นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน จันทร์ 29 เม.ย. 2024 1:13 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: เสาร์ 24 ส.ค. 2013 8:59 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4543
ทำอย่างไรไม่ให้โกรธ

ถาม : ถ้าหากจะไม่ให้โกรธเจ้าคะ..?
ตอบ : ต้องมีสติรู้ให้ทัน

ความโกรธจะเข้ามาหาเราง่ายที่สุด ทางตา กับทางหู เมื่อตาเห็นรับเข้าไปสู่ใจ ก็ไม่พอใจ หูได้ยินรับเข้าไปสู่ใจ เกิดความไม่พอใจ

ในเมื่อไม่พอใจ ก็จะเริ่มกรุ่นขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับควันขึ้น

พอควันขึ้น ถ้าเราปล่อยโดยการที่ไปนึกคิดปรุงแต่งต่อ ก็จะเป็นเปลวไฟลุกขึ้นมา คราวนี้กลายเป็นโทสะ

พอทำเขาไม่ได้ ด่าเขาไม่ได้อย่างใจ ทำร้ายเขาไม่ได้อย่างใจ คราวนี้จะกลายเป็นไฟสุมขอน คือพยาบาท

ไฟโทสะก็มีแต่เผาทำลายเราอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้น..สติต้องรู้เท่าทัน พอตาเห็น ต้องสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น หูได้ยิน ต้องสักแต่ว่าได้ยินแค่นั้น อย่ารับเข้ามาสู่ใจ

ให้คิดว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น บุคคลที่ยังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นโทษแก่คนอื่นอย่างไร เป็นโทษแก่ตัวเองอย่างไร เขาก็ยังทำสิ่งนั้นอยู่ด้วยความยินดีและเต็มใจ

แต่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นโทษสาหัสกับเขาในภายภาคหน้า เขาไม่สามารถจะมองเห็นได้ คนที่มองไม่เห็นโทษของตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่คนที่น่าโกรธ แต่หากเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด

ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้ก็จะไม่โกรธ หรือไม่ก็โกรธน้อยลง อย่าลืมว่าสติต้องทันนะ ถ้าสติไม่ทัน ความโกรธก็พาเราไปหลายกิโลเมตรเลย กว่าจะดึงกลับมาได้





โลกนี้ไม่มีอะไรน่าโกรธ


ถาม : อารมณ์เหมือนกับที่เราไปเจออะไรที่ทำให้เรารู้สึกโกรธ เราก็จะมองคนที่ทำให้เราโกรธว่าทำแบบนี้คือมนุษย์หรือ ? จากภาพที่เราเห็นสวยงาม จิตใจเขาทำได้แบบนี้เชียวหรือ ?
ตอบ : ที่เห็นคือตัวปัญญาที่แท้จริง เขาเรียกว่า ธรรมสังเวช คือรู้สึกสลดใจว่า สภาพที่แท้จริงเขาเป็นอย่างนี้เองหรือ ? ทุกรูปทุกนามก็เป็นอย่างนี้ เราเองก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน บุคคลที่เคยกระทำอย่างนี้มาก่อนแล้ว คนอื่นมากระทำต่อ ก็เหมือนกับผู้นั้นรับมรดกจากเราไป ภาษาพระเรียกว่า ธรรมทายาท (ทายาทโดยธรรม) เพราะฉะนั้น..เขาก็ถือเป็นลูกหลานของเรานั่นเอง เพราะเป็นผู้รับมรดกจากเราไป ในเมื่อลูกหลานทำในสิ่งไม่ดีที่เราเคยทำมาก่อน เราก็ไม่ควรที่จะโกรธเขา

เราก้าวพ้นตรงนั้นมาได้ เราเห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว เหมือนกับเราเห็นลูกหลานทำผิด เพราะฉะนั้น..ถ้าสามารถสงเคราะห์เขาได้ก็สงเคราะห์เขา ถ้าสงเคราะห์เขาไม่ได้ในตอนนั้น เพราะกำลังใจเขาไม่ยอมรับจริง ๆ เราก็ปล่อยวางไว้ก่อน มีโอกาสเราค่อยสงเคราะห์เขาใหม่ ถ้าสามารถพิจารณาอย่างนี้ได้โลกนี้ก็ไม่มีอะไรน่าโกรธ

ถาม : อย่างนี้ไม่กลายเป็นว่าเรายกตนเหนือคนอื่นหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ตัวนี้เป็นการคิดเพื่อที่จะได้ไม่สะสมอารมณ์เอาไว้ แต่ขณะเดียวกันก็อย่าลืมตัวสติกับตัวปัญญาของเรา สติกับปัญญาของเราต้องรู้เท่าทันอยู่เสมอ ถ้าหากว่าเราไปยกตัวเองขึ้นมาในลักษณะที่ว่าอย่างไร ๆ เราก็เหนือกว่าอยู่แล้ว ตัวนี้จะเป็นตัวที่เรียกว่า มานะ และเป็นสักกายทิฏฐิด้วย คือเห็นว่าตัวเราดีกว่า ถ้าหากว่าสติของเราขาดจากจุดนี้เมื่อไรก็เสร็จเมื่อนั้น เรื่องของธรรมะละเอียดมาก

ถาม : ห้ามพลาดในแต่ละวัน ?
ตอบ : ใช่..เพราะต่างกันนิดเดียว ดีกับชั่วเดินก้าวเดียวกันเลย ยกเว้นก้าวสุดท้าย ก้าวหนึ่งพาลงล่าง ก้าวหนึ่งพาขึ้นบนเท่านั้น ยิ่งทำไปจะยิ่งเห็นความสามารถของกิเลส เขาสุดยอดจริง ๆ

ศีลบารมี

๑. “จากเรื่องทานบารมี ก็มาถึงศีลบารมี ถ้าไม่มีศีลเป็นอย่างไร การละเมิดศีลทั้ง ๕ เป็นปกติ ทั้งกาย-วาจา-ใจ เดือดร้อนไปด้วยไฟกิเลส โมหะ-โทสะ- ราคะ”

๒. “ความเดือดร้อนมิใช่เพียงแต่โลกนี้ เมื่อกายเขาแตกดับ จิตย่อมตกสู่อบายภูมิ ๔ มีนรก เป็นต้น ให้เป็นที่เดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด”

๓. “ต่างกับผู้มีศีล ย่อมประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลเป็นปกติ กาย-วาจา-ใจ ของเขาสงบ ทุกข์ที่จักไปเสวยกรรมในอบายภูมิ ๔ นั้นไม่มี”

๔. “คนมีศีลบารมีประจำ กาย-วาจา-ใจ ย่อมมีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า แม้แต่ปรารถนาไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก”

๕. “ศีลนี้พิจารณาไปให้ละเอียด จากศีล ๕ ของฆราวาสไปจนกระทั่งถึงศีลพระ พวกเจ้าจักได้ประโยชน์มาก ให้พิจารณาเห็นโทษของการละเมิดศีลก่อน แล้วจึงจักเห็นคุณของการมีศีลได้”

๖. “บารมี ๑๐ ประการ ให้พิจารณาไปเช่นนี้ จิตจักมีกำลังใจ รักษาบารมี ๑๐ ได้อย่างมั่นคง”


ขันติบารมี
๑. “กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย แม้แต่กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังตามมาให้ผล สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสเรื่องนี้ไว้ก่อนจะเข้าสู่ปรินิพพาน ในเรื่องกรรมจากน้ำขุ่น-น้ำใส พวกเจ้าคงยังจำกันได้”

๒. “ในอดีตพวกเจ้าทำกรรมไว้ ๒ อย่างทั้งกุศลและอกุศล แต่เป็นอกุศลเสียเป็นส่วนใหญ่ กรรมตัวใดตามมาทันก็ย่อมให้ผล ไม่มากก็น้อย โดยหนีไม่พ้น ตราบใดที่ขันธ์ ๕ หรือร่างกายยังทรงอยู่ วิบากกรรมก็ย่อมเกิดกับร่างกายนั้นเป็นธรรมดา”

๓. “เรื่องวิบากกรรมของเจ้าก็ดี ของคุณหมอก็ดี ที่เกิดแล้วเกิดเล่าติดต่อกันมานานปีก็จากเหตุนี้ ยิ่งเป็นชาติสุดท้ายด้วยแล้ว มันก็พยายามทวงหนี้ให้ได้มากที่สุด จุดนี้คือขันติบารมี ที่จะต้องอดทน อดกลั้น และต้องทนให้ได้ด้วย เพราะเป็นชาติสุดท้ายแล้ว”

๔. “จุดนี้ต้องอาศัยปัญญาบารมี พิจารณาเข้าสู่อริยสัจ ให้เห็นทุกข์-เห็นโทษ-เห็นภัย จากการเกิดมามีร่างกาย ตราบใดที่ร่างกายยังไม่พังก็จำต้องพบกับมันเป็นธรรมดา ดังนั้นมรณานุสติควบอุปสมานุสติ จึงทิ้งไม่ได้จากจิต รู้ลม-รู้ตาย-รู้นิพพาน ซักซ้อมเข้าไว้ให้จิตมันชินจนเป็นฌาน เอาจิตรอดเข้าสู่พระนิพพานได้แบบง่าย ๆ ส่วนกายนั้นมันไม่มีทางรอดอยู่แล้ว พยายามอย่าไปสนใจมันให้มากนัก ทุกอย่างต้องเดินสายกลางจึงจะพ้นทุกข์ได้






เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 13 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO