อันดับต่อไป แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย คิดในใจให้ซึ้งอีกเหมือนกัน ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงอย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข การแผ่เมตตาคือการปรารถนาความสุขให้กับตนเองและผู้อื่นเท่าเทียมกันเสมอกัน นี่เป็นหัวใจเป็นหลักสำคัญของการแผ่เมตตา

......อันดับต่อไป ทำความสม่ำเสมอในบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งตัวเราเองด้วย โดยการคิดถึงบุคคล ๔ คน คือ
๑. ตัวเราเอง ๒. คนที่เรารัก
๓. คนที่ไม่รักไม่ชังคนทั่ว ๆ ไป ๔. คนที่เราไม่ชอบ คนที่เราเกลียด
แผ่เมตตา คือ ปรารถนาความสุขให้บุคคลทั้ง ๔ คนนี้ เท่าเทียมกัน เสมอกัน ข้อนี้ทำได้ยากซักหน่อย แต่ถ้าหากว่าเราทำแผ่เมตตาเป็นประจำทุกวัน ๆ เราจะหาคนที่เกลียดไม่พบ ทุกคนจะเสมือนเป็นมิตรสหาย เป็นญาติ เป็นพี่น้อง หรือเป็นลูก เป็นหลาน มีความปรารถนาดี เท่าเทียมกันเสมอกัน แสดงว่า การแผ่เมตตาของเราได้รับผลดี
......คิดถึงบุคคล ๔ คน ๑. ตัวเราเอง ๒. คนที่เรารัก ๓. คนที่ไม่รักไม่ชัง ๔. คนที่เราไม่ชอบ คนที่เราเกลียด แผ่เมตตาคือ ปรารถนาความสุขให้บุคคลทั้ง ๔ คนนี้ เท่าเทียมกันเสมอกัน.......

อันดับต่อไป แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วจักรวาล แผ่เมตตาคือ ปรารถนาความสุขไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วจักรวาล นับตั้งแต่พรหม ลงมาเทวดา มนุษย์ เปรต เปรตนี่มีความหิวโหย อสุรกาย อสุรกายนี่ มีกาย วิกลวิกาล มีความทุกข์ทรมานทางกายดิรัจฉาน สัตว์นรก ขอให้มีความสุข

อันดับต่อไป แผ่เมตตาไปยังทิศต่าง ๆ แผ่เมตตาคือ ปรารถนาความสุข ไปยังทิศข้างหน้า ตรงหน้าเราเลยทีเดียว ทิศหลัง ข้างหลังของเรา ทิศขวา-ขวามือ ทิศซ้าย-ซ้ายมือ เฉียงข้างหน้าทางขวา ครึ่งหนึ่งระหว่างทิศข้างหน้ากับทางขวา เฉียงข้างหน้าทางซ้าย เฉียงข้างหลังทางขวา เฉียงข้างหลังทางซ้าย ทิศบน บนหัว ทิศล่าง ดิ่งลงไปที่เรานั่ง สมมุติว่าตัวเรานี่คล้าย ๆ หลอดไฟฟ้า แผ่รัศมี ไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นรัศมีแห่งความสุข ด้วยการปรารถนาความสุขแผ่ไปรอบตัวเรา

สรุป ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข นึกแผ่ความสุขนี้ออกไปรอบตัวเราไม่มีขอบเขตของความสุข เป็นการสร้างบรรยากาศแห่งความสุข แล้วเราก็อยู่ในบรรยากาศนั้น นี่คืออารมณ์ของเมตตาพรหมวิหาร พยายามรักษาอารมณ์นี้ไว้ให้ได้ซักพักหนึ่ง โดยการคิดซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ขอข้าพเจ้าจงมีความสุข ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข แล้วก็นึกแผ่ความสุขนี้ออกไปรอบตัวเราไม่มีขอบเขตแห่งความสุข"


การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระพยัญชนะหรือคำพูดอะไรหรอก
วิธีปฏิบัติในส่วนวินัยนั้น ให้พยายามดูแบบอย่างเขา แบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน ส่วนธรรมะ ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้ว อย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล..



ญาติโยมทั้งหลาย! สร้างบุญไว้เถิดประเสริฐที่สุด
ไม่ต้องใช้เงินใช้ทองแต่ประการใดการเจริญกรรมฐานทำให้บุญช่วยเราได้
เกิดปัญหาแก้ได้ ไม่ทะเลาะผูกใจเจ็บใคร ถ้าญาติโยมอิจฉาริษยาจะมีศัตรูมากๆ
แล้วจะมีอายุยืนได้ไหม? ขอฝากเอาไว้ เพราะบุญคืออารมณ์ดี
ไม่โกรธใคร ไม่เกลียดใคร จึงทำให้อายุยืน
ท่านสาธุชนเอ๋ย! อย่าโกรธ อย่าเกลียด
อย่าอิจฉาริษยาใครไว้ในใจเลย อย่าเก็บเอาไว้
กำจัดความโกรธด้วยเมตตาปราณีอารีเอื้อเฟื้อขาดเหลือคอยดูกัน
เมตตาดีที่สุด ปรารถนาดีต่อทุกคน แม้คนชั่วเราก็ต้องเมตตาเขา
อยากให้เขาเป็นคนดี ก็ต้องเมตตาเช่นเดียวกัน
กรรมฐานเป็นบุญอันสำคัญ ช่วยให้เราเป็นคนแข็งแรง
ทำให้มีสติเข้มแข็งด้วยการเดินจงกรม อายุมากก็ยังแข็งแรง
นอกเหนือจากนั้นแล้วยังช่วยให้เราเป็นคนฉลาดตั้งแต่เด็ก
จะฉลาดการพูด ฉลาดการคิด ฉลาดการกระทำตั้งแต่เด็กๆ
ช่วยให้คนชั่วช้าสามานย์กลับจากร้ายกลายเป็นดี กลายเป็นคนดีต่อไป

พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ
วัดอัมพวัน สิงห์บุรี





เชิญร่วมบุญซื้อทองคำ..
นำไปหล่อสร้างหลวงปู่ปาน...
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...
ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2559...
จำนวน 2. วง(2 กรัม)...
ณ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)...





ขอเชิญร่วมทำบุญสมทบทุนสร้างอาคารผู้ป่วย 2 ชั้น "ธรรมเมตตา" โรงพยาบาลท่าคันโท อ.ท่าคันโท จ.กาฬสินธุ์
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นายแพทย์พุทธรักษา ดีสิน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าคันโท จังหวัดกาฬสินธ์ https://www.facebook.com/lifesaverer?fref=ts



ร่วมสร้าง "อาคาร 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช" โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อ. เมือง จ. ตาก
http://thainews.prd.go.th/centerweb/new ... 1220010161




ขอเชิญทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีปั้นพระพุทธรูปหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ (ปูนปั้น)ขนาดหน้าตัก 5ศอก9นิ้ว 1องค์
ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมฯวัดท่าซุงสาขา9 เลขที่322หมู่19 ต.วังน้ำเขียว อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา
ในวันที่ 12-16 เมษายน พ.ศ.2559



ขอเชิญบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 408&type=3




ขอเชิญทุกท่านร่วมบุญ ไถ่ชีวิตโค- กระบือ รอบ ๒
ณ โรงฆ่าสัตว์ฟาร์มรุ่งโรจน์ อยุธยา
https://www.facebook.com/kelly164/posts ... 7962375928





เชิญร่วมบุญซื้อทองคำ..
นำไปหล่อสร้างหลวงปู่ปาน...
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ...
ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2559...
จำนวน 2. วง(2 กรัม)...
ณ วัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์)...
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 418&type=3





พระครูสุนทรธรรมาลังการ (หลวงพ่อศุภชัย) วัดท้ายเขื่อนสิริกิติ์ (ธุดงคสถานนานาชาติ บ้านท้ายเขื่อนสิริกิติ์) หมู่ 13 ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ 53190 (ปท.ร่วมจิต) จากรายการธุดงค์ธรรมะ แจ้งข่าวรายการงานบุญดังนี้
1. เจ้าภาพช่วยเหลือสามเณร ป่วยเป็นโรคไตวาย มีความจำเป็นต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมาก ร่วมบุญช่วยเหลือตามกำลังศรัทธา
2. เจ้าภาพสร้างห้องน้ำใหม่เพิ่มเติม ณ วัดประชานิมิต ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ งบประมาณ 15,000 บาท รวมบุญตามกำลังศรัทธา
3. เจ้าภาพสร้างพญานาค ทางขึ้นอุโบสถ ณ วัดท้ายเขื่อนสิริกิติ์ ยังขาดเจ้าภาพอีก 3 ตัว ตัวละ 25,000 บาท
4. เจ้าภาพหน้าต่างอุโบสถ วัดท้ายเขื่อนสิริกิติ์ ยังขาดเจ้าภาพอีก 5 บาน บานละ 12,000 บาท
ร่วมเป็นเจ้าภาพกับพระครูสุนทร ธรรมาลังการ (พระศุภชัย)
โทร 081-674-0836






พระมหาสุทธิเดช สุทธิเดโช วัดป่ามฤคทายวัน ต.ตั้งใจ อ.เมือง จ.สุรินทร์ รายการเสียงธรรมจากวัดป่ามฤคทายวัน แจ้งข่าวงานบุญในายการวันนี้ดังนี้
1. เจ้าภาพอุปสมบทพระสงฆ์ จำนวน 9 รูป รูปละ 3,000 บาท
2. เจ้าภาพบรรพชาสามเณร จำนวน 3 รูป รูปละ 2,000 บาท
3. เจ้าภาพกระดิ่ง เพื่อติดตั้งบนหลังคาโบสถ์ ณ วัดป่ามฤคทายวัน จ.สุรินทร์ ใบละ 500 บาท
ร่วมบุญกับ พระมหาสุทธิเดช สุทธิเดโช
โทรศัพท์ 087-001-981




ขอเชิญร่วมโครงการ "บวช"
สืบสานปณิธานพระป่า ปี 2559
ณ วัดป่าภูผาผึ้ง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร
โดยมีหลวงปู่อ้ม สุขกาโม เป็นผู้อบรมสอน
จัดโดย ชมรมพุทธธรรมกรรมฐาน
แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
รับสมัครวันนี้ถึง 21 พฤษภาคม 59
ปฐมนิเทศผู้บวช 22 พฤษภาคม 59
วันบวช 11 มิถุนายน 59
วันลาสิกขา 17 กรกฏาคม 59
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 44/?type=3




ร่วมสร้าง "อาคาร 100 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช" โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อ. เมือง จ. ตาก
https://www.facebook.com/bogboon/posts/1063661910344111




ขอเชิญร่วมบุญจัดงานมุทิตา หลวงปู่อร่าม ชินวังโส โดยมี ค่าภัตตาหาร และ ปัจจัยถวายพระเถระที่มาร่วมงาน
https://www.facebook.com/bogboon/photos ... 57/?type=3


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO