นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 3:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: กรรมเก่า
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 15 ม.ค. 2014 5:11 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4542
กรรมเก่าไม่มีใครลบล้างได้ กรรมปัจจุบันจะช่วยเจ้าเอง..(สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี) .....จงจำไว้ลูกเอ๋ย...! กรรมที่ทำด้วยเจตนาไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ย่อมมีผลต่อผู้กระทำทั้งสิ้น ไม่มีพรหมเทพองค์ใดช่วยเจ้าลบล้างกรรมนั้นได้เจ้าต้องช่วยเหลือตนเอง ด้วยการสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ผลแห่งบุญ อันเป็นกรรมปัจจุบันนี้ จะช่วยเจ้าเอง อานิสงส์การสวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา จะทำให้ลูกรู้แจ้งในคำสอนของพระพุทธองค์ กายจะมีความสงบ ช่วยระงับความทุกข์ร้อน จิตจะเบิกบาน อิ่มเอิบใจมีความสุข ยามนอนหลับ เจ้าก็เป็นสุขไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของมนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ยามที่ตื่นก็เป็นสุขมีหน้าตาผ่องใส มีสง่าราศี อันตรายจากภัยพิบัติใดๆย่อมทำอันตรายไม่ได้ด้วยมีเทพพรหมมารักษา เมื่อจะตายย่อมไม่หลงลืมขาดสติสัมปชัญญะ แม้ดวงตายังไม่เห็นธรรมแต่ต้องตายจากโลกนี้เสียก่อน จะได้ไปเกิดเป็นถึงชั้นพรหมเลยนะลูกเอ๋ย

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ ผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้
"เข้าใจจากตํารา เข้าใจจากการปฏิบัติ เข้าใจจากผล
ของการปฏิบัติที่เกิดขึ้นกับตนเอง"

จิตของมนุษย์จะมีตัวรู้กันทุกคน "รู้จากเรื่องที่หยาบ
ไปจนถึง รู้จากเรื่องละเอียด"จากกิเลสอย่างหยาบ
จนไปถึง หมดสิ้นกิเลส

จิตที่มีกิเลส มันจะขวางกั้นตัวรู้ ทําให้จิตไม่สามารถ
เกิดการหยั่งรู้ จิตจึงไม่สามารถเลื่อนระดับขั้นขึ้นได้
"ความโลภไปกั้นตัวรู้"
"ความโกรธไปกั้นตัวรู้"
"ความหลงไปกั้นตัวรู้"
เรื่องอะไรที่จะทําให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้
"ศีล สมาธิ ปัญญา จะทําให้เราเข้าใจอย่างถ่องแท้"

"ผู้ใดรักษาศีล" จะไม่เกิดตกตํ่ากว่าภพภูมิมนุษย์
จะเป็นที่รักของมนุษย์และจะเป็นที่รักของเทวดา

#ศีล เป็นขั้นเบื้องต้นที่ทําให้เรารู้จักความอดทน รู้จักการฝืน
รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักสงบกาย รู้จักสงบวาจา รู้จักสงบใจ

"ผู้ใดมีสมาธิ" จิตของผู้นั้นจะมีกําลังของความสงบ เรียกว่า
"ฌาน" ความสงบของจิต เปรียบได้กับตัวยับยั้งกิเลส
ตัวยับยั้งอารมณ์ทั้งหลาย แต่ยังไม่สามารถจะกําจัดกิเลส
กําจัดอารมณ์ให้มันหมดสิ้นไปได้

"ผู้ใดมีปัญญา" ถึงจะเป็นผู้รู้อย่างถ่องแท้
ปัญญาทําให้เราเลิกโลภ
ปัญญาทําให้เราเลิกโกรธ
ปัญญาทําให้เราเลิกหลง

"การที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้ แสดงว่าปัญญาได้เกิดขึ้นกับเรา"
#ปัญญา จะทําให้จิตของเราหลุดพ้น คือ จิตปล่อยวาง นั่นเอง



-"ปริยัติ" เป็นชื่อเรียกคำสอนทั้งปวงที่พระพุทธเจ้า
ทรงบัญญัติไว้
- "ปฏิบัติ" ปฏิบัติตนตามนัยที่พระองค์ทรงสอนไว้
-"ปฏิเวธ" เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองภายในใจของ
ผู้ปฏิบัติ เป็นของเฉพาะแต่ละบุคคล ไม่ใช่ของเกิดได้ใน
สาธารณะทั่วไป

"ปริยัติ"เกิดมาจาก"ปฏิเวธ "
"ปฏิเวธ"จะเกิดได้เพราะ"การปฏิบัติ"

ถ้าไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ถึงปฏิเวธ เมื่อไม่มีปฏิเวธ
#ก็คือไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็บัญญัติไม่ถูก(บัญญัติ ก็คือ ปริยัติ)
บัญญัติไม่ถูก ก็ไม่มีปริยัติ

#นักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ยึด"ปริยัติ"เป็นทางแห่งความสําเร็จ
เพราะ "มันง่าย" อ่านจบ คือ เข้าใจแล้ว รู้แล้ว จนลืมไปว่า
ยังมี "ปฏิบัติ กับ ปฏิเวธ"

"ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ เราจะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้"

ทุกวันนี้ เราปฏิบัติธรรมกันแบบไหน? ส่วนใหญ่แล้ว
เรารู้แต่ปริยัติ แต่ไม่เคยนําไปปฏิบัติ จนเกิดปฏิเวธ คือ
เกิดผลของการที่เรานําไปปฏิบัติ

#เมื่อเรารู้แต่ปริยัติ คือตำราคำสอนมันเป็นแค่แนวทางเท่านั้น
"ไม่ใช่ผลสําเร็จ" ธรรมะของแท้ เราต้องดูที่ผลที่มันเกิดขึ้น
กับจิตใจของเรา
"เราโลภน้อยลงไหม?
เราโกรธน้อยลงไหม?
เราหลงน้อยลงไหม?"

ผลที่เกิดขึ้นกับเรา จะเป็นคําตอบให้กับเราได้ทุกเรื่อง
นั่นคือ "ปฏิเวธ"

ธรรมะออกจากใจ (ฉบับย่อ)โดยหลวงตามหาบัว
“ในครั้งพุทธกาลท่านเป็นแบบเป็นฉบับจริงๆ บวชเข้ามาเพื่อความพ้นทุกข์จริงๆ ไม่ว่าจะออกมาจากสกุลใด ชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่อก้าวเข้ามาสู่วงกาสาวพัสตร์แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนหมด ความคิดความปรุงการพูดการจา กิริยาความเคลื่อนไหวไปมาต่างๆ หมุนเข้าเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้งนั้น



ไม่ได้หมุนเพื่อไปเป็นกิเลส เพราะท่านสลัดมาแล้ว และท่านก็มุ่งหน้ามุ่งตาต่อการบำเพ็ญ เพื่อชำระสะสางกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของท่านให้จางลงไปๆ ด้วยความพากเพียร



สติติดแนบกับตัว ดูหัวใจเจ้าของตลอดเวลา นี่ชื่อว่าผู้มีความเพียร ในอิริยาบถใดก็ตามถ้ามีสติกำกับใจอยู่ เรียกว่าเป็นความเพียรทุกๆ อิริยาบถ จะเดินจงกรมไม่เดินจงกรมความเพียรคือสติจับกันกับจิตซึ่งเป็นตัวภัย ออกมาจากกิเลสปรุงแต่งออกมานั้น จับตลอดเวลาไม่ละเว้น



นี่คือผู้มีความเพียร นอกจากนั้นจะพิจารณาทางด้านปัญญาแยบคายไปในแง่ใดภูมิใด สติก็ไม่ปราศจาก มีสติครอบอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นความเพียรทั้งด้านสติทั้งด้านปัญญากำหนดอยู่นั้น โลกอันนี้เหมือนไม่มี เพราะโลกนี้เป็นโลกของกิเลสทั้งมวล ไม่ว่าสัตว์ตัวใดบุคคลใดสร้างแต่กิเลสเข้าสู่ภายในใจ เผาลนจิตใจให้รุ่มร้อนทั่วถึงกันหมด นี่เป็นเรื่องของกิเลส



เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้คิดออกไปหาเรื่องโลกเรื่องสงสาร เพราะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ให้คิดเข้ามาสู่จิตใจดูจิตใจ ผู้ที่จะเสาะแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนจงมีสติทุกเวลา เพราะอำนาจของกิเลสผลักดันออกไปนั้นมันมีอยู่ทุกขณะๆ จึงไม่ให้มันคิดออกไป



ผู้กำหนดคำบริกรรมภาวนาที่ยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์เป็นสมาธิเลย ก็ให้ถือคำบริกรรมภาวนานั้นเป็นหลักเกณฑ์ ด้วยสติตั้งติดแนบอยู่กับคำบริกรรมที่ติดกันอยู่กับความรู้นั้น นี่เรียกว่าผู้มีความเพียร ไม่ปล่อยปละละเลยไปไหนเลย นี่เรียกว่าความเพียร ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ผมได้ดำเนินมาอย่างนี้”



“คำบริกรรมอย่าปล่อย ปล่อยไม่ได้ ฟัดกันให้เต็มเหนี่ยวเลย ยืน เดิน นั่ง นอน อย่าไปสนใจ ยิ่งกว่า"สติ"กับ"จิต"กับ"คำบริกรรม"ให้ติดแนบกัน เมื่อถึงขั้นที่"จิตสงบ"เด่นดวงแล้ว คำบริกรรมก็ค่อยจางไปเอง ถือความเด่นดวงของความรู้นั้นเป็นจุดที่ตั้งของสติ จับอยู่ตรงนั้นเรื่อยๆ เลย ทีนี้ได้หลักเข้าไปเรื่อยๆ ความสงบนั้นก็จะแน่นเข้าไปเรื่อย เพราะสติจ่อตลอดแทนคำบริกรรมอันแน่นหนามั่นคง



จากนั้นให้พิจารณาทางด้านปัญญา

เมื่อจิตสงบแล้วจิตย่อมอิ่มตัว ไม่อยากคิดถึงทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ซึ่งเคยวุ่นวายก่อกวนเรามาเป็นเวลานานแล้ว พอมีสมถธรรมคือความสงบเป็นอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ใจก็ได้ดื่มความสงบนี้แล้วไม่คิดวุ่นวายกับอารมณ์ภายนอก เรียกว่าอิ่มอารมณ์



ทีนี้พาพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์แยกสกลกายทุกสัดทุกส่วน ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก พิจารณาไปหมดในสรรพางค์ร่างกายของเรา จะเป็นร่างกายภายนอกภายในได้ทั้งนั้น ขอให้สติจับตลอดเวลาก็แล้วกัน”



“เมื่อมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการพิจารณา เพราะการพิจารณานี้เป็นงานของจิตทางด้านปัญญา ย่อมทำงานตลอดไป เมื่อทำงานมากๆ แล้วย่อมมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ถอยเข้ามาพักในทางสมาธิเพื่อเอากำลัง



จิตเมื่อเข้าสู่สมาธิแล้วย่อมปล่อยวางงานทั้งหลายเข้าสู่ความสงบตัวสบายเย็น ปล่อยวางภาระ เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามเวลานั้น อยู่กับความสงบนั้นเสียไม่ต้องยุ่งกับงาน เวลาให้สงบให้สงบจริงๆ ไม่ต้องยุ่ง อย่าให้มาเกี่ยวข้องกันเวลาให้สงบ ให้สงบจริงๆ นี้เรียกว่าสมาธิ พอตัวแล้วถอยขึ้นมาพิจารณาทางด้านปัญญาอีก ทีนี้ไม่ต้องยุ่งกับสมาธิ”



“ทีนี้เมื่อชำนาญถึงขนาดนั้นแล้ว เอา ตั้งขึ้นดูมัน ต้นเหตุของอสุภะมาจากไหน ให้ตั้งเอาไว้ตรงนั้นให้เพ่งดู มันจะเคลื่อนไหวไปไหนให้ดู นี่ละตัวสำคัญที่จะจับเงื่อนมันได้ เอาตรงนี้เป็นจุดสุดท้ายของการพิจารณาร่างกาย เมื่อชำนาญเต็มที่แล้วให้เอามาตั้งไว้ที่หน้าเรานี้ คือไม่ทำลาย



ถ้าเป็นกองอสุภะก็ให้มันเป็นกองอสุภะอยู่นั้น ให้จ้องดู ความเคลื่อนไหวของอสุภะที่ประจักษ์อยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้ มันจะเคลื่อนไหวไปไหน เอ้า จ้องดูอยู่นั้นมันจะเคลื่อนไปที่ไหน เอา พิจารณาให้ชัดเจน ถ้ายังไม่ชัดเจนพิจารณาอีก เอาจนกระทั่งแตกกระจัดกระจายเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา



เมื่อพิจารณามีความชำนาญแล้วตั้งอีกดูอีก กำหนดดูความเคลื่อนไหวของมัน มันจะไปไหนมาไหน เอาจนกระทั่งถึงรู้ต้นเหตุของมันว่าออกมาจากไหน อสุภะอสุภังนี้ออกมาจากไหน ใครเป็นผู้มาปรุงมาแต่ง ใครเป็นผู้มาสำคัญมั่นหมายว่าเป็นสุภะอสุภะ จับไว้ให้ดี แล้วมันจะหมุนเข้าสู่ใจทีเดียว นั่นละรากฐานที่จะ"ถอนกามกิเลสถอนตรงนี้นะ"



พอกำหนดเข้าไปแล้วมันจะหมุนตัวเข้ามาเอง โดยไม่มีใครบอกก็ตาม ไหลเข้ามาสู่ใจ ตรงนี้ละตรงที่จะตัดสินกันระหว่างกามกิเลสกับเรื่องของร่างกาย จะตัดสินกันที่ตรงนี้”



“เอาขั้นนี้ให้ดีนะ กายคตาสติอย่าปล่อย เอาให้หนักให้ทำงานกับอันนี้ ออกจากนั้นให้เข้าสู่สมาธิ ตั้งหน้าตั้งตาทำ จากนั้นปัญญาอัตโนมัติจะไม่ต้องบอกแหละ



เริ่มตั้งแต่ขั้นกามกิเลสขาดสะบั้นลงไป ปัญญาอัตโนมัตินี้จะหมุนตัวเป็นเกลียวลื่นไปเลย ได้ยับยั้งเอาไว้นะความเพียรขั้นนี้ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ส่วนขั้นกายคตาสติ การพิจารณาอสุภะอสุภังนี้เป็นปัญญาชุลมุนวุ่นวาย จะว่าอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติ มันก็ชุลมุนของมันด้วยความ ชำนิชำนาญในสุภะอสุภะนั้นโดยลำดับลำดา หมุนติ้วกันอยู่ในนั้น จะว่าอัตโนมัติก็ไม่ผิด แต่ธรรมไม่ได้สนใจแล้วว่าอัตโนมัติไม่อัตโนมัติ ให้สิ่งเหล่านี้ได้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจแล้วเป็นที่พอใจ”



“พิจารณาอสุภะอสุภัง เอากิเลสตัวนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เสร็จแล้วแล้วนะ มันหากฝึกซ้อมไปในตัวของมันเอง ฝึกซ้อมเรื่องกามกิเลสทั้งๆ ที่มันรู้แล้วขาดสะบั้นไปแล้วก็ตาม มันเอานี้ฝึกซ้อมเสียก่อน นิมิตนอก นิมิตในมันเอามาฝึกซ้อมภายในจิตใจ จนกระทั่งนิมิตนี้ไม่มีเหลือ ส่วนร่างกายนี้มันหมดปัญหาของมันไปแล้ว แต่ยังมีนิมิตอันหนึ่งที่อยู่ภายในจิต ที่จะให้เป็นเครื่องเล่นของปัญญาขั้นนี้ ให้กามกิเลสนี้ละเอียดลออสุดขีดเข้าไป ขั้นลำดับที่สอบได้มี เช่นอย่างเราสอบได้ ๕๐% เรียกว่าสอบได้ นี้ขั้นกิเลสขาดลงไป ๕๐% ได้แล้วที่นี่ ระดับของอันนี้จะละเอียดเข้าไป เหมือนที่ว่าอนาคามี นั่นละละเอียดขึ้นไปอย่างนั้น



"อนาคามี"คือผู้สิ้นกาม ความละเอียดลงไปอีกโดยลำดับ ฝึกซ้อมอันนี้ให้ละเอียดลงไปๆ เรื่อยๆ ถึงขั้นกามกิเลสที่สิ้นไปแล้ว นิมิตอันนี้เป็นเครื่องฝึกซ้อมจิตให้มีความชำนิชำนาญในด้านนามธรรม ทีนี้อะไรเกิดขึ้นมาๆ เมื่อเวลาเราพิจารณาทางนิมิตอันนี้หมดจริงๆ แล้วมันไม่มีนะ นิมิตตั้งขึ้นพับดับพร้อมๆ ตั้งขึ้นมันก็รู้เลยว่าตั้งขึ้นไปจากภายในใจ ไปเป็นภาพอะไรขึ้นมามันก็ออกจากภายในใจ มันรู้แล้วๆ ทีนี้ดับลงๆ จิตก็มีแต่ความว่างว่างๆ เรื่อย สัญญาอารมณ์คิดปรุงขึ้นมาอะไรก็ดับพร้อมๆ ตามกันไปเรื่อยๆ นี่ละเชื้อไฟคือสัญญาอารมณ์เกี่ยวกับเรื่องนามธรรม เป็นเชื้อไฟส่วนนี้ สติปัญญาตามต้อนเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าถึงจุดใหญ่ อย่างนั้นซิพิจารณา



อะไรเกิดขึ้นที่ไหนมันก็ออกมาจากจิตๆ ไม่ว่าปรุงดีปรุงชั่วหมายอะไรๆ มันก็ออกมาจากจิตๆ ตามเข้าไปก็ไปถึงจิตๆ ก็เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็เข้าถึงจิตจุดใหญ่ล่ะซิ มันออกมาจากอันนี้ๆ หมุนเข้าไปก็ถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา โอ๋ ตัวใหญ่จริงๆ อยู่ที่ตรงนั้น นั่นเห็นชัดเจน เข้าไปถึงนั้นแล้วก็พังกันลงตรงนั้นเลย อ๋อ มันเข้าตรงนี้ๆ พิจารณาเข้าในจุดนั้น จุดที่มันเกิดของสัญญาอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อพิจารณาเข้าไปตรงนั้นก็ถึงจุดนั้นๆ พังกันลงแล้วขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถามหาทำไมนิพพาน ก็อันนี้เองปิดนิพพาน พอเปิดจ้าขึ้นมาแล้ว นิพพานถามหาอะไร”



“พอมาถึงขั้นผึงกิเลสพังขาดสะบั้นลงไป เหลือแต่ธรรมชาตินี้ล้วนๆ แล้ว อ๋อ ที่เราเคยคาดว่านิพพานเห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขาดสะบั้นไปหมดเลย อันนี้กับนิพพานที่เราคาดนี้กับธรรมชาตินี้เข้ากันไม่ได้เลย แต่ก็ให้ชื่อว่านิพพานนั้นแหละ จากนั้นก็แยกไปอีก ให้มันถนัดใจจริงๆ แล้วคือว่าเป็นธรรมธาตุแล้ว จิตอันนี้เป็นธรรมธาตุ พระพุทธเจ้ากระเทือนหมดทั่วแดนโลกธาตุ เป็นอย่างเดียวกันนี้ เป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้ว พระอรหันต์องค์ไหน ตรัสรู้ปึ๋งเข้าไปเป็นธรรมธาตุอันเดียวกัน”



“ธรรมชาติที่เป็นอยู่ในหัวใจของเรานี้กับคำว่า"นิพพาน" นิพพานนั้นรู้สึกว่าหยาบมากนะ ธรรมชาตินี้คาดไม่ได้เลย แต่ก็ต้องเอาชื่ออันนั้นละมาใส่ มหาวิมุตติ มหานิพพานเลยเป็นเรื่องหยาบไปหมดเลยถ้าว่า"ธรรมธาตุ"อย่างนั้น เอ้อ เข้ากันได้สนิทนะ นี่มันประจักษ์ในหัวใจ พอว่าธรรมธาตุเท่านั้นเข้ากันได้สนิทหมด บรรดาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ สาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายทุกๆ องค์ พอถึงขั้นนี้แล้วปั๊บเป็น"ธรรมธาตุ"ด้วยกันหมด แต่ก็ต้องใช้ชื่อเพราะโลกนี้มีสมมุติก็ต้องชื่อว่านิพพานหรือมหาวิมุตติ มหานิพพาน แต่ถ้าว่าธรรมธาตุไม่ค่อยมีใครพูด เราถอดออกมาพูดโดยไม่สงสัย อ๋อ นี่ธรรมธาตุแล้วเป็นอย่างนี้นี่ละผลของการปฏิบัติ”


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย

ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ

ขอเชิญร่วมงานบุญปิดทอง 9 วัด กับวัดโพธิ์ใหญ่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
และร่วมไถ่ชีวิตโคกระบือ สักการะพระธาตุ และพระที่วัด ณ วัด โพธิ์ใหญ่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO