นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 5:40 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: บุญกริยาวัตถุ 3
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 20 ก.ค. 2015 7:54 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
- บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน -

บุญกริยาวัตถุ 3 ซึ่งประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนา
การทำบุญ ไม่จำเป็นต้องมีทรัพย์สินเงินทอง
ก็สามารถที่จะร่วมทำบุญได้ แถมยังประหยัดอีกด้วยนั่นคือ
การรักษาศีลและการเจริญภาวนา
ซึ่ง 2 อย่างนี้จะได้อานิสงส์ผลบุญมากกว่าการให้ทานเสียอีก
ถ้าอยากได้บุญเต็มที่ต้องทำบุญให้ครบ 3 อย่าง


** *** ** *** ** *** **

ทาน คือ การให้ ถ้ามีเงินทองมากก็ทำมาก
มีเงินน้อยก็ทำน้อยตามกำลังตนถ้าไม่มีเงินทอง
ใช้แรงกายก็ให้เป็นทานได้

** *** ** *** ** *** **

ศีล พวกท่านทั้งหลายสังเกตหรือไม่ว่า เวลาที่ญาติโยมจะมาทำบุญ
ทำไมพระท่านถึงให้พวกญาติโยมรับศีลก่อน
เพราะท่านต้องการที่จะทำให้ผู้ให้มีจิตใจที่บริสุทธิ์
เมื่อทำบุญขณะนั้นก็จะได้รับผลเต็มกำลัง
จริงอยู่ที่บางคนไม่อาจถือศีลได้ตลอดเวลา
อาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน ทำให้ต้องผิดศีล
แต่เราก็สามารถที่จะถือศีลได้ในขณะที่เรานอนในเวลากลางคืน
และถือได้ครบทั้ง 5 ข้อด้วย
เพียงแต่เราอาราธนารับศีลทั้ง 5 ด้วยตนเองที่หน้าพระพุทธรูปที่บ้าน
ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญที่ง่ายมากได้รับผลเต็มกำลัง
ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ จิตใจเต็มไปด้วยความเมตตากรุณา
แต่ถ้าเกิดเราต้องตายในขณะนั้นก็ส่งผลให้เราไปสู่สุคติทันที

** *** ** *** ** *** **

ภาวนา หรือ การสวดมนต์ คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่า
การภาวนาสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามาก
แต่ความจริงแล้วการสวดมนต์ภาวนา มีประโยชน์อย่างมากมาย
เพราะการสวดมนต์ภาวนา เป็นการกล่าวถึง
คุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
การสวดมนต์ภาวนาด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ
และใช้สติพิจารณาเกิดเป็นปัญญา เป็นความรู้ความเข้าใจ
ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์ภาวนา
ทำให้บรรลุไปสู่พระนิพพาน

** *** ** *** ** *** **

“ หัวใจของการทำบุญทุกครั้ง ”
ขอให้ญาติโยมจงแผ่เมตตา และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งตามนี้

** *** ** *** ** *** **

“ข้าพเจ้า ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปให้ทุกรูปทุกนามทั้ง 20 ชั้น
พรหมโลก 6 ชั้นเทวะโลก มนุษย์โลก มารโลก ยมโลก
อบายภูมิทั้ง 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
และในหมื่นโลกธาตุกับอีกแสนจักรวาลพิภพ ทั้งที่เป็นมนุษย์
อมนุษย์ รูปวิญญาณ อรูปวิญญาณและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ทั้งที่เป็นมิตรและศัตรู ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า
ขอให้ทุกรูปทุกนาม จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้ทุกรูปทุกนาม
จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้า
จะพึงได้รับ ณ กาลบัดนี้ด้วยเทอญ”
บุญที่ทำไปจะส่งผลให้ได้รับบุญในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้ากันหรอกนะจ๊ะ ...ขอเจริญพร

สมเด็จโต พรหมรังสี




“เวลาพิจารณา พิจารณาให้ช่ำชอง อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่าพิจารณาครั้งหนึ่งแล้วแล้ว ครั้งที่สองแล้วแล้ว พิจารณาจนเข้าใจไม่ว่าเรื่องอะไร หลายครั้งหลายหนมันเข้าใจเอง ไม่ใช่ว่าพิจารณาครั้งเดียวแล้วจะเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วก็ไม่เป็นปัญหา แต่นี้ส่วนมากไม่เข้าใจ ต้องพิจารณาจนเข้าใจ ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้

ในตัวของเรานี้ก็เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว ผลิตขึ้นมาซิสินค้าอันล้ำค่า มรรคผลทั้งสี่โลกุตระนั่น นอกเหนือไปจากใจนี้ที่ไหน ไม่นอก ปัดกวาดเช็ดถูชำระสะสางชะล้างภายในจิตใจของตนด้วยความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องมืออยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์กับกาลสถานที่หรือบุคคลใด ๆ เรื่องใด ๆ อันไม่ใช่เป็นเรื่องแก้กิเลสตัณหาอาสวะ แต่ให้คิดให้อ่านไตร่ตรองหรือมีสติสตังตลอดความเพียรหมุนติ้วเข้าในจุดที่จะแก้กิเลสอาสวะ จุดที่จะทำให้จิตใจมีความสงบร่มเย็น จุดที่จะแก้หรือถอดถอนกิเลสออกได้โดยลำดับ ๆ ด้วยความเพียร นี้เป็นความถูกต้องของการประกอบความเพียร”
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
๑๗ มีนาคม ๒๕๒๑



หลวงตามหาบัว
------------------------------------
การฝึกหัดจิตขั้นเริ่มแรกต้องทนฝืนเอาบ้าง การนั่งภาวนาจะได้ชั่วระยะเวลาเพียง ๑๕ นาที ก็ยังดีกว่าการไม่ยอมนั่งเสียเลยในขั้นเริ่มแรก ครั้งต่อ ๆ ไปก็จะค่อย ๆ เขยิบขึ้นไปถึง ๒๐ นาที ๓๐ นาที จนถึง ๑ ชั่วโมง หรือ ๒ ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น ตามแต่ความเคยชินของธาตุและความสงบของใจ ที่ค่อยก้าวขึ้นสู่ความละเอียดและเคยชินต่อหน้าที่ของตน
ขณะนั่งภาวนาโปรดทำความรู้สึกกับธรรมที่ตนนำมาบริกรรมภาวนา ดังได้อธิบายผ่านมาแล้ว โปรดยึดเอาตามหลักข้างต้นนั้น คือให้ทำความรู้สึกไว้กับธรรมโดยเฉาะอย่าให้เผลอส่งใจไปสู่อารมณ์อื่นที่ผ่านมาแล้วและยังไม่มาถึง แต่ให้มีความรู้สึกอยู่เฉพาะใจกับธรรมภายในใจเท่านั้น และทุก ๆ วาระที่ทำกรรมฐานภาวนา ร่างกายจะเริ่มมีความเคยชินต่อการนั่ง การเดินจงกรม ส่วนใจก็จะมีความเคยชินต่อการภาวนาในท่าอิริยาบถนั้น ๆ และจะเริ่มมีความสงบผ่องใสขึ้นมา มองเห็นความสงบสุขประจักษ์ใจ อันเป็นเครื่องปลูกศรัทธาความเชื่อมั่น วิริยะ อุตสาหะ ขันติ ความอดทน ขึ้นภายในใจ เนื่องจากปรากฏผลในเวลาบำเพ็ญ


ใจที่มีความสงบผ่องใสในระยะต้น จะค่อยแปรสภาพขึ้นสู่ความละเอียดเป็นลำดับ เพราะอาศัยการบำเพ็ญเป็นเครื่องหนุนไม่ขาดวรรคขาดตอน ฉะนั้นประโยคแห่งการบำเพ็ญเพียรทุกระยะ จึงเป็นเช่นเดียวกับปุ๋ยและน้ำ สำหรับหล่อเลี้ยงต้นไม้ หากขาดปุ๋ยและน้ำแล้วต้นไม้ย่อมไม่มีความสดชื่น และไม่มีผลโดยสมบูรณ์ ใจถ้าขาดความเพียรเครื่องสนับสนุนย่อมไม่เจริญก้าวหน้า นอกจากนั้นยังจะถอยหลังลงสู่ทางต่ำ จิตมีระดับต่ำลงเท่าไรก็ยิ่งเที่ยวกอบโกยเอาทุกข์มาให้เรามากเท่านั้น ทุกข์ข้างนอก ทุกข์ข้างใน และทุกข์ในที่ไหน ๆ ก็จะไหลมารวมอยู่ที่ใจดวงเดียว และจะกลายเป็นทะเลแห่งความทุกข์ขึ้นที่ใจ มองไปที่ไหน

โลกกว้างแสนกว้างก็จะกลายเป็นโลกคับแคบขึ้นมาที่ใจอันเป็นไฟทั้งดวง นั่งอยู่ก็ร้อน นอนอยู่ก็ร้อน มองไปที่ไหนก็ไม่เป็นที่เจริญหู เจริญตา เจริญใจ หาทางผ่อนคลายและระบายทุกข์ออกจากใจไม่ได้ จำต้องตัดสินใจไปในทางผิด เช่น ดื่มยาพิษ ฆ่าตัวตาย โดยวิธีต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะจิตมีระดับต่ำ เนื่องจากไม่ได้รับความเอาใจใส่โดยถูกทางเท่าที่ควร ขยับตัวออกทางใด จึงมีแต่ทุกข์คอยกลุ้มรุมอยู่รอบด้าน

ฉะนั้น การดัดแปลงจิตให้เป็นไปในทางที่ดีด้วยความเข้มแข็ง เราเป็นนักบวช ซึ่งเป็นเพศที่พร้อมอยู่แล้วทุกเวลา และเป็นพุทธศาสนิกชนที่ใคร่ต่อธรรม จึงควรถือเป็นข้อหนักแน่นในการฝึกทรมานจิต โปรดอย่ามองข้ามจิตดวงนี้ไปเสีย วันหนึ่งผ่านไปโปรดอย่าให้ผ่านไปโดยเปล่าจากประโยชน์ที่จะควรได้รับในวันนั้น ๆ ควรจะมีความเพียรเพื่อประโยชน์ภายในติดแนบอยู่ด้วยทุก ๆ วันหรือทุก ๆ เวลาก็ยิ่งเป็นการดี ใจเมื่อมีความสงบเป็นบาทฐานตามที่อธิบายผ่านมาแล้ว หากได้รับความเอาใจใส่จากการระวังรักษา ย่อมมีวันก้าวหน้าโดยลำดับ เพราะไม่มีโอกาสเล็ดลอดออกไปสั่งสมอารมณ์ที่เคยเป็นข้าศึกแก่ตนเอง และมีทางก้าวเข้าสู่ความสงบได้ตามเวลาที่ต้องการด้วย



"ความจริงทางภาคปฏิบัติธรรมแล้ว จิตจะทำงานอยู่ที่ตรงกลางคือทรวงอกของเรา จิตเป็นสมาธิก็เริ่มผ่องใสเริ่มสงบที่หัวอกของเรา ไม่ขึ้นบนสมองเหมือนภาคความจำเลย นี่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ"


เทศน์หลวงตา ถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
องค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกศินทร์ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๑

"ขณิกสมาธิ สงบเพียงเล็กน้อย สงบเพียงครู่หนึ่งยามเดียวแล้วถอนออกมาพอให้เสียดาย นี้ประการหนึ่ง

ประการที่สอง อุปจารสมาธิ พอจิตสงบตัวเข้าไปแล้ว ไม่ลงถึงฐานแห่งความสงบ กลับถอยตัวออกมาและไปรู้สิ่งต่างๆ จะเป็นรู้อะไรก็ตาม ทีแรกมักจะหลอกเสียก่อน แต่เป็นนิสัยอันนั้นจะต้องเป็นจะต้องรู้จะต้องเห็น จะต้องจริงจนได้เมื่อรู้จักวิธีปฏิบัติต่อความรู้ความเห็น ต่อสิ่งที่รู้ที่เห็นนั้นแล้ว คือเข้าไปแล้วถอยออกมาเที่ยวรู้นั้นรู้นี้เห็นนั้นเห็นนี้ ผิดบ้างถูกบ้างในขั้นเริ่มแรก เพราะเรายังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยปฏิบัติ

อัปปนาสมาธิ นั้นคือความแนบแน่นของใจ อยู่เฉยๆ ก็ตาม คือมีความมั่นคงอยู่ตลอด แม้เราจะคิดอ่านไตร่ตรองเรื่องใดอยู่ก็ตาม ทั้งๆ ที่เราไม่ได้เข้าสมาธิ แต่จิตนั้นมีความแน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูกอยู่ภายในตัวเอง ขอให้พูดเต็มปากเถิดว่าอยู่ในท่ามกลางอก ไม่ได้อยู่บนสมอง สมองนั้นเป็นที่ทำงานของความจำ แต่เรื่องความจริงทางภาคปฏิบัติธรรมแล้ว จิตจะทำงานอยู่ที่ตรงกลางคือทรวงอกของเรานี้

จิตเป็นสมาธิก็เริ่มผ่องใสเริ่มสงบที่หัวอกของเรา ผ่องใสมากน้อยเพียงไรเห็นอยู่ตรงนี้ๆ ไม่ขึ้นบนสมองเหมือนภาคความจำเลย นี่ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิ แม้ธรรมทุกขั้นทางภาคปฏิบัติจิตตภาวนา ก็จะพึงเกิดขึ้นเป็นขึ้นในท่ามกลางอกเช่นเดียวกันนี้แล ทั้งนี้ผู้ปฏิบัติจะพึงทราบด้วยตัวเอง"




" ทำบุญอย่ามักง่าย ขี้ข้างทางมันเหม็น ทำหยาบ ๆ ก็ได้บุญหยาบ ๆ ทำประณีตก็ได้บุญละเอียด ไม่ใช่ทำบุญแบบรีบ ๆ ไม่เตรียมตัว หาซื้อแต่ถังสังฆทานข้างทางโดยไม่เลือก เคยเปิดดูหรือไม่ว่าข้างในมีอะไร หาแต่กระดาษหนังสือพิมพ์ส่งไปให้เขา คนรับเขาจะได้รับอานิสงส์ผลบุญอะไร ให้เขากินหนังสือพิมพ์บ้อ อยากถวายอะไรเราก็เลือกซื้อใส่ถุงนำไปถวายพระท่านเลย งานศพก็อย่าไปหาบูชาผ้าไตรบังสุกุลจากที่วัด ห้ามเลย ไปแย่งทั้งพระแย่งทั้งคนตาย ญาติพี่น้องเขาทำบุญถวายพระให้คนตายแล้ว ไปแย่งเขามา พระก็ไม่ได้ใช้ ไปแย่งกันถึงสวรรค์ถึงนรก อย่าพากันหลงเป็นบ้า ให้ซื้อใหม่ตามกำลัง จะทำบุญเอาหน้าหรือเอาบุญ
หลวงปู่ประไพร สุภโร
วัดป่าไพรรัตนวณาราม บ้านหลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี





"อย่าเป็นพวกมอดเจาะหนังสือ แทะเลียเล็มกินอยู่นั่น อ่านเป็นแนวทางแล้วก็วางกันลงบ้าง บางคนถามอะไรรู้หมด ตอบได้หมด เพราะหาจำแต่คำของคนอื่นมาอวดเล่าให้คนฟัง แต่ไม่เคยลงมือปฏิบัติ นั่นมันรู้ไม่จริง คำพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในหนังสือนั้นมาจากการภาวนา พิจารณาสังขารของท่านเอง เราอย่าไปหลงเข้าใจผิิด ว่าเราจะไปเห็นเหมือนท่าน มันไม่เหมือนกัน หาของเจ้าของให้มันได้เด้อ "
หลวงปู่ประไพร สุภโร
วัดป่าไพรรัตนวณาราม บ้านหลุบหวาย ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี





หลวงตามหาบัว
-----------------------------------
จิตเป็นของกลาง ๆ จะว่าดีทีเดียวก็ยังไม่ใช่ จะว่าชั่วทีเดียวก็ยังไม่เชิง แต่จิตจะดีหรือชั่วได้ ต้องอาศัยสิ่งผสมให้เป็นต่าง ๆ จิตจะเป็นไปตามสิ่งที่มาคละเคล้านั้น ๆ เช่นจิตได้รับความเดือดร้อนขุ่นมัว อย่าเข้าใจว่าเป็นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ แท้จริงอารมณ์นั้นแลเป็นตัวก่อเหตุก่อน ผลคือความเดือดร้อนจะเกิดขึ้น เราไม่สามารถจะทราบกระแสของจิตที่คิดเป็นตัวก่อเหตุ จนปรากฏผลคือความเดือดร้อนแสดงเปลวขึ้นมา จึงจะทราบว่าตนเป็นทุกข์ ถ้าสังเกตดูเรื่องของเราโดยเฉพาะทุกเวลาไม่ว่าอิริยาบถใด เฝ้าคอยสังเกตดูจิตของตนจะเคลื่อนไหวไปสู่อารมณ์อยู่ทุกขณะแล้ว ต้องทราบเรื่องของจิตที่คิดไปในทางดีและชั่วโดยแน่นอน


เมื่อทราบแล้วก็มีทางจะปรับปรุงใจที่คิดไปในทางผิดนั้น ให้วกกลับเข้ามาในทางที่ถูก ผลก็จะปรากฏเป็นความสุขเย็นใจขึ้นมา เพราะความสุขก็มิได้เกิดขึ้นมาอย่างลอย ๆ โดยปราศจากเครื่องส่งเสริม แต่ต้องมีสาเหตุเป็นเครื่องหนุนเช่นเดียวกับทางชั่ว ดังนั้น การปฏิบัติธรรมทุกวิถีทางที่เราตะเกียกตะกายขวนขวายบำเพ็ญกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นสาเหตุอันดีที่จะเสริมจิตให้มีกำลังทั้งด้านสมาธิ คือความสงบ และด้านปัญญาคือความฉลาดแยบคาย ด้วยการสอดรู้ใจของตนที่เรียกว่า อบรมภาวนา

การอบรมภาวนาถ้าจะเทียบแล้วจิตเป็นเหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุก จำต้องบำรุงลำต้นของต้นไม้ที่ทรงผลนั้นให้สมบูรณ์ เพื่อที่จะมีกำลังและส่งอาหารไปหล่อเลี้ยงดอกผลของมันให้แก่และสุกขึ้นมาโดยสมบูรณ์ การอบรมจิตก็จำต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัติ และการภาวนาเป็นเครื่องบำรุงส่งเสริม จิตจะได้มีกำลังขึ้นเป็นลำดับ เมื่อได้ปุ๋ยข้างนอกซึ่งได้แก่ข้อวัตรปฏิบัติ ปุ๋ยภายใน ได้แก่การอบรมภาวนาซึ่งบำเพ็ญทุกเวลา เมื่อใจได้รับการบำรุงจากปุ๋ยที่ชอบ ย่อมแสดงผลให้ปรากฏและค่อยเปลี่ยนแปลงความรู้ความเห็น และความเป็นอยู่ของตนไปในทางดีทีละเล็กละน้อย จนเห็นได้ชัดทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน

ดังนั้น ทุกท่านโปรดทราบเสมอว่าเรื่องของจิตจะไปในทางที่ดีได้ ต้องอาศัยปุ๋ย คือความเพียรพยายามเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเหมือนกัน ต้นผลไม้ชนิดต่าง ๆ ถ้าขาดอาหารเป็นเครื่องบำรุงก็มีการเหี่ยวแห้งอับเฉาลง ไม่มีความสดชื่น ถ้าได้รับอาหารที่ถูกกับชนิดที่มันต้องการก็เจริญเติบโตขึ้น ใจถ้าขาดความเพียรเครื่องบำรุงโดยถูกต้อง ก็มีอาการหดหู่ไม่ผ่องใส และแสดงอาการคึกคะนองไปนอกลู่นอกทาง เพราะฉะนั้น จึงมียาที่เรียกว่าธรรมโอสถไว้สำหรับแก้ความคะนองของใจเป็นประจำ เช่นเดียวกับยาประจำบ้าน จะไปไหนต้องถือติดตัวไปด้วย ผู้ปฏิบัติต่อใจก็ต้องมีธรรมเป็นยาประจำบ้าน ไปที่ไหน อยู่ที่ใด ต้องมีธรรมติดตัวไปด้วยเสมอ

ผู้เหินห่างจากธรรมไม่ค่อยจะได้รับความเจริญทางใจ ใจมักเป็นลมเสมอ ทำให้หน้ามืดตามัว ทำให้โกรธหงุดหงิด ผูกอาฆาตมาดร้ายหมายปองโทษ โกรธแล้วแก้ไม่ค่อยตก จะทำให้เป็นเดือดเป็นแค้นและร้อนใน สุมอยู่ตลอดเวลา หาทางระบายออกได้ยาก ถ้าได้คิดและติดกับอารมณ์หรือสิ่งใดแล้ว ไม่ว่าทางรัก ทางชัง ไม่ค่อยมียาแก้เพื่อหาทางออก แต่กลับส่งเสริมให้มีกำลังมากขึ้น ถ้าเทียบกับโรคก็เป็นโรคชนิดไม่มีทางแก้ไขให้หายได้

แต่ผู้มีธรรมในใจซึ่งเคยอบรมมาเป็นประจำ พอมีทางออกและเอาตัวรอดไปได้ เพราะคำว่า ธรรม ก็คือกุญแจไขทุกข์นั่นเอง ผู้มีธรรมจึงมีทางแก้ไข หรือระบายทุกข์ออกได้ด้วยอุบายต่าง ๆ ไม่ฝังจมโดยถ่ายเดียว เพราะธรรมดาโรค ไม่ว่าโรคในกายหรือในจิต ถ้ามียาแก้ถูกกับสมุฏฐานของโรคแล้ว ย่อมมีทางหายได้ ยาและหมอจึงเป็นหลักชีวิตของโลกที่จำต้องอาศัยในคราวจำเป็นดังกล่าวแล้ว



หลวงตามหาบัว
-----------------------------------
การปฏิบัติบำเพ็ญทุก ๆ ประโยคในหน้าที่ของตน โปรดดำเนินไปด้วยความสนใจและเข้มแข็ง วาระจิตใดที่คิดขึ้นมาเพื่อเป็นการตัดรอนความเพียร จะเป็นคิดเรื่องนอกก็ตาม คิดเรื่องภายในก็ตาม อย่าปล่อยให้ความคิดประเภทนั้นสั่งสมตนเองขึ้นมาจนมีกำลังมาก จะสามารถกางกั้นการดำเนินซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่ตนมุ่งอยู่แล้วนั้นให้ลดน้อยลงไป หรือให้ล้มละลายไปเสีย คำว่า ข้าศึกนั้น โดยมากเป็นเรื่องของเราก่อเรื่องใส่ตัวเอง มิใช่โลกธาตุ หรือรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายมาเป็นข้าศึกต่อเราโดยท่าเดียว แต่เป็นเรื่องของจิตไปทำการเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นต่างหาก จึงนำเรื่องทุกข์เดือดร้อนมาให้เรา


เพราะสภาพเหล่านั้นเป็นของมีอยู่แต่ดั้งเดิม ก่อนพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติและตรัสรู้ สภาพทั้งหลายมีความปรากฏขึ้น ตั้งอยู่และแปรสภาพผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปวนกันมาอยู่อย่างนั้น ไม่เคยสิ้นสูญไปจากโลกแต่กาลไหน ๆ มา แต่จิตที่คิดเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น แล้วยึดถือมาเป็นอารมณ์ของใจ ทำให้เกิดความรักชอบในสิ่งนั้น ๆ แล้วติดพันอยู่กับใจบ้าง ทำให้เกิดความเกลียดชังในสิ่งนั้น ๆ แล้วถือเป็นอารมณ์เกิดความขุ่นมัวแก่ตน กลายเป็นความทุกข์แก่ตนบ้าง ที่เรียกว่าจิตก่อเรื่องใส่ตัวเอง จึงหาความเยือกเย็นไม่ได้

การอบรมจิตเพื่อได้รับความสงบสุขนั้นได้แก่ การพิจารณาสภาวธรรมที่ใจเคยเกี่ยวข้อง และรักชอบนั้นให้รู้ตามสภาพความจริงของเขา ทั้งพิจารณาให้รู้ตามเรื่องของใจที่ไปเกี่ยวข้องแต่ไม่มีผลดีเกิดขึ้น นอกจากจะทำความรำคาญ หรือเดือดร้อนแก่ตนเปล่าเท่านั้น จิตก็จะมีอุบายปัญญาเปลี่ยนความรู้สึกออกจากสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นข้าศึกนั้น ๆ ย้อนกลับเข้ามาเป็นความรู้อยู่โดยลำพังตนเอง ที่เรียกว่าความสงบ ใจที่มีความสงบเช่นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ใด ๆ ทรงตัวอยู่ตามสภาพของความรู้โดยมิได้พึ่งพิงอาศัยกับสิ่งใดทั้งนั้น นี่ท่านเรียกว่าความสงบสุขของใจ ไม่มีสิ่งใดจะทำใจให้กระเพื่อมในเวลานั้น แม้ใจก็ไม่เขย่าตัวเองด้วยความคิดปรุง เพราะการคิดปรุงต่าง ๆ ทำให้จิตเกิดความกระเพื่อมซึ่งหาความสุขไม่ได้

ฉะนั้น จิตที่เคยเห็นผลแห่งความสงบมาแล้ว มีแต่จะพยายามกลั่นกรองจิตของตนออกจากอารมณ์ทั้งหลายที่ตนเห็นว่าเป็นข้าศึกเป็นลำดับ ใจที่ทวนกระแสออกจากอารมณ์ย้อนเข้ามาสู่ความสงบแล้ว กาลนั้นแลเป็นเวลาที่จิตจะรู้เรื่องของตัว แม้ความสงบก็เด่นชัดในเวลานั้น ความแปลกประหลาด และอัศจรรย์ที่ไม่เคยผ่านมาทั้ง ๆ ที่เป็นของมีอยู่ในจิตนี้ก็จะได้รู้ได้เห็นในขณะนั้น ถ้าจิตไม่เคยสงบจากอารมณ์ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาตราบใด จิตจะหาความสุขไม่ได้ตราบนั้น แม้การปฏิบัติพระศาสนาก็จะเชื่อเพียงคาดคะเน ซึ่งเป็นของเอนเอียงและล้มละลายไปได้อย่างง่ายดาย

แต่ความเชื่อที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติดัดแปลงใจให้หายพยศไปเป็นขั้น ๆ นั้น ย่อมเป็นสักขีพยานของใจอย่างสำคัญที่เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติรู้เห็นเองโดยไม่ไปเชื่อและถามใคร แต่เป็นความเชื่อมั่นในความรู้ ความเห็น และความเป็นอยู่ของตนอย่างแจ้งชัดในเวลานั้น นี้เป็นธรรมที่เป็นสื่อสัมพันธ์ให้ใจได้รับความเชื่อมั่น ความดูดดื่ม และเป็นธรรมที่ส่งเสริมความเพียรพยายามให้หนักแน่นต่อการบำเพ็ญ เพื่อธรรมขั้นสูงและละเอียดขึ้นไปเป็นลำดับ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO