นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 28 เม.ย. 2024 11:58 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: การเจริญศรัทธา
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 20 ส.ค. 2015 5:03 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4542
“การเจริญศรัทธา”

การเจริญศรัทธาก็เป็น ๒ ลักษณะ ขั้นแรกก็คือการศึกษาตัวอย่างที่ดีที่งามของพระพุทธเจ้า หรือของพระอรหันตสาวก ศึกษาคำสั่ง คำสอนของท่าน แล้วนำเอาไปปฏิบัติ พอเราปฏิบัติได้ผล มันก็จะทำให้เกิดมีศรัทธา กำลังใจมากขึ้นมาอีก ต้องมีทั้งสองแบบ ถ้าเรายังไม่ได้ปฏิบัติ เราก็ต้องอาศัยการศึกษา การดูแบบฉบับการกระทำการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันตสาวก ว่าท่านปฏิบัติอย่างไร ท่านทำตัวอย่างไร ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ได้เป็นพระอรหันตสาวก ท่านก็ต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไปทั้งหมด นี่เรียกว่า ทาน

การทำทาน เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อผู้ที่มุ่งสู่มรรค ผล นิพพาน เพราะว่าถ้าเรายังติดอยู่กับทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทองอยู่ ก็จะเป็นเหมือนกับเรือที่ยังทอดสมอเรืออยู่ ถ้าเรือยังทอดสมออยู่นี้ เรือจะไม่สามารถออกเดินทางไปได้ เพราะสมอจะดึงเรือเอาไว้ ถ้าอยากจะให้เรือเเล่นไปได้ ก็ต้องถอนสมอเรือออกมา การที่จะออกไปสู่การปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานได้ ก็จำเป็นจะต้องสละทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่มีอยู่ไปให้หมด หรือไม่ไปมีความเกี่ยวข้องไม่ไปมีภาระผูกพัน เพราะถ้ามีภาระผูกพันมันก็จะเหมือนกับเรือที่ยังไม่ได้ทอดสมอ ต่อให้ติดเครื่องหรือเอาขึ้นใบต่อให้พายมันก็จะไปไม่ได้ เพราะจะถูกสมอนี้คอยดึงเอาไว้

การที่เราจะปฏิบัติเจริญความเพียร เจริญสติอย่างต่อเนื่อง นั่งสมาธิ เจริญปัญญาได้อย่างต่อเนื่องนี้ เราต้องไม่มีภารกิจอย่างอื่น ต้องมีภารกิจในการปฏิบัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเรายังมีภารกิจเกี่ยวกับ การบริหารจัดการทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆที่เรามีอยู่ เราก็จะไม่มีเวลาที่จะมาปฏิบัติ ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงต้องสละพระราชสมบัติไป พระสาวกทั้งหลายท่านก็ต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองไป อย่างในสมัยปัจจุบันในประวัติของครูบาอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นรูปหนึ่ง คือท่านชื่อว่าหลวงปู่พรหม ท่านก็ก่อนที่ท่านจะออกปฏิบัติ ท่านกับภรรยาก็มีทรัพย์สมบัติ เป็นชาวนาชาวไร่ที่มีฐานะดี มีที่มีนามาก มีโคมีกระบือ มีสมบัติอะไรต่างๆ แต่ท่านไม่มีลูกไม่มีหลาน และท่านและภรรยามีศรัทธาที่อยากจะออกไปปฏิบัติไปบวช เพื่อมรรค ผล นิพพาน ท่านจึงประกาศให้ชาวบ้านได้ทราบว่า ถ้าใครขาดเหลืออะไรต้องการอะไรขอให้มารับจากท่านไปได้ ใครไม่มีที่อยากจะขอที่ท่านก็ให้ที่ ใครไม่มีโคไม่มีกระบือมาขอท่านก็จะให้ เพราะท่านไม่มีความต้องการในทรัพย์สมบัติข้าวของเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ท่านต้องการก็คือความเป็นอิสระจากภารกิจในการดูแลจัดการทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทองต่างๆ ที่ท่านมีอยู่ ท่านต้องการจะมีเวลาไว้ในการเจริญสติ สมาธิ และปัญญาเท่านั้น แล้วพอท่านสละไปหมดแล้ว ท่านก็ไปบวช ภรรยาท่านก็ไปบวชชี แล้วก็แยกกันอยู่ ท่านก็ตามหลวงปู่มั่นไป ไปศึกษากับหลวงปู่มั่น ไปยึดคำสอนของหลวงปู่มั่น ไปยึดปฏิปทาการปฏิบัติของหลวงปู่มั่น และในที่สุดท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เวลาที่ท่านตายไปแล้ว กระดูกของท่านก็เลยเป็นพระธาตุขึ้นมา

นี่คือตัวอย่างของพระสุปะฏิปันโนที่เราควรจะศึกษากัน เพื่อเราจะได้รู้แนวทางของการดำเนินเพื่อที่จะไปสู่มรรค ผล นิพพาน ว่าต้องดำเนินกันอย่างไร เมื่อเราได้ศึกษาแล้วก็จะทำให้เรามีศรัทธามีกำลังใจ ที่อยากจะปฏิบัติตาม ก็จะทำให้เราเกิดมีวิริยะ มีความอุตสาหะความพากเพียรที่จะปฏิบัติเหมือนกับที่ท่านปฏิบัติ เรามีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง มีงานมีการ ถ้าเราต้องการไปนิพพาน เราก็ต้องสละสิ่งเหล่านี้ไป เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนสมอเรือ จะคอยดึงเราไว้ทำให้เรานี้ไม่สามารถที่จะไปปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ ถ้าไปได้อย่างมากก็เช่นช่วงระยะเวลาวันหยุดอย่างนี้ มีวันหยุด ๔ - ๕ วัน แล้วก็อาจจะลางานเพิ่มสักวันสองวัน ก็จะได้ทั้งเจ็ดวันได้ทั้งสัปดาห์ มาปฏิบัติกันสักครั้งหนึ่ง แต่พอครบแล้วก็ต้องกลับไปทำมาหากินต่อ ไปหาทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่อ เพราะยังต้องใช้ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองเพื่อซื้อความสุขต่างๆ ต่อไป

เงินทองส่วนใหญ่นี้ที่เราหากันนี้มันไม่ได้หาเพื่อเอามาใช้กับความจำเป็นของชีวิตเรา เราเอามาใช้กับความอยากเสียมากกว่า เราเอามาใช้เพื่อซื้อความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขปลอม ความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นความสุขปลอม เป็นความสุขที่อยู่ได้เดี๋ยวเดียว และก็จางหายไปเหมือนควันไฟ เวลาเราได้เสพได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เราก็มีความสุข แล้วพอไม่ได้เสพ ความสุขนั้นก็จะจางหายไป หลงเหลืออยู่เป็นเพียงความจำเท่านั้นว่าได้เคยมีความสุข กับสถานที่นั่นสถานที่นี้กับเครื่องดื่มชนิดนั้นเครื่องดื่มชนิดนี้ อาหารชนิดนั้นอาหารชนิดนี้เท่านั้นเอง แล้วก็ทำให้เกิดความอยากที่จะสัมผัสอยากจะเสพกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้นอีก ก็จะทำให้เป็นเหมือนคนติดยาเสพติดไป จะต้องคอยหาความสุขในรูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเวลาหาความสุขก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ต้องใช้เงินใช้ทอง พอเงินทองหมด ก็ต้องกลับไปทำงานทำการ ไปหาเงินหาทองมาใช้ต่อ ก็จะติดอยู่กับการหาเงินการใช้เงินเพื่อซื้อความสุขปลอมนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าปรารถนาที่อยากจะได้พบกับความสุขจริง ความสุขของมรรค ผล นิพพาน ก็จำเป็นที่จะต้องสละ การหาความสุขปลอมนี้ไป หยุดการทำงานทำการเพื่อจะได้มีเวลาออกไปพัฒนาอินทรีย์ทั้ง ๕ ให้เป็นพละ ๕ ขึ้นมา

นี่คือการดูตัวอย่างของพระพุทธเจ้าก็ดี ของพระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านปฏิบัติเหมือนกันหมด ท่านจะต้องสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ที่เป็นเครื่องมือในการซื้อความสุขต่างๆ ถ้ายังมีอยู่ก็อดที่จะใช้มันซื้อความสุขต่างๆได้ แต่ถ้าไม่มีแล้วมันก็จะไม่มีเครื่องมือที่จะซื้อความสุขปลอมได้ ก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าหาความสุขที่แท้จริง เมื่อท่านถูกบังคับด้วยการสละทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง ท่านก็หันหลังกลับไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรที่จะรองรับถ้ากลับไป เงินทองที่สละไปนี้ก็หมดแล้ว กลับไปก็ไม่มีแล้ว จะไปหาเงินทองไปซื้อความสุขก็ไม่มีแล้ว นอกจากต้องไปทำงานทำการใหม่ ก็จะต้องไปติดอยู่กับการหาเงินการใช้เงินอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าท่านหันหน้าไปสู่ความสุขของมรรค ผล นิพพาน ท่านก็จะมุ่งไปสู่การปฏิบัติ สู่การเจริญสติ สู่การเจริญสมาธิและสู่การเจริญปัญญา พอได้ปฏิบัติแล้ว อินทรีย์ก็จะค่อยแก่กล้าขึ้นมา จะเจริญขึ้นมาตามลำดับ ศรัทธาก็จะมีกำลังมากขึ้น วิริยะก็มีกำลังมากขึ้น สติ สมาธิ ปัญญาก็จะมีกำลังมากขึ้น พอมีกำลังมากขึ้นก็เป็นเหมือนร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จากเด็กก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ไป พอเป็นผู้ใหญ่แล้วก็จะสามารถทำงานทำการทำอะไรต่างๆ ที่ตอนเป็นเด็กไม่สามารถทำได้ นี่ก็เช่นเดียวกัน จิตใจที่ยังมีอินทรีย์ ๕ อยู่นี้ก็จะไม่สามารถทำอะไรเป็นกอบเป็นกำได้ แต่พอได้พัฒนาอินทรีย์ ๕ ให้เป็นพละ ๕ขึ้นมา ก็จะสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ อยู่ที่การเจริญศรัทธาเป็นขั้นที่ ๑ เมื่อมีศรัทธาแล้ววิริยะ ความอุตสาหะ ความพากเพียรก็จะตามมา เหมือนกับเวลาที่เราไปทำงาน ถ้าเราทำงานแล้วเราไม่รู้ว่า เราจะได้รับเงินเดือนหรือได้รับเท่าไหร่ เราอาจจะไม่ค่อยมีความอยากที่จะทำนัก จะไม่ค่อยขยันทำงานกัน แต่ถ้าเรารู้ว่า ถ้าเราทำงานนี้เราจะได้เงินเดือนมาก มันก็จะทำให้เรามีความขยันหมั่นเพียรที่จะทำงาน เพราะเราไม่อยากจะตกงาน เราไม่อยากจะเสียงานที่ให้เงินเดือนดีๆ กับเรานั่นเอง

ดังนั้นเราต้องพยายามดูผลที่เราพึงจะได้รับจากการปฏิบัติว่าสิ่งที่เราจะได้รับก็คือมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ เป็นผลที่ดีกว่าสิ่งต่างๆ ที่เราเคยได้รับมาจากการใช้เงินทองซื้อสิ่งต่างๆ ผลที่เราได้รับหรือความสุขที่เราได้รับจากลาภ ยศ สรรเสริญ จากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ นี้สู้กับผลที่เราจะได้รับจากการบรรลุมรรค ผล นิพพานไม่ได้ ความสุขที่ได้จากมรรค ผล นิพพานนี้ ท่านเรียกว่าเป็นสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งปวง คือสุขอื่นที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี.

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๘

“พัฒนาอินทรีย์ ๕ ให้เป็นพละ ๕”

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




นาคน้ำบำเพ็ญบารมี

ผู้ข้าฯ ก็ย้อนกลับขึ้นไปภาวนาอยู่ถ้ำพระเมืองเชียงราย ริมน้ำตก ไปอยู่แล้วสถานที่ก็ดีแต่ ภาวนาอย่างไรก็ไม่สงบ พิจารณาอะไรก็แล้ว ตรวจตราดูศีลดูวัตรของตนก็ไม่พร่องอะไรสักอันสักอย่าง เราก็ว่าไปตามประสาบ้าของเราว่า...

“ผีป่าผีเขาผีถ้ำผีนาคผีน้ำ ข้าฯ มาอยู่นี้ตั้งใจมาเจริญภาวนาเสาะหาหนทางพ้นทุกข์ หวังให้สูเจ้าได้รับผลอานิสงส์ แต่จิตไม่ลงไม่สงบเป็นเพราะฤทธิ์อำนาจของผีเทวดาตนใด๋ หรือเป็นเพราะความหยาบหนาภายในจิตใจของข้าฯ นี้”

เราว่าแล้วก็เข้ากลดไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนาอยู่ ประมาณสัก ๑๐ นาที บริเวณข้างๆ ปากถ้ำมีหนองหลง เวลาน้ำหลากจากลำกกก็จะไหลเข้ามาในหนองหลงนี้ คนชาวบ้านไม่มีใครกล้าจับปลาในหนองน้ำนี้ ถ้ำพระก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ หากไปก็ต้องไปกันหลายๆ คน เขาถือว่า ศักดิ์สิทธิ์ ผีขึด ผีเข็ด ผีขวง

เรานั่งภาวนาไปสัก ๑๐ นาที มีเสียงดังบึ่กๆๆ อยู่กลางหนองน้ำ ผักตบลอยน้ำก็ก็หมุนวนเหมือนกับน้ำบิดคอไก่ เราก็นั่งมองอยู่มันเสียงอะไรกัน “ บึ่กๆๆ ”

ก็ลืมตามอง สักพัก งูใหญ่โผล่หัวลำคอขึ้นสูงประมาณ ๓ เมตร กลางหนองน้ำ ลำตัวมันใหญ่ขนาดกระบุง ข้าวเปลือกจุหมื่น หงอนแดง สีตัวมันเลื่อมเป็นพรายแสงยิบยับ เราก็ถามมัน...

“โยมเป็นนาคน้ำหรือ”...(หลวงปู่จาม)

เขาก็หันหัวมองหาเรา...“ถูกแล้ว ท่านพระคุณเจ้าพญาธรรม”

“มาธุระอันใด”...(หลวงปู่จาม)

“ได้ยินเสียงลั่นท้องฟ้าบาดาลสนั่นหวั่นไหว เหมือนพิภพจะถล่มจมพินาศ แต่เมืองบาดาลไม่มีอะไร ก็เลยขึ้นมาดู เห็นพระคุณเจ้าพญาธรรมอยู่นี่พอดี”...(นาคน้ำ)

“แล้วอย่างใด”...(หลวงปู่จาม)

“พระคุณเจ้าว่าภาวนาจิตไม่สงบ ไม่เกี่ยวกับผีน้ำ นาคป่าเขาแต่อย่างใด อยู่ที่จิตใจของเจ้าพญาธรรมที่เดียว”...(นาคน้ำ)

“เออ... ขออโหสิกรรมเน้อ อาตมาก็ว่าไปอย่างนั้นเอง นึกว่าจะไม่ไปกระทบใคร ถ้าหากรู้ว่าจะเบียดเบียนผู้อื่นก็จะไม่ว่าจาเด็ดขาด ขออภัยเถิด”...(หลวงปู่จาม)

“พระคุณเจ้าผู้พญาธรรม มาอยู่บริเวณนี้ ผมรู้เห็นตั้งแต่ล่องแพมา ลงมาแล้วก็ได้แต่อนุโมทนาสาธุการยินดีพอใจในการบำเพ็ญสมณธรรมของเจ้าพญาธรรมมาโดยตลอด”...(นาคน้ำ)

“เอาล่ะ ดีละ ให้สุขเจริญต่อไปเถิด”...(หลวงปู่จาม)

ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆ จมลงๆ น้ำก็นิ่งเงียบอย่างเดิม เราก็กำหนดภาวนาของตนต่อไป

จึงรู้ได้ว่านาคน้ำตนนี้เป็นเจ้านายนาคแถบถิ่นนี้ บำเพ็ญบารมีของตนต้องการที่จะเป็นพระอสีติสาวกของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตข้างหน้า เขาเป็นนาคน้ำมาได้แต่ยุคศาสนาของพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ๔ พุทธันดร พระศรีอาริย์มาตรัสเขาจึงจะได้เป็นมนุษย์เกิดตายบำเพ็ญบารมีอีกต่อไป

“ถ้ำพระเมืองเชียงรายแต่ก่อนเก่าโบราณในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าโกนาคมโน

ผู้ข้าฯ พ่อขาวสง่าดาบส ท่านอาจารย์ลี (ธมฺมธโร) กับเจ้ากาวิละเชียงใหม่ พากันบวชเป็นฤาษีดาบสโกนผม นุ่งขาวห่มขาว รักษาศีล ๘ บำเพ็ญอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต

มีอาจารย์ฤาษีซานเหาะมาแต่เมืองยอร์น ภูเขาสูงสุดของเมืองยอร์นมาสอนกสิณให้ ฤาษีต๋นนั้นมาเกิดเป็นท่านอาจารย์ชอบ

ชีวิตนั้นได้กสิณฌาน ออกเสาะหาขอบิณฑบาตมากินอย่างพระภิกษุในยุคสมัยนี้ ไปทิศใครทิศมัน ได้มาแล้วก็เอามาแบ่งกันกิน

ท่านอาจารย์ลีกับพ่อขาวดาบส รับหน้าที่สอนผู้คนชาวบ้านชาวเมือง

เจ้ากาวิละไปปรนนิบัติรับใช้ฤาษีผู้เป็นอาจารย์อยู่เมืองยอร์น

ส่วนผู้ข้าฯ รับหน้าที่สอนพวกนาคน้ำ พวกผี จึงเข้าใจเหตุที่ นาคตนนั้น เรียกว่า “เจ้าพญาธรรม”

เกิดตายว่ายเวียนอยู่ในโลกนี้ มันต้องมีเหตุปัจจัยให้ได้เกี่ยวข้องกัน จึงเรียกว่า กรรม กรรมของตน กรรมร่วมกับคนอื่น ยังปลดภาระของกรรมไม่ได้ ก็เกี่ยวพันกันไปตามบุพพกรรมของเก่านั่นแหล่ะ ภพชาติเกิดตาย ภพภูมิที่เกิดมาหากใครยังไม่เชื่อก็ช่างใจเขา มิใช่ใจเรา คนที่ยังไม่เชื่อนั่นหละทำชั่วได้สบายกว่าเรา แต่เราผู้เชื่อ ผู้รู้เห็นเกิดตายผ่านมา ก็เชื่อตนเอง เพราะมีเครื่องคอยตักเตือนตนอยู่เสมอ ความดีมาอย่างใด... ความชั่วมาอย่างใด”

ธรรมะประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ




“ ที่ว่าใจเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนั้น..
คือใจเป็นผู้ปกครองสมบัติทั้งมวล..
แต่สิ่งทั้งหลายดังกล่าวดีหรือชั่ว..
ต้องขึ้นอยู่กับใจผู้เป็นใหญ่และรับผิดชอบ.. ”

๙๕. สะเทือนธรรม สะเทือนใจ

ส่วนเมรุเป็นที่บรรจุศพท่าน ได้จัดขึ้นในบริเวณที่พระอุโบสถอยู่เวลานี้ รู้สึกสวยงามมาก สมเกียรติ ทำเป็นจตุรมุข มีลวดลายแปลกประหลาดมาก ผู้เขียนไม่ชำนาญในรูปลักษณะตลอดชื่อของลวดลายต่าง ๆ ที่นายช่างผู้ชำนาญงานทำถวายท่าน ถ้าจำไม่ผิดวันขึ้น ๑๑ ค่ำ เป็นวันอาราธนาท่านไปสู่เมรุ ก่อนหน้าเล็กน้อยบรรดาลูกศิษย์ทั้งพระและประชาชนได้พร้อมกันทำวัตรขอขมาโทษท่านเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็อาราธนาไปสู่เมรุ ตอนนี้คงอดทนไม่ไหว ได้เกิดโกลาหลวุ่นวายกันขึ้นอีกจนได้ คราวนี้เป็นคณะลูกศิษย์ฝ่ายฆราวาสหญิงชาย พอเริ่มอาราธนาท่านเคลื่อนที่ไปสู่เมรุ ต่างมีอากัปกิริยาที่ไม่ค่อยแจ่มใสขึ้นมาในขณะนั้น น้ำหูน้ำตากิริยาเศร้าโศกและเสียงร้องไห้เริ่มแสดงออกเป็นลำดับ

นับแต่ขณะท่านเคลื่อนจากที่ไปสู่เมรุรู้สึกวุ่นวายสับสนพอดู ในสังคมแห่งความวิโยคพลัดพรากจากไปแห่งท่านผู้มีบุญหนาเมตตาราวมหาสมุทรสุดขอบเขตไม่มีประมาณ บรรดาลูกศิษย์บริวารต่างร้องไห้ด้วยความอาลัยเสียดาย เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายในการพลัดพรากจากร่างกายหายสูญความสมมุติที่เคยก่อภพก่อชาติ พาให้ได้นามว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต่อกันเป็นสายยาวเหยียดไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย ท่านอาจารย์ได้ทำลายกงกรรมของวัฏจักรเสียสิ้นแล้ว บัดนี้ก้าวเข้าสู่เมืองแก้วอันประเสริฐคือพระนิพพาน ไม่มีวันกลับมาวุ่นวายกับกองสังขารอันเป็นสถานที่หลั่งน้ำตาอีกต่อไป

บรรดาลูกศิษย์ที่ร้องไห้ถึงท่านครั้งนี้ เพราะความเคารพรักเสียดายที่ได้เคยประสิทธิ์ประสาทธรรมโสรจสรงประพรมดวงใจให้หายง่วงเหงาเมามัว พอมีสติระลึกบาปบุญได้ก็ระลึกถึงพระคุณท่าน อยากได้ไว้เป็นแก้วบูชาเป็นขวัญตาขวัญใจต่อไปอีก ต่อเมื่อสุดวิสัยจะห้ามได้ จึงขอถวายน้ำใจเป็นความอาลัยรักด้วยน้ำตาเป็นเครื่องสักการบูชาว่า..

คณะลูกศิษย์เหล่านี้บุญน้อย แต่ยังมีวาสนาบารมีได้มาพบเห็น ในคราวพลัดพรากจากไปของท่านผู้ทรงมหาคุณบุญหนักศักดิ์ยิ่ง เป็นผู้สิ้นกิเลสถึงความวิเศษศักดิ์สิทธิ์สมัยปัจจุบันที่แสนหาได้ยาก นาน ๆ ถึงจะได้พบเห็นเป็นขวัญตาขวัญใจที่ใฝ่ฝันมานานสักองค์หนึ่ง

แม้ท่านได้ผ่านพ้นกองทุกข์ในสงสารถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุขแล้ว ก็ขออาราธนาเมตตาโปรดโสรจสรงมวลสัตว์ผู้ยากจน ซึ่งกำลังตกอยู่ในความสุดวิสัย ได้แต่พากันร้องไห้พิไรรำพันถึงอยู่เวลานี้บ้างเถิดเจ้าพระคุณบุญล้นฝั่ง ซึ่งฝังเพชรไว้ในหัวใจ เมื่อใดพวกข้าพเจ้าทั้งหลายจะพอมีทางรอดตาข่ายแห่งมาร ได้มีวาสนาถึงพระนิพพานตามพระคุณท่านก็ไม่มีทางทราบได้ เพราะกรรมหนักกรรมหนาเกิดมาอาภัพวาสนา จึงเพียงได้มาชมบารมีพระคุณท่านเป็นขวัญใจบูชาไว้ด้วยน้ำตาดังที่เป็นอยู่ขณะนี้แล

..เหล่านี้เป็นคำร้องไห้วิงวอนปรารถนาของพุทธบริษัททั้งหลาย ที่แสนอาลัยเสียดายในความพลัดพรากจากไปของท่าน จนศพท่านที่อาราธนาเข้าสู่เมรุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาการที่น่าเวทนาสงสารเหล่านั้นจึงค่อย ๆ สงบลง

พอได้เวลาที่กำหนดไว้ ๖ ทุ่มคือเที่ยงคืน ก็พร้อมกันเริ่มถวายเพลิงจริง แต่ผู้คนในขณะนั้นประหนึ่งจะล้นแผ่นดินแออัดยัดเยียดเบียดเสียดกันจนจะหาทางเดินไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมุ่งอยากดูอยากเห็นในวาระสุดท้ายเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ใจไปนาน ฉะนั้นจึงพากันเฝ้ารออยู่จนถึงเวลาที่กำหนดไว้ พอถึงเวลาถวายเพลิงท่านจริง ขณะนั้นปรากฏมีเมฆก้อนหนึ่งขนาดย่อม ๆ ไหลผ่านเข้ามาและโปรยละอองฝนมาเพียงเบา ๆ พร้อมกับขณะที่ไฟเริ่มแสดงเปลวและโปรยอยู่ประมาณ ๑๕ นาที เมฆก็ค่อย ๆ จางหายไปในท่ามกลางแห่งความสว่างแห่งแสงพระจันทร์ข้างขึ้น

จึงเป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อย่างสุดจะคาดจะเดาได้ถูก ว่าทำไมจึงดลบันดาลให้เห็นเป็นความแปลกหูแปลกตาขึ้นมาในท่ามกลางความสว่างแห่งแสงเดือนเช่นนั้น เพราะปกติฟ้าก็แจ้งขาวดาวสว่างในฤดูแล้งธรรมดาเราดี ๆ นี่เอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ มีเมฆลอยมาและมีละอองฝนโปรยปรายลงมา ทำให้แปลกตาสะดุดใจระลึกไว้ไม่ลืมจนบัดนี้

เหตุการณ์ทั้งนี้บรรดาท่านที่อยู่ในวงงานขณะนั้น ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่าไม่จริง เรื่องมิได้เป็นไปในทำนองนั้น เป็นแต่ผู้เขียนอุตริขึ้นมาเอง เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ผู้เขียนประสบมาเองอย่างประจักษ์ตาและสะดุดใจตลอดมา พอท่านที่อยู่ในวงงานขณะนั้นได้อ่านตอนนี้ อย่างไรต้องเพิ่มความจำและความสะดุดใจขึ้นมาในทันทีว่า เหตุการณ์ได้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

การถวายเพลิงท่านมิได้ถวายด้วยฟืนหรือถ่านดังที่เคยทำกันมา แต่ถวายด้วยไม้จันทน์ที่มีกลิ่นหอม ซึ่งบรรดาศิษย์ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่าน สั่งมาจากฝั่งแม่น้ำโขงประเทศลาวเป็นพิเศษจนเพียงพอกับความต้องการและผสมด้วยธูปหอมเป็นเชื้อเพลิงตลอดสาย ผลเป็นความเรียบร้อยเช่นเดียวกับที่เผาด้วยฟืนหรือถ่าน นับแต่ขณะเริ่มถวายเพลิงท่านได้มีกรรมการทั้งพระและฆราวาสคอยดูแลกิจการอยู่เป็นประจำตลอดงานนั้น และมีการรักษาอยู่ตลอดไป จนถึงเวลาเก็บอัฐิท่าน

เวลา ๙ น.ของวันรุ่งขึ้นก็เริ่มเก็บอัฐิท่านและแจกไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีผู้มาในงานนี้ เพื่อนำไปเป็นสมบัติกลาง ๆ โดยมอบกับพระในนามของจังหวัดนั้น ๆ เชิญไปบรรจุไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่จะเห็นควร ส่วนประชาชนก็มีการแจกเหมือนกัน แต่คนมากต่อมากไม่อาจปฏิบัติได้โดยทั่วถึง เท่าที่จำได้ผู้มาในนามของจังหวัดนั้น ๆ และได้รับแจกอัฐิท่านไปมี ๒๐ กว่าจังหวัด

ตอนเก็บอัฐิท่านพึ่งผ่านไปนั้น ก็น่าสงสารประชาชนอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกวาระหนึ่ง ซึ่งทำให้ประทับตาประทับใจอย่างมาก คือพอคณะกรรมการเก็บอัฐิท่านเสร็จเรียบร้อยลงเท่านั้น ผู้คนชายหญิงต่างชุลมุนวุ่นวายกันเข้าเก็บกวาดเอาเถ้าและถ่านที่เศษเหลือจากที่เก็บแล้วไปสักการบูชา ได้คนละเล็กละน้อย จนสถานที่นั้นเตียนเกลี้ยงยิ่งกว่าล้างด้วยน้ำและเช็ดถูให้เกลี้ยงเสียอีก พอได้ออกมาต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสดีใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวจะเหาะลอยในขณะนั้น มองดูในมือต่างคนต่างกำแน่นราวกับจะมีใคร ๆ มาแย่งชิงเอาดวงใจในกำมือไปเสียฉะนั้น นี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสารสังเวชอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ด้อยกว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาในงานท่านอาจารย์มั่นครั้งนี้

แล้วยังครั้งสุดท้ายแถมเข้าไปอีก คือก่อนจะพากันกลับไปถิ่นฐานบ้านเรือนของตนๆ โดยมากพากันไปกราบลาท่านอาจารย์ที่เมรุ ซึ่งเป็นความมั่นว่า ท่านย้ายจากศาลาไปอยู่เมรุแล้ว ขณะก้มกราบท่านถึงวาระที่สามจบลงต่างพากันนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นลักษณะรำพังรำพันด้วยความอาลัยเสียดายอย่างสุดซึ้ง แล้วแสดงอาการไว้อาลัยด้วยน้ำตาสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร คิดถึงใจเราใจท่านที่มีความรู้สึกคิดนึกและกตัญญูกตเวทีในท่านผู้ทรงพระคุณอย่างล้นพ้น ก็อดที่จะกลั้นความอาลัยเสียดายไว้ไม่ได้เช่นเดียวกัน

พอคณะนั้นผ่านออกมาด้วยความเศร้าโศกหน้าชุ่มด้วยน้ำตา คณะนี้ก็ก้าวเข้าไปกราบลาท่าน ด้วยกิริยาท่าทางของคนที่มีความจงรักภักดีและเศร้าโศก เพราะความวิโยคพลัดพรากแห่งสิ่งที่เทิดทูนบนหัวใจ ได้จากไปไม่มีวันกลับคืน เป็นความสับเปลี่ยนเวียนกันไปมาอยู่ที่บริเวณเมรุท่านเป็นชั่วโมง ๆ กว่าเรื่องที่น่าสงสารสังเวชจะสงบลง จึงทำให้ปลงธรรมสังเวชอย่างติดตาติดใจตลอดมา

รวมความแล้วใจเป็นธรรมชาติที่ใหญ่โตกว่าอะไรในโลก เรื่องและอาการทั้งหลายที่เป็นมาเหล่านี้ เป็นสาเหตุมาจากใจอันเป็นรากฐานสำคัญ ประชาชนพระเณรจำนวนหมื่น ๆ ที่มาในงานนี้ก็เรื่องหัวใจพาให้มา ท่านอาจารย์ที่เป็นจุดดึงดูดจิตใจของประชาชน ก็ขึ้นอยู่กับท่านเป็นใจที่บริสุทธิ์หรือธรรมทั้งดวง ซึ่งใคร ๆ ปรารถนากันทั่วโลก จึงเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของคนผู้รู้จักบุญบาปให้คิดอยากมากราบไหว้บูชาท่าน แม้ไม่ได้ส่วนกุศลชนิดตักตวงเอาตามใจหวัง ก็ยังพอเป็นอุปนิสัยปัจจัยสืบต่อภพแห่งความเป็นมนุษย์อย่าให้ขาดสูญสิ้นซากไปเสียทีเดียว ยังดีกว่าเป็นคนหน้าด้านไปแย่งเกิดในกำเนิดสัตว์นรกและสัตว์เดียรัจฉานเป็นร้อยเป็นพันชนิดไม่มีประมาณ เสวยความทุกข์ทรมานในภพนั้น ๆ ตลอดอนันตกาล ไม่มีวันหลุดพ้นไปได้ ซึ่งเป็นการเกิดมาเหยียบย่ำซ้ำเติมตัวเองไม่มีชิ้นดี พอเป็นที่ยึดที่อาศัยได้ในภพหนึ่ง ๆ บ้างเลย ที่เรียกว่าเป็นคนหมดหวัง

ด้วยเหตุนี้เรื่องในสากลโลกจึงรวมลงที่ใจ เป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรน้อยใหญ่ให้สิ่งทั้งหลายหมุนไปตามวิถีทางเดินของใจ ที่หนักไปในทางใด ถ้าใจหนักไปในทางดีทุกสิ่งที่ทำลงไปย่อมให้ผลเป็นสุขโดยสม่ำเสมอทั้งปัจจุบันและอนาคต ปรากฏแต่ความมีหวังและสมหวังเรื่อยไปไม่ขัดสนจนตรอก จะออกซอกไหนซอยใดก็เป็นซอกเป็นซอยที่คอยอำนวยความสะดวกปลอดภัยให้ผู้เป็นเจ้าของได้รับความสุขความเจริญเสมอไป จนถึงแดนแห่งความสมหวัง คือเกิดทุกภพทุกชาติมีแต่ความสมหวังตลอดไป ดังครูบาอาจารย์ที่มีคนเคารพเลื่อมใสและระลึกถึงท่านเป็นขวัญใจอยู่เวลานี้

เพราะใจท่านเป็นใจกุศลแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด ที่คนทั้งหลายสรรเสริญท่านอย่างสมเกียรติว่าท่านปรินิพพานก็มีอยู่มาก คำว่าปรินิพพานนี้จะมีได้เฉพาะท่านผู้สิ้นกิเลสอาสวะโดยสิ้นเชิงแล้วเท่านั้น ท่านสิ้นความสืบต่อแห่งสังขารไม่มีลมปราณเหมือนเวลายังมีชีวิตอยู่

โลกทั้งหลายเรียกว่า “ตาย”แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านตาย โลกเรียกว่า “ปรินิพพาน” ท่านอาจารย์มั่นก็มีคนถวายเกียรติท่านว่าปรินิพพานมากเหมือนกัน ผู้เขียนไม่มีเหตุผลที่ควรจะนำมาคัดค้าน จำต้องยอมจำนนและอนุโมทนาตามคำที่โลกถวายเป็นเกียรติท่านในวาระสุดท้าย เพราะเท่าที่เคยได้อยู่และรับโอวาทท่านตลอดมาเป็นเวลานานปีพอสมควร ก็ไม่มีที่ค้านธรรมท่านได้เลย นอกจากทำให้ซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่าเป็นอมตธรรมอย่างสมบูรณ์ที่ออกมาจากใจที่บริสุทธิ์จริง ๆ เท่านั้น

..ฉะนั้นใจประเภทนี้จึงหาไม่มีในโลกมนุษย์ปุถุชนเรา ร้อยทั้งร้อยไม่มีเจอเลย ถ้าต้องการเจอก็จำต้องพยายามชำระแก้ไขใจของปุถุชนให้กลายเป็นใจอริยชนขั้นสุดยอดขึ้นมา ใจดวงนั้นอยู่ที่ไหนก็อยู่อย่างอริยจิตอริยธรรมตลอดเวลาอกาลิโก

..ที่ว่าใจเป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนั้น คือใจเป็นผู้ปกครองสมบัติทั้งมวล แต่สิ่งทั้งหลายดังกล่าวดีหรือชั่วต้องขึ้นอยู่กับใจผู้เป็นใหญ่และรับผิดชอบ..

ถ้าใจพาชั่ว โลกแม้จะใหญ่โตเพียงไรก็มีทางบรรลัยได้อย่างไม่มีปัญหา ดังนั้นใจจึงควรได้รับการอบรมหรือศึกษา พอจะปกครองตัวปกครองโลกให้เป็นไปโดยความสะดวกปลอดภัยเท่าที่ควร ตัวก็เป็นบุคคลน่าอยู่ ไม่เดือดร้อนรำคาญ โลกก็เป็นโลกน่าอยู่ ไม่เป็นโลกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายจนเกินไป

พอถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่นผ่านไปแล้ว ปรากฏว่าพระเณรสายของท่านมีความกระวนกระวายระส่ำระสายมากพอดู เพราะปราศจากที่พึ่งที่ยึดทางใจ ระเหเร่ร่อนไปทางทิศใต้ทิศเหนือเหมือนว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศฉะนั้น เพราะความร้อนรุ่มกลุ้มใจเหมือนพ่อแม่ตายจาก มีแต่ลูกกำพร้าตัวเล็ก ๆ ไม่มีความรู้ความสามารถปกครองตนได้

..ฉะนั้นวงคณะปฏิบัติสายของท่านรู้สึกสั่นสะเทือนไปมากในระยะที่ผ่านไปใหม่ ๆ กว่าจะจับกันเป็นกลุ่มเป็นกอเป็นหลักเป็นฐานได้ ก็นับว่าพอเห็นโทษแห่งความไม่มีครูอาจารย์มากพอดู ฉะนั้นการผ่านไปของครูบาอาจารย์องค์มีคุณสมบัติสำคัญแต่ละองค์มิใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นความสะเทือนในวงพระสงฆ์และผู้ปฏิบัตินั้น ๆ มาก จนอาจพูดได้ว่าแผ่นดินถล่มไปพักหนึ่ง ถ้าคณะลูกศิษย์มีความสามารถตั้งตัวได้ด้วยข้อปฏิบัติและทางจิตใจพอทรงตัวและทรงหมู่คณะไว้ได้ ไม่เดือดร้อนเหลวไหลในกาลต่อไป

การสูญเสียท่านผู้เป็นหัวหน้าที่ดี ไม่ว่าทางครอบครัว สังคม บริษัทห้างร้าน วงราชการงานแผ่นดินแผนกต่าง ๆ และคณะสงฆ์ ตลอดวงพระปฏิบัติทุก ๆ แขนง ย่อมเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวงไปตาม ๆ กัน ผู้น้อยซึ่งหวังความเจริญก้าวหน้าทั้งปัจจุบันและอนาคต จึงไม่ควรนิ่งนอนใจในการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ต้อนรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องประสบอยู่โดยดีในวันหรือเวลาหนึ่งแน่นอน ผู้เขียนได้เห็นโทษครั้งยิ่งใหญ่สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพผ่านไปเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ในสายตาและความรู้สึกปรากฏว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่านมีความซบเซาเหงาหงอย และอยากจะพูดว่าล้มละลายไปตาม ๆ กันมากมาย ทั้งนักบวชและฆราวาส จนไม่อาจประมาณได้ เช่นเดียวกับสิ่งก่อสร้างที่ส่วนมั่นคงได้ถูกทำลายลง ส่วนอื่น ๆ ก็พลอยเสียหายไปด้วยฉะนั้น

ผู้เขียนได้รับความกระเทือนใจอย่างหนักมาแต่ครั้งนั้น จึงทำให้หวั่นวิตกต่ออนาคตของพระเณรในวงปฏิบัติที่ขาดครูอาจารย์ผู้ให้ความร่มเย็น ว่าเป็นทางไหลมาแห่งความเสื่อมเสียได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่รีบเร่งตักตวงเสียแต่ขณะนี้ที่กำลังมีครูอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนอยู่ เวลาท่านจากไป ตัวเราเองแม้ยังมีลมหายใจอยู่แต่ไม่มีหลักยึดก็เท่ากับตายทั้งเป็น

ผู้เขียนได้เคยเห็นโทษของตัวที่ไม่เป็นท่ามาแต่ครั้งนั้นแล้วว่าเหลวจริง ๆ ด้วยมรสุมประดังกันเข้าพัดผันดวงใจ มรสุมลูกหนึ่งพัดมาว่าเราหมดที่พึ่งแล้ว ลูกหนึ่งพัดมาว่าต่อไปนี้เราจะพึ่งใคร ลูกหนึ่งพัดมาว่าท่านไปแล้วสบายหายห่วงส่วนเรายังอยู่แต่ลมหายใจ แต่ใจเหมือนคนตายแล้ว เพราะขาดหลักยึดและขาดอย่างหมดหวังเคว้งคว้างเกาะอะไรไม่ติดเลย ลูกหนึ่งพัดมาว่าอะไร ๆ มันจะสุดจะสิ้นไปตามท่านเสียแล้ว ลูกหนึ่งว่าต่อไปนี้เราจะอยู่กับใคร พ่อก็จากไปเสียแล้ว

ลูกหนึ่งว่าคราวนี้ถึงคราวล่มจมของเราเสียแล้วหรือ จึงพอจะตั้งไข่พ่อก็มาตายจาก กรรมเราหนักเอาเสียจริง ๆ คราวนี้..

ลูกหนึ่งอุทานออกมาว่า โอ้โฮ เจ้ากรรมช่างทรมานคนอนาถาถึงขนาดนี้เชียวหนอ..

ลูกหนึ่งว่าตายจมแน่แล้วคราวนี้ซึ่งเป็นคราวหัวเลี้ยวหัวต่อเสียด้วย ระหว่างกิเลสกับธรรมกำลังรบกันอย่างเต็มกำลัง มีท่านอาจารย์เป็นผู้เมตตาช่วยอุบายการรบอยู่ทุกเวลา ต่อไปใครจะมีแก่ใจมาเมตตาช่วยเหลือเราอีก..

..เราไม่เคยมีความทุกข์จนหาทางออกไม่ได้เหมือนคราวนี้ นี้เป็นคราวตกนรกหลุมความหมดหวังพัดผันหัวใจให้ขาดดิ้นสิ้นความหมาย ยังไม่ตายแต่ทำให้สิ้นความหวังเสียทุกอย่างในคราวนี้..

ทั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดแก่ผู้เขียนในครั้งท่านอาจารย์มั่นมรณภาพลงไป ทำให้เข็ดหลาบกราบไหว้ ไม่อยากให้วงคณะปฏิบัติต้องประสบความทุกข์ทรมานดังที่เคยประสบมาแล้วทั้งที่ยังไม่มีหลักยึดพอจะพึ่งตัวเองได้ จึงได้พยายามเตือนหมู่คณะเสมอมา กลัวว่าจะนอนหลับทับสิทธิ์ที่ควรจะได้จะถึงจนเกินไป บทเวลาตะวันอัสดงคตแล้วจึงจะวิ่งหาที่พึ่งเพื่อหลบซ่อนผ่อนคลาย กลัวจะตายทั้งเป็นดังที่เคยเห็นมาแล้ว ไม่ประสงค์จะให้หมู่คณะพบเห็นด้วยอีก จึงรีบช่วยตักเตือนให้พากันรีบเร่งความเพียรเวลาเดือนยังสว่างไสว ใจยังกำลังเอางาน สังขารก็กำลังอำนวย แม้เจ้าตัวประสงค์ความร่ำรวยศีลธรรมตลอดมรรคผลนิพพานก็ยังพอทำได้ ไม่เป็นคนทุกข์ไร้เข็ญใจทั้งที่สมบัติมีอยู่เต็มโลกตลอดมา

หนังสือประวัติ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
โดย ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO