นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 3:50 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 12 ก.พ. 2016 4:43 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
ผู้เศร้าโศกกับผู้บันเทิง
คนทำความชั่ว ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คือ...เศร้าโศกในโลกนี้ ละไปแล้วก็เศร้าโศก เขาย่อมเศร้าโศกเดือดร้อน เพราะเห็นการกระทำอันเศร้าหมองของตน
คนทำบุญ ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง คือบันเทิงในโลกนี้ละไปแล้วก็บันเทิง เพราะเห็นความบริสุทธิ์แห่งการกระทำของตน
....... ธรรมบท ๒๕/๑๖





ชีวิตในอดีตชาติล่วงเลยไปแล้ว กรรมดีกรรมชั่วก็ได้เป็นอันทำแล้วทั้งนั้น ไม่มีที่จะให้ไม่ได้ทำ แต่ชีวิตในอนาคตชาติกำลังใกล้เข้ามาเป็นลำดับ ไม่นานนักก็จะถึง เพราะชีวิตนี้นั้นน้อยนัก จบสิ้นง่าย ชีวิตในภพชาติข้างหน้าต่างหากที่ยาวนานจนประมาณไม่ได้
ความสุขอันยาวนาน หรือความทุกข์ที่ยืดเยื้อจะมีมาพร้อมกับชีวิตในชาติอนาคตแน่นอน เรามีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีชาตินี้ ชีวิตนี้ ที่แม้จะน้อยนัก แต่ก็เป็นชีวิตเดียวที่สามารถจะพาเราหนีกรรมไม่ดีได้ และก็เป็นชีวิตเดียวที่จะพาเราไปสวรรค์ก็ได้ นิพพานก็ได้ "
พระนิพนธ์ 'ชีวิตนี้น้อยนัก'
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก




ปุจฉา ท่านถาม
การทำบุญตักบาตรใส่ปัจจัย จะได้บุญหรือบาป

วิสัชนา เราตอบ
ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
บุญเกิดจากอะไร และบาปเกิดจากอะไร

บุญเกิดจากจิตที่เป็นกุศล มีการประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ
บาปเกิดจากจิตที่เป็นอกุศล มีการประพฤติชั่วด้วยกาย วาจา ใจ

เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำบุญตักบาตรอยู่ จิตที่เลื่อมใสศรัทธา จะเป็นบาปนั้นไม่มี ย่อมต้องได้บุญอย่างแน่นอน

บางครั้ง พระเคร่งจนเกินไป ก็เป็นแบบนี้แหละ ผู้ให้ทานไม่จำเป็นต้องคิดมาก

สมัยปัจจุบัน ปัจจัยหรือเงิน มีความจำเป็นสำหรับพระภิกษุอย่างไร
เช่น จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟวัด ค่ารักษาพยาบาลตอนเจ็บไข้ได้ป่วย
ค่าซ่อมสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัด เป็นต้น

พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ที่พระธรรมวินัยเพี้ยน มีเหตุอยู่ 2 ประการ คือ
1. พระภิกษุประพฤติ เคร่งจนเกินไป
2.พระภิกษุประพฤติ หย่อนยานจนเกินไป
ด้วยเหตุนี้ ควรปฏิบัติสายกลาง

ในความจริงแล้ว การที่สาธุชนมีศรัทธาใส่บาตรด้วยปัจจัย ส่วนพระจะเอาปัจจัยไปทำอะไรก็ช่าง แต่พระเคร่งไม่รับทาน และทำศรัทธาของคนอื่นให้ตกลงไป ปรับอาบัติปาจิตตีย์ มีความผิดตามพระวินัยเช่นกัน สามารถเปิดดูได้ที่พระวินับปิฎก เรื่องการทำศรัทธาของผู้รับให้ตกลงไป มีความผิดตามพระวินัยข้อใดบ้าง

เพราะฉะนั้น ถ้าตัวเองเคร่งไม่รับปัจจัย ก็ห้ามทำศรัทธาของคนอื่นให้ตกลงไป จึงไม่มีความผิดตามพระวินัย
ต้องชี้แจงเหตุผลเองให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆจะปฏิเสธไม่รับทาน

สรุปแล้ว การทำบุญใส่ปัจจัย จิตเรามีกุศลเป็นที่ตั้ง จึงได้บุญ ไม่ใช่เป็นบาป ส่วนผู้รับทาน จะเคร่ง ไม่รับปัจจัย ทำศรัทธาของคนอื่นให้ตกลงไป เราก็อย่าไปยึดติด

เพราะเราทำบุญแล้ว ผู้รับจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้จิตเรารักษากุศลไว้เสมอ จิตเราก็จะอยู่ในบุญ ทั้งก่อนให้ทาน ขณะทานให้ และหลังให้ทาน




กุศลสะท้อน‬

เมื่อปี ๒๕๐๐ เวลาบ่ายวันหนึ่ง
จำไม่ผิดว่าเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าพักอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน และเด็กๆ ก็ไม่ไปโรงเรียน ถัดบ้านข้าพเจ้าไปเป็นปลายซอยซึ่งมีโรงเพาะถั่วงอก มีเสียงโจษย์กันว่าเด็กตกน้ำที่ข้างโรงเพาะถั่วงอก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างวิ่งไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กในบ้านข้าพเจ้าวิ่งไปดูด้วยเหมือนกันแล้วกลับมาบอกว่า

มีเด็กหญิงตกน้ำ
และพอรู้ว่าตกก็งมขึ้นมาได้ เพราะบ่อขุดไว้เพื่อใช้น้ำรดถั่ว พอตกลงไปก็มีคนเห็น รีบลงไปอุ้มขึ้นมาทันที พวกญาติช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่ยังไม่ฟื้น ข้าพเจ้าขอให้ภรรยารีบไปดูเพื่อช่วยเหลืออย่างไรได้ ก็ให้รีบช่วยเหลือ สักครู่ภรรยาข้าพเจ้ากลับมาบอกว่า ทำอย่างไรก็ยังไม่ฟื้น ข้าพเจ้าให้ความเห็นว่า ควรนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ภรรยาของข้าพเจ้าไปบอกกับญาติของเด็ก และทางญาติเด็กก็เห็นดีด้วย

ข้าพเจ้าจึงให้เอารถออกไปรับเด็ก พร้อมทั้งญาติของเด็กรีบนำส่งโรงพยาบาลเด็กทันที แต่แล้วก็รับข่าวสลดใจนายแพทย์ทางโรงพยาบาลไม่สามารถจะรับช่วยเหลือเด็กนั้นไว้ได้ เด็กหมดลมก่อนถึงโรงพยาบาล เพราะมัวแต่แก้ไขกันเองจึงสายไปที่จะช่วยชีวิตเด็กไว้ได้

เรื่องสลดใจเช่นนี้ทำให้อดหวนระลึกถึงบุตรชายของข้าพเจ้าไม่ได้ เรื่องมีว่า

ตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้น ภายหลังเมื่อระเบิดลงหนักในพระนคร ครอบครัวที่มีบุตรมากก็อดเป็นห่วงเด็กๆ ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องย้ายไปให้ห่างจุดยุทธศาสตร์และที่ชุมชน ข้าพเจ้ามีเพื่อนที่รักใคร่และใจอารีย์เสนอให้ที่พักอาศัยที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากชุมชน อยู่ในอำเภอชั้นนอก ข้าพเจ้าก็ยินดีและขอบใจเพื่อนผู้นี้ ตกลงย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนผู้นั้นทันที ข้าพเจ้าได้รับความสุขสบายเหมือนบ้านของตนเอง แต่ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นครอบครัวใหญ่มีเด็กมาก ทั้งภรรยาของข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้เกรงใจคน ทั้งๆ ที่เพื่อนและภรรยา ลูกๆ ของเพื่อนต่างก็แสดงความยินดีอย่างบริสุทธิ์ใจ ที่เราได้ไปอยู่ร่วมด้วยทั้งครอบครัว

แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า สงครามครั้งที่ ๒ นี้คงไม่ยุติลงง่ายๆ จึงอยากจะหาที่ดินปลูกบ้านของตนสักแปลง จึงขอร้องให้เพื่อนผู้นั้นจัดการให้ด้วย เพื่อนและครอบครัวก็หน่วงเหนี่ยวไม่อยากให้เราย้ายไปเลย ข้าพเจ้าก็อ้างเหตุผลต่างๆ เพื่อนผู้นั้นจึงยอมหาที่ให้หนึ่งแปลง ในเวลานั้นการซื้อที่ดินไม่สู้ยากนัก ข้าพเจ้าได้ที่และส่วนมากยังเป็นทุ่งนาทั้งราคาก็ไม่สู้แพง ที่ตามความปรารถนาอยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อนผู้นั้นนัก

เมื่อตกลงเรียบร้อยแล้วข้าพเจ้าก็ถมดินล้อมรั้ว การถมดินนั้นย่อมต้องถมให้เสมอกับถนน หรือสูงกว่าถนนก่อนจะปลูกบ้าน เป็นธรรมดาของที่นา ดินที่จะขุดถมก็เอาในเนื้อที่นา การถมย่อมต้องใช้ดินมาก เพราะฉะนั้นในที่ดินของข้าพเจ้านั้นต้องขุดเป็นบ่อใหญ่ กว้างประมาณ ๑๐ เมตร ยาว ๑๕ เมตร และลึกราวๆ ๓ เมตร พอการถมดินเสร็จเรียบร้อย บ้านก็เกิดขึ้นทั้งน้ำและไฟเรียบร้อย ข้าพเจ้าและครอบครัวก็ย้ายจากบ้านเพื่อนผู้นั้นมาอยู่บ้านของเราทันที

เรื่องที่จะเกิดขึ้นนั้นข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำ คือวันอาทิตย์ เวลาประมาณ ๑๕ น.เศษ เป็นเวลาคนครัวจะทำกับข้าว การที่จะไปทางครัวนั้น ต้องเดินผ่านท่าน้ำทางหลังบ้านริมบ่อก่อนที่จะถึงครัว แม่ครัวได้เดินผ่านท่าน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นกลางบ่อ ก็เห็นผ้าอะไรขาวๆ ตกอยู่กลางบ่อและปริ่มๆ น้ำ จึงเข้าใจว่าผ้าที่ตากไว้บนราวนั้นตกลงไป แต่ก็อดนึกไม่ได้ว่า ผ้าบนราวทุกผืนนั้นก็มีไม้หนีบ ยากที่จะตกลงไปในบ่อได้ ทำให้สงสัยรีบหาไม้มาเขี่ยผ้าที่เห็นอยู่กลางบ่อ โดยยืนอยู่ที่สะพานท่าน้ำ

ทันทีที่ปลายไม้ถูกผ้าน้ำกระเพื่อม แม่ครัวก็ตกใจร้องเสียงหลง เพราะปรากฏว่าไม่ใช่ผ้าธรรมดา เป็นเสื้อเด็กและเด็กคนหนึ่งอยู่ในเสื้อนั้นคว่ำหน้า เมื่อถูกเขี่ยก็มองเห็นผมและศรีษะของเด็ก จึงร้องโวยวายด้วยความตกใจ ภรรยาของข้าพเจ้าพอได้ยินว่าเด็กตกน้ำ ก็นึกถึงลูกๆ ตกใจจนออกประตูไม่ถูก เมื่อออกมาได้ก็ร้องโวยวายเหมือนไฟไหม้ ทำให้เพื่อนบ้านตกใจวิ่งมาในบ้าน บางคนก็โดดลงไปอุ้มเด็กซึ่งกำลังลอยอยู่ขึ้นมาทำการปฐมพยาบาล เอาเด็กขึ้นใส่บ่าวิ่งรอบๆ สนาม เพื่อให้น้ำออกจากท้องทางปาก มีทั้งน้ำและข้าวออกมาเป็นเม็ดๆ แสดงว่าท้องยังไม่ทันย่อย เหมือนว่าเคี้ยวๆ แล้วก็คายออกมา

บังเอิญเพื่อนผู้หนึ่งมีญาติเป็นนางพยาบาล ได้มาผายปอดและช่วยเหลือเท่าที่จะนึกได้ เวลานั้นเพื่อนและเพื่อนบ้านได้มาอยู่เต็มบ้าน เพราะทุกคนต่างเป็นห่วงและช่วยเหลืออย่างจริงใจ ในขณะนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน มีเพื่อนผู้หนึ่งได้นำรถออกตามข้าพเจ้าในพระนครจนพบ เมื่อทราบเรื่องก็มิได้รอช้ารับหมอไปบ้านทันที

เมื่อถึงบ้านก็ได้ทราบว่าบุตรข้าพเจ้ารู้สึกตัว แต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา คำแรกที่พูดออกมาก็คือ “พ่อ” เวลานั้นข้าพเจ้ายังกลับไม่ถึงบ้าน เพื่อนผู้ที่ได้เคยให้ข้าพเจ้าอาศัยบ้านนั้นได้เข้าไปอุ้ม และปลอบใจบุตรข้าพเจ้า และแสดงเป็นพ่อแทนตัวข้าพเจ้า สามารถปลอบเด็กให้หายกระวนกระวายไปได้หลายครั้ง

เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้าน ก็เห็นเพื่อนที่รักใคร่นับถืออยู่ในบ้านข้าพเจ้าเต็มบ้าน ต่างมีสีหน้าเศร้าตามๆ กัน ทุกคนแสดงความเป็นห่วงเด็กเหมือนลูกหลานของเขาเอง ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้ม อดที่จะนึกขอบพระคุณเสียมิได้ นายแพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้ ๑ เข็ม ให้พักผ่อนพอสมควรจะหายเป็นปกติในไม่ช้า เพื่อนฝูงที่อยู่ในนั้นก็แสดงความดีใจที่เด็กคนนั้นปลอดภัยทุกคนยิ้มแย้มออกมาได้

ต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบร้อยเป็นปกติทุกประการ เด็กตกน้ำบุตรข้าพเจ้าผู้นี้เป็นบุตรคนที่ ๔ ของข้าพเจ้ากับภรรยา ซึ่งมีอายุเพียง ๔ - ๕ ขวบ ทราบความละเอียดภายหลังว่า แกรับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ไปล้างมือที่ท่าน้ำ พอลงกะไดจะล้างมือ หัวก็คะมำลงไปในบ่อ ต่อจากนั้นก็ไม่รู้สึกอะไร

เมื่อข้าพเจ้าก็มาคำนวณดูระยะที่กินอาหารเที่ยงเสร็จคงประมาณเวลา ๑๒.๓๐ น. เมื่อพบเวลาลอยขึ้นมานั้นบ่าย ๓ โมงกว่า เมื่อคิดระยะที่ตกลงไปในบ่อกับระยะที่พบนั้นไม่ต่ำกว่า ๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย แต่แล้วไม่ตาย ภรรยาข้าพเจ้ากลัวจะถูกดุว่า ไม่ดูแลลูกทำให้ลูกตกน้ำ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปริปากพูดเรื่องนี้เลย เพราะสิ่งที่ได้เป็นไปนั้นเป็นบทเรียนที่สูงอยู่แล้ว และบ่อนั้นอยู่หลังบ้าน ส่วนมากเด็กๆ มักจะอยู่หน้าบ้าน และเมื่อหลังอาหารเที่ยงแล้วทุกคนก็เข้านอนตามปกติ วันธรรมดานั้นข้าพเจ้าจ้างครูมาสอนเพื่อทบทวนหนังสือ มีเด็กๆ มาเรียนที่บ้านข้าพเจ้า แต่วันนั้นเป็นวันหยุดเรียน

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า เหตุที่บุตรข้าพเจ้าตกน้ำแล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตรายเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงเมื่อครั้งข้าพเจ้าอายุราว ๒๕ ปี ข้าพเจ้ากับแม่ของเด็กตกน้ำผู้นี้ ได้สนทนากันอยู่ที่ริมคลองแห่งหนึ่ง มีน้ำไหลเชี่ยวออกมาจากใต้สะพาน ขณะที่เรายืนคุยกันอยู่นั้น สายตาของข้าพเจ้ามองดูน้ำกำลังไหลออกมาจากใต้สะพาน ทันใดนั้นเห็นมือเล็กๆ ชูขึ้นเหนือน้ำแวบเดียวก็จมลงไหลตามกระแสน้ำไป สัญชาติญาณทำให้นึกถึงว่าเด็กตกน้ำ ใจเร็วเท่าความคิด

ข้าพเจ้ารีบกระโจนลงในคลองทันที หมายตากำหนดระยะของกำลังน้ำที่จะพัดพาไป แต่เป็นบุญเหลือเกิน ข้าพเจ้าว่ายน้ำไม่นานนักก็ควานหาเด็กพบ รีบอุ้มว่ายทวนน้ำเข้าหาฝั่ง รู้สึกดีใจที่ร่างกายเด็กยังมีความอุ่นและยังหายใจ เมื่อข้าพเจ้าพาเด็กว่ายน้ำเข้าถึงท่า ก็มีประชาชนออกมายืนออกันอยู่เต็มหน้าท่า ข้าพเจ้าได้ส่งเด็กให้พลเมืองดีผู้หนึ่งแล้วขอร้องให้นำไปส่งตำรวจ เพื่อจัดการสืบหาพ่อแม่ของเด็กต่อไป ส่วนข้าพเจ้าเมื่อหมดหน้าที่แล้วก็รีบกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเพราะเปียกปอนหมด ส่วนเด็กนั้นจะชื่ออะไร อยู่ที่ไหน เป็นลูกใคร ข้าพเจ้ามิได้ติดตาม และข้าพเจ้าไม่ทราบตลอดจนทุกวันนี้

ข้าพเจ้าคิดว่าอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าช่วยชีวิตเด็กผู้นั้นไว้ ผลนั้นได้สนองให้บุตรข้าพเจ้าตกน้ำจึงไม่เป็นอันตราย จะผิดหรือถูกอย่างไรข้าพเจ้าต้องขออภัยด้วย ส่วนเพื่อนฝูงที่กรุณาช่วยเหลือ ข้าพเจ้าอดที่จะนึกขอบคุณอย่างยิ่งไม่ได้ โดยเฉพาะเพื่อนที่ได้กรุณาให้ที่พักอาศัยในยามสงครามแก่ข้าพเจ้าและครอบครัว ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเลย และคิดว่าเป็นอนุสรณ์แก่ตระกูลของข้าพเจ้ารุ่นหลังจะได้ทราบว่า ท่านผู้นั้นคือ “คุณตุ๊ วัชราธร”
..................... เอวัง .....................
โดย ท.เลียงพิบูลย์




อภิญญาปราบผีศาลปู่ตา‬

หลวงปู่สีโห เหมโก
พระผู้ทรงอภิญญา รู้ภาษาสัตว์และคนได้ทุกชาติทุกภาษา ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
ท่านเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงคุณวิเศษยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ประสบการณ์การธุดงค์
ของท่าน ได้พบกับสัตว์ร้าย สิ่งเร้นลับและตำนานของพระพุทธรูปที่สำคัญ
และศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ องค์ ที่สร้างก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาถึง ๓๐๐ ปี และ
ตำนานประวัติที่แท้จริงของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก
แห่งวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา

หลวงปู่สีโห เหมโก ท่านเป็นพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
อย่างยิ่งยวดและชอบรุกขมูล ไม่ชอบอยู่วัดวาอาราม ท่านรักที่จะอยู่
ตามป่าช้า ตามถ้ำในป่าเปลี่ยว สถานที่วิเวกแวดล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย
นานาและไข้ป่า มุ่งมั่นอยู่ในมรรคกระแสพระนิพพานเต็มตัว ไม่วอก
แวกไปทางอื่น

ที่ท่านไม่ชอบอยู่ตามวัดเพราะไม่ชอบคลุกคลีกับชาวบ้าน ทำให้ใกล้
ความประมาท เป็นเหตุให้กิเลสกำเริบและเข้าไปเกาะจิตวิญญาณ
ผู้เขียน(สิทธา เชตวัน) ได้รู้จักกับพระอาจารย์ยี่หลก ศิษย์ก้นกุฏิของ
หลวงปู่สีโห ท่านได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหลวงปู่ให้ฟัง

พระอาจารย์ยี่หลก ท่านเป็นพระธุดงค์ที่มีญาณแก่กล้า เคยธุดงค์ไป
แต่ลำพังผู้เดียวทั่วภาคอิสาน ภาคเหนือ แล้วข้ามเขตเข้าไปในพม่า
และลาวมาแล้ว ท่านเป็นพระผู้มีวาจาสิทธิ์ น่าเลื่อมใส
ดังนั้น เรื่องราวต่อไปนี้ จึงยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการ

ประมาณปี พ.ศ.๒๔๗๓ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้ให้พระอาจารย์สิงห์
ขันตยาคโม นำพระภิกษุสามเณรจำนวนมากจัดเป็นกองทัพธรรม
ออกเผยแพร่ธรรม สมัยนั้น หลวงปู่สีโห ยังหนุ่มแน่น แต่ก็มีชื่อเสียง
ในทางกรรมฐานมาก ได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์มั่น
หลวงปู่พร้อมพระธุดงค์ ๕-๖ รูป ได้ไปปักกลดอยู่ที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง
ในอำเภอมัญจาคีรี ยังความไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง
เพราะชาวบ้านเขานับถือผี ไม่เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เห็นพระเป็นศัตรูไปหมด เพราะเป็นที่เลื่องลือในสมัยนั้นว่า คณะพระธุดงค์
ชอบทำลายศาลปู่ตา ที่สถิตย์ของผีสางที่ชาวบ้านเคารพกราบไหว้บูชา
เพื่อให้ชาวบ้านหันมานับถือพระสงฆ์องค์เจ้า

ศาลปู่ตา ที่ป่าช้าหมู่บ้านแห่งนั้นดุร้ายมาก ชาวบ้านผ่านไปมาทำอะไรผิด
แม้เล็กน้อย เป็นต้นว่าขาดการให้ความเคารพนบไหว้บ้าง ไปเก็บเห็ดเก็บ
ผักในป่าลืมบอกบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง หรือทำต้นไม่ในเขตศาลหักบ้าง
มักจะถูกผีทำโทษ ให้เจ็บป่วยถึงตาย สร้างความเกรงกลัวให้แก่ชาวบ้าน
สืบทอดกันมาหลายชั่วคน

หลวงปู่สีโห รู้สึกสลดสังเวชที่ชาวบ้านหลงผิดไปนับถือผี มีความเกรงกลัว
แบบไร้สาระ ต้องฆ่าหมูเห็ดเป็ดไก่ไปสังเวยเซ่นสรวงกันไม่ขาด เป็นการ
ทำลายชีวิตสัตว์น่าอนาถนัก
ซ้ำยังทำให้ชาวบ้านขาดศีลธรรม เพราะไม่มีผู้ชี้ทาง ให้ข้ออรรถข้อธรรม
สั่งสอนอบรมกล่อมเกลากมลสันดานให้รู้จักผิดถูก ให้รู้จักเมตตาปราณี
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ชาวบ้านมีแต่การมั่วสุมในอบายมุข กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เมื่อผิดใจ
ก็ตีรันฟันแทงกันถึงล้มตาย เป็นคนโหดร้ายทั้งชายทั้งหญิง

ชีวิตของพวกเขาน่าสงสารแท้ เมื่อตายแล้วหนทางไปคืออบายภูมิ มีนรกเป็น
แดนเกิดเป็นแม่นมั่น หลวงปู่ท่านมีจิตเมตตาคิดอยากจะช่วยฉุดพวกเขาจาก
ทางแห่งอบายภูมิ จึงได้พาพระธุดงค์ในคณะตรงไปยังศาลปู่ตา อันเฮี้ยนและ
มีฤทธิ์ในทางชั่วร้ายแห่งนั้น แล้วช่วยกันรื้อทำลายลงจนราบคาบไม่มีชิ้นดี

การกระทำของคณะพระธุดงค์ สร้างความโกรธแค้นให้แก่ชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะถือว่าไปทำลายล้างความเชื่อถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ปรากฏว่าในตอนกลางคืนวันนั้น ผีปู่ตาได้อาละวาดครั้งใหญ่
ชาวบ้านไม่ได้หลับได้นอน ด้วยว่ามีเสียงประหลาดได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คล้ายกับมีฝูงวัวฝูงควายนับร้อยนับพันตัววิ่งเข้าไปใน
หมู่บ้านฝุ่นคลุ้งไปหมด แต่มองไม่เห็นตัว หมาในหมู่บ้านส่งเสียงเห่าหอน
และร้อยอี๊ดๆ หางจุกก้นแสดงความเกรงกลัวในเสียงประหลาดที่มนุษย์
มองไม่เห็น ชาวบ้านรู้ดีว่าเป็นขบวนผีปู่ตาอาละวาด เพราะถูกคณะพระธุดงค์
ทำลายศาล นอกจากเสียงวิ่งแตกตื่นปานหมู่บ้านจะถล่มแล้ว ยังปรากฏเสียง
ร้องห่มร้องไห้กันระงม ทั้งลูกเด็กเล็กแดง เป็นทำนองพร่ำรำพันว่าบ้านช่อง
ถูกทำลาย แล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ไหน ได้รับความเดือดร้อนลำบาก บ้านแตก
สาแหรกขาด เลือดตาแทบกระเด็น ชาวบ้านจะต้องได้รับการแก้แค้นในครั้งนี้
เสียงร่ำไห้โหยหวนรำพันเหล่านี้คือเสียงของฝูงผีนั่นเอง

รุ่งเช้าชาวบ้านล้วนชายฉกรรจ์ หมู่หนึ่ง ได้ยกขบวนกันมาที่ป่าช้า
ทุกคนถือปืนแก๊ปคาบศิลากันคนละกระบอก ด้วยความโกรธแค้น
มุ่งจะมาฆ่าหลวงปู่สีโห พอมาถึงได้ระยะเผาขนก็ตะโกนด่าอย่างหยาบคาย
ต่ำช้าต่างๆ นาๆ แล้วยกปืนขึ้นเล็ง แล้วยิงมายังหลวงปู่สีโหและคณะ
พร้อมกันทุกกระบอก

ปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกสักกระบอกเดียว เมื่อปืนยิงไม่ออกชาวบ้านก็ตกใจ
จึงพากันโยนปืนทิ้ง แล้วชักดาบออกมาจะวิ่งเข้าไปฟาดฟันหลวงปู่
และพระที่ร่วมเดินทาง ก็ปรากฏเหตุอัศจรรย์ ปรากฏว่าทุกคนก้าวขาไม่ออก
คล้ายมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงที่เท้า ต่างก็ดิ้นรนกันไปมา
หูตาเหลือกด้วยความตกใจและก็พากันล้มลง

เมื่อเจอกับอภินิหารของหลวงปู่สีโห เช่นนั้น คนเหล่านั้นก็พากันหวาดกลัว
กันจนตัวสั่น หน้าซีดเหมือนผีตาย พากันร้องอ้อนวอนขอขมาลาโทษ
หลวงปู่สีโหท่านมีจิตเมตตา ไม่เคยนึกพยาบาทจองเวรผู้ใด
จึงถอนพลังกระแสจิตด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์อภิญญา
ทำให้คนเหล่านั้นสามารถลุกขึ้นเดินได้เป็นปกติ
ก็เข้ามากราบนมัสการแทบเท้าของหลวงปู่และคณะสงฆ์
หลวงปู่ได้เมตตาอบรมธรรมะให้ฟังอย่างง่ายๆ แต่ทว่ามีข้ออรรถข้อธรรม
ลึกซึ้งกินใจ มองเห็นอะไรผิดอะไรถูก เห็นทางนรก และทางสวรรค์ ชัดแจ้ง
ดุจคนเรามองดูเงาตนเองในน้ำแล้วเห็นเงา ฉะนั้น
คนเหล่านั้นก็มีน้ำตาใหลออกมาด้วยความสำนึกผิดชอบชั่วดี

จากนั้นหลวงปู่สีโห ได้ให้พวกเขาไปหาบเอาทรายมา
แล้วท่านได้เสกคาถาปราบผี ให้เอาทรายไปหว่านทั่วบริเวณหมู่บ้าน
ปรากฏว่าคืนนั้นเหตุการณ์สงบร่มเย็นดี ไม่มีผียกขบวนวิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน
ให้หมูหมาแตกตื่นเห่าหอนแต่อย่างใดเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์

ชาวบ้านได้พากันมากราบไหว้หลวงปู่และนำข้าวปลาอาหารมาถวายมากมาย
และยังได้นิมนต์ให้ท่านอยู่ด้วย เพื่อเป็นหลักสรณะที่พึ่ง โดยจะสร้างวัดถวายด้วยแรงศรัทธา
หลวงปู่สีโหท่านได้ให้พระธุดงค์ในคณะ ๒ รูป อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้เพื่อเจริญศรัทธา
และช่วยชาวบ้านสร้างวัดป่าสาลวันขึ้น ตามนโยบายเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธองค์
เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ส่งบุตรหลานบวชเรียนบำเพ็ญศีลปฏิบัติธรรม ให้พระศาสนาเจริญ แพร่หลายออกไป
ข้อมูลจากหนังสือในเครือโลกทิพย หนังสือทิพย์ ตายแล้วไปไหนเล่มที่ ๑๕



#‎ต้นเหตุของจีวรสีย้อมหินแดง‬(หรือดินแดง)

‪#‎พระอัญญาโกณฑัญญะ‬
เป็นรัตตัญญู เป็นผู้ผ่านโลกมานานด้วย ผ่านธรรมมานานด้วย แล้วเวลาท่านได้สำเร็จก็เป็นปฐมสาวก สำเร็จก่อนเพื่อน แล้วอยู่ในป่าตลอด ก็มีองค์นี้แหละ นี่หมายถึงว่าไม่ได้เกี่ยวกับประชาชน แต่เรื่องเทวบุตรเทวดา พวกสัตว์พวกช้างนี้ ท่านเกี่ยวตลอดเวลา แน่ะ ถ้าไม่เกี่ยวกับคนก็ไปเกี่ยวกับสัตว์ มีช้าง ช้างนี่เป็นช้างโพธิสัตว์ อุปัฏถัมภ์อุปัฏฐากท่านเหมือนคนอุปถัมภ์อุปัฏฐากทีเดียวนะ ท่านไปอยู่ในฉัททันตสระ ๑๑ ปี ฟังซินานไหม ท่านไปอยู่ในป่ากับโขลงช้าง ช้างเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐาก ช้างเป็นช้างโพธิสัตว์ นี่ละองค์นี้ไม่ค่อยได้เกี่ยวกับประชาชน ดูว่าท่านสอนได้หลานชายคนหนึ่ง คนเดียว พระอัญญาโกณฑัญญะนี้สอนหลานชายได้คนเดียว พระปุณณมันตานีบุตร อันนี้เป็นธรรมกถึกเอก เป็นพระอรหันต์ เป็นธรรมกถึกเอก นักเทศน์เอก เพียงองค์เดียว

พอถึงเวลาจะนิพพานแล้วท่านก็ออกมาเฝ้าทูลลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พวกพระเณรหนุ่มน้อยก็คงเหมือนกับพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ตาล็อก ๆ แล็ก ๆ เหมือนตาลิงนี้แหละ ถ้าใครไม่เคยเห็นให้ดูตาพระตาเณรวัดป่าบ้านตาดก็แล้วกัน นี่พระอัญญาโกณฑัญญะท่านมาเข้าทูลลาพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ในป่า ผ้าสีแก่นขนุนจึงไม่มี เป็นสีดินแดงหินแดงผสมย้อมผ้า พอออกมาทูลลาพระพุทธเจ้า พวกพระเณรทั้งหลายเห็นแปลกหูแปลกตา ตาลีตาลานว่างั้นเถอะ โอ๊ย ตื่นเต้นออกมาดูท่าน ดูพระอาการพระพุทธเจ้าที่รับสั่งปฏิสันถารกันอะไร ๆ กับพระอัญญาโกณฑัญญะนี้ ผิดกับที่พระเณรทั้งหลายสังเกต ตื่นเต้นกัน นึกว่าพระมาจากไหนไม่รู้เรื่องรู้ราว ลักษณะอย่างนั้นแหละ เขาบอกว่าสีผ้าเหมือนสียักษ์

พอมาทูลลาพระพุทธเจ้า พระเณรก็คอยเฝ้าดูอยู่นั้นแหละ พอพระอัญญาโกณฑัญญะทูลลาพระพุทธเจ้า จะลาไปปรินิพพานนะนั่น ถึงกาลเวลาแล้ว ออกมาจากภูเขา พอท่านผ่านออกไปพระเณรก็รุมมา พระเณรก็เหมือนพระเณรวัดป่าบ้านตาดนี่แหละรุมออกมา นี่หลวงตามาจากไหน ทูลถามพระพุทธเจ้านะ นี่หลวงตาองค์นี้มาจากไหน ดูสีผ้าเหมือนสียักษ์ พระพุทธเจ้าจึงว่า จุ๊ ๆ ๆ อย่าพูดอย่างนั้น ๆ เหมือนกับท่านออกอุทาน โธ่ อย่าพูดอย่างนั้น ๆ นี่รู้ไหมพี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลายน่ะ นี่ละพระอัญญาโกณฑัญญะ

.................................................
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๓
"เป็นไปตามนิสัยวาสนา"




ขอเชิญสาธุชนร่วมบุญใหญ่ทอดผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ วัดโพธิ์ศรีสมพรณ์ ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี กองละ 40 บาท จำนวน 84,000 กอง หรือแล้วแต่จิตศรัทธา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559
โทร 08-2685-5608




ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระประธาน "สมเด็จองค์ปฐม ปางนาคปรก" หน้าตัก 50 นิ้ว (รวมฐานพญานาค 9 เศียร) ปิดทองคำเปลวแท้ทั้งองค์ ประดับพลอย พร้อมเรือนกระจก
งบประมาณ 500,000 บาท
เพื่อประดิษฐาน ณ พุทธสถานธรรมรังสี ต.สาริกา จ.นครนายก



ขอเชิญเป็นเจ้าภาพซื้อที่ดินอาคารสร้างวัด
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 58/?type=3




ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพ "ยกช่อฟ้าเอก" เพื่อประดับหลังคาพระอุโบสถหลังใหม่ วัดบุญฮอม บ้านสันป่าหนาด ต.ดอกคำใต้ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา





พระครูสุนทรจันทโรภาส วัดปางดง ต.หัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี จากรายการแสงทองส่องธรรม ได้แจ้งข่าวงานบุญในรายการดังนี้
เจ้าภาพขุดเจาะน้ำบาดาล และสร้างระบบกรองน้ำประปา งบประมาณ 100,000 บาท
- ทุนสามัคคี ทุนละ 1,000 บาท
ร่วมบุญกับพระครูสุนทรจันทโรภาส
โทร 089-912-1838



ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างสมเด็จพระปทุมมุตตระ ( หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ) หน้าตัก 26 นิ้ว ปิดทองประดับเพชร
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 11/?type=3




ขอเชิญญาติธรรมทุกท่านร่วมเป็นเป็นเจ้าภาพถวายหนังสือทำวัตรสวดมนต์ ฉบับวัดท่าซุง ถวาย ณ ที่พักสงฆ์คลองศรีธาตุ จ.กำแพงเพชร.
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 4016811944




ขอเชิญผู้มีจิตอันเป็นกุศลร่วมทำบุญ ประจำเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
"บัญชีเสบียงบุญ ๒๙๒ กองบุญ”
(๑) วิหารทาน ๖๔ กองบุญ
(๒) สร้างพระ ๖๒ กองบุญ
(๓) ธรรมทาน ๑๐ กองบุญ
(๔) สังฆทาน ๔๒ กองบุญ
(๕) อภัยทาน ๒๑ กองบุญ
(๖) พระภิกษุสงฆ์อาพาธ ๒๘ กองบุญ
(๗) ช่วยเหลือสังคม ๓๒ กองบุญ
(๘) กองบุญไม่มีประมาณกับสหธรรมมิก ๓๒ กองบุญ
https://www.facebook.com/54762388194715 ... 70/?type=3


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO