นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 2:53 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: อานิสงส์เมตตา
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 15 ม.ค. 2016 6:01 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
" อานิสงส์เมตตา "

พระภิกษุรูปหนึ่ง..
จำพรรษาอยู่ที่วัดดุสิตาราม บางยี่ขัน ธนบุรี
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งรถแท็กซี่ไปสถานีขนส่งสายเหนือเพื่อโดยสารรถไปจังหวัดนครราชสีมา ท่านเห็นปูนาตัวใหญ่ยืนชูก้ามอยู่กลางถนน ท่านกลัวมันจะถูกรถทับตาย จึงให้คนขับหยุดรถข้างถนน แล้วท่านก็ลงไปต้อนปูตัวนั้น เสียเวลาอยู่นานกว่าจะต้อนมันลงคูน้ำข้างทางได้

เมื่อถึงสถานีขนส่งสายเหนือ
รถเที่ยวสุดท้ายที่จะไปนครราชสีมาเพิ่งออกไป ท่านจึงต้องไปรถสายอุดร-หนองคาย เพื่อลงที่ปากทางเข้าเมืองนครราชสีมา แล้วต่อรถอีกทอดหนึ่ง เมื่อรถที่ท่านโดยสารวิ่งมาไม่นาน ก็เห็นรถโดยสารคันหนึ่งคว่ำอยู่ข้างทาง มีทั้งคนที่บาดเจ็บและเสียชีวิต รถคันที่เกิดอุบัติเหตุคือคันที่ท่านมาไม่ทัน อานิสงส์ของเมตตาช่วยให้ท่านรอดพ้นจากอันตราย

(กฎแห่งกรรม ของ ท. เลียงพิบูลย์ เล่ม ๔)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้..

๑. การช่วยชีวิตสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างปู
ดูไม่น่าจะเป็นความดีมากมายอะไร
แต่การที่ต้องเสียเวลาต้อนอยู่นานจนเหนื่อยจึงสำเร็จ แสดงให้เห็นเจตนาดีอันแรงกล้า เมื่อเจตนามีกำลังแรงกล้า จึงเป็นกรรมดีที่มีผลมากและให้ผลทันตาเห็น

๒. กรรมดีต่างหากเป็นของดีที่ช่วยคุ้มกันภัยได้ เครื่องรางของขลังเป็นแค่วัตถุมงคลเท่านั้น ไม่ใช่ของดีที่ช่วยคุ้มกันภัย
บางครั้งวัตถุมงคลเองนั่นแหละ ที่นำ (โจร) ภัยมาสู่เจ้าของ ผู้ร้ายหลายรายถูกยิงตายทั้งที่มีของขลังเต็มตัว

" ผลของกรรมดี - กรรมชั่ว
ที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตแตกต่างกัน "

กรรมชั่ว

ฆ่าสัตว์ - อายุสั้น
เบียดเบียนสัตว์ - ขี้โรค
โกรธและพยาบาท - ผิวพรรณพยาบ
ริษยาคนอื่น - ไม่มีเดชานุภาพ
ตระหนี่ขี้เหนียว - มีความยากจน
หยิ่งจองหอง - เกิดในตระกูลต่ำ
ดื่มสุราเมรัย - มีปัญญาทราม

กรรมดี

ไม่ฆ่าสัตว์ - คนอายุยืน
ไม่เบียดเบียนสัตว์ - สุขภาพดี
อดทนไม่โกรธ - ผิวพรรณดี
ไม่ริษยาคนอื่น - มีเดชานุภาพมาก
บริจาคทาน - มีสมบัติมาก
อ่อนน้อม - มีตระกูลสูงศักดิ์
คบแต่บัณฑิต - มีปัญญามาก

หมวด : บทความธรรมะ
ศาสนา : ศาสนาพุทธ



" พบเปรต 3 สาวงาม หลงกาเม "
โดย หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย "

คืน วันหนึ่งตอน ๓ ทุ่ม ขณะที่ท่านพระอาจารย์จันทาเดินจงกรมอยู่ในป่าช้าแห่งนั้น บรรยากาศอันสงัดวิเวกวังเวงได้เย็นเยือกลง มีกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยมาจนทำให้สะอึก ท่านคิดว่า ชาวบ้านฝังผีไม่ลึก ทำให้สุนัขมาขุดคุ้ยหลุมผี ลากเอาศพเน่าแล้วขึ้นมากิน กลิ่นศพเลยกระจายมาตามกระแสลม จึงสูดลมหายใจแรง ๆ เอากลิ่นศพเข้าปอด วิธีนี้จะทำให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับกลิ่นเหม็นได้สนิท ความเหม็นเน่าจะทุเลาลง วิธีนี้สัปเหร่อแนะนำให้ไว้
แล้วท่านก็เดินจงกรมต่อไปกำหนดพุทโธตามจังหวะย่างก้าวไม่นานจิตร่วมลงเกิดโอภาสสว่างจ้า

ใน แสงสว่างนั้น เห็นนิมิตเป็นหญิงสาว ๓ นาง ตัดผมสั้นคล้ายทรงผมผู้หญิงออกศึกสงครามสมัยโบราณ ผิวขาวร่างสูงใหญ่ ๘ ศอก สวยมาก แต่เปลือยกายล่อนจ้อน เข้ามาหยุดยืนห่างในระยะประมาณ ๒ วา ที่ของลับนางทั้ง ๓ มีหนอนตัวเท่านิ้วมือจำนวนมากมายเจาะอยู่ยุ่บยั่บน่าหวาดเสียว น้ำเหลืองน้ำหนองไหลพลั่ก ๆ ลงมาที่พื้นดินจิตบอกว่า นางทั้ง ๓ นี้เป็นเปรต !

นางเปรตทั้ง ๓ ได้เดินไปยืนคร่อมเครือเถาวัลย์ แล้วถูไปถูมาทำให้หนอนที่รุมเจาะของลับอยู่นั้นร่วงพรูลงมา เป็นภาพที่ทำให้สังเวชสลดใจยิ่งนัก ท่านพระอาจารย์จันทากำหนดจิตถามว่า

“ทำกรรมทำเวรอันใดไว้ถึงได้มาตกค้างอยู่ในสภาพนี้โยม?”

นางเปรตทั้ง ๓ ร้องเสียงดังโหยหวนไปทั้งป่าช้า ร่ำไห้น่าสงสาร กล่าวตอบว่า
“พวกข้าน้อยมีทุกข์ทรมานแสนสาหัสเหลือเกินท่านครูบาเอ๊ย ตั้งแต่สมัยตั้งเมืองนครพนมหลายร้อยปีนานมา

พวก ข้าน้อยเป็นสาวงาม เมื่อมีผัวแล้วก็เล่นชู้นอกใจผัว ไม่เลือกเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าหรือฆราวาส ฝ่ายผัวรู้เข้าก็คับแค้นใจ สาปให้ตายไปเป็นเปรต ถูกฝูงหนอนรุมเจาะของลับเช่นนี้แหละ”
“อยากจะพ้นทุกข์นี้ไหมล่ะโยม ?”
“อยากพ้นเจ้าค่ะ แต่ไม่รู้จะพ้นได้อย่างไร ?”

ท่านพระ อาจารย์จันทาจึงกำหนดจิตถามพระธรรม ซึ่งก็คือ พุทโธหรือจิตนั่นเอง พระธรรมบอกว่า เปรต ๓ นางนี้เคยเป็นญาติกันมาในชาติก่อนหลายภพชาติ เคยช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันมา สมควรจะช่วยเหลือพวกนางให้ไปเกิดในสุคติภูมิหลาย ภพชาติมาล้วนไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าองค์ใด สามารถช่วยเหลือเปรตทั้ง ๓ นางนี้ได้เลย เมื่อมาเจริญภาวนาในป่าช้าแห่งนี้แล้วจิตไม่สงบ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่สามารถมองเห็นเปรตทั้ง ๓ นางได้

ในชาติ ปัจจุบัน พระที่มาเจริญภาวนาในป่าช้านี้จำนวนหลายองค์ จิตไม่มั่นคง เพราะถูกพวกเปรตในป่าช้ารบกวน ก็หนีไปอยู่เสียที่อื่น ไม่ได้ช่วยให้พวกเปรตหลุดพ้นทุกข์ไปได้ รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวเนื่องเป็นญาติกันด้วย

ท่านพระอาจารย์จันทา สังเวชสลดใจ บาปกรรมช่างร้ายแรงน่าสะพรึงกลัวนี่กระไร จึงบอกให้นางเปรตทั้ง ๓ ตั้งใจรับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ แล้วจึงสอนให้เดินจงกรมภาวนาพุทโธสอนให้หัดไหว้พระสวดมนต์ กำชับให้เจริญภาวนาพุทโธ เอาพุทโธเป็นสรณะที่พึ่งอยู่ตลอดเวลาอย่าได้ขาด

“เมื่อชาวบ้านญาติโยมมาทำบุญสุนทานในวัด ก็ให้โยมทั้ง๓ ฟังเทศน์ฟังธรรมกับเขา รับเอาพระไตรสรณคมน์และศีล ๕ ศีล ๘ กับเขา

เผื่อ เขากรวดน้ำอุทิศกุศลให้เปรตขนก็โมทนายินดีรับเอากุศลนั้นด้วย จะได้หมดกรรมในเปรตวิสัยภูมิเร็วขึ้น” ท่านพระอาจารย์จันทากำชับนางเปรตทั้ง ๓
ท่านเล่าว่าต่อมาบางวันสงบ ๆ ในเวลากลางวัน จะได้ยินเสียงนางเปรตทั้ง ๓ กรีดร้องโหยหวนร่ำไรรำพันว่า

“เจ้าศีลเจ้าธรรมคูรบาเอ๊ย เมื่อไหร่หนอ พวกข้าน้อยจะพ้นจากเวรกรรมเสียที ทุกข์ยากเจ็บปวดแท้ น้อ”

บาง คืนเปรตก็ร้องคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก เวลาท่านเดินจงกรมตอนกลางวันกลางคืน นางเปรตและผีทั้งหลายในป่าช้าพากันนั่งเต็มไปหมดคอยรับเอาส่วนกุศลที่แผ่ให้ แล้วจึงไปภาวนาทำความเพียรช่วยตัวเอง

“ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าพระ กรรมฐานทุกองค์แม้จะได้ฌานสมาธิ แต่ก็ไม่ได้เห็นผีเห็นเปรตหรือเห็นเทวดาเหมือนกันหมดทุกองค์ พระกรรมฐานที่จะเห็นได้
ส่วนมาก เคยมีกรรมเก่าพัวพันกับผีสางเทวดาเหล่านั้นมาแล้วในชาติปางก่อน
อาตมาเกิดนิมิตในสมาธิเห็นพวกวิญญาณได้เห็นจะเนื่องจากอาตมาเคยมีกรรมพัวพันกับพวกเขามาก่อน ไม่ใช่อาตมาได้ตาทิพย์อะไรหรอกนะ ครูบาอาจารย์ยังได้สอนอีกว่า อำนาจสมาธิอาจสามารถทำให้เห็นอดีต เห็นปัจจุบัน เห็นอนาคต ได้
แต่ ถ้าผู้ได้สมาธิระดับนี้ใช้สอดส่องเพ่งมองอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็นการอวดตนหรือหวังลาภสักการะแล้ว ย่อมจะทำให้การก้าวหน้าทางโลกุตรธรรมหยุดชะงักลงอย่างหมดหวัง น่าสลดสังเวช ประดุจดอกไม้ยังไม่ทันได้บานขึ้นเต็มที่ก็พลันเหี่ยวแห้งร่วงโรยไปเสีย ไม่มีโอกาสได้กระจายกลิ่นหอมหวนทวนลมแม้แต่น้อย





ชีวิตหลังความตาย ...
มีเพียง ชั่ว-ดี (บาป-บุญ) ... ที่เราได้สร้างเอาไว้
ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ติดตามตัวเราไป ...
ถ้าสร้างความชั่วไว้มาก
ก็ไปเสวยทุกข์ที่ "อบายภูมิ" ...
ถ้าสร้างความดีไว้มากก็ไปเสวยสุขที่ "สุคติภูมิ"




การพิจารณาด้วยปัญญาก็ต้องอาศัยสัญญาเป็นเส้นทาง‬ เพราะสัญญาความจำนั้น เมื่อเราได้จำในวัตถุสิ่งไหนมา เราควรจะประกอบปัญญาพิจารณาอย่างไร จึงจะเข้ากัน ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็มีอันตรายแก่ตัวเอง ถ้าเราใช้เป็นก็มีคุณได้กับเหตุกับผล เพราะสัญญาความจำได้ยังเป็นมีดสองคม หรือเหมือนกับไฟ ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็เป็นโทษ ถ้าเราใช้เป็นก็เป็นคุณ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เป็นมีดสองคมเช่นเดียวกัน ถ้าสัญญาไปจำมาแล้ว ถ้าเราเอามาวิจารณ์ผิดก็เป็นพิษขึ้นที่ใจ และยังเป็นไปเผาใจตัวเองได้ และก็ยังเป็นเส้นทางให้กิเลสตัณหาได้พองตัวไปตาม ๆ กัน และยังเป็นเครื่องมือให้สังขารจิตได้ปรุงแต่งพรรณนาความดีใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ไปไม่มีทางสิ้นสุด และยังทำให้ใจเรามีความยินดีกำเริบไปตามความกำหนัดอีกด้วย ถ้าสัญญาจำเอา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มาแล้ว ถ้าประกอบด้วยปัญญาพิจารณาให้ลงสู่ไตรลักษณ์ได้ และใจก็รู้เห็นถูกต้องตามปัญญา ก็จะนำพาให้เกิดซึ่งความเบื่อหน่าย คลายจากความกำหนัดยินดี
ฉะนั้น เมื่อหากสัญญาไปจำสิ่งไหนมาแล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินชี้ขาดแต่ฝ่ายเดียว ถ้าเรามอบหน้าที่ให้กิเลสตัณหาเป็นผู้นำแล้ว มันก็จะพาสัญญาที่จดจำสิ่งต่าง ๆ มาได้นั้นไปในเส้นทางของกิเลสตัณหาแต่ฝ่ายเดียว รูปก็มีแต่รูปที่น่าเชยชม สังขารก็ปรุงแต่งเรื่อยไป ว่ารูปดีอย่างนั้น รูปสวยอย่างนี้ เรื่อยไป ใจก็เออออห่อหมกไปตามกิเลสตัณหา สังขารเห็นว่าได้ท่าของตัวเองแล้ว ก็มีกำลังคิดพรรณนารูปในอดีตที่เป็นมาอย่างไร ก็จดจำพรรณนารูปนั้นไปในวิธีต่าง ๆ ให้ใจได้เพลินไปทั้งวันคืนเดือนปี และเพลินมาแล้วในอดีตไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ ก็เพลินมาจนถึงปัจจุบันนี้ และจะเพลินไปในอนาคตอีกไม่รู้จะไปถึงไหน และไม่มีที่สุด เสียงก็เหมือนกัน พรรณนาความสนุกสนานร่าเริง ใจก็เกิดความร่างเริงไปด้วย กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ตาม สังขารก็ปรุงแต่งก็ปรุงไปแต่งไป สิ่งที่เน่าก็แต่งให้หอม สิ่งที่ทุกข์ก็แต่งว่าเป็นสุข สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนก็แต่งให้เที่ยว สิ่งที่เป็นอนัตตาก็แต่งว่าเป็นอัตตา ตัวตน ใจที่มีอวิชชาปิดบังมืดบอดอยู่แล้ว ก็ยินดีใฝ่ฝันตาม ผลสุดท้ายก็ไม่มีผลอะไรให้ใจมีความสุข และใจก็ยังไม่เข็ดหลาย ทั้ง ๆ ที่กิเลสตัณหาได้ต้มตุ๋นเอาจนหมดเนื้อประดาตัว ก็ยังไม่กลัวภัย ยังมีกำลังใจคิดสู้อยู่ตลอดเวลา นี้แล เมื่อสัญญาจำรูป เสียง ฯลฯ มาได้แล้ว ถ้าให้กิเลสตัณหาดำเนินเดินเรื่อง ต้องเป็นอย่างนี้ทุกราย ไม่ว่าคนในฐานะใดย่อมเป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าในกัปไหน ๆ ภพไหน ๆ ใจที่ยังเชื่อถือกับกิเลสตัณหาอยู่ตราบใด รางวัลของใจก็คือน้ำตา

•หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ•





พระพุทธองค์ทรงสอนว่าต่อเมื่อหมดกังวลในเรื่องปัจจัยสี่ คือ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรคเท่านั้น คนเราจึงจะพบความก้าวหน้าในทางธรรม แทนที่จะละเลยความสำคัญของการพัฒนาทางวัตถุ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการบรรลุความต้องการทางจิตที่ลึกซึ้งขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อการพัฒนาทางวัตถุกลายเป็นเป้าหมายหนึ่งเดียวในชีวิต ผลที่ตามมามีตั้งแต่ความเครียด อาการซึมเศร้า ไปจนถึงการใช้ยาเสพติดและการฆ่าตัวตาย

ชีวิตที่สมดุลคือ ชีวิตที่ใส่ใจในความต้องการทั้งภายนอกและภายใน แต่เนื่องจากความต้องการภายในเห็นได้ยาก ต่างจากความต้องการภายนอกที่ดูรีบด่วนกว่า เวลาสำหรับการภาวนาจึงเกิดขึ้นเองไม่ได้ เราต้องหาเวลาให้ตัวเอง
ธรรมะคำสอน โดย พระอาจารย์ชยสาโร
แปลถอดความ โดย ปิยสีโลภิกขุ




ข้อความน่ารู้จากพระไตรปิฏก ตอน เหตุเกิดของ “กรรม” ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งกรรม ๓ อย่าง
ภิกษุ ทั้งหลาย ! เหตุ ๓ ประการนี้ เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.
เหตุ ๓ ประการ คืออะไรบ้างเล่า ?

คือ ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะ (ความรักใคร่ พอใจ) ที่เป็นอดีต ๑,
ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต ๑,
ความพอใจ เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑.

ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างไรเล่า ?
คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่ล่วงไปแล้ว
เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว
ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น
ว่าเป็นสังโยชน์ (เครื่องผูก) ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างนี้แล.

ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างไรเล่า ?
คือบุคคลตรึกตรองไปถึงธรรมอันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง เมื่อตรึกตรองตามไป ความพอใจ
ก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้น
ผูกไว้แล้ว เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์
ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐาน
แห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างนี้แล.

ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างไรเล่า ?
คือบุคคลตรึกตรองถึงธรรม อันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า เมื่อตรึกตรองตามไป
ความพอใจก็เกิดขึ้น ผู้เกิดความพอใจแล้ว
ก็ชื่อว่าถูกธรรมเหล่านั้นผูกไว้แล้ว
เรากล่าวความติดใจนั้น ว่าเป็นสังโยชน์ ความพอใจเกิดเพราะปรารภธรรม
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล.

ภิกษุ ทั้งหลาย ! เหตุ ๓ ประการเหล่านี้แล เป็นไป
เพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.

ภิกษุ ทั้งหลาย ! (อีกอย่างหนึ่ง) เหตุ ๓ ประการนี้
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกรรม เหตุ ๓ ประการ
คืออะไรบ้างเล่า ?
คือความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรม
ทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีต ๑,
ความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคต ๑,
ความพอใจ ไม่เกิด เพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน ๑.

ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอดีตอย่างไร ?
คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ล่วงไปแล้ว ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน
ยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว
คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ความพอใจไม่เกิด
เพราะปรารภธรรมทั้งหลายอันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่เป็นอดีต เป็นอย่างนี้แล.

ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย
อันเป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นอนาคตเป็นอย่างไรเล่า ?
คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่ยังไม่มาถึง ครั้นรู้ชัดซึ่งวิบากอัน
ยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจได้แล้ว
คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ความพอใจ
ไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็นฐานแห่ง
ฉันทราคะที่เป็นอนาคต เป็นอย่างนี้แล.

ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อัน
เป็นฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบันเป็นอย่างไรเล่า ?
คือบุคคลรู้ชัดซึ่งวิบากอันยืดยาวของธรรม อันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่เกิดขึ้นจำเพาะหน้า ครั้นรู้ชัดซึ่ง
วิบากอันยืดยาวแล้ว กลับใจเสียจากเรื่องนั้น ครั้นกลับใจ
ได้แล้ว คลายใจออก ก็เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
ความพอใจไม่เกิดเพราะปรารภธรรมทั้งหลาย อันเป็น
ฐานแห่งฉันทราคะที่เป็นปัจจุบัน เป็นอย่างนี้แล.

ภิกษุ ทั้งหลาย ! เหตุ ๓ ประการเหล่านี้แล
เป็นไปเพื่อความเกิดขึ้นพร้อมมูลแห่งกรรม.
ติก. อํ. ๒๐/๓๓๙/๕๕๒.





อย่างเวลาเรามาทำความดี
......สังเกตใจเราได้........

ใจเรามุ่งมาที่บุญ มุ่งมาที่กุศล
ใจเราก็สบาย อิ่มเอิบ มีความสงบ
มีความสุข หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
แม้ว่ามีเรื่องอะไรมาก็ตาม
ถ้าเรามา จดจ่อ อยู่กับ บุญ
จดจ่ออยู่กับ ฝ่ายกุศล คุณงามความดี
มันก็ทำให้เราสงบ เยือกเย็น จิตใจสบาย
บางทีเรื่องราวต่างๆ ที่มันติดค้างอยู่ในจิตใจ
มันหายไปเฉย ๆ นะ มันเบาลงได้
เพราะเรามา จดจ่อ อยู่กับ คุณงามความดี
มันก็ดับไปเอง หายไปเอง

นี่แสดงว่า สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่มันติดข้องอยู่ในจิตเรา
ไ-ม่-มี-ตั-ว-ต-น หรอก

แค่เราไม่สนใจมัน เอาจิตใจมาสนใจสิ่งที่เป็นกุศล
อกุศล มันก็ดับไปเอง โดยธรรมชาติของมัน
แต่ที่มันไม่ดับ ก็เพราะเราไปยึดเอาไว้
นี่ละ ตั-ว-อุ-ป-า-ท-า-น
ไปยึดแม้กระทั่งสิ่งที่มันเป็นอกุศล เป็นทุกข์
ทำให้เร่าร้อน เนี่ยเพราะเรายังขาดสติปัญญา

ชีวิตต้องการความสุข แต่การกระทำของเรา
คำพูดของเรา ความคิดของเรา
มันยัง สร้างปัญหา ให้กับตัวเองอยู่
นี่เป็น เหตุ ที่เราต้องมาประพฤติปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

.
พระอาจารย์ครรชิต สุทฺธิจิตฺโต
วัดป่าภูไม้ฮาว จ.มุกดาหาร



ขอเชิญร่วมบุญสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก 4 ศอก ปางมารวิชัย
พร้อมฐานพระและฐานดอกบัว
(หลวงพ่อทันใจ) องค์ที่8
เพื่อน้อมถวายเป็นราชกุศล องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
วันที่27 มกราคม วัดชีโพน จ อยุธยา




ขอเชิญไปปล่อยปลา ปล่อยสัตว์ให้ชีวิต
https://www.facebook.com/masiri14/posts/962992830423143




ขอเชิญนักบุญทุกๆท่านร่วม กันเป็นเจ้าภาพ กับ วัดเขาพระ ต.เตาปูน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เพื่อทำการสร้างพระใหญ่หน้าตักกว้าง 10 เมตร สูง 14 เมตร บนยอดภูเขา
ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559 ซึ่งเป็นพระพุทมหาวรชัยมงคล (หลวงพ่อโต)
https://www.facebook.com/darakorn.mangk ... 6310093381



ขอเชิญร่วมบุญสร้างเจดีย์กับ หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทยาน จ.ขอนแก่น



ขอเชิญร่วมบุญพระครูสุนทรธรรมาลังการ (หลวงพ่อศุภชัย) วัดท้ายเขื่อนสิริกิติ์ (ธุดงคสถานนานาชาติ บ้านท้ายเขื่อนสิริกิติ์) หมู่ 13 ต.ผาเลือด อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ 53190 (ปท.ร่วมจิต) จากรายการธุดงค์ธรรมะ แจ้งข่าวรายการงานบุญดังนี้
1. เจ้าภาพถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่ร่วมเดินธุดงค์เฉลิมพระเกียรติ เป็นเวลา 90 วัน จากทางภาคอีสานตอนบน ไปสู่ภาคเหนือ ระหว่างเดือนธันวาคม 2558 - กุมภาพันธ์ 2559 จำนวนกว่า 200 รูป ซึ่งตามจุดที่พระสงฆ์แวะพักในแต่ละวัน จะได้รับการบิณฑบาตอาหารไม่เพียงพอ ทำให้ต้องทำอาหารถวายพระสงฆ์ และแม่ชี เพิ่มเติม
- เชิญร่วมบุญตามกำลังศรัทธา
ร่วมเป็นเจ้าภาพกับพระครูสุนทร ธรรมาลังการ (พระศุภชัย)
โทร 081-674-0836




(ปิดรับ 22 ม.ค.59 เวลา 16.00 น.) ร่วมจัดซื้อ"ใบโพธิ์เงิน"จำนวน 2,000 ใบ ๆละ 4 บาท หรือ ตาม"ศรัทธา
https://www.facebook.com/photo.php?fbid ... 785&type=3


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO