นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 28 เม.ย. 2024 6:25 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องของกรรม
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 02 ต.ค. 2015 7:26 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4542
. ♢คำสอน..หลวงพ่อ♢
" ทำชั่ว...แล้วทำไมยังอยู่ดีมีสุข "
คนที่ทำชั่วแล้วยังได้ดีมีสุขอยู่เป็นเพราะกรรมชั่วยัง
ไม่ให้ผล กรรมดีที่เขาเคยทำยังคอยสนับสนุนอยู่
แต่เมื่อใดที่กรรมดีอ่อนกำลังลง กรรมชั่วที่เคยทำก็
จะส่งผลให้ผู้นั้นต้องเปลี่ยนสภาพไปอย่างพลิกหน้า
มือเป็นหลังมือ
คนพวกนี้เมื่อทำความชั่วแล้วความชั่วยังไม่ให้ผล
ก็คิดว่าตนเป็นคนฉลาด เหมือนคนที่กินขนมเจือยา
พิษตราบใดที่ยาพิษยังไม่ให้ผลก็คิดว่าขนมนั้นอร่อย
ความหมายของคำว่า ได้ดี และ ได้ชั่ว
ในทางโลกและทางธรรม มีความหมายแตกต่างกัน
●ในทางโลกมักจะมองเห็นการได้ดีและได้ชั่วเป็นเรื่องทางวัตถุ เมื่อกล่าวว่าคนนั้นได้ดีก็มักจะหมายความ
ว่า ผู้นั้นได้ลาภได้ทรัพย์สมบัติ ได้อำนาจวาสนา หรือ
ได้ตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้น
●ในทางธรรม..คือเมื่อเราทำดี จิตใจของเราจะสะอาด
สว่าง สงบ ส่วนการได้ชั่ว หมายถึง จิตใจของผู้นั้นจะ
ตกต่ำลง เลวลงๆ
ไม่มีอะไรเหนือกฎแห่งกรรม" ทำดีได้ ทำชั่วได้ชั่ว"
...เจริญพร...
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


เริ่มนั่งสมาธิ
การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาจะมีลักษณะของการปฏิบัติอยู่ ๔ อิริยาบถ คือ นั่ง นอน ยืน เดิน ส่วนใหญ่ปกติผู้ปฏิบัติทั่ว ๆ ไปจะอยู่ในอิริยาบถท่านั่งมากกว่า แต่ในหลักฐานคัมภีร์จะเดินจงกรม กับนั่งสมาธิสลับกันเป็นส่วนมาก จะนอนอยู่ ๔ ชั่งโมงเท่านั้น สำหรับในท่านั่งมีอยู่ด้วยหลายประเภท เช่น ๑. นั่งเรียงขา คือ คู้ขาเข้ามาเรียง แบบนี้พม่าจะนั่ง ๒. สมาธิเพชร คือ เอาขาขัดกันไว้ แบบนี้อินเดียจะนั่ง (นั่งแบบบุตรเศรษฐีชื่อโสณะโกฬิวิสะ ในโพสนี้เรื่อง พระสาคตเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ) ๓. นั่งซ้อนขา คือ ขาซ้ายทับขาขวาแบบนี้ของไทย หรือจะนั่งเก้าอี้นี่ก็ได้ของไทย ถ้าอยู่ในที่อันสมควร
วิธีปฏิบัติก็ง่ายๆ เมื่อได้ท่านั่งแบบไหนอย่างไรแล้วก็เอาจิตไปรู้ลมเข้า – จิตรู้ลมออก - จิตรู้ลมเข้า – จิตรู้ลมออก ทำอยู่แค่นี้ หากจิตหลงลืมลม ก็เอาจิตกลับมารับรู้ลมใหม่ แค่นี้ไม่ยาก
สิ่งที่ยากคือ จิตไม่ค่อยรู้ลม หรืออยู่กับลม แต่กลับไปรู้เรื่องอื่น เช่น คิดในเรื่องกามฉันทน คิดในเรื่องพยาบาท ถีนมิทธะ (ความง่วงเหงาหาวนอน หดหู่ เซื่องซึม) อุทธัจจกุกกุจจ (ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ) วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย เป็นเหตุให้ไม่แน่ใจในปฏิปทาเครื่องดำเนินของตน) นี่คือตัวเจ้าปัญหาใหญ่ แต่ก็มีวิธีจัดการส่วนจะได้ยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ ผู้ปฏิบัติจะต้องไปหาอุบายทดลองแก้เอาเองซึ่งก็มีอยู่หลายวิธี แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ เมื่อก่อนเราไม่เคยนั่งสมาธิเจ้านิวรณ์ทั้ง ๕ นี้เราก็ไม่เคยเห็นมัน แต่พอเราเริ่มปฏิบัติทำไมมันจึงมี แสดงว่าเราเริ่มจะรู้จักเพื่อนใหม่ที่มีอยู่ในตัวเราเอง และเจ้าเพื่อนใหม่ของเรานี่ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเยี่ยมไม่ขาดระยะ เอ้! แต่ก็แปลกดีเหมือนกันนะเจ้าเพื่อนใหม่ของเรานี่ มาก็ไม่พร้อมกันเสียด้วย ได้แต่เปลี่ยนกันมาทีละตัว ๆ
ดังนั้นผู้ปฏิบัติสุขาปฏิปทา ไม่ต้องตกใจเอาจิตไปรู้ลมเข้า – จิตรู้ลมออก - จิตรู้ลมเข้า – จิตรู้ลมออกทำไปเรื่อย ๆ ควรจะทำเวลาเช้า กลางวันและเย็น ทำได้มากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ความพยายาม แต่ทำยิ่งมากเท่าไรยิ่งดีแล้วแต่กำลังของตน และสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะต้องสังเกตการทำงานของขันธ์ ๕ เช่น จิตอยู่กับลม (วิญญาณเกิดอยู่กับรูป) ขันธ์ที่เหลืออีก ๓ ขันธ์จะไม่สามารถรับรู้ได้
หากจิตไปอยู่กับสังขาร ที่เหลืออีก ๓ ขันธ์ ก็จะไม่เห็น
หากจิตอยู่กับเวทนา ขันธ์ที่เหลืออีก ๓ ขันธ์ ก็จะไม่เห็น
หากจิตอยู่กับสัญญา ขันธ์ที่เหลืออีก ๓ ขันธ์ ก็จะไม่เห็น




สิ่งที่ควรระวังในการเข้าวัด‬

โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี, พระมหาวีระ ถาวโร) วัดท่าซุง (วัดจันทาราม) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี

บุคคลส่วนใหญ่ไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริง คนส่วนใหญ่ไม่ใส่รองเท้าเข้าไป เพราะเห็นว่าโบสถ์ - วิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนเคารพบูชา

จึงจัดเป็นธรรมเนียมและประเพณีนิยมที่ทำกันมานาน

เรื่องนี้หลวงพ่อฤๅษีเมตตามาสอนให้รู้ความจริงไว้ดังนี้

พระเจ้าพิมพิสาร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ ท่านมาบอกว่าให้หลวงพ่อเตือนลูกหลานว่า

อย่าใส่รองเท้าเข้าไปใน เขตพัทธสีมา เพราะกรรมอันนี้ท่านทำมาแล้ว จึงได้ถูกลูกชายของท่าน คือ พระเจ้าอชาติศัตรู เอามีดโกนกรีดฝ่าเท้าทั้ง ๒ ข้าง จนเดินไม่ได้.

จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๗



“ หลักในการอธิษฐาน ”
หลวงปู่ทวดสอน ท่านว่าให้กล่าวคำอุทิศอย่างเจาะจงลงไปเท่าที่เราจะนึกได้ จะเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ
สุดท้ายให้กล่าวคำอธิษฐานบารมีว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ และขอบารมีแห่งพระคุณรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ และเทพพรหมทุกพระองค์ ได้โปรดปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าสมปรารถนา โดยสะดวกราบรื่น รวดเร็ว ฉับพลันทันที จงทุกประการเทอญ"
นี้เป็นหลักในการอธิษฐานโดยทั่วไป ถ้าจะปรารถนาไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ก็สามารถปรารถนาได้ และขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ฟังธรรมจากท่านด้วย อย่างนี้รับรองว่าเกิดทันแน่ และเกิดในที่ดี ๆ ด้วย อย่างน้อยก็เกิดเป็นมนุษย์ในยุคของท่าน อย่างดีก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมไปเลย สบายกว่ามนุษย์เยอะ
แต่ขอให้ระลึกถึงท่านด้วยความเลื่อมใสอย่างจริงใจ ไม่ใช่เดือดร้อนทีก็นึกถึงที อย่างนี้ไม่ได้เรื่องหรอก ต้องทำการบูชาด้วยการสวดมนต์และถวายอามิสบูชาเป็นประจำ สำคัญที่สุดคือ การปฏิบัติบูชา
[ หลวงปู่ทวด ]




คำตอบของ พระนิพพาน โดย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

พระธรรมเจดีย์ ถามว่า :
ข้าพเจ้าเคยได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระนิพพานว่า อายตนะอันหนึ่งมีอยู่ แต่ไม่ใช่ดินไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ตัวตน เช่นนั้นพระนิพพานก็ศูนย์เปล่าเขาจึงไม่อยากไปพระนิพพาน

พระอาจารย์มั่น ตอบว่า :
กามทั้งหลายไม่มีในพระนิพพาน ผู้ที่กำหนัดในกาม ยังมีความพอใจในรูปเป็นต้น จึ่งไม่ยินดีในพระนิพพาน

พระนิพพาน คือ ความสิ้นราคะ โทสะ โมหะและดับตัณหาที่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้น เสียได้ ทุกข์เป็นผลมีชาติเป็นต้นก็ดับไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานแม้จะชื่อว่าเป็นอนัตตา แต่คงศูนย์เพราะกิเลส กับทุกข์เท่านั้น

ส่วน นิพพานธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่เที่ยง ที่สุข นั้นยังคงมีอยู่

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ถาม
พระอาจารย์มั่น ตอบ





"เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสร้างพระพุทธศาสนา ให้ก่อเกิดเป็นชีวิตอย่างบริบูรณ์ดังประสงค์แล้ว พระองค์จึงได้ละ วิภวตัณหา นั้น เสด็จเข้าสู่ อนุปาทิเสสนิพพาน คือ เป็นผู้หมดสิ้นทุกตัณหา เป็นผู้ดับรอบโดยลักษณาการแห่งอนุปาทิเสสนิพพานของพระองค์"

ลำดับแรกก็เจริญฌาณ ดิ่งสนิทไปจน สัญญาเวทยิตนิโรธ หมายความว่าเข้าไปลึกสุดอยู่เหนือรูปฌาณในวาระแรกนั้น พระองค์ยังมิได้ดับขันธ์ต่างๆ ให้สิ้นสนิทเด็ดขาดแต่อย่างใด เพียงเข้าไปเพื่อทรงกระบวนการแห่งการเข้าสู่นิพพาน หรือนิโรธ เป็นครั้งสุดท้ายแห่งชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ สูสิ่งที่พระองค์ได้สร้างได้พากเพียรก่อเป็นทางเป็นแบบอย่างไว้เป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย ซึ่งเรียกได้ว่า สิ่งอันเกิดจากการที่พระองค์ได้ยอมอยู่กับ ธุลีทุกข์ อันเป็นธุลีทุกข์ที่มนุษย์ธรรมดามีจิตหยาบเกินกว่าที่จะสัมผัสได้ว่ามันเป็นทุกข์ประวัติและปฏิปทา 190นี่แหละกระบวนการกระทำ จิตตนให้ถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นกระบวนการที่พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นยอดศาสดาในโลกเท่านั้นที่ทรงค้นพบ ทรงนำ มาตีเผยแผ่แจ้งออกสู่โลกให้พึงปฏิบัติตามเมื่อทรงสิ่งสุดท้ายนี้แล้ว จึงได้ถอยกลับมาสู่ภาวะต้น คือ ปฐมฌาณ แล้วตัดสินพระทัยครั้งสุดท้ายเสด็จดับขันธ์ต่างๆ ไปทีละขันธ์วิญญาณขันธ์แห่งชีวิต

ดังนั้น จึงไม่มีเชื้อใดเหลืออยู่แห่งวิญญาณขันธ์ที่หยาบนั้น
พระองค์เริ่มดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นในสุด อันจะส่งผลให้ก่อวิภวตัณหาได้ชั้นหนึ่งเสียก่อน แล้วจึงเลื่อนเข้าสู่ ทุติยฌาณ แล้วจึงดับสัญญาขันธ์เลื่อนเข้าสู่ ตติยฌาณ
เมื่อพระองค์ทรงดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมชั้นใจสุดอีกที ก็เป็นอันเลื่อนขึ้นสู่ จตุตถฌาณ คงมีแต่เวทนาขันธ์สุดท้ายแห่งชีวิต นั่นแลคือลักษณาการแห่งขั้นสุดท้ายของการจะดับสิ้นไม่เหลือ
เมื่อพระองค์ดับสังขารขันธ์ หรือสังขารธรรมใหญ่สุดท้ายที่มีทั้งสิ้นแล้ว ก็มาดับ เวทนาขันธ์ เป็น จิตขันธ์หรือนามขันธ์ที่ในจิตส่วนในคือ ภวังคจิตเสียก่อน แล้วจึงได้ออกจาก จตุตถฌาณ พร้อมทั้งมาดับจิตขันธ์หรือนามขันธ์สุดท้ายจริงๆ ที่ตรงนี้พระองค์ไม่ได้เข้าสู่พระนิพพานในฌาณสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌาณแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ก็ดับพร้อมไม่มีอะไรเหลือ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำ อำ พรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป็นภาวะแห่งตนเองอย่างบริบูรณ์ ภาวะอันนั้นจะเรียกว่า "มหาสุญญตา" หรือ "จักรวาลเดิม" หรือว่าเรียก "พระนิพพาน" อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เราปฏิบัติมาก็เพื่อถึงภาวะอันนี้

วจีสังขารหรือวาจาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ หลังจากนั้น ไม่มีวาจาใดออกมาจากท่านอีกเลย

หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์



วิธีของการปฏิบัติคือ มีความรู้สึกตัวมากขึ้นๆ รู้อิริยาบทของร่างกายและการเคลื่อนไหวเล็กๆ.. เมื่อสติปัญญาเพิ่มขึ้น มันจะรู้เห็นและเข้าใจ โทสะ โมหะ โลภะ เมื่อเรารู้มัน ทุกข์ในจิตใจจะลดลง แด่เธอ...ผู้รู้สึกตัว
หลวงพ่อเทียน






ขอชิญร่วมงานบำเพ็ญกุศล ๘ ปี วันมรณภาพ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ณ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นนทบุรี วันเสาร์ที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๙.๐๐-๑๓.๓๐ น


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO