นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 5:37 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 24 ก.ย. 2013 6:04 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
การนอนเป็นเวลา การตื่นเป็นเวลา
การรับประทานเป็นเวลา ทำอะไรให้ตรงต่อเวลา
ก็ให้มี"สัจจะ"ไว้ในใจว่า เราจะทำอะไรให้มันจริงใจ
สักอย่างหนึ่ง ให้เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของใจ
นี่คือแผนการสร้างพลังจิตพลังใจ ...

การทำอะไรเป็นเวลาตรงไปตรงมา
เป็นการสร้าง"สัจจบารมี" ถ้าใครมีสัจจะความจริงใจ
มีสัจจบารมี ใกล้ต่อการตรัสรู้ ถ้าขาดสัจจะความจริงใจ
แล้วยังห่าง"พระพุทธเจ้า"แปลว่า "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"

ผิดรู้ตัวว่าผิด ถูกรู้ตัวว่าถูก ไม่โกหกใคร
ผิดรับไปตามผิด ถูกรับไปตามถูก นั่นเป็นการสร้าง
"สัจจบารมี" เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายก็ควรจะได้ฝึก
ตัวเองให้มีสัจจบารมีบ้างจะได้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตน้อยนิดนี้

"มีสติ ฝึกภาวนา เป็นอริยทรัพย์
ติดตัวไปได้หลายหมื่นชาติ
ส่วนทรัพย์สมบัติทางโลก
ชาติเดียวยังเอาไปไม่ได้ "

"ถ้าไม่มีทุกข์ ก็ไม่ต้องปฏิบัติออกจากทุกข์
มันมีทุกข์ จึงต้องปฏิบัติออกจากทุกข์
เราหนีทุกข์ หรือให้ทุกข์หนีจากเรา
เรารู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็หนีเราเอง
ถ้าเราไม่รู้เท่าทุกข์ ทุกข์ก็ไม่มีวันหนี"


ปัญหาธรรมของฆราวาสผู้ครองเรือน

ผู้ถาม: “หลวงพ่อครับ ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี...่ยวน้ำใจกันและกัน เหมาะที่จะปฏิบัติสำหรับฆราวาส ควรจะใช้ธรรมข้อใดครับ...?”

หลวงพ่อ: “ความดีที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวนำใจกันและกันนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเพื่อฆราวาสปฏิบัติ ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุ คือการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันมี ๔ ข้อด้วยกันคือ

๑. ทาน การให้ การแบ่งปันของที่มีและพอจะมีให้แก่กัน ได้แก่ ผู้ที่ขาดแคลน ถึงแม้จะไม่ครบถ้วน แต่ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักแก่ผู้ได้รับ

๒. ปิยวาจา คือ พูดเพราะ อ่อนหวาน ทำให้ผู้รับฟังสบายใจเป็นเหตุให้เกิดความรัก ความสบายใจอีกอย่างหนึ่ง

๓. สมานัตตตา ไม่ถือตัวเกินไป ทำตนเสมอ ไม่รังเกียจซึ่งกันและกันโดยฐานะ โดยตระกูล โดยความรู้ เป็นต้น เมื่อไม่ถือตัว วางตัวสนิทสนม ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ความสามัคคี

๔. อัตถจริยา ช่วยงานที่เพื่อนทำไม่ไหว ด้วยความเต็มใจจะสงเคราะห์ ไม่ทวงความดีที่ทำให้ อย่างนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักความสามัคคี

เมื่อต่างคนต่างรัก สนิทสนมกัน ด้วยอาศัยเหตุ ๔ ประการนี้ ต่างก็มีความสุข ความสบายทั้งกายและใจ”

อัดสาทะ

ความเที่ยงแท้ ก็คือความ ไม่เที่ยงแท้
มันผันแปร ไม่จีรัง ดังใจหมาย
เ...วไนยะฯ ที่เกิด แก่เจ็บตาย
หลงงมงาย เพราะความเขลา เมากามา

อัดสาทะ ยั่วยวน ชวนให้หลง
ใจหลงงม มัวเมา เคล้าตัณหา
ไม่รู้หลับ ไม่รู้ตื่น คลื่นมายา
หลงกามา จึงเวียนวน ไม่พ้นไป

อัดสาทะ ล่อหลอกไว้ ไม่ให้รู้
คนเลือกอยู่ ข้างหลับ นับไม่ไหว
เพราะทนต่อ สิ่งยั่วยวน ชวนติดใจ
ดั่งปลาใหญ่ ปลาเล็ก งับเบ็ด เอย…

อันความจริง ตัวเรา นั้นสมมุติ
หาที่สุด ไม่ได้แน่ แค่มั่นหมาย
แม้...ตัวตน ที่เกิดดับ นับมากมาย
ใช่ความตาย เพราะตัวเรา นั้นเขลาไป

ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นจริง สิ่งสมมุติ
ไหลไม่หยุด ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย
เกิดปรุงแต่ง รวมหมวดหมู่ อยู่เรื่อยไป
ไม่หยุดไหล เพราะยึดมั่น ว่านั่น “เรา”

การรู้แจ้ง(ตรัสรู้) มีได้ทั้งการปฏิบัติตามหลักวิชชาหรือระเบียบปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงวางหลักอันเป็น ระเบียบปฏิบัติไว้ และ มีได้ทั้งการรู้แจ้ง(ตรัสรู้)ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

ปัญหาของนักปฏิบัติหรือนักศึกษาธรรม ในชั้นหลังๆนี้ก็คือ การยึดติดในรูปแบบของวิธีการปฏิบัติ ทั้งๆที่วิธี...การปฏิบัติมีไว้เพื่อให้ปฏิบัติ ไม่ใช่มีไว้ให้ยึด ซึ่ง วิธี ก็เปรียบได้กับบันไดและราวบันได คือมีไว้ใช้เพื่อข้ามพ้นไปให้ได้ พ้นจากอะไร? ก็พ้นจากความเห็นผิด จากอวิชชา ความไม่รู้ตามเป็นจริงของสิ่งทั้งปวง

รู้อย่างไรถึงจะเรียกได้ว่ารู้แจ้งเห็นจริง ? ก็รู้ในสิ่งที่ควรรู้ (อริยสัจ4) คือ รู้ทุกข์ รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ความสิ้นไปแห่งทุกข์ รู้หนทางแห่งความพ้นทุกข์

วิธีการปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งมีทั้งการปฏิบัติตามหลักวิชชาและการรู้แจ้งได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อความเข้าใจในเรื่องวิธีการนี้ จะอธิบายด้วยการอุปมา

พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสรู้เป็นพระองค์แรก ท่านมีความเมตาที่จะช่วยผู้อื่นให้รู้แจ้ง(ตรัสรู้) ตามท่าน และผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมก็มี หลายจำพวกเปรียบเสมือนบัวหลายเหล่า ดังนั้น จึงมี วิธี หลายหลากตามจริตนิสัยของผู้ที่ต้องการรู้แจ้ง(ตรัสรู้) แต่หลักๆก็แบ่งได้ สองทาง คือวิธีตามหลักวิชชาและวิธีตามธรรมชาติ

เมื่อผู้ที่สนใจใฝ่ศึกษาธรรมเปรียบเสมือนเหล่าบัวที่หลากหลาย เข้ามาศึกษาธรรม พระพุทธองค์ท่านก็แสดงธรรมตามความเป็นจริง ให้ฟัง ไว้เป็นกลางๆ อย่างเช่น "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ"

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลง พวกเหล่าบัวพ้นน้ำก็รู้แจ้งได้ทันที ว่าสิ่งทั้งปวงยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ว่าง(สุญตา) ซึ่งมัน ว่าง อยู่แล้ว ที่มันไม่ว่างเพราะการดิ้นรนของเราเองจากความไม่รู้(อวิชชา)ตามเป็นจริง

ธรรมชาติฝ่ายสังขตธรรมทั้งหลายไม่มีตัวมีตนที่เที่ยงแท้ เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา แต่ธรรมชาติ อสังขตธรรม(สุญตา) นั้นไม่มีเกิดไม่มีดับเป็นเช่นนั้นของมันเองอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่ยึดหรือเอาอะไรมันก็แสดงความเป็นเช่นนั้นของมันเอง(ตถาตา)ทันที แม้เราจะดิ้นรนปรุงแต่งมันก็ไม่เคยหายไปไหนจากเราแม้เพียงนิด

เมื่อก่อนไม่รู้ ไม่เห็นก็เพราะหลงไปดิ้นรนยึดนั้นคว้านี้คิดว่าสิ่งต่างๆภายนอก อันเป็นสังขตธรรมคือธรรมอันมีเกิดมีดับ มาเป็นตัวกูของกู ด้วยความเข้าใจผิดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะทำให้ตนเองนั้นมีความสุข

เปรียบเสมือนเด็กที่ไปเล่นกับไฟเพราะความไม่รู้ (อวิชชา)ว่าไฟมันร้อน จึงถูกไฟมันเผาไหม้ได้รับความทุกข์ทรมาน บัดนี้มีบัณฑิตมาชี้ให้เห็นถึงความจริง ว่ามีอยู่เป็นอยู่อย่างไร เมื่อรู้ความจริง(วิชชา) ก็ปฏิบัติต่อสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องได้ถูกต้อง และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เรียกว่ามี(สัมมาทิฏฐิ) นี่คือ การรู้แจ้งด้วยวิธีธรรมชาติ

ส่วนเหล่าบัวที่ยังไม่พ้นน้ำนั้น แม้จะได้ยินได้ฟังพระธรรมเทศนาเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่เข้าใจยังไม่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง คือยังไม่ยอมรับความจริง เพราะความเคยชินในการยึดถือมันมากและหนาแน่น

พระพุทธองค์ท่านจึงต้องใช้วิธีการให้ไปปฏิบัติ อุปมาเปรียบเสมือนกับท่านจะให้เรารู้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธรรมแท้ๆอันเป็นความว่าง(สุญตา) นั้นเป็นอย่างไร เมื่อท่านแสดงธรรมท่านจึงตรัสให้เห็นถึงสิ่งที่มีการเกิดการดับ อันเป็นฝ่ายที่ตรงกันข้าม

แต่เหล่าบัวใต้น้ำอย่างเราๆก็ยังไม่เข้าใจ ท่านจึงต้องใช้เทคนิคหรือวิธีให้เหล่าบัวใต้น้ำอย่างเราๆนั้น ออกไปยืนเต้น เดินเต้น นั่งเต้นและนอนเต้น แล้วแต่ใครจะถนัด ยืน เดิน นั่งหรือนอนเต้น เลือกเอาตามที่ตนชอบตนถนัด ต่างคนต่างก็เต้นกันอยู่อย่างนั้น ตามที่พระพุทธองค์ท่านให้ปฏิบัติ

จนเหนื่อยแทบขาดใจ บางคนถึงกลับเป็นลมหรือสลบไปก็มี พระพุทธองค์ท่านก็มีความเมตาตรัสถามว่า รู้แล้วหรือยังว่า "ความสุขที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี" หลังจากที่ผ่านการเต้นมาแล้วอย่างโชกโชน จนเกือบตาย เหล่าบัวใต้น้ำทั้งหลายก็ รู้แจ้งตามความเป็นจริง (ตรัสรู้) เป็นการรู้แจ้งอย่างเดียวกันกับพวกเหล่าบัวพ้นน้ำทั้งหลายก่อนหน้า คือ เห็นธรรมชาติทั้งหลายตามความเป็นจริง ต่างกันก็แต่ต้องอาศัย วิธี การเพิ่มเติมเข้ามาเท่านั้น

การปฏิบัติธรรมก็เปรียบเสมือนการไปเต้นไปดิ้นรนเพื่อให้รู้ให้เห็นถึงความจริงว่า การเต้นการดิ้นรนนั้น ไม่มีทางที่จะทำให้เรามีความสุข มีความสงบ มีความว่างได้ แต่อย่างใด แต่ก็ต้องไปเต้นไปดิ้นรน

เพราะสติปัญญาของเหล่าบัวใต้น้ำอย่างเรานั้นมันน้อย จึงต้องอาศัยวิธีการ ปฏิบัติตามหลักวิชชา ถึงจะรู้แจ้งใน ธรรม ทั้งหลายตามความเป็นจริงได้ นี่คือ วิธีการปฏิบัติตามหลักวิชชา

ธรรมฝ่ายสังขตธรรม มัน เกิดแล้วมันก็ดับ เป็นไปตามกฎของเหตุปัจจัยของมันเองอยู่แล้ว ไม่มีความมีตัวมีตนอะไรอยู่แล้ว การปฏิบัติเพื่อจะแยกสิ่งนี้ดับสิ่งนั้น ทำอย่างนี้เพื่อให้ได้รับผลอย่างนั้น ก็เป็นการหลงเข้าไปสร้างความมีตัวมีตนซ้อนๆกัน ไม่มีทางจบได้จริง ด้วยการเข้าไปปรุงแต่ง เพราะธรรมชาตินั้นมันจบด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะดับไฟด้วยการเติมเชื้อไฟเข้าไป

สรุปสั้นๆได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะจบด้วยการปฏิบัติเพื่อรับผลของการปฏิบัติ แต่ก็ต้องอาศัยการปฏิบัติจึงจะจบได้



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO