นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 5:15 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อังคาร 10 ก.ย. 2013 10:21 am 
ออนไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
.....ครั้งหนึ่งในสมัยที่สมเด็จพระพุทธองค์ของพวกเรายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น สมัยนั้นยังมีเศรษฐีชราอยู่ผู้หนึ่ง เขามีทรัพย์มากมายถึง ๔๐ โกฏิ(สี่ร้อยล้าน) เศรษฐ...ีผู้นี้แม้ว่าตนเองจะร่ำรวยเงินทองถึงปานฉะนี้แล้ว แต่แทนที่เขาจักได้จับจ่ายใช้ทรัพย์ของตนไปในทางที่ฉลาดอย่างผู้มีปัญญา เช่นนำไปบริจาคเป็นทานให้กับผู้ที่ยากไร้บ้างตามสมควร หรือนำไปสร้างเป็นถาวรวัตถุ อันจักยังประโยชน์ต่อสาธารณะชนแลสังคมไปอีกตราบนานเท่านาน แต่ทว่าเขากลับมิได้คำนึงถึงในเรื่องเหล่านี้เลย มิหนำซ้ำยังกลับกระทำไปในทางตรงกันข้ามเสียอีก ยิ่งมีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ลักษณะนิสัยใจคอของเขาก็ยิ่งพอกพูนไปด้วยความโลภมากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น

....ในทุกๆกึ่งเดือนเขามักจักเรียกให้บุตรหลานของตนมาประชุมพร้อมกันเพื่อทำการอบรมสั่งสอนมิให้บรรดาผู้เยาว์เหล่านี้ นำทรัพย์ที่มีอยู่ออกไปจับจ่ายใช้สอยในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เช่น นำไปใช้ในเรื่องที่ไม่ทำให้เกิดมีผลกำไรพอกพูนขึ้นมาเป็นต้น โดยเขาจะกำชับบุตรหลานอยู่เสมอว่า

“ นี่แนะเจ้าพวกผู้เยาว์ทั้งหลาย ทรัพย์ที่มีอยู่ประมาณ ๔๐ โกฏินี้ พวกเจ้าจงอย่าได้นึกว่ามันมากมายนักน่ะ ทรัพย์เหล่านี้ไม่สมควรจักนำออกไปจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจักเป็นกรณีใดๆก็ตาม หากว่าการนั้นไม่ทำให้เกิดเป็นผลกำไรงอกเงยขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปบริจาคทานให้กับคนยากไร้ หรือพวกนักบวชทั้งหลายที่เกียจคร้านไม่ยอมทำมาหากิน ขอพวกเจ้าทั้งหลายจงอย่าได้กระทำเป็นอันขาด เพราะว่าการให้ทานกับคนพวกนี้ หาได้เกิดประโยชน์อันใดกับทรัพย์ของเราไม่ ซ้ำยังจักพลอยให้เกิดโทษทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่ ต้องลดน้อยถอยลงไปอีก

....ดังนั้นขอพวกเจ้าจงพึงสังวรเอาไว้ให้ดี ทุกครั้งที่ได้จับจ่ายใช้ทรัพย์ออกไป แม้จักเป็นแค่เพียงครั้งละเล็กละน้อยก็ตาม นั่นก็คือภาวะที่จักนำพวกเจ้าไปสู่การสูญสิ้นทรัพย์ในที่สุด เพราะว่าทรัพย์นั้นจักต้องหมดลงไม่วันใดก็วันหนึ่งในกาลข้างหน้าเป็นแน่ ขอให้พวกเจ้าจงจำภาษิตที่ข้าจักกล่าวต่อไปนี้ให้ขึ้นใจ น้ำมันหยอดตาแม้ว่าจักใช้หยอดตาทีละหยด ทีละหยด ในปริมาณที่เล็ก น้อยก็ตาม มันย่อมต้องหมดลงได้ในที่สุดไม่วันใดก็วันหนึ่ง ฉันใดก็ฉันนั้น ทรัพย์ที่พวกเจ้าใช้จ่ายไปทีละเล็กทีละน้อย ฤามันจักคงอยู่คู่กับเจ้าอย่างไม่มีวันหมดสิ้นไปได้

....พวกเจ้าจงเอาจอมปลวกเป็นตัวอย่างเถิด จอมปลวกที่พวกเจ้าเห็นว่าใหญ่โตนั้น กว่าที่มันจักใหญ่เท่ากับภูเขาเลากาขึ้นมาได้ ก็ต้องเพราะอาศัยความพยายามมานะสะสมของปลวกตัวเล็กๆ ทีละเล็กทีละน้อย ช่วยกันก่อร่างสร้างมา อีกทั้งมธุรสอันหวานล้ำที่มีอยู่ในรวงรังผึ้ง กว่าจักถึงซึ่งความมากมายได้นั้น ฤามิใช่เพราะอาศัยความพยายามมานะบากบั่นเก็บสะสมทีละเล็กทีละน้อยของเหล่าผึ้งงาน ดังนั้นขอพวกเจ้าจงถือเอาสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ไว้เป็นครูเถิด จงพยายามหาทรัพย์มาสะสมเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ แลจงอย่าได้จับจ่ายใช้ทรัพย์ออกไป แม้แต่เพียงเล็กน้อยเป็นอันขาด ”

.....เศรษฐีผู้นี้ได้พยายามพล่ามกล่าวตักเตือนบุตรหลานของตนอยู่อย่างนี้เป็นประจำเรื่อยมา ในเวลาต่อมามิช้ามินานเท่าใดเขาก็ละสังขารไปจากโลกนี้ตามอายุขัยของมนุษย์ แต่เนื่องจากเขาเป็นบุคคลที่มากไปด้วยความโลภ ก่อนที่จักตายดวงจิตจึงเต็มไปด้วยความห่วงกังวลในทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ เป็นผลทำให้ดวงจิตของเขาต้องตกอยู่ในอารมณ์เศร้าหมอง ไม่ร่าเริงยินดี ดังนั้นหลังจากที่ตายไปดวงจิตเขาจึงไปปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงจัณฑาลผู้หนึ่งซึ่งมีสกุลต้อยต่ำ อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาล ตั้งอยู่ห่างจากตัวพระนครออกไปไม่ไกลมากนัก

.....พอดวงจิตเศรษฐีโลภมากผู้นี้เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ของหญิงจัณฑาลนางนี้เท่านั้น สภาพชีวิตของนางจากเดิมที่ก็มีความเป็นอยู่อย่างค่อนข้างจักลำบากลำบนอยู่แล้ว ด้วยว่าต้องเที่ยวตระเวนขอทานเขาเลี้ยงชีพ พอนางเริ่มตั้งครรภ์บุตรคนนี้ขึ้นมา สภาพชีวิตที่ว่าย่ำแย่ ก็กลับยิ่งต้องลำบากยากแค้นเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าตัว มิหนำซ้ำไม่แค่เพียงเฉพาะครอบครัวนางกับสามีเท่านั้นที่ต้องมาตกระกำลำบาก

....ความลำบากนี้ยังพลอยแผ่ครอบไปหมดทั่วทุกครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาลแห่งนี้ด้วยอีกต่างหาก ลาภผลจากที่เคยมีบ้าง พออาศัยได้อยู่ได้กินกันไปตามอัตภาพมาบัดนี้ก็เริ่มจักฝืดเคืองลงไปจนน่าแปลกใจ สภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนจากที่เคยมีการยิ้มแย้มหยอกหัวกันบ้างแม้ว่าบางมื้อบางวันจักกินกันก็จะแทบไม่อิ่มท้อง มาบัดนี้ภาพต่างๆเหล่านี้มิได้มีให้เห็นอีกแล้ว

....บรรดาผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชน ณ เวลานี้ต่างก็รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับชุมชนของตน กันแทบจะครบหมดทุกครัวเรือนแล้ว ดังนั้นจึงเกิดมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันให้อื้ออึงไปหมดถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละคนต่างก็คาดเดากันไปต่างๆนานา แต่ทว่าส่วนใหญ่ล้วนมีความเห็นตรงกันว่าจักต้องมีผู้ใดใครคนหนึ่งในหมู่ของพวกเขาแน่ที่เป็นคนกาลกินี เหตุอาเพสนี้จึงได้เกิดขึ้นกับชุมชนของพวกเขา

....ในที่สุดเมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ท่านผู้นำชุมชนจึงเรียกให้คนในชุมชนทั้งหมดออกมาประชุมพร้อมกัน เพื่อค้นหาแนวทางที่จักแก้ไขปัญหาที่ว่านี้ให้หมดสิ้นไป

....หลังจากที่ได้ประชุมกันแล้วผลสรุปที่ออกมาก็เป็นไปดั่งคาดคือในชุมชนของพวกเขาจักต้องมีใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นคนกลากินีอย่างแน่นอน แต่มิทราบว่าเป็นผู้ใดเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้มาซึ่งคนกลากินีผู้นี้ ท่านผู้นำจึงมีนโยบายให้แบ่งคนในชุมชนทั้งหมดออกเป็นสองพวกเท่าๆกัน โดยพวกแรกในวันพรุ่งนี้ให้ออกไปหาขอทานทางด้านทิศเหนือ ส่วนพวกที่สองให้ออกไปหาขอทานทางด้านทิศใต้ แล้วเย็นพรุ่งนี้หลังจากที่ขอทานเสร็จกลับมาถึงชุมชน ให้ผู้นำของทั้งสองกลุ่มรีบมารายงานผลให้เขารับทราบด้วย

....หลังจากที่ได้แบ่งกลุ่มกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หญิงจัญฑาลแลชายผู้เป็นสามี เขาทั้งสองถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องออกไปหาขอทานทางด้านทิศใต้ เช้ารุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนแล้วจัญฑาลทั้งสองกลุ่มต่างก็พากันออกไปหาขอทานกันตามปกติตามข้อตกลงที่มีให้ไว้แก่กันและกัน แหละในเย็นวันนั้นหลังจากที่ต่างตระเวนขอทานกันมาตลอดทั้งวันแล้ว ขณะที่ขอทานทั้งสองพวกกำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน

....ปรากฏว่าพวกแรกที่ออกไปหาขอทานยังด้านทิศเหนือ พวกเขาล้วนต่างพากันหัวเราะเริงร่า ยิ้มแย้มหยอกหัวกันมาตลอดทางระหว่างที่เดินกลับบ้าน เนื่องจากวันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด บรรดาผู้ใจบุญทั้งหลายไฉนจึงพากันออกมาบริจาคทานกันอย่างมากมายจนผิดหูผิดตา ทำให้พวกเขาล้วนได้ลาภเป็นของกินของใช้ ติดไม้ติดมือกันมาคนละมากมาย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเย็นวันนี้พวกเขาจึงมีอารมณ์แจ่มใสเบิกบานกันเป็นพิเศษ

....ส่วนพวกที่สองซึ่งออกไปหาขอทานยังด้านทิศใต้นั้น วันนี้ก็มิทราบว่าเป็นด้วยเหตุอันใดเช่นกัน บรรดาผู้ใจบุญซึ่งธรรมดาแล้วจักต้องมีออกมาให้ทานกันบ้าง แม้จะไม่มาก แต่ก็พอได้อยู่ได้กินกันไปวันๆ ไฉนวันนี้จึงกลับเงียบหายไปหมด ไม่มีแม้แต่จะเฉียดเข้ามาให้เห็นกันบ้างเลย ดังนั้นพวกเขาจึงต่างพากันกลับบ้านมาด้วยมือเปล่า จะได้มีผู้ใดหิ้วข้าวหิ้วของติดไม้ติดมือกลับมาแม้แต่เพียงสักชิ้นสักอันก็หาไม่ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเหี่ยวแห้งอิดโรยกันไปตามๆกัน แตกต่างกันกับพวกแรกราวฟ้ากับดินก็มิปาน

....ยิ่งพอพวกเขากลับมาเห็นพวกแรกมีข้าวมีปลากินกันอิ่มหมีพีมัน สีหน้าสดชื่นแจ่มใส พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจมากยิ่งขึ้นไปอีก จนกลายเป็นโมโหขึ้นมาทันที ต่างคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันเองภายในกลุ่มว่า จักต้องมีคนที่เป็นกาลกิณีร่วมอยู่ในกลุ่มของพวกเขาด้วยอย่างแน่นอน จึงทำให้พวกเขาพากันอับโชคได้ถึงขนาดนี้

....เมื่อกลุ่มคนทั้งสองได้กลับมาถึงชุมชนจนครบตามจำนวนแล้ว ผู้นำชุมชนจึงเรียกหัวหน้าของแต่ละกลุ่มให้เข้ามาพบเพื่อจักสอบถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในรอบวัน หลังจากได้ฟังหัวหน้ากลุ่มรายงานเรื่องราวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงมีประกาศให้คนทั้งหมดออกมาประชุมพร้อมกันทันที จากนั้นจึงชี้แจงถึงวิธีการขั้นต่อไปที่จักใช้ค้นหาบุคคลที่เป็นกาลกิณีว่า

“ ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า บัดนี้ผลได้ประจักษ์ออกมาแล้วว่า จักต้องมีพวกเราคนใดคนหนึ่งในที่นี้ที่เป็นคนกาลกิณีอย่างแน่นอนโดยมิต้องสงสัย แหละคนผู้นั้นจักต้องเป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของคนที่ออกไปหาขอทานยังด้านทิศใต้ในวันนี้ ด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นขอให้กลุ่มที่ออกไปหาขอทานยังด้านทิศใต้จงฟังให้ดี ขอพวกท่านจงแบ่งกลุ่มของตนออกเป็นอีกสองส่วนเท่าๆกัน แล้วให้คนทั้งสองกลุ่มนี้ จงออกไปขอทานยังด้านทิศใต้เหมือนเดิมในวันพรุ่งนี้ แต่ทว่าให้แยกกันไปขอทานคนละหมู่บ้าน อย่าให้ซ้ำกันเป็นอันขาด แหละเย็นวันพรุ่งนี้ขอให้ทุกคนจงมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้อีกครั้ง เพื่อรับฟังถึงผลคืบหน้า สำหรับวันนี้ขอให้แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนยังบ้านเรือนตนได้แล้ว ”

....หลังจากผู้นำชุมชนได้ใช้วิธีการแบ่งกลุ่มให้มีขนาด เล็กลง เล็กลง ไปเรื่อยๆ ในที่สุดหญิงจัณฑาลแลชายผู้เป็นสามี เขาทั้งสองก็จำต้องแยกกันออกไปหาขอทานกันคนละที่ แหละในเย็นวันนั้นหลังจากที่เขาทั้งสองต่างพากันตระเวนขอทานกันมาตลอดทั้งวันแล้ว ระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน

....เพลานั้นปรากฏว่าที่บ้านของเขาได้มีกลุ่มคนเป็นจำนวนมากทั้งชายแลหญิง ซึ่งต่างล้วนเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนคนจัณฑาลแห่งนี้ พากันมายืนออรอกันอยู่แถวบริเวณหน้าบ้านของเขา เพื่อจักคอยดูว่าระหว่างสามีแลภรรยาคู่นี้ ผู้ใดกันแน่ที่จักเป็นคนกาลกิณี

...และแล้วสิ่งที่พวกเขารอคอย ก็ได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ด้านซ้ายของพวกเขาบัดนี้ได้มีภาพของชายหนุ่มผู้หนึ่ง กำลังเดินมุ่งหน้ามายังบ้านหลังนี้ สีหน้าท่าทางจากที่เห็นแต่ไกล ดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่ร่าเริงยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา ในมือทั้งสองหอบหิ้วของกินของใช้จนพะรุงพะรังแทบจะล้นมือ เดินร้องเพลงมุ่งมายังทิศทางที่พวกเขายืนออกันอยู่

....ขณะเดียวกันทางด้านขวาของพวกเขาก็ได้ปรากฏภาพของหญิงมีครรภ์ผู้หนึ่ง กำลังเดินมุ่งหน้ามายังบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน สีหน้าของนางมันช่างดูอ่อนล้าซีดเซียวเสียนี่กระไร ในมือทั้งสองว่างเปล่า มิได้มีสิ่งของใดๆติดไม้ติดมือกลับมาแม้แต่เพียงสักชิ้นสักอัน เดินโซซัดโซเซดุจดั่งคนที่ไร้วิญญาณมุ่งมาทางพวกเขา ภาพทั้งสองที่ปรากฏนี้แม้นไม่มีคำพูดคำจาใดๆอธิบาย แต่ทว่าทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็ทราบกันดีถึงคำตอบแล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนกาลกิณี

....บัดนี้เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกเปิดเผยออกมา เพื่อให้ความปกติสุขได้กลับคืนมาสู่ชุมชนของพวกเขาโดยไว จัณฑาลบุคคลทั้งหมดจึงมีมติตรงกันว่าหญิงมีครรภ์ผู้นี้จักต้องออก ไปจากชุมชนของพวกเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข แหละเมื่อเสียงส่วนใหญ่มีมติเป็นเอกฉันท์ บุรุษผู้เป็นสามีของกลากิณีหญิงผู้อาภัพนางนี้ก็สุดที่จักทัดทานได้ จำต้องปล่อยให้ภรรยาของตนเก็บข้าวเก็บของออกไปจากหมู่บ้านในทันใด

...ฝ่ายจัณฑาลิณีผู้มีกรรม ครั้นเมื่อถูกพวกพ้องขับไล่ให้ออกจากหมู่แล้ว นางก็ต้องระหกระเหิน ซัดเซพเนจรไปตามที่ต่างๆตามยถากรรม ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ไร้บ้านช่องห้องหอจักพักอาศัย ต้องทนอดมื้อกินมื้อ ทุกข์ระกำลำบากเหลือที่จักกล่าว แต่มิว่าจะทุกข์ทรมานสักเพียงใด นางก็ยังสู้ทนอุตส่าห์อุ้มท้องบุตรในครรภ์โดยมิเคยจักตัดพ้อต่อว่า หรือกล่าวตำหนิติโทษลูกในท้องเลยแม้แต่น้อย

....จนกระทั่งได้เวลาทลิทโทฤกษ์ อันเป็นเวลาเกิดของพวกยาจกขอทาน หรือคนยากจนเข็ญใจทั้งหลาย จัณฑาลิณีหญิงผู้อาภัพนางนี้ก็ได้คลอดบุตรออกมาผู้หนึ่งเป็นชาย มีรูปกายหน้าตาแสนที่จะทุเรศอัปลักษณ์ น่าเกลียดน่าชังเกินกว่ามนุษย์มนาจักพึงมี ตลอด ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ว่าจักมองมุมไหน ก็มิได้เหมือนดังกับผู้กับคนเขา แต่กลับพานไปเหมือนเอากับผีกับเปรตเสียล่ะมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่ากรรมได้ดลดาลให้เป็นไปดังนั้นแล

....แต่ถึงแม้ว่าบุตรจักมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดสักเพียงใด ผู้เป็นแม่ก็มิได้มีความรู้สึกที่รังเกียจเดียดฉันท์ในตัวของลูกเลยแม้แต่น้อย นางได้เลี้ยงดูฟูมฟักลูกของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด สมดั่งกับที่มารดาทั้งหลายพึงมีให้ต่อบุตร จนกระทั่งเด็กน้อยหน้าผีผู้นี้ได้เจริญเติบโตขึ้นมาอยู่ในวัยพอจักรู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งนางได้เรียกบุตรของตนเข้ามา จากนั้นก็ยื่นสมบัติที่มีติดตัวอยู่เพียงชิ้นเดียวคือกะลาขอทาน ให้กับเขา พร้อมกับกล่าวโอวาทอบรมสั่งสอนว่า

“ ลูกเอ๋ย บัดนี้เจ้าก็ได้เจริญเติบโตมาด้วยวัยอันสมควรแล้ว แม่นี้มิได้มีสิ่งใดจักให้เจ้าไว้เป็นสมบัติติดตัวเลย เห็นมีอยู่ก็แต่เพียงกะลามะพร้าวใบนี้เท่านั้น ขอเจ้าจงรับเอาไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพเถิด แหละขอเจ้าจงจำให้ดีว่า แม้เราจักเกิดมามีชะตาที่อาภัพอับวาสนา ยากจนข้นแค้นสักเพียงใดก็ตาม แต่เราก็ยังภูมิใจว่า พวกเรามิเคยเลยที่จักประพฤติตนเป็นโจรฤาคนพาล เที่ยวแย่งชิงบังคับเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน ดังนั้นขอเจ้าจงใช้กะลามะพร้าวใบที่แม่ให้ไปนี้ เที่ยวภิกขาจารขอทานผู้คนเขาไป เพื่อเลี้ยงชีพสำหรับตนเถิด”

....บุตรน้อยเมื่อได้รับสมบัติจากแม่เป็นกะลาขอทานมาใบหนึ่ง ก็ให้แสนรู้สึกดีอกดีใจเป็น อย่างยิ่ง รีบอำลาผู้เป็นมารดาในทันใด จากนั้นก็วิ่งหายลับออกไปปะปนกับผู้คนตามท้องถนนทันที นับจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ใช้วิชาที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เที่ยวขอทานผู้คนรอบข้างที่ประสบพบพาน อย่างมีความสุขสนุกสนานไปตามประสาผู้เยาว์ ที่มิได้มีเรื่องราวอันใดจักต้องเก็บมาคิดให้มันยุ่งยากใจ

...เขาเที่ยวเร่ร่อนพเนจร ขอทานผู้คนไปในตามที่ต่างๆเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งได้มาพบเข้ากับปราสาทหลังหนึ่ง มีความใหญ่โตอลังการ แลสวยสดงดงามเป็นยิ่งนัก ในความ รู้สึกของเขานั้นปราสาทหลังนี้มันช่างดูคุ้นตาเสียนี่กระไร ไม่ว่าจักเป็นรูปทรงสีสันหรือ ว่าหน้าต่างประตู เหมือนดังกับว่าจักเคยเห็นมาก่อนเสียอย่างงั้น ก็จักไม่ให้คุ้นเคยได้อย่างไรเล่า ในเมื่อปราสาทหลังนี้ แท้จริงแล้วมันก็คือปราสาทของเขานั่นเอง ในชาติที่แล้วเมื่อคราวที่ยังเคยเป็นเศรษฐีจอมงกอยู่ ดังนั้นพอมาเจออีกทีในชาตินี้เขาจึงรู้สึกมีความคุ้นเคยผูกพัน มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดานั่นเอง

....เขาเฝ้ายืนครุ่นคิดทบทวนอยู่พักใหญ่ว่าเคยเห็นปราสาทหลังนี้มาจากที่ไหนหนอ? สักพักบรรดาภาพความหลังเมื่อครั้งอดีตชาติที่เพิ่งจักผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ก็ได้ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึงของเขาอย่างชัดเจน ทีละภาพ ทีละภาพ ในที่สุดเขาจึงรู้ว่าปราสาทหลังนี้แท้จริงแล้วมันก็คือปราสาทของเขานั่นเองเมื่อชาติที่แล้ว

....พอเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงรีบเดินมุ่งไปยังปราสาทที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทันที บรรดาข้าทาสบริวารทั้งหลายที่กำลังทำงานอยู่บริเวณรอบๆตัวปราสาท ณ เวลานั้น เมื่อเห็นเด็กประหลาดรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดราวกับผีกับเปรตก็มิปาน เดินดุ่มมุ่งมายังปราสาทของพวกตนโดยไว ต่างก็พากันออกปากตะโกนขับไล่กันให้ดังลั่นไปหมด

...แต่มิว่าพวกเขาจักตะโกนด้วยเสียงอันดังสักเพียงใด ขอทานน้อยหน้าผีผู้นี้ก็หาได้มีความสะทกสะท้านแม้แต่น้อยไม่ มิหนำซ้ำยังคงเดินหน้าเข้ามาอย่างไม่ยอมหยุดอีกต่างหาก

...เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงพากันหยิบเอาท่อนไม้ท่อนฟืนที่ พอจักหาได้แถวบริเวณนั้นขึ้นมากันคนละดุ้นสองดุ้น จากนั้นก็กรูกันเข้ามารุมทุบตีเด็กประหลาดผู้นี้ทันที จนถึงกับทำให้เด็กหน้าผีผู้นี้ต้องถึงแก่วิสัญญีภาพ นอนหมดสติอยู่ที่ปากทางก่อนที่จักเข้าไปยังตัวปราสาทนั่นเอง

...ขณะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคได้เสด็จผ่านมายังบริเวณนั้นพอดี พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาจึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับข้าทาสบริวารเหล่านั้นว่า “ ดูก่อนบุรุษทั้งหลาย ขอพวกท่านอย่าได้ทำร้ายขอทานน้อยผู้นี้อีกเลย เพื่อที่บาปอันเกิดขึ้นแก่พวกท่าน ณ เวลานี้ จักได้ไม่มากไปกว่านี้อีก ”

บรรดาข้าทาสบริวารทั้งหลายเมื่อเห็นพระบรมศาสดาทรงร้องขอพวกตนเช่นนั้น พวกเขาจึงได้หยุดมือ พร้อมกันนั้นต่างก็พากันก้มลงกราบพระองค์โดยพร้อมเพรียงกัน สมเด็จพระผู้มีพระภาคครั้นทรงเห็นว่าข้าทาสบริวารเหล่านี้คลายจากโทสะบ้างแล้ว พระองค์จึงทรงชี้แจงให้พวกเขาแลผู้คนทั้งหลายที่ออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่ ณ ที่นั้น ได้รับทราบถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตชาติของขอทานมีกรรมผู้นี้ว่า

แท้จริงแล้วขอทานผู้นี้ก็คือเศรษฐีใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้เมื่อครั้งอดีตชาติที่ผ่านมานั่นเอง แต่เพราะกรรมที่เขาเป็นคนตระหนี่ ไม่ยินดีในการให้ทานในชาติที่แล้ว จึงเป็นผลทำให้หลังจากที่ตายไป บาปอกุศลกรรมทั้งหลายที่เขาทำไว้ จึงได้เข้ารวมตัวกัน ชักนำให้เขาต้องมาเกิดอยู่ในสกุลของคนจัณฑาล มีฐานะยากจน อัตคัดขัดสนไปเสียทุกอย่าง ต้องเที่ยวแบมือขอทาน พเนจรอ้างว้างไปตามท้องถนน ไร้บ้านช่องห้องหอจักพักอาศัย

มิหนำซ้ำกรรมนี้ยังได้ส่งผล ให้เขาเกิดมาเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาที่แสนจะอัปลักษณ์ เกินกว่าจักหามนุษย์คนไหน หรือปุถุชนคนทั่วไปเสมอเหมือนด้วยอีกต่างหาก ทีแรกท่านมูลสิริเศรษฐีซึ่งเป็นบุตรของเศรษฐีใหญ่ผู้ล่วงลับ หรือก็คือขอทานน้อยผู้นอนสลบไสลอยู่เบื้องหน้านี่เองในชาติที่แล้ว เขายังไม่ยอมเชื่อในพระพุทธฎีกา แต่บังเอิญขณะนั้นขอทานน้อยผู้นี้ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้เขาเป็นผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมดของตนที่มีมาในอดีตชาติ ให้กับผู้คนทั้งหลายที่อยู่ ณ บริเวณนั้นได้รับทราบ

พร้อมกันนั้นก็ทรงให้เขาพาผู้คนเหล่านี้ไปขุดเอาสมบัติที่เขาได้แอบเอาไปฝังเอาไว้โดยที่ไม่ยอมบอกให้บุตรหลานล่วงรู้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันถึง ๕ แห่ง ออกมาเปิดเผยให้กับผู้คนทั้งหมดได้รับทราบโดยทั่วกัน

หลังจากที่ทรัพย์สมบัติทั้งห้าถูกขุดขึ้นมา ท่านมูลสิริเศรษฐีจึงได้ยอมเชื่อในพระพุทธฎีกาแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค แหละนับจากบัดนั้นเป็นต้นมาเขาก็หันมาเลื่อมใสศรัทธาในบวรพระพุทธ ศาสนาอย่างจริงจังมากขึ้น

และมิเพียงแต่เฉพาะตัวเขาเท่านั้น ต่อมามิช้ามินานเขาก็ได้ชักจูงให้บุตรหลานในตระกูลหันมาบริจาคทานรักษาศีลตามเขาด้วยอีกต่างหาก เพื่อว่าชาติหน้าฉันใดเมื่อพวกเขาเหล่านี้ตายไป จักได้ไม่ต้องเกิดมามีสภาพที่แสนจักอเนจอนาถเหมือนดังกับปู่ทวดของพวกเขา ที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างอัตคัดขัดสน ลำบากลำบนยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน

ส่วนขอทานน้อยผู้อาภัพนั้น สุดท้ายแล้วลงเอยอย่างไรในตำรามิได้กล่าวเอาไว้ ดังนั้น คงจักต้องขอจบเรื่องราวของเศรษฐีผู้มีกรรม เอาไว้แต่เพียงเท่านี้




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: รสมน และ บุคคลทั่วไป 14 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO