นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน เสาร์ 27 เม.ย. 2024 11:23 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: นึกถึงพระพุทธเจ้า
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 21 ต.ค. 2015 6:10 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4541
นึกถึงพระพุทธเจ้ามีกำลังใหญ่มาก บุญสูงมาก

บุคคลตัวอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร กับ สุปปติฏฐิตะเทพบุตร

เรื่องย่อที่จะเล่าสู่กันฟังแต่ไม่ใช่เรื่อง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร ท่านไม่เคารพพระพุทธศาสนาจริง แต่เขาไม่ได้ทำความชั่วเขาไม่ได้ทำบาป แต่รายนี้ไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วยแล้วก็ไม่เคารพทุกๆ ศาสนา สำหรับมัฏฐกุลฑลีเทพบุตรนี่เขาไม่เคารพพระพุทธศาสนา แต่เขาเคารพศาสนาพราหมณ์ เพราะพ่อเป็นอาจารย์สอนวิชาขอ
งพราหมณ์ แต่รายนี้ยิ่งกว่านั้นไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วย ไม่เคารพทุกศาสนา แล้วก็กลั่นแกล้งคนที่บำเพ็ญบุญในพุทธศาสนาด้วย ฟังตัวอย่างต่อไปนะ

ปรากฏว่ามีบุคคลคนหนึ่งชื่อในสมัยมนุษย์ชื่ออะไรอาตมาก็ลืม แต่ตอนที่เขาเป็นเทวดามีนามว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตร เรื่องราวก็เกิดขึ้นไม่นานนัก เกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดานั่นเอง สองพันปีเศษๆ ก็เป็นอันว่า ในสมัยนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประทับที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็ตั้งใจจะเทศน์โปรดพุทธมารดา เป็นการสนองคุณความดีของมารดาที่สงเคราะห์พระองค์ เมื่อพระองค์ประทับอยู่ที่นั่นแสดงความประสงค์พระอินทร์ก็ไปเชิญพุทธมารดามาที่อยู่ชั้นดุสิต แต่ความจริง พุทธมารดา ท่านเป็น เทพบุตร ท่านเป็น ผู้ชาย จากเป็นผู้หญิงตายจากความเป็นผู้หญิงก็มาเกิดเป็นเทพบุตรเป็นผู้ชาย เพราะว่าท้องของบุคคลใดที่พระพุทธเจ้าเกิดท้องนั้นคนอื่นไม่ควรจะเกิดซ้ำ ฉะนั้นท่านจึงไปเกิดเป็นเทพบุตรว่า เทพบุตรองค์ที่พุทธมารดามาแล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็แสดงพระธรรมเทศนาคือ เทศน์อภิธรรม ขณะที่พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่เทวดาส่วนใหญ่ในดาวดึงส์ก็มาฟังมาก แต่ว่าคำว่า มาก ก็ยังไม่ถึงว่าหมดเพราะว่า เทวดาบางท่านก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเสด็จก็มีเพราะยังใหม่มากเพราะเพิ่งถึง

เวลานั้นก็มีเทวดาองค์หนึ่งชื่อจริงๆ บาลีก็มาได้บอก เขียนไว้แต่เพียงว่าจริยาของท่าน ท่านให้ชื่อตามบาลีว่า อากาสจารีเทพบุตร เรียกว่าเทพบุตรที่เที่ยวไปในอากาศ เทวดาองค์นี้เมื่อฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าครู่หนึ่งพอเป็นที่พอใจ ก็เหาะไปตามวิมานต่างๆ ประกาศว่า พ่อเอ้ย แม่เอ้ย ใครเป็นเจ้าของวิมานนี้บ้าง เวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเทศน์โปรดที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ขอทุกท่านไปฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเพื่อ ต่อบุญบารมี เป็นอันว่าเทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดีเมื่อทราบต่างองค์ต่างก็รีบมา แต่ว่าเทวดาองค์นี้เหาะไปถึงวิมานๆ หนึ่ง ปรากฏว่าวิมานนั้นมีสภาพเศร้าหมองมากเครื่องทิพย์เศร้าหมอง ดูเครื่องแต่งตัวเทวดาที่เป็นเจ้าของวิมานก็เศร้าหมอง มองดูอีกทีที่ รักแร้มีเหงื่อ ตามธรรมดาถ้าเครื่องทิพย์เศร้าหมองก็ดี ที่รักแร้มีเหงื่อก็ดีแสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องจุติ คำว่า จุติ คือ เคลื่อนไป ไปจากเทวดาจะไปเกิดที่ไหนยังไม่ทราบ เมื่อท่านอากาสจารีเทพบุตรเห็นดังนั้นก็เรียกว่า ใครเป็นเจ้าของวิมานนี้เวลานี้พระพุทธเจ้ามาเทศน์โปรดที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ตัวท่านเองทำไมไม่ไปฟังเทศน์ต่อบุญบารมีอีก ไม่ช้าไม่นานอีกไม่เกิน ๗ วันนี้ ท่านจะต้องจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เพราะเวลานี้เครื่องทิพย์ของท่านเศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ทำไมไม่ไปสั่งสมบารมีให้มันดีขึ้น ไม่ต่อบุญบารมีใหม่

เวลานั้นถ้าเจ้าของ เมาความเป็นทิพย์ เพราะว่าการตายของท่านจากความเป็นคนท่านไม่ใช่นักบุญท่านเป็นนักบาป แต่ก่อนจะตายนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิดเดียว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนหลัง

เป็นอันว่าเจ้าของวิมานฟังแล้วก็ตกใจมองดูเครื่องทิพย์เห็นเศร้าหมองจริง ดูที่รักแร้มีเหงื่อจริงก็สะดุ้งตกใจกลัวคิดว่าเราตายแน่ เทวดาก็ดีนางฟ้าก็ดีพรหมก็ดีท่านมีร่างกายเป็นทิพย์มีใจเป็นทิพย์ ถ้าท่านจะเคลื่อนจากที่นั่นท่านจะไปเกิดที่ไหนเพราะอาศัยกรรมอะไรท่านทราบ ท่าน สุปปติฏฐิตะเทพบุตร จึงมาคิดพิจารณาตัวเองว่าเราจะต้องจุติภายใน ๗ วัน ถ้าเราจะจุติจากความเป็นเทวดาแล้วเราจะไปไหน ก็ทราบจากกำลังใจที่เป็นทิพย์ว่าเราจะต้อง ลงอเวจีมหานรกสิ้นเวลา ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วก็ต้องผ่านนรกบริวารอีก ๔ ขุม เวลาไม่แน่นอน หลังจากนั้นก็ต้องว่านรกทั้ง ๘ ขุมจากอเวจีขึ้นมาถึงขุมที่ ๑ ผ่านนรกบริวารขึ้นมาเรื่อย หลังจากนั้นมาจากนรกขุมใหญ่แล้วก็ต้องเข้ายมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุมเมื่อผ่านยมโลกีย์นรก ๑๐ ขุมแล้วก็ต้องเข้าแดนเปรตอีก ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรตก็มาเป็นอสุรกาย พ้นจากอสุรกายก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน พอจะสิ้นสุดภาวะสัตว์เดรัจฉานก็เกิดเป็น กา ๕๐๐ ชาติ เป็น แร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็น สุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ หลังจากนั้นก็มาเป็น คนง่อย ๕๐๐ ชาติ ที่เป็นคนง่อยก็เพราะว่าอาศัยที่ตัวเองฆ่าสัตว์ตัดชีวิตโทษปาณาติบาต แล้วก็ไปเป็น คนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะอาศัยกฎของกรรมเวลาที่เขาคุยกันด้านธรรมะธัมโมบ้าง ฟังเทศน์ฟังธรรมกันบ้าง ฟังพระสวดบ้าง แกล้งเอาเสียงกลบส่งเสียงดังคุยเสียดัง แล้วก็ต้องเป็น คนตาบอด ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะเวลาเขาทำความดีกันทำบุญกันเห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น

หลังจากนั้นเมื่อทราบว่า ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ ก็มีการตกใจกลัวก็บอกท่านอากาสจารีว่า ท่านอากาสจารีช่วยเราด้วย อากาสจารีก็ถามว่า อะไรเล่าบอกกันเสียก่อนเพื่อนเอ๋ย ก็บอกว่า ถ้าฉันจุติจากความเป็นเทวดาต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก เล่าเรื่อยมาตามลำดับตามที่กล่าวมาแล้ว หลังจากนั้นท่านอากาสจารีก็ถามว่า สมัยที่เป็นมนุษย์ทำอะไรไว้

ท่านสุปปติฏฐิตะเทพบุตรก็บอกว่า สมัยที่ฉันเป็นมนุษย์ฉันไม่เคยสร้างความดี ขึ้นชื่อว่า ทานการให้ก็ดี
การรักษาศีลก็ดี เจริญภาวนาก็ตาม คำว่าเมตตาปรานีไม่เคยมี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา ค้าขายมีความร่ำรวย แล้วต่อมาเวลาใกล้จะตายป่วยหนักทุกขเวทนาครอบงำมาก เวลานั้นเห็นภรรยานั่งใกล้ๆ เธอก็ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาไม่ได้ เห็นบุตรธิดานั่งใกล้ๆ เธอก็ช่วยบรรเทาทุกขเวทนาไม่ได้ ทรัพย์สินทั้งหลายที่เป็นคนรวยก็ไม่สามารถจะช่วยให้ทุกขเวทนาคลายได้ จึงนึกในใจว่าสมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาคือพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก เขาลือกันว่า พระพุทธเจ้าใจดีเมตตาไม่ว่าใคร จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาว่า มาช่วยให้หายโรค ความจริงเขาไม่ได้นึกด้วยความนับถือ มารูปเดียวกับมัฏฐกุลฑลีแต่มัฏฐกุลฑลีเขาไม่ทำบาป

เป็นอันว่าขณะที่นึกถึงพระพุทธเจ้าขอให้มาช่วยนั่นเองเธอก็ตาย เพราะ บุญกำลังใหญ่ มีปริมาณน้อยบุญ ที่นึกถึงพระพุทธเจ้าน่ะมีกำลังใหญ่มาก บุญสูงมาก แต่ว่าปริมาณของบุญมีนิดเดียว หมายถึงว่า ทองคำมีค่าสูงแต่ว่าเรามีนิดเดียวมันก็ใช้ไม่ได้นาน ขายประเดี๋ยวก็หมด ใช้สตางค์เดี๋ยวก็หมด ฉันใดกำลังใหญ่ของบุญที่เป็น พุทธานุสสติ คือนึกถึงพระพุทธเจ้าของสุปปติฏฐิตะเทพบุตร มีนางฟ้าหนึ่งพันเป็นบริวาร นี่บุญใหญ่กำลังใหญ่แต่ว่าปริมาณน้อย ครองความเป็นสุขในความเป็นเทวดาไม่นานก็หมดบุญ เขาจึงบอกกับอากาสจารีเทพบุตรว่า ถ้าท่านไม่ช่วยผม ผมต้องลงอเวจีมหานรกแน่ อีกนานแสนนานหลายสิบกัป หรือหลายร้อยกัปจึงจะกลับมาเป็นคนได้ กว่าจะมาเป็นคนปกติกับเขาก็เสวยทุกขเวทนามาก ท่านอากาสจารีก็บอกว่า ท่านสุปปติฏฐิตะเพื่อนรัก เธอก็เป็นเทวดา ฉันก็เป็นเทวดาเราก็เป็นเทวดาเหมือนกันโอกาสที่จะช่วยกันมันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่มีวาสนาบารมีไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเธอ แต่บุคคลที่จะช่วยเธอได้ก็เห็นจะมีอยู่องค์เดียวคือ พระอินทร์ ที่เป็นนายของเรา ทั้ง ๒ องค์ก็พากันไปเฝ้าพระอินทร์ขอให้ช่วย พระอินทร์ก็บอกว่า ฉันเป็นนายเธอก็จริงแหล่แต่ทว่าฉันก็แค่เทวดาเหมือนกันฉันก็ช่วยไม่ได้ ก็มีอยู่ท่านเดียวองค์นี้ถ้าช่วยได้ก็ได้ ถ้าองค์นี้ช่วยไม่ได้ก็ไม่มีใครช่วยได้นั่นคือ พระพุทธเจ้า เวลานี้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ กำลังเทศน์โปรดพุทธมารดาเป็นการสนองคุณ ฉะนั้นพระอินทร์จึงได้พาเทวดา ๒ องค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระอินทร์ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่าเทวดาองค์นี้คือ สุปปติฏฐิตะเทพบุตร มีโทษแบบนี้มีกรรมแบบนี้ พระพุทธเจ้าทรงฟังแล้วก็ทรงพิจารณาว่า เราจะช่วยเทวดาองค์นี้ได้ไหม ก็ทรงทราบว่า ถ้าเทศน์อภิธรรมจะไม่ตรงกับอุปนิสัยของสุปปติฏฐิตะเทพบุตร เมื่อเทศน์ไปๆ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรสุปปติฏฐิตะเทพบุตรก็จะหมดอายุจุติจากเทวดาลงอเวจีทันที องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงพิจารณาใหม่ว่าจะเทศน์อะไร อภิธรรมไม่ถูกใจจะเทศน์อะไรดี พระชินสีห์ก็ทรงทราบว่าถ้าเราเทศน์ อุณหิตวิชัยสูตร จะเป็นที่ถูกใจของเทวดาองค์นี้

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้หยุดพระอภิธรรมชั่วคราวเดี๋ยวเดียว แล้วเทศน์อุณหิตวิชัยสูตร พอเทศน์จบก็ปรากฏว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตรก็ดี อากาสจารีหรือเทวดาอีกหลายๆ องค์ก็ตาม เมื่อฟังจบแล้วต่างคนต่างก็บรรลุมรรคผลมีพระโสดาบันเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุปปติฏฐิตะเทพบุตรเป็น พระโสดาบัน ทันที เมื่อเป็นพระโสดาบันก็เป็นเวลาพอดีที่จะต้องจุติ เธอก็ตายจากความเป็นเทวดาแล้วก็เกิดเป็นเทวดาทันที ชั่วพริบตาเดียว ตายปุ๊ปเกิดปั๊ปที่นั่นเองเป็นพระโสดาบัน ก็เป็นอันว่ากฎของกรรมทั้งหลายที่ทำลายศีลก็ดี ทำลายธรรมก็ดีที่จะมีโอกาสให้สุปปติฏฐิตะเทพบุตรลงอบายภูมิต่อไปไม่มี เหลือทางเดียว ทางที่เขาจะต้องเดินต่อไปเข้าถึงพระนิพพาน

นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เรื่องนี้ที่นำมาพูดเรื่องนี้ทีมีการร้ายแรงมากเพราะ สุปปติฏฐิตะเทพบุตร ไม่เคารพพระพุทธศาสนาด้วย และไม่เคารพทุกๆ ศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาทุกศาสนาต่างก็มีความดีเขายังทำความดีกัน ถึงแม้บางศาสนาที่มีความดีไม่ถึงนิพพานเขาก็สามารถไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ยังมีความดี แต่ว่าสุปปติฏฐิตะเทพบุตรไม่ยอมสร้างความดีทุกอย่าง ทำบาปวันดีไม่ละวันพระไม่เว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปาณาติบาตก็ชอบ อทินนาทานก็ชอบ กาเมสุมิจฉาจารก็ชอบ มุสาวาทก็ชอบ การดื่มสุราเมรัยก็ชอบ ชอบหมดครบถ้วนบริบูรณ์ ขาดความเมตตาปรานี

แต่ว่าก่อนจะตาย เขานึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียวก็เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ ทีนี้การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าจะถามว่า สุปปติฏฐิตะเทพบุตรภาวนาว่า พุทโธ หรือเปล่า ก็ต้องขอตอบว่าเปล่า เขาไม่ได้ภาวนาว่าพุทโธ แต่เขาคิดแต่เพียงว่าเวลานี้เขาลือกันว่าพระพุทธเจ้าใจดีเมตตาปรานีไม่เลือกบุคคล ไม่เลือกคณะ ใครมีทุกข์พระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ให้มีความสุข เวลานี้เรามีทุกข์มาก พอมีทุกขเวทนาทางกายป่วยไข้ไม่สบายอาการเครียดจัด ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ นี่เขานึกเพียงแค่ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ว่าเป็นเวลานั้นพอดีเขาบังเอิญตาย เพราะอาศัยที่กำลังนึกถึงพระพุทธเจ้าเราเรียกกันว่า พุทธานุสสติ ตามภาษาบาลี นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์แต่เวลาน้อยเหลือเกิน เวลาของเขานึกถึงพระพุทธเจ้าน้อย แต่ถึงจะมีเวลาน้อย แต่กำลังที่นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ก็เป็นบุญใหญ่ เพราะอาศัยที่เป็นบุญใหญ่เขาไม่เคยสร้างวิหารทานเขาก็มีวิมานได้ เขาไม่เคยให้ทานเขาก็มีวิมานได้ มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ได้ มีร่างกายเป็นทิพย์ได้ เพราะอะไร เพราะอำนาจของ พุทธบารมี

ทีนี้พวกเราเหล่าพุทธบริษัท เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายส่วนใหญ่หวังจะไปนิพพาน เราก็ต้องกันกันไว้ก่อนว่าเราจะไปนิพพานชาตินี้ได้หรือไม่ได้ยังไม่แน่ ถึงแม้ว่าจะไปได้แน่ก็ต้องกันกันไว้ก่อน สำคัญคือ

๑. ทานต้องมี ทานการให้เป็นปัจจัยให้มีทรัพย์สินในชาติข้างหน้าจะร่ำรวย เราจะไปนิพพาน เราจะไม่มีโอกาสรวยก็ช่างมัน หวังว่าบังเอิญถ้าไปไม่ได้เราต้องรวยไว้ก่อน

๒. ศีล เป็นปัจจัยให้มีร่างกายมีความอุดมสมบูรณ์ คนที่รักษา ศีลบริสุทธิ์ จะมีร่างกายสมบูรณ์แบบทุกอย่างครบอาการ ๓๒ ถ้ามีจิต เมตตามาก จะมีความสวยมาก และก็จะไม่ค่อยมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีอายุยืนนาน นี่เรื่องของศีล

เรื่องของ ภาวนา ก็เป็นเหตุ ถ้ายังไปนิพพานไม่ได้ก็ เป็นคนมีปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำแล้วก็ตั้งใจว่าการตายคราวนี้ เราขอตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายขึ้นชื่อว่าร่างกายอย่างนี้จะไม่มีต่อไปอีก เมื่อตายครั้งสุดท้ายก็ไม่เกิดมาเพื่อตายใหม่ อันนี้อย่าลืมนะ ตัวนี้เป็น วิปัสสนาญาณสูงมาก ใช้ศัพท์ง่าย แต่เป็นกำลังวิปัสสนาญาณตัวสุดท้ายคือ ตัดอวิชชา ไม่ใช่ต้องไปนั่งไล่เบี้ยตามหนังสือเรื่อยเปื่อย เอาง่ายๆ ตัดสินใจให้มันแน่นอนว่าการตายของร่างกายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการตายครั้งสุดท้าย เพราะร่างกายที่มีอยู่ปรากฏว่ามีแต่ทุกขเวทนาทุกวัน ทุกขเวทนามีอะไรบ้างก็นั่งนึกตามความเป็นจริง

๑.ตื่นขึ้นมาแล้วมันหิว ความหิวก็เป็นทุกข์ ทุกข์ตัวแรกเมื่อตื่นใหม่ๆ ก็เกิดจากการปวดอุจจาระปัสสาวะมันก็เป็นทุกข์เป็นประจำวัน

๒.การป่วยไข้ไม่สบายก็เป็นอาการของความทุกข์

๓.ความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวังเราตั้งใจอยากได้อะไรไม่ได้อย่างนั้นสมความตั้งใจ มันก็เป็นทุกข์

๔.การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันก็เป็นทุกข์

๕.ความตายจะเข้าถึง มันก็เป็นทุกข์

ทั้งหมดนี้อาศัยใคร ใครเป็นเหตุให้เราทุกข์ ท่านผู้นั้นคือ ร่างกายทุกข์มันเกิดจากการมีร่างกายอย่างเดียว ในเมื่อร่างกายอย่างนี้มันเป็นทุกข์อย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการมันอีก เราต้องการจุดหมายปลายทางนั่นคือ นิพพาน ถ้าญาติโยมพุทธบริษัทคิดอย่างนี้ทุกวัน แม้จะเป็นเวลาเล็กน้อยก็ไม่สำคัญ ตื่นขึ้นมาจะเป็นเวลาไหนก็ได้คิดอย่างนี้เสียก่อนแล้วก็ภาวนา คำว่าภาวนาจะภาวนาว่าอย่างไรก็ไม่ว่า ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนจะภาวนาว่าอย่างไรก็เหมือนกัน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติ ถ้าเป็นอย่างนี้คิดจนชินสมมุติว่าชาตินี้ถ้าเราจะตายจริงๆ ถ้าญาติโยมคิดอย่างนี้ทุกๆ วัน จะเป็นวันละเล็กน้อยก่อนหลับวันละ ๒ นาที ตื่นใหม่ๆ สัก ๓ นาที ทำอย่างนี้ทุกวัน ต่อไปไม่ช้าไม่นานนัก ถ้าถึงเวลานั้นญาติโยมไม่ได้คิดตามนี้จะมีการไม่สบายใจ ต้องคิดเสียหน่อยนึกเสียหน่อยตามปกติ ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าท่านเป็นฌานในด้านนี้ แล้วจิตเป็นฌานอย่างนี้ขอยืนยันว่าลงนรกไม่ได้แน่

ทีนี้เวลาที่จะตายให้สังเกตตามนี้ ถ้าหากว่าจะไปนิพพานได้ทุกคนจะเห็นพระพุทธเจ้าสวยงามมาก อยู่ใกล้ท่านหรือเห็นพระอรหันต์อยู่ใกล้ อันนี้ต้องเห็นทุกคน ขอยืนยันว่าเห็นทุกคนถ้ายังไม่เห็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เห็นพระอรหันต์ หรือเทวดา หรือพรหมก็ตาม เวลานั้นมันยังไม่ตายป่วยหนักยังไงก็ยังไม่ตาย ถ้าเวลาจะตายจะต้องเห็น ถ้าเห็นพระพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์อยู่แนวหน้า ข้างหลังเป็นเทวดากับพรหมอย่างนี้ ท่านไปนิพพานกันแน่

ถ้าบังเอิญมีเทวดาหรือพรหมอยู่ข้างหน้าอย่างนี้ ยังไม่ไปนิพพาน อย่างนี้ถ้าตายแล้วต้องเป็นเทวดา เป็นพรหมหรือเป็นนางฟ้า แต่ก็ไม่ใช่ของแปลกถ้าเป็นเทวดาก็ตาม เป็นนางฟ้าก็ตามเป็นพรหมก็ตาม อีกไม่นานนัก พระศรีอาริย์ ก็ตรัส เราก็ฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์เพียงแค่จบเดียวอย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน แต่ความจริงถ้าบำเพ็ญบารมีกันอย่างนี้เขาไม่เป็นพระโสดาบันกันหรอกนะ ถ้าสมมุติว่าเรายังไม่ได้นะตายจากความเป็นคนเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าฟังเทศน์จากพระศรีอาริย์แล้วเป็น พระโสดาบัน ก็ซวยเต็มที อย่างนี้อย่างเลวต้องเป็น อนาคามี เป็นอย่างน้อย เพราะบารมีถึงแล้ว หลังจากนั้นก็ต่อบุญบารมีของเราเรื่อยขึ้นไปจนถึงนิพพาน เป็นอันว่าร่างกายประเภทนี้ที่เราไม่ต้องการไม่ต้องพบมันอีก เป็นอันว่าหมดเวลาพอดี ขอทุกท่านตั้งใจ
พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
คำสอนสายลม ๑๑ ธันวาคม ๒๕๓๓



ขอเชิญร่วมบุญเป็นเจ้าภาพเสาอุโบสถกับหลวงพ่อหนุน ถวายในงานกฐินวัดพุทธโมกข์ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘


ขอเรียนเชิญพุทธศาสนิกชน และผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ร่วมกันเป็นเจ้าภาพเททอง เพื่อหล่อพระพุทธรูป สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลที่ ๑ ปางทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ หน้าตัก ๕๙ นิ้ว (ขนาดยังไม่รวมแท่นบัลลังก์) เพื่อประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปประธาน ภายในพระมหาธาตุรัตนมงคลเจดีย์ วัดมหาโพธิ์พันธ์ บ้านสุมเส้า ต.สุมเส้า อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือแจ้งการโอน หลักฐานการโอน และการรับพระ ได้ที่ (เอ บ้านพรหลวงพ่อ) ๐๘-๑๓๙๔-๒๔๐๓


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO