นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 28 เม.ย. 2024 4:30 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เมื่อสงบจะพบแสงสว่าง
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 25 ต.ค. 2015 12:42 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4541
หลวงปู่คำแสนอธิบายให้หลวงปู่เปลี่ยนฟัง.. "..ถ้าภาวนาเอาจิตไปถึงไหน.?. ก็จะไปที่นั่น.. ถ้าจิตถึงสวรรค์ชั้นไหน.?. ก็ย่อมเห็นสวรรค์ชั้นนั้น.. ถ้าถึงพรหมโลก.. ก็จะเห็นกันในพรหมโลก.. ถ้าจิตของเรายังไม่ถึงนิพพาน.. เราก็จะยังไม่เห็นกันในนิพพาน.. การภาวนาของเราถึงไหน.?. เราก็จะรู้เอง.. เราจะพบกันได้เอง.. ที่เราไปพบกันเห็นกัน.. เพราะเป็นชั้นภูมิของผู้ปฏิบัติ.. ภูมิจิตของตนของใคร.. ถึงขั้นไหน.?. ภูมิจิตของคนนั้น.. ถึงสวรรค์ชั้นนั้น.. จึงรับรองว่าจะให้คนอื่นพาไปไม่ได้.. ถ้าปฏิบัติถึงจึงจะเห็นตามชั้นของมันเอง.."
ประวัติหลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป



ไม่ว่าใครทั้งหมด เรื่องภาวนาไม่ใช่ของเป็นง่ายๆ คนที่เป็นเอง เรียกว่า วาสนาสูงส่งที่สุด โดยมากที่อยากจะมาภาวนา ก็เพราะเห็นทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้แหละ ต้องฝ่าฝืนอุปสรรคบากบั่นเพื่อจะให้พ้นทุกข์ คือหัดทำความสงบ ถ้าไม่เห็นทุกข์อย่างนี้แล้ว ไม่มีใครอยากภาวนาให้พ้นจากทุกข์เลย
ธรรมะหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี




เมื่อสงบจะพบแสงสว่าง

มีจิตสงบเป็นสมาธิ เพ่งต่ออารมณ์ดีแล้ว จะมีโอภาสเกิดขึ้น สว่างรุ่งเรืองยิ่งนัก แสงสว่างนี้ย่อมส่องสว่างให้เห็นเป็นสิ่งของต่างๆ ที่ปรากฎขึ้นในใจ หรือปรากฎในมโนทวาร คล้ายคนนอนหลับฝันเห็นอะไรต่างๆ

แต่การเห็นในทางสมาธิ พิเศษกว่าการเห็นในความฝัน เพราะผู้เห็นผ่านการกลั่นกรองของสติมาก่อน ผู้เห็นจึงมีสติ มิได้นอนหลับอยู่ ในชั้นแรกที่เห็น แสงสว่างมักจะหายไปโดยเร็ว เพราะผู้เห็นเกิดความสดุ้ง และความสงสัย สนเท่ห์มากขึ้น จิตก็คลาดเคลื่อนจากสมาธิ เมื่อสำรวมจิต เป็นสมาธิได้อีก ก็คงได้พบแสงสว่างอีก แสงสว่างนี้ยอมส่องให้เห็นภาพต่างๆ เหมือนอย่างเห็นภาพภายนอกในเวลากลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ก็ยังมืดอยู่ ไม่สามารถมองเห็นภาพอะไรต่างๆได้ เปรียบเหมือนจิตยังไม่ตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่มีกำลัง เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ก็สามารถมองเห็นภาพอะไรได้ เปรียบเหมือนจิต ที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีกำลังเกิดแสงสว่าง สามารถเห็นภาพอะไรๆได้

การที่ได้พบ ได้เห็นแสงสว่างในเวลาที่ทำสมาธิ หลับตากำหนดจิตอยู่นั้น เรียกว่า โอภาสนิมิต การได้เห็นรูปนนิมิตที่เกิดขึ้น เล็กน้อยนี้เรียกว่า อุคคหะนิมิตต์ ถ้าผู้เห็นนิมิต สามารถนึกให้รูปนิมิตเหล่านั้น กลายเป็นรูปขนาดใหญ่ ประกอบด้วยความผ่องใสกว่าหลายเท่า เรียกว่าปฎิภาคนิมิต เห็นรูปต่างๆไม่มีประมาณเรียกว่า มหรคตจิต เป็นข้างฝ่ายอรูปฌาน เห็นแสงสว่าง อย่างเดียวไม่มีรูปนิมิต เป็นบาทฐานแห่งอรูปฌาน รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ สองอย่างนี้รวมเรียกว่า สมาบัติแปด

ผู้พากเพียรไม่สามารถทำจิตตั้งมั่น ให้เป็นสมาธิได้เพราะ อุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองในสมาธิ ๑๑ ประการ ดังมีเรื่องราวปรากฎใน พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสกสูตรดังนี้

อุปกิเลส ๑๑ ประการ
เครื่องเศร้าหมองในการเจริญสมาธิ

๑.วิจิกิจฉา ความสงสัยในโอภาสนิมิต จิตคลาดเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างจึงดับ
๒.อมนสิการ จิตไม่กำหนดนึก ว่านั้นอะไร นี่อะไร ทำให้จิตเลื่อนลอย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่างก็ดับ
๓. ถีนมิทธะ จิตละเลยการกำหนดรูปนิมิต จิตจึงง่วงเหง่าหาวนอน จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูปจึงดับ
แสงสว่างจึงดับ
๔.ฉัมภิตัตตะ ความไหวจิต ไหวกาย เพราะจิตเห็นรูปน่ากลัว จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ แสงสว่าง รูปนิมิตจึง
ดับ
๕.อุพพิลวิตก ความที่จิตรวบรัดเพ่งเล็งดูรูปนิมิตมากมาย จิตกำเริบฟุ้งซ่าน จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิรูปนิมิต
และแสงสว่างจึงดับไป
๖.ทุฎฐุลล ความกำหนดจิตดูรูปนิมิตมาก แต่กำหนดดูแต่ช้าๆ จิตคลายความเพียรลง เกิดความกระวน
กระวาย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูปนิมิต โอภาสนิมิตจึงดับ
๗.อัจจารัทธวิริยะ กำหนดความเพียรมากเกินไป จิตจึงคลาดเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับไป
๘. อติลีนวิริยะ กำหนดความเพียรน้อยเกินไป อ่อนเกินไป จิตเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่างจึงดับ
๙.อภิชัปปา การกำหนดดูรูปปราณีต ตัณหาเกิด จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ รูป และแสงสว่างจึงดับไป
๑๐.นานัตตสัญญา การกำหนดดูรูปหยาบ รูปปราณีตพร้อมกัน จิตแยกเป็นสองฝ่าย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิ
รูปนิมิต และโอภาสนิมตหายไป
๑๑. อตินิชฌายิตัตตะ การเพ่งเล่งรูปมนุษย์ อันปราณีต เกิดความยินดี จิตเคลื่อนจากสมาธิ รูป แสงสว่าจึงดับ




ถ้าอะไรมันกระเทือนขึ้นในใจ ให้ดูหัวใจเจ้าของทันที เพราะเรามาแก้ใจ มาระงับดับกิเลสที่ใจ กิเลสแสดงออกมา หือ...ออกมาแล้ว หรือให้ว่างั้นสิ สมมุติไม่พอใจคนนั้น ความไม่พอใจนี้คือเรื่องของเราเองเป็นผู้ก่อขึ้นมา นี่จับตัวนี้ก่อน ฟาดตัวนี้ให้มันพังลงไปซิ นั่นจึงเรียกว่าผู้มาแก้กิเลส ต้องดูตัวนี้ซิ ไปดูอะไรข้างนอกต้นเสานี่ ก็ไปโกรธให้เขาได้ ภูเขาทั้งลูก ดิน ฟ้า อากาศ โกรธให้เขาไม่พอใจให้เขาได้ ถ้าใจเลวเสียอย่างเดียวว่างั้นเลย
ถ้าใจเป็นนักปฏิบัติ มีสติสตังกำจัดกิเลสที่แสดงฤทธิ์เดชแห่งความเลวทรามขึ้นมาในใจขนาดไหน จับปุ๊บๆนั่นจึงเรียกว่าผู้มาแก้ตัวเองซิ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO