นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 9:36 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: จันทร์ 15 ก.ค. 2013 12:44 pm 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4547
ธรรมของจริงก็มีอยู่ที่กาย วาจา ใจ ทางดีและชั่ว ทางนรก แลมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ดังกล่าวมาในเบื้องต้น มีภายในและภายนอกเป็นคู่กันให้เห็นปรากฏอยู่ทุกเมื่อ

ยกตัวอย่างอดีตที่เราเคยผ่านมาแล้ว ที่เราถูกมา ที่เราจมอยู่ในครรภ์พระมารดา จมมูตรจมคูถอยู่ตั้ง ๑๐ เดือน ไม่เห็นแสงพระอาทิตย์และพระจันทร์ ทนทุกขเวทนาอย่างสาหัสทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อเวลามารดายืน เดิน นั่ง นอน เวลารับประทานอาหารถูกเผ็ด เค็ม ร้อน มีความเกิดดับอยู่นับชาติไม่ถ้วน นี้เป็นผลของทุกข์ กล่าวแต่เพียงเล็กน้อย เมื่อนอนอยู่ในครรภ์

เมื่อคลอดออกมาแล้ว เสวยวิบากอยู่เนืองนิตย์ พร้อมไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ เต็มไปด้วยอกุศลทางกาย วาจา ใจทุจริต และจิตเศร้าหมอง พร้อมไปด้วยอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน ผู้ปฏิบัติเห็นโทษของตนเป็นอย่างนี้ เพราะจิตเศร้าหมองเป็นนรกอยู่แล้ว จะเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันก็ตาม อบายภูมิทั้ง ๔ เป็นที่ไปมีอยู่ ในกาย วาจา ใจบริบูรณ์

ทางภายในและภายนอกที่เราจะไปเสวยทุกข์ภายนอก ก็เกิดจากภายในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ได้เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส สัมผัสกาย ธรรมารมณ์ เมื่อมากระทบเกิดความรู้ทางดีแลชั่ว จึงได้ยินดียินร้าย เกิดจิตเศร้าหมองเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์ ไม่รู้เท่าจึงได้ตกอบายภูมิทั้ง ๔

เมื่อผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน อย่าให้ยินดียินร้าย และมั่นคงในศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ เมื่อเจตนาละเว้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง เจตนาทำบาปไม่มี จึงพ้นจากอบายภูมิทั้ง ๔

มีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว เห็นโทษของเราในอดีตที่ล่วงมาแล้ว เปรียบเหมือนคนเห็นไฟเป็นของร้อนแลไม่จับเปลวไฟไม่ถูกของร้อนฉันใด บุคคลผู้เห็นโทษของตนแล้วไม่ทำต่อไปก็ไม่ทุกข์ฉันนั้น

ความเศร้าหมองทางกาย วาจา ใจ ไม่มีเสียแล้ว จึงได้บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ที่กาย วาจา ใจ ของตนให้บริสุทธิ์ จึงตั้งอยู่ในหิริโอตตัปปะ กลัวต่อบาปในที่ลับและที่แจ้ง มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีพรหมวิหารทั่วไปทั้งภายในและภายนอก เสมอกันไปหมด ทุกสัตว์จึงได้เข็ดหลาบโทษของตนที่ผ่านมาแล้ว

เราจะมัวเพิกเฉยอยู่ไม่ได้ จึงไม่เพลินอยู่ตามอารมณ์ทั้ง ๖ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นำมาซึ่งจิตเศร้าหมอง ผู้ปฏิบัติเมื่อเห็นโทษของตนทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน จึงไม่ลุ่มหลง ละชั่ว ทำดี ให้พ้นจากอารมณ์ทั้ง ๖ มียินดียินร้าย ทำให้เพิกเฉย ทำให้มีศรัทธาอยู่เสมอ

ศรัทธาเชื่อถือสิ่งที่ควร ไม่เชื่อง่ายเชื่อดายไปที่ไม่สมเหตุสมผล เชื่อกรรม เชื่อผล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ ทำกรรมดีกรรมชั่วของๆ ตน จึงได้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เมื่อสติตั้งมั่นตื่นอยู่ไม่เศร้าหมอง ก็ปราศจากทั้งดีทั้งชั่ว

ผู้ปฏิบัติรู้เท่าอารมณ์ดีชั่วเป็นกลางทางภายในและภายนอก ก็ไม่หลงตามทางดีและทางชั่ว ศีลของเราก็ดีเรียบร้อย ทางกาย วาจา สมาธิ ความมั่นใจไม่หวั่นไหว ปัญญา รอบรู้ในกองสังขาร ชื่อว่าปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นผู้ไม่หลงเป็นผู้ไม่ลืมเป็นปกติ ไม่ยินดียินร้ายทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ปกติตามหน้าที่ สติก็ตื่นอยู่ไม่มีกาลไม่มีสมัย ทำจิตของตนให้ขาวรอบ ความไม่ทำบาปทั้งปวงเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย


..........ผู้ปฏิบัติควรทำอย่างนี้ อย่าให้มีกาลมีสมัย ดังที่พรรณนามาเป็นข้อปฏิบัติ ขอให้สาธุชนทั้งเพศคฤหัสถ์ บรรพชิต ควรน้อมเข้าไปปฏิบัติที่กาย วาจา ใจของตน พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ธรรมของจริงก็จะบังเกิดประจักษ์ทุกเมื่อ เป็นอันเชื่อมั่นในกุศลของตนแท้จริงดังได้แสดงมาแล้วนั่นเอง




ต่อไปนี้จะได้แสดงการสามัคคีพอเป็นข้อปฏิบัติต่อไป การสามัคคีนำมาซึ่งความสุข ผู้ปฏิบัติมุ่งหมายสามัคคีธรรม ความสม่ำเสมอ ข้อปฏิบัติให้มีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้สึกตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง ถ้าหากขาดสติแล้วไม่ว่าทางโลกและทางธรรม จะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้ ทำอะไรมักจะพลั้งเผลอ

เมื่อจะปฏิบัติควรจะยกโลกเข้ามาเป็นอุทาหรณ์ ในหมู่หนึ่งประชุมหนึ่ง จะต้องมีความสามัคคี ความพร้อมเพรียงกัน จึงนำมาซึ่งความสุข จะเป็นประการใดก็ตาม เป็นเมืองก็ตาม เป็นตำบลหมู่บ้านก็อยู่ได้ เพราะความสามัคคี สัตว์ทุกชนิดถ้ามีความสามัคคีแล้วทำอะไรย่อมสำเร็จ ยกตัวอย่างแต่ปลวกตัวเล็กก็ยังพรวนดินเป็นจอมปลวกได้

ผู้ปฏิบัติพึงเห็นด้วยตาและพิจารณาเหตุผลด้วยปัญญา เพื่อปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ให้สม่ำเสมอ อย่าให้ผิดกฎหมายทางโลกและทางธรรม

สิกขาบทน้อยใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ให้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมอินทรีย์สังวร มีสติควบคุม สัมปชัญญะ ความรู้ตัว จะทำอะไรพิจารณาเสียก่อนจึงค่อยทำ ไม่ทำไปเพื่อเบียดเบียนตน ผู้อื่น โดยความสุจริตกาย วาจา ใจ สำรวมศีลของตนเสียก่อนที่กาย วาจา ใจ เรียบร้อยแล้วปฏิบัติตามศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบถ ๑๐

ละเว้นตามข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ เรียกว่า “สามัคคี” กาย วาจา ใจ เป็นสมาธิ คือไม่หวั่นไหวไปตามรูปที่ดีที่ชั่วมากระทบนัยน์ตาเกิดความรู้ขึ้น ไม่เป็นไปตามเสียงดีเสียงชั่วนั้น กลิ่นเหม็นและหอมมากระทบเกิดความรู้ขึ้น กลิ่นดี กลิ่นชั่ว ไม่เป็นไปตามรสมากระทบชิวหาเกิดความรู้ขึ้น รสดีรสชั่วไม่เป็นไปตามรส กายสัมผัสหยาบหรือละเอียด อ่อนหรือแข็ง ดีหรือชั่ว

ไม่เป็นไปตามธรรมารมณ์เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ที่น่ายินดียินร้าย ทั้งดีทั้งชั่ว ไม่เป็นไปตามอารมณ์ที่น่ายินดีนั้น หมายสรรเสริญที่ดีที่ชอบใจ อารมณ์ที่ยินร้ายถูกด่าว่านินทาต่างๆ ให้เกิดสุขทุกข์อุเบกขา ไม่เป็นไปตามอารมณ์ทั้ง ๓ เป็นสมาธิอยู่ที่ใจ ปัญญารอบรู้ในกองสังขารก็รู้เท่าทางปรุงความดีและชั่ว ก็รู้เท่าทางกาย วาจา ใจ ของเรานี่เองชื่อปัญญา เรียกว่า สามัคคี ผู้ปฏิบัติจงใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผลที่เรา


..........เรามีอะไร มีแต่ธาตุ ๔ ประชุมกันเป็นรูปสมมติ หญิง ชาย หลงไปไม่รู้จริงจึงแตกสามัคคี นำมาซึ่งความทุกข์ทับถมตนเอง ทางดีทางชั่ว – ดีก็สิ่งชอบใจ ชั่วก็สิ่งไม่ชอบใจ เรียกว่าแตกสามัคคี ศีลก็ตั้งไม่ได้ เพราะศีลขาดสมาธิ ความมั่นใจก็ไม่มี ปัญญาความรอบรู้ก็ไม่มี จะหาความสุขมาจากไหน

เราเป็นโมหะไปทั้งหมด หลงไม่รู้จริงตามลักษณะของธาตุ ที่แข็งเป็นดิน ที่เหลวเป็นน้ำ ธาตุที่ร้อนอบอุ่นเป็นธาตุไฟ ธาตุที่พัดไปมาทั่วสรรพางค์กาย ลมหายใจเข้าออกเป็นธาตุลม ที่มีอยู่ในกายและนอกกายมีให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ควรหลงใหลไปตามที่ดีหรือชั่ว ควรใช้ปัญญาพิจารณาเสมอ เห็นตามเป็นจริงทั้งภายในและภายนอก

เดิน ยืน นั่ง นอน พิจารณาทุกอิริยาบถ ทั้ง ๔ อย่าให้ขาด ตลอดถึงปัจจัยทั้ง ๔ เครื่องนุ่มห่มไตรจีวรเป็นเครื่องอาศัย อาหารบิณฑบาตโภชนาหารเครื่องอาศัยบริโภค สักแต่ว่าเป็นธาตุ ทุกสิ่งทุกประการไม่ว่าสัตว์ บุคคล ล้วนแต่เป็นธาตุ

ผู้ปฏิบัติควรพิจาณาเนืองๆ เป็นปัจจเวกขณญาณ จะเป็นบรรพชิต คฤหัสถ์ก็ตาม อย่าให้ใจไปหลงงมงายไปตามโมหะ ความไม่รู้จริง ให้สามัคคีธรรมของเราไว้สม่ำเสมอ หมายเอากายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ นี้เองเป็นธรรมสามัคคี ทำให้สติตั้งมั่นถาวรได้ชื่อว่าสามัคคี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้วยทำมาอย่างนี้เป็นเนืองนิตย์ ดังทีได้พรรณนามาเป็นธรรมะทางภาษาใจ


..........ข้อปฏิปทาก็หมายสามัคคีที่เรานี่เอง ความกระทำมาพร้อมเพรียงทางกาย วาจา ใจสม่ำเสมอ ผู้ปฏิบัติจึงไม่จนศีล ๕ ศีล ๘ กุศลกรรมบถ ๑๐ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติมีความเพียรอยู่เสมอ ไม่เคยจน

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็หมายเอาความรู้เท่าสังขารทั้งปวงทั้งภายในและภายนอก ธรรมก็ทรงไว้ซึ่งผู้ปฏิบัติความสุจริตกาย วาจา ใจนี้เอง ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว พ้นจากเครื่องเศร้าหมองคือกิเลสทั้งปวง สังฆะก็หมายความประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ละทุจริตทั้ง ๓ ตั้งอยู่ในสุจริตทั้ง ๓ กาย วาจา ใจของผู้ปฏิบัติก็เป็นสังฆะด้วยความสุจริตนั่นเอง

ผู้ปฏิบัติต้องทำเช่นนี้จึงจะเป็นสามัคคีภายนอก ภายใน ต้องทำให้ได้เสียก่อน ให้เป็นอย่างของคนภายหลัง ไม่ว่าทางโลกและทางธรรม เราต้องทำเอง ให้มีให้เป็นเสียก่อนจึงจะสอนผู้อื่นได้ ความทุกข์นั้นจะไม่มีแก่เรา เหมือนนายช่างไฟรู้จักเปิดไฟ ปิดไฟ เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลายได้รับแสงสว่างฉันใด ผู้ที่ทำประโยชน์ตนได้แล้ว ทำประโยชน์ผู้อื่นก็ฉันนั้น

มีตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำตัวของท่านได้แล้ว สอนสาวก รู้ตามเห็นตามตลอดถึงมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม เพราะท่านสอนตัวของท่านพ้นจากทุกข์เสียก่อนจึงมีประโยชน์ไม่มีประมาณ แม้สาวกทั้งหลายก็สอนตัวเสียก่อนทั้งนั้น จึงแพร่ศาสนาได้ผลใหญ่ไพศาลมากกว่าเม็ดหินเม็ดทรายในมหาสมุทร พระคุณของพระอรหันต์ไม่มีประมาณ


เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO