นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 10:09 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: ความยึดมั่นถือมั่น
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 11 ก.ค. 2015 4:27 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
# โอวาทธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท #
ความยึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา ก็เหมือนการแบกก้อนหินหนักเอาไว้ พอคิดว่าจะปล่อย "ตัวเรา" ก็เกิดความกลัวว่า ปล่อยไปแล้วก็จะไม่มีอะไรเหลือ เหมือนกับที่ไม่ยอมปล่อยก้อนหินก้อนนั้น
แต่ในที่สุดเมื่อปล่อยมันไปได้ เราก็จะรู้สึกเองถึงความเบาสบายในการที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น



บุคคลที่ไม่มีธรรมะต้องเป็นทุกข์ เพราะมันจะรักนั่น เกลียดนี่ โกรธโน่น กลัวนั่น ยุ่งไปหมด มันคิดจนเป็นทุกข์ มันคิดไปในทางที่ให้เป็นทุกข์ นี่เพราะไม่มีธรรมะ
พุทธทาสภิกขุ




...ที่มันหนักเพราะเรากำเอาไว้...
ไอ้นี่ก็ของข้า ไอ้นั่นก็ของข้า....
เจ้าด่าแม่ข้า เจ้าว่าพ่อข้า....
เจ้าดูถูกข้า มีแต่ข้าๆ......
ความจริงข้าๆ นี่มันไม่ได้ฆ่าใคร ฆ่าเราเอง
ดังนั้น เราต้องมากำจัดความถือตัวถือตนของเราออกไป...
~หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล~




โลกนี้มีแต่การส่งเสริม ให้สนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ จนลืมความถูกต้อง ลืมความกตัญญู ลืมความสามัคคี ลืมความซื่อสัตย์อย่างที่เคยมีมาแต่ก่อน ปัญหาข้างหน้ามันจะมีมากนัก เพราะมันมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น เพราะการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์
พุทธทาสภิกขุ





“กองทุกข์”

ถาม เดี๋ยวนี้คนสมัยใหม่ อยากแต่งงานแต่ไม่อยากมีลูก ปู่ย่าตายายต้องเอาเงินมาล่อ ให้ ๑ ล้านบ้าง ๒ ล้านบ้าง เป็นผู้หญิงผู้ชายก็ได้

พระอาจารย์ : เกิดมาแล้วก็ต้องมีปัญหาต่างๆตามมา ถ้าไม่เกิดก็จะสบาย ถ้ามีลูกก็มีกองทุกข์เพิ่มขึ้นอีกกองหนึ่ง ร่างกายนี้เป็นกองทุกข์ เราอยู่ตามลำพังก็ทุกข์พอสมควรแล้ว ต้องไปหากองทุกข์มาเพิ่มอีกกอง หาภรรยาหาสามีมาแบกทุกข์ แล้วก็ต้องหาลูกมาเพิ่มอีก แล้วก็หาหลานมาเพิ่มอีก เป็นกองทุกข์ตามมา เพราะไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์ พอเกิดแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เกิดแล้วก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ เลี้ยงดูร่างกาย มีแต่ภาระ มีแต่เรื่องให้ทำอยู่ตลอดเวลา ความสุขที่ได้จากร่างกายก็เป็นความสุขชั่วคราว สุขประเดี๋ยวประด๋าว ต้องคอยเติมอยู่เรื่อยๆ ถ้ามีความสุขกับการสูบบุหรี่ก็ต้องสูบเรื่อยๆ มีความสุขกับดื่มสุราก็ต้องดื่มเรื่อยๆ มีความสุขกับการกระทำอะไร ก็ต้องทำอยู่เรื่อยๆ เวลาไม่ได้ทำก็ทุกข์ อยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉยๆไม่ได้ เพราะไม่รู้วิธีอยู่ให้เป็นสุขอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงสอนก็จะอยู่อย่างนี้ ต้องดิ้นรนต่อสู้ ตะเกียกตะกาย เช้าก็ออกจากบ้านเพื่อไปหาเงิน พอได้เงินมาก็ตะเกียกตะกายใช้เงินกัน พอเงินหมดก็หาอีก หาเงินใช้เงินไปจนวันตาย ก็มีเท่านั้น ไม่มีความสุขที่แท้จริง เพราะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ตรงไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร ความสุขที่ถาวรนี้มีอยู่แต่หากันไม่เจอ หากันไม่เป็น


ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงสอนก็จะไม่มีใครหาพบ ถึงแม้ได้ทรงสอนแล้วก็ยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้ มีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถปฏิบัติตามได้ เพราะจะต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เคยกินอยู่แบบนี้ ต้องเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง เช่นเคยอยู่ในวังก็ต้องไปอยู่ในป่า เคยมีอาหารครบถ้วนบริบูรณ์ก็ต้องออกไปขอเขา อาศัยความเมตตาของผู้อื่น แล้วแต่เขาจะให้อะไรมา ก็กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน กินไปตามมีตามเกิด ที่ต้องไปอยู่ในป่าก็เพราะว่าเป็นที่ ที่จะทำให้เกิดความสงบทางจิตใจ ถ้าอยู่ในบ้านเมืองนี้จะมีเรื่องราวต่างๆคอยกวนใจ ทำให้ใจไม่สงบ ใจไม่สงบก็จะไม่มีความสุขที่แท้จริง ก็ต้องอาศัยความสุขแบบยาขมเคลือบน้ำตาล สุขเดี๋ยวเดียว แล้วก็มีความทุกข์ตามมา เวลาอยากจะมีความสุขแต่ไม่สามารถจะมีได้ เช่นสูบบุหรี่ เวลาบุหรี่หมดไม่มีบุหรี่สูบจะหงุดหงิด สูบไปก็จะทำให้ชีวิตสั้นลง มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน เป็นความทุกข์ที่จะตามมา จึงต้องพยายามปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติให้ได้ อยู่แบบพระพุทธเจ้า ลองซ้อมอยู่แบบคนจนสักวันหนึ่ง ถือศีล ๘ อดข้าวเย็น ปิดโทรทัศน์ปิดเครื่องบันเทิงต่างๆ ให้อยู่กับความว่าง กับความไม่มีอะไร ไม่ต้องทำอะไรทั้งวัน ให้ดูแลรักษาร่างกายอย่างเดียว แล้วก็ควบคุมใจ ทำใจให้สงบ

อุบายของการทำใจให้สงบก็มีหลายวิธี สวดมนต์ไปก็ได้ บริกรรมพุทโธๆไปก็ได้ ใจจะคิดได้ทีละอย่าง ถ้าบังคับให้คิดเรื่องนี้ ก็จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ ถ้าสวดมนต์ไปเรื่อยๆ จะไปคิดเรื่องอื่นไม่ได้ ก็จะสงบได้ เพราะการสวดมนต์จะทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน สวดมนต์ไปหรือบริกรรมพุทโธไป ไม่เช่นนั้นก็บังคับใจให้อยู่ในปัจจุบัน อย่าให้ไปอดีตไปอนาคต ไปที่โน่นไปที่นั่น ให้อยู่ในปัจจุบัน อยู่ที่ร่างกาย อยู่กับการทำงานของร่างกาย อย่าไปคิดเรื่อยเปื่อย ถ้าหยุดความคิดได้แล้ว เวลานั่งสมาธิก็จะสงบง่าย นั่งหลับตาแล้วก็ดูลมหายใจ อย่าไปคิดเรื่องอื่น ลมหายใจก็จะพาใจเข้าสู่ความสงบ พอสงบแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร สงบได้นานก็ยิ่งดี ถ้าสงบไม่นานก็ต้องทำให้สงบให้นานให้ได้ ใหม่ๆแรกๆจะสงบเดี๋ยวเดียว วูบลงไปแล้วก็ถอนออกมา เด้งออกมา แต่จะได้สัมผัสกับความสงบความว่าง จะทำให้มีศรัทธามีความยินดีที่จะหาความสุขแบบนี้ให้มากขึ้น เพราะเป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ความสุขที่เกิดจากความสงบ เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขทั้งหลาย พอได้พบกับความสงบแล้วก็จะติดใจ จะพยายามทำให้มีมากขึ้น ก็ต้องถือศีล ๘ บ่อยขึ้น ตอนต้นก็ถืออาทิตย์ละวัน พอได้สัมผัสกับความสงบแล้วก็จะถือไปทุกวันเลย มีภารกิจการงานอะไรที่ไม่สำคัญก็ตัดไป ถ้าพอมีพอกินแล้วก็หยุดทำงาน ถ้าบวชได้ก็บวช บวชแล้วจะได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ ทำใจให้สงบได้ตลอดเวลา ถ้าทำอย่างนี้อยู่ไปก็กำไร ทำไปจนกว่าความสุขจะมีเต็มเปี่ยมภายในใจ และมีอยู่ตลอดเวลา

ตอนต้นความสุขจะได้เป็นพักๆ เพราะไม่ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ถ้าปฏิบัติอย่างต่อเนื่องความสุขก็จะต่อเนื่อง จนมีความสุขตลอดเวลา พอถึงเวลานั้นก็จะสบาย หมดปัญหา ไม่มีความทุกข์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะมีความสงบรักษาใจไม่ให้ถูกเหตุการณ์ต่างๆมาทำให้ทุกข์ ถ้ามีความสงบที่เกิดจากการนั่งสมาธิ แล้วก็มีปัญญามาคอยรักษา ความสงบก็จะคงอยู่ไปตลอด ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็จะเฉยได้ ใครชมก็เฉยได้ ใครด่าก็เฉยได้ ได้สมบัติมาก็เฉย สูญเสียสมบัติไปก็เฉย ได้อะไรมาก็เฉย เสียอะไรไปก็เฉย ร่างกายจะแก่จะเจ็บจะตายก็เฉย เฉยแล้วสบาย ไม่ต้องไปยุ่งกับร่างกาย ถึงเวลาจะตายก็เฉย ถ้าไม่ยุ่งกับร่างกายแล้วใจจะไม่เดือดร้อน อย่าไปอยากให้ร่างกายอยู่ต่อไป อย่าไปอยากให้ร่างกายหายเจ็บ อยู่กับความเจ็บไป เจ็บก็อยู่กับเจ็บไป ตายก็อยู่กับตายไป ถ้าเฉยได้แล้วไม่เป็นปัญหา ปัญหาอยู่ตรงที่เฉยไม่เป็น

พระพุทธเจ้าจึงต้องทรงสอนให้เฉย ทำทานก็เหมือนเสียทรัพย์ไปเสียเงินไป เวลาเสียเงินไปจะเสียใจ เวลาได้เงินมาจะดีใจ ตอนนี้ก็มาฝึกให้เสียเงิน ถ้าเสียด้วยความสมัครใจ เสียด้วยความยินดีจะไม่เสียใจ ทำไมเวลาซื้อข้าวของที่เราอยากได้ เราเสียใจไหม วิธีที่จะแก้ปัญหาเรื่องการใช้เงินที่ไม่จำเป็น ก็คือเวลาที่อยากจะซื้ออะไร ก็ซื้อมา แล้วก็เอาไปให้คนอื่น ถ้าอยากจะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ซื้อมาเลย แล้วก็เอาไปให้คนอื่น จะได้มีความสุข ๒ ต่อ เวลาซื้อก็มีความสุข เวลาเอาไปให้คนอื่นก็มีความสุข แต่มักจะไม่คิดอย่างนั้นกัน ถ้าซื้อให้เราจะยินดี ถ้าซื้อให้คนอื่นไม่ยอมซื้อ นอกจากมีเหตุการณ์ เช่นวันปีใหม่ วันเกิดอย่างนี้ จึงต้องหัดเฉยกับการสูญเสียสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เรารักมากสิ่งหนึ่งก็คือเงินทอง สิ่งที่เรารักมากกว่าเงินทองคืออะไร ก็คืออวัยวะต่างๆ แล้วสิ่งที่เรารักมากกว่าอวัยวะคืออะไร ก็คือชีวิต พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้สละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แล้วก็ให้สละชีวิตเพื่อรักษาความสงบ รักษาธรรมะ ธรรมะก็คือความสงบ เพราะความสงบมีคุณค่ายิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้ที่มีความสงบแล้วสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ สละทรัพย์ได้ สละอวัยวะได้ สละชีวิตได้ เพราะความสงบจะทำให้ไม่สะเทือนใจกับการสูญเสียสิ่งต่างๆไป

จึงต้องมาหัดทำใจให้เฉยกับการสูญเสียด้วยการสละทรัพย์ แล้วก็มารักษาศีล อย่าทำบาป เพราะทำบาปจะทำให้ใจวุ่นวาย ทำบาปแล้วจะมีความหวาดกลัว ไม่สบายใจ กลัวจะต้องไปรับผลบาป ถ้าไม่ทำบาปก็จะไม่มีความหวาดกลัว ไม่วิตกกังวล ใจก็จะสงบ ทำให้นั่งสมาธิได้ไม่ยาก ก่อนจะนั่งสมาธิก็ต้องเจริญสติก่อน ควบคุมความคิดไม่ให้คิดเรื่องราวต่างๆ คิดแต่บทสวดมนต์ หรือคิดแต่พุทโธๆไป หรือให้ให้คิดอยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น คือเฝ้าดูร่างกายทุกเวลานาที เฝ้าดูการกระทำของร่างกาย พอมีเวลาว่างก็นั่งหลับตา เพื่อให้ใจเข้าสู่ความสงบได้อย่างเต็มที่ พอสงบแล้วก็ปล่อยให้สงบไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ พอถอนออกมา ถ้าอยากจะรักษาความสงบต่อไปก็ทำได้ ๒ วิธี คือ ๑. ควบคุมความคิดต่อไป อย่าให้คิดอะไร พุทโธๆต่อไป สวดมนต์ต่อไป หรือเฝ้าดูการกระทำของร่างกายต่อไป ๒. ใช้ปัญญาควบคุมใจไม่ให้กระเพื่อม ถ้ามีปัญญาจะรู้ว่าเหตุที่ทำให้ใจกระเพื่อมก็คือความอยากต่างๆ เวลาเกิดความอยากใจจะไม่สงบ จะกระวนกระวายกระสับกระส่าย ตอนนั้นก็ต้องใช้ปัญญาเข้ามาหยุดความอยาก ให้เห็นว่าสิ่งต่างๆที่อยากได้ไม่เป็นความสุข เป็นความทุกข์ ถ้าเห็นว่าเป็นความทุกข์ก็จะไม่อยากได้ แต่จะไม่เห็นกัน เพราะไม่เห็นความไม่เที่ยง ได้มาแล้วเปลี่ยนไป เวลาเปลี่ยนไปก็ไม่สุขแล้ว เวลาได้ของมาใหม่ๆจะสุข เวลาเปลี่ยนไปหรือเสียไปก็ไม่สุขแล้ว เราไม่เห็นตรงนั้น จึงต้องพิจารณา ถ้าเขาจากไปก่อนที่เราจะพร้อมให้เขาจากไป เราก็จะทุกข์ใจ ตอนนี้ไม่มีอะไรก็อยู่แบบไม่มีอะไรดีกว่า ทุกข์แบบไม่มีอะไรดีกว่า ถ้ามีปัญญาก็จะหยุดความอยากได้ ก็จะหายทุกข์ จะตั้งอยู่ในความสงบได้

นี่คือการปฏิบัติเพื่อรักษาความสงบของใจ ให้อยู่กับเราไปตลอด ลองไปทำดู พระพุทธเจ้าทำมาแล้ว พระสาวกทำมาแล้ว ได้ผลเหมือนกัน คือได้ความสบายใจ ไม่ทุกข์กับเรื่องอะไร ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่ เพราะไม่มีตัวผลักดันให้ไปเกิด ตัวผลักดันก็คือความอยากนี้เอง ไม่มีความอยากแล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่อยากจะไปไหน ถ้ามีความอยากจะอยู่ไม่ได้ ต่อให้อยู่ในวังก็อยู่ไม่ได้ ต่อให้มีคฤหาสน์มีทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ก็จะเบื่อ อยากจะออกไปข้างนอก ถ้าใจสงบแล้วจะไม่อยาก จะเฉยๆ ไปก็ได้ แต่ไม่ได้ไปเพราะความอยาก ถ้ามีเหตุให้ไปก็ไป เช่นไปหาหมอ มีธุระต้องไปก็ไป แต่ไม่ได้ไปด้วยความอยาก นี่คือเหตุผลที่เราควรจะอยู่กัน อยู่เพื่อทำใจให้สงบ ถ้าอยู่เพื่อทำตามความอยากก็อย่าอยู่ จะขาดทุน เพราะมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้มีมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง

ปัญหาของพวกเราก็คือปฏิบัติกันน้อยไป ผลก็เลยไม่ค่อยปรากฏ ถ้าปฏิบัติให้มากขึ้น ผลก็จะมากขึ้นไปตามลำดับ ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการปฏิบัติ อย่างที่พระพุทธเจ้าที่ได้ทรงทุ่มเท พระพุทธเจ้าเป็นแบบฉบับที่ดีที่สุดของพวกเรา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ถ้ายึดแบบฉบับของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ ก็จะได้ผลเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงได้รับ แต่พวกเราไม่เอาพระพุทธเจ้าเป็นแบบฉบับกัน ชอบเอากิเลสเป็นแบบฉบับกัน ยังอยากเที่ยว ยังอยากกิน ยังอยากดื่ม ยังอยากหาความสุขจากสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงมีมาแล้ว มีปราสาท ๓ ฤดู มีทุกสิ่งทุกอย่างในทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ อันประณีตอันละเอียดอันวิเศษ ที่มนุษย์สามารถจะสรรหามาได้ ทรงมีมาแล้ว แต่ทรงสละไปหมด เพราะทรงเห็นว่าเป็นยาพิษมากกว่าเป็นยารักษาใจ ทำให้ใจเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เป็นเหมือนยาขมเคลือบน้ำตาล เวลาอมเข้าไปใหม่ๆก็หวาน พอน้ำตาลที่เคลือบหายไปก็เหลือแต่ความขม รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นอย่างนี้

เพราะไม่เที่ยง เป็นความสุขที่ไม่เที่ยง สุขเดี๋ยวเดียว สุขแล้วก็หายไป เหลือแต่ความว้าเหว่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ทำให้ต้องหาความสุขแบบนี้ใหม่ เช่นมีสามีมีแฟน เวลาเลิกกัน แล้วทำอย่างไรต่อไป ก็ต้องหาแฟนใหม่ หาสามีหาภรรยาใหม่ แทนที่จะเข็ด ว่าเวลาจากกันแล้วมันทรมานใจเหลือเกิน กลับไม่เห็นอย่างนั้น กลับไปเห็นว่าถ้าไม่มีคนนี้ก็ต้องหาคนใหม่มาทดแทน หากี่คนก็เหมือนกัน หาคนใหม่มาเดี๋ยวเขาก็จากเราไปอีก นี่คือความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นอย่างนี้ ต้องหามาทดแทนอยู่เรื่อยๆ เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดแล้วดับไป หามากี่ภพกี่ชาติแล้ว ก็หารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้กัน พวกที่มาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เป็นพวกที่ยังติดกามคุณ ๕ ติดรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แล้วก็ไม่ต้องสอนด้วย เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องสอนเลย เรื่องทำทานนี้ต้องสอน เรื่องรักษาศีลนี้ต้องสอน เรื่องภาวนานี้ต้องสอน แต่เรื่องหาแฟนนี้ไม่ต้องสอน เดี๋ยวนี้เด็กอายุ ๑๒ ขวบก็หาแฟนกันแล้ว เพราะมันฝังอยู่ในใจ คือกามตัณหา ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรสนี้ มันฝังอยู่ในใจ ติดมากับใจ เวลาตายจากร่างกายร่างก่อน ความอยากนี้ก็ยังฝังอยู่ในใจ พอมีโอกาสเมื่อไหร่ก็จะหาแฟนทันที หาแล้วก็มีความทุกข์ตามมา

เวลาอยู่ด้วยกันถ้ามีความเห็นไม่ตรงกัน ก็จะทุกข์ จะทะเลาะกัน ถ้ามีแฟนคนนี้แล้วแต่ยังอยากจะได้อีกคนหนึ่ง ก็แอบไปหาอีกคนหนึ่ง พออีกคนรู้เข้าก็เสียใจ ก็อาจจะฆ่ากันตายหมด นี่คือความทุกข์ที่ตามมา ถ้าไม่มีแฟนอยู่คนเดียวได้ก็จะสบาย ถ้าอยากจะอยู่คนเดียวก็ต้องทำใจให้สงบ ต้องภาวนา สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม บริกรรมพุทโธๆไป ก็จะควบคุมความอยากได้ พอใจสงบแล้วก็จะเย็นสบายมีความสุข ไม่หิวไม่อยาก ก็ต้องพยายามรักษาความสงบต่อไป ด้วยการนั่งสมาธิต่อ หรือใช้ปัญญาสอนใจ ให้เห็นว่าความสุขแบบอื่นไม่ดี ความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ดีที่สุด ความสุขที่ได้จากความอยากต่างๆนี้ไม่ดี เพราะมีความทุกข์ตามมา มีปัญหาต่างๆตามมา พอมีครอบครัวก็จะมีลูก มีภาระต้องเลี้ยงลูก ต้องเหนื่อยยาก ถ้ามีความสงบแล้วก็จะอยู่คนเดียวได้ ได้กำไรไม่ขาดทุน ถ้ามีครอบครัวก็จะขาดทุน ต้องดิ้นรนหาเงินหาทองมาเลี้ยงดูกัน ต้องทุกข์ต้องผิดหวังเวลาลูกไม่ดี

จึงควรเห็นโทษของรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ให้เห็นว่าเป็นยาพิษ ไม่ใช่เป็นขนมหวาน เป็นยาขมเคลือบน้ำตาล หวานเดี๋ยวเดียว ใหม่ๆก็หวานดี พอนานเข้าไปความหวานก็จางหายไป อยู่กันแบบทนกันอยู่ ถ้าอยู่กันไม่ได้ก็ต้องหย่าร้างกันไป ไปหาคนใหม่ หาคนใหม่ก็แบบเดียวกัน ถ้าหาความสุขแบบนี้ ก็จะต้องเจอกับความทุกข์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ตายจากชาตินี้ก็ต้องไปเกิดใหม่ เพื่อไปหาความสุขแบบนี้ใหม่อีก ถ้าทำใจให้สงบได้ก็จะหยุด ไม่ต้องไปหาอะไร มีความสุขในตัวเรา ไม่ต้องไปหาความสุขข้างนอก ความสุขในตัวเรานี้เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่จะอยู่กับเราไปตลอด การไม่กลับมาเกิดก็ไม่ได้หมายความว่าเราหายไปไหน เราก็ยังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเราไม่ต้องมีร่างกายมาเป็นภาระ มาเป็นเครื่องมือหาความสุขให้กับเรา เหมือนคนที่ไม่ต้องออกนอกบ้านก็ไม่ต้องมีรถ ถ้ามีทุกสิ่งทุกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ในบ้าน มีความสุขกับการอยู่ในบ้านแล้ว ก็ไม่ต้องมีรถ คนที่มีรถเพราะว่ายังต้องออกไปนอกบ้าน คนที่ไม่ออกไปนอกบ้านไม่มีรถ ก็ไม่ได้สูญหายไปไหน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ท่านก็ยังอยู่ อยู่เหมือนกับเราอยู่นี่แหละ เพียงแต่ท่านไม่มีร่างกายมาเป็นภาระ ท่านไม่ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ จึงไม่ต้องกลัวว่าปฏิบัติไปแล้ว พอไม่มีความอยากแล้วเราจะอันตรธานหายไป สูญไป ไม่ใช่อย่างนั้น.
กัณฑ์ที่ ๔๔๘ วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (จุลธรรมนำใจ ๓๑)
“ความหลงทำให้ยึดติด”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต




#‎สัมมาทิฏฐิ‬
‪#‎ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ‬ ตอน ๔๐
‪#‎พระราชนิพนธ์‬ ของ ‪#‎สมเด็จพระญาณสังวร‬
ครั้งที่ ๔ ความรู้จักอริยสัจจ์ ๔


รู้จักว่าทุกข์เป็นทุกข์นั้น
นอกจากที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
ตามที่ได้แสดงแล้ว ก็กำหนดให้รู้จักว่า

ทุก ๆ สิ่งที่ได้จะเป็นลาภ เป็นยศ เป็นอะไรก็ตาม
ที่ได้นั้นชื่อว่าเป็นการได้ที่เป็นความตั้งต้นของความพลัดพราก.

เพราะฉะนั้น เมื่อได้ก็ดีใจ รู้สึกเป็นสุข
แต่ความดีใจความสุขนั้นตั้งอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว.
และเมื่อสิ่งที่ได้นั้นต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปดับไป
เมื่อมีความยึดถืออยู่ว่าเป็นตัวเราของเรา
ยึดถือไว้เท่าไรก็ต้องเป็นทุกข์มากเท่านั้น.
ยึดถือมากก็ทุกข์มาก ยึดถือน้อยก็ทุกข์น้อย.
ไม่ยึดถือเลยจึงจะไม่เป็นทุกข์.

เพราะฉะนั้น ก็ต้องศึกษาให้รู้จักว่า ทุกข์ก็เป็นทุกข์
รู้จักว่าสิ่งที่ได้จะเป็นลาภเป็นยศก็ตาม
เป็นความสุขเป็นความรื่นเริง เป็นความหัวเราะ
ความบันเทิงต่าง ๆ นั่น เป็นตัวทุกข์ เป็นตัวทุกข์ทุก ๆ อย่าง

เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิด ต้องดับ
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรที่จะดำรงอยู่.

หัดรู้จักทุกข์ รู้จักตัวทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์ดังนี้
และความที่กำหนดให้รู้จักทุกข์ว่าเป็นตัวทุกข์ดั่งนี้
ก็พึงหัดกำหนดให้รู้จักทุก ๆ อย่าง
ที่ประสบทางอายตนะทั้งสิ้น แม้ตัวความสุข
ความร่าเริง ความเพลิดเพลินต่าง ๆ เอง

ก็กำหนดให้รู้จักว่า นั่นแหละก็เป็นตัวทุกข์
เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ.

สิ่งทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งของความสุข
ความเพลิดเพลินเหล่านั้นก็เป็นตัวทุกข์
เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ
ทำความรู้เท่าไว้ตั้งแต่ในเบื้องต้น.

เมื่อจะมีความสุขก็มีความสุขไป
มีความเพลิดเพลิน มีความร่าเริง
มีความหัวเราะ ก็หัวเราะไป ร่าเริงไป เพลิดเพลินไป.

แต่ในขณะเดียวกันก็ทำความรู้เท่าทันไว้ด้วยว่า
นั่นคือตัวทุกข์ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเกิด ต้องดับ
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป.


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO