นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 2:15 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 14 ก.ค. 2013 8:28 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
กาย วาจา ใจนี้มีมาแต่อดีตแล้ว มาถึงปัจจุบันด้วย ตัวเรามาเกิดก็มีปู่ มีย่า มีตา มียาย มีมารดาบิดา เป็นพื้นรองรับอยู่เสมอไป พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็มีพุทธมารดาบิดาเหมือนกัน จึงได้เป็นเหตุผลซึ่งกันและกันว่า ทำไมมีพระพุทธเจ้าแล้ว-มีพระธรรมแล้ว-มีพระสงฆ์แล้ว จะต้องมีหมู่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม เข้าไปศึกษาในโลกุตตรธรรม

จึงได้มีเหตุมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาจนถึงปัจจุบันนี้แหละ อนาคตหมดเมื่อไร ไม่มีหมด ธรรมชาติก็คือกฎธรรมดา ถ้าไม่มีกาย วาจา จิต รองรับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เขามาเกิดในหมู่มนุษย์ไม่ได้ จะเป็นเทวดา เป็นพรหมไม่ได้ จะขึ้นไปเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ โลกุตตรธรรมไม่ได้


..........กฎธรรมดาต้องมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อย่างอุปัชฌาย์สอนภิกษุสามเณรในโบสถ์ แล้วต้องมีอธิศีล ศีลอยู่ที่จิต อธิจิตรับได้ทั้งศีลทั้งสมาธิด้วย อธิปัญญารับได้ทั้งปัญญาด้วย ถ้าหากไม่มีกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะมาแต่อดีตแล้ว อยู่ในท้องก็เป็นคนไม่ได้ ในวินัยปิฎกห้ามไว้ไม่ให้มนุษย์ฆ่ามนุษย์ ทั้งในครรภ์และนอกครรภ์ เป็นบาป กฎหมายสัมมาทิฏฐิ มนุษยธรรมมีมาแต่ในท้อง นอกท้องก็มี

มนุษย์อย่างนี้คือมนุษย์ที่จะต้องรับพระธรรมเทศนาของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะไปรับถึงเทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม เพราะพื้นเดิมมีกาย วาจา จิตแล้วกายกรรม ๓ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรียกว่า กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ ไม่ได้พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ เป็นสัมมาวาจาอยู่ในตัวของมันเอง

สัมมาอาชีวะมีผัสสาหาร มโนสัญญาเจตนาหาร วิญญาณาหาร อย่างที่เมื่อมาอยู่ในครรภ์มารดาก็ต้องอาศัยอาหารมารดานั่นเอง ส่งไปหล่อเลี้ยงร่างกายมาจนครบสิบเดือนแล้ว พระสาวกก็ ๑๐ เดือน เว้นไว้แต่องค์ที่พิเศษบางองค์ต้องอยู่นานกว่านั้นๆ เมื่อคลอดออกมาแล้วก็ไม่มีอะไร มีน้ำนมมารดานี่เอง พระเจ้าแม่น้าก็เป็นแม่เลี้ยงของพระพุทธเจ้าของเรา พระชนนีคลอดได้เจ็ดวันก็ทิวงคตไปแล้ว พระราชกุมารจะอยู่กับใคร ก็อยู่กับพระแม่น้านี่เอง พ่อเดียวกันแต่คนละแม่กับนันทกุมารเขามีมาอย่างนี้

ปัจจุบันนี้จะห้ามมนุษย์ไม่ให้มีมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม จะไม่ให้มีโลกุตตรธรรมห้ามไม่ได้ ฝ่ายดีก็ห้ามไม่ได้ ฝ่ายสัมมาทิฏฐิก็มีจริง ฝ่ายมิจฉาทิฏฐิที่มนุษย์มีแต่ร่างกาย แต่จิตใจยังไม่เว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ไม่เว้นจากกาม ไม่เว้นจากปาณาติบาต อทินนา กาเม มุสา สุราพวกหนึ่ง

พวกหนึ่งนั้นเห็นโทษกายกรรม ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เห็นโทษของกาเม มุสาวาท กิเลสสี่ตัวนี้ลามก จะเป็นเดรัจฉานหรือเป็นร่างกายมนุษย์ก็ลามก คบกิเลสลามกแล้วเสวยกรรมชั่ว กายไม่เว้นฆ่าสัตว์ ไม่เว้นลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกามอยู่ ยังมุสาวาทอยู่ ก็เป็นอบายภูมิทั้งสี่ มันไม่ต่างกับเดรัจฉาน เปรต อสุรกายเลย มันเป็นพวกเดียวกัน แต่ต่างกายเนื้อหนังกัน

เพราะฉะนั้นอุปัชฌาย์จึงได้ถามว่าเกศามีหรือไม่ มีโลมา นะขา ทันตา ตะโจ มนุษย์โสสิมีจริงหรือ มีจริง ปุริโสสิเป็นมนุษย์ชายจริงหรือ จริง บรรพชาไม่มีขัดข้อง อุปสัมปันโนมี ๒๕ รูป คัดค้านไม่ได้ตั้งแต่นั้นมา ถ้าหากว่าทำแบบเดิมอย่างอุปัชฌาย์สอน ๒๕ รูป ได้อบรมให้มีกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะ

เมื่อมีอย่างนี้ก็พร้อมไปด้วยองค์ ๘ ประการเหมือนกัน กายกรรม ๓ มีศีลสามตัว วจีกรรม ๔ มีศีลสี่ตัว รวมเป็นเจ็ดตัว พวกสัมมาอาชีวะเขาไม่กินอาหารดิบ เขากินอาหารสุก เขาไม่ได้ร่วมกายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ สัมมาอาชีวะเขาไม่ร่วม จึงเป็นอุบาสกอุบาสิกาขึ้นได้

ทำไมอุบาสก ๗ ขวบ บรรลุโสดาได้ อุบาสิกาบรรลุพระโสดา ๗ ขวบได้ สามเณร ๗ ขวบบรรลุอรหันต์ได้ เพราะมีมาแต่พื้นเดิมรองรับแล้ว พอออกจากโบสถ์มาหรือว่าเดินมาแต่เจ็ดปีมาแล้วไปเรียนมากๆ เข้า เอาขยะมูลฝอยอะไรผสมเข้าไป เอาโลภะมูล ๘ ผสมเข้า โทสะมูล ๒ โมหะมูล ๒ มาผสมเข้า เอาราคะมาถมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเข้า

ถ้ามานั่งดูปัจจุบัน ภิกษุก็ตาม สามเณรก็ตาม อุบาสก-อุบาสิกาก็ตาม กายเดียวจิตเดียวไม่มีราคะ โทสะ โมหะ พื้นมันดีแล้ว ปกติกาย วาจา ปกติตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อาจจะเป็นศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๕ ก็ได้ ศีลอุโบสถก็ได้ หรืออาจจะเป็นศีล ๑๐ ก็ได้ อาจจะเป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาในธรรมคุณนั้นก็ได้


..........ในธรรมคุณนั้นมีกายนั่งกายเดียว กายเดิน กายยืน กายนอนไม่มี จะอาบน้ำ ห่มผ้า ถ่ายมูตร ถ่ายคูถ ไม่มี กายขี้กายเยี่ยวก็ไม่มี กายกินข้าว กินน้ำไม่มี ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เป็นปกติแล้ว ถึงนั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นปกติ นอน ยืน เดิน เป็นปกติ อาบน้ำ ห่มผ้า ถ่ายมูตร คูถ เป็นปกติไม่หลงเสียเลย จะบวชหรือไม่บวชไม่มีปัญหาอะไร มันหมดกิเลสแล้วก็แล้วกันเท่านั้นเอง

อายุ ๗ ขวบก็ได้ อายุ ๘๐ ปีก็ได้ อย่างนี้น่านิยม ในคำสอนของพระพุทธศาสนาว่า ปริยัติก็ชี้มาให้รู้จักทุกข์ ให้พ้นทุกข์ ปฏิบัติให้รู้จักทุกข์กายทุกข์ใจ ให้พ้นทุกข์กายทุกข์ใจนั่นเอง ปฏิเวธให้พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นเอง เรียกว่าพ้นทุกข์แล้วอยู่กับธรรมะ อยู่กับปริยัติก็ได้ อยู่กับปฏิบัติก็ได้ อยู่กับปฏิเวธธรรมก็ได้


..........ขอเชิญชวนพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้พร้อมเพรียงกัน เจริญกายบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ปัจจุบัน วาจาบริสุทธิ์ปัจจุบัน จิตบริสุทธิ์ปัจจุบัน ให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยไปสู่มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม อย่างต่ำๆ ไปพักอยู่โสดา สกิทาคา อนาคาก็ได้

ถ้าไม่อยากพักก็ตัด ตัดสังโยชน์เสีย อนุสัยเจ็ดเสียแล้ว ไม่มีอวิชชาสวะ ไม่มีอวิชชาสังโยชน์ ไม่มีอวิชชานุสัย นั่นแหละเรียกว่าพ้นทุกข์ ไม่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกๆ วัน อย่างนี้เรียกว่าธรรมชาติของสัตว์




ในรูปของตัวก็ไม่มีราคะ ความกำหนัดก็ไม่มี ผลของการกระทำเกิดขึ้นอย่างนี้จึงได้มั่นใจทำ ไม่มีกาลไม่มีสมัย ไม่ให้คลายความเพียร

หรือเจริญปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อาโปธาตุ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ เป็นธาตุ ๖ กรรมฐานทั้งหลาย เห็นเป็นดิน ๒๐ น้ำ ๑๒ ไฟ ๔ ลม ๖ ตลอดถึงอนุสติ ๑๐ อสุภะ ๑๐ กสิณ ๑๐ หรือเจริญในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นเป็นไตรลักษณะ เป็นสามัญลักษณะเสมอกัน จึงได้ค้นดูในตนว่า ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ

กัมมัฏฐานทั้งหลายกำจัดกิเลสได้ทุกประเภท กำจัดราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต พุทธจริต ของตนได้ทั้ง ๖ จริต ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้ ตนได้ทำมาแล้วสมถกัมมัฏฐาน ภาวนาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ผู้ที่ทำเข้าใจใช้กำจัดกิเลสทั้ง ๖ ได้ ไม่ต้องเลือกว่าสูตรไหน บทไหน ทำให้จิตใจไม่เศร้าหมองใช้ได้ทั้งนั้น

ได้กระทำมาอย่างนี้จึงได้เห็นว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงอยู่ทุกเมื่อที่ใจของเรา จึงมีสติมั่นคงตั้งมั่น สัมปชัญญะความรู้ตัว นึกถึงกาย เวทนา จิต ธรรมมีอยู่ที่เรา ไม่ต้องไปถามผู้อื่น ผู้ปฏิบัติต้องมีสติเพ่งบริกรรมอยู่ที่เราเสมอ เดิน ยืน นอน นั่ง ทุกลมหายใจเข้า ออก ทำเหตุอย่างนี้ติดต่อมาถึง ๔ พรรษาจึงได้รู้แจ้งชัดในศีล สมาธิ ปัญญา ว่ามีอยู่ที่ตัวเราทุกเมื่อ


..........ผู้ปฏิบัติทำเหตุอย่างนี้ให้ติดต่อแล้วคงได้รับผลเหมือนกัน กระทำจริงเห็นจริง เห็นทั้งนรก เห็นมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก มีอยู่ที่เราแจ้งชัดอย่างนี้ จึงน้อมไปดูอดีตที่เราเป็นมาอย่างไร ทั้งดีทั้งชั่วและปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ และน้อมไปดูอนาคตที่ข้างหน้าเราหวังอะไร

เมื่อเห็น ๓ กาลนี้มารวมอยู่ในปัจจุบัน มีแต่ความสุจริตกาย วาจา ใจ จำเพาะหน้า จึงได้ละทุจริตทั้ง ๓ ไม่ทำต่อไป ละชั่วทำดี เป็นผู้เห็นชอบว่าเราเป็นสัมมาทิฏฐิ กาย วาจา เป็นศีล ความมั่นใจเป็นสมาธิ ความรู้ในกองสังขารเป็นปัญญา ไม่ปรุงทางดี ทางชั่ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเป็นผู้พ้นเวลานั้น เจตนาที่จะล่วงไม่มีแก่เรา มรรค ๘ เป็นที่ประชุมอยู่จำเพาะ นำผู้ปฏิบัติ เมื่อทำได้แล้วการเสื่อมไม่มี

เมื่อน้อมศีล สมาธิ ปัญญาใส่ใจแล้ว ใจที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ไม่มีในที่นั้น แต่ก่อนเราไม่รู้ จึงถือเอารูปมาเป็นตน เอาตนไปเป็นรูป ว่าเราดีเราชั่ว ว่าเราทำได้ เราเป็นผู้วิเศษ ว่าเราเป็นผู้พ้น สักกายทิฏฐิก็ยังมีอยู่นั่นเอง รูปนามของเราเป็นอยู่อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น

ยกตัวอย่างธาตุสี่มีอยู่ที่เรา ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ได้สูญไปไหน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่ที่เรา ดิน ฟ้า อากาศภายใน ภายนอกก็มีอยู่ตามเดิม ตามสัตว์ ตามบุคคล เสมอกัน รู้จริงอย่างนี้เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ” ความรู้อย่างนี้ไม่มีลืม ไม่มีหลง รู้เท่าความเป็นจริง จึงไม่เจือด้วยทุกข์ เห็นเป็นกลางทั่วไปทั้งภายในและภายนอก ผู้ปฏิบัติต้องเห็นอย่างนี้ เรียกว่า เห็นธรรม

ถ้าใจยังมีทุกข์อยู่ไม่ใช่ธรรม ใจไม่ทุกข์เป็นธรรม ธรรมในที่นี้หมายเอาธรรมที่ไม่แปรผัน จึงได้ตั้งตนอยู่ในมโน ความนอบน้อมต่อคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณมารดาบิดา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์ เป็นผู้อ่อนน้อมทางกาย วาจา ใจ จากอกุศลกรรมบถ ๑๐ “ไม่ทำบาป” ประพฤติกาย วาจา ใจ อยู่ในกุศลกรรมบถ ๑๐ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง

และมีหิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปมาแต่เดิม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหารทั้ง ๔ นี้ มีติดต่อมาเป็นลำดับตลอดมาถึงปัจจุบันวันนี้ และไม่เคยลำเอียงต่อหมู่เพื่อนมนุษย์ชายหญิงทั้งหลาย ตลอดถึงสัตว์เดรัจฉานตั้งแต่เดิมถึงวันนี้เหมือนกัน


..........บางคราวได้เคยนึกในใจว่าเพศหญิง เพศชาย เป็นมารดาบิดาของเราทั้งโลก เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป แต่ไม่ชัด ออกบรรพชาแล้วเจริญกัมมัฏฐานต่อ เมื่อจิตสงบแล้วไม่ฟุ้งซ่าน ความเห็นก็แจ้งชัดขึ้นเป็นลำดับ ก็เห็นมาจากเพศฆราวาสนั่นเอง และไม่ดูหมิ่นสัตว์บุคคลทั่วไป ไม่ประพฤติชั่วตั้งอยู่ในนะโมด้วยประการข้อที่ ๑

เป็นผู้ประพฤติกาย วาจา ใจคารวะทั้ง ๖ คือ เคารพคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพในความศึกษา เคารพต่อความไม่ประมาท และปฏิสันถาร มีประจำสันดานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะไปสารทิศใด มีสติสัมปชัญญะเคารพต่อคารวะ ๖ ประการนี้เสมอ เป็นประการที่ ๒

ความประพฤติกาย วาจา ใจ ไม่เป็นผู้เลี้ยงยาก เป็นผู้เลี้ยงง่าย ว่าง่ายสอนง่าย เป็นผู้ตั้งตนอยู่ในความมักน้อยสันโดษมาแต่เดิม บวชวันแรกเคยไปอยู่หมู่ไหนคณะไหน เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทำกิจของเราที่ทำได้ช่วยหมู่คณะ เห็นพระภิกษุสามเณรเป็นไข้ ตลอดถึงอุบาสก อุบาสิกา เข้าไปตั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ปฏิบัติโดยสมควร ไม่ให้ผิดกับพระวินัย และแนะนำสั่งสอนเท่าที่จะทำได้ และแบ่งปันลาภสักการะได้มาโดยชอบธรรม โดยชอบวินัย เป็นผู้ไม่ตระหนี่ ได้ตั้งตนไว้ไม่เห็นผิดจากหมู่คณะที่ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ให้วิวาทกับหมู่คณะ ไม่ถือบุคคลเป็นใหญ่ ความประพฤติ กาย วาจา ใจ เป็นมาดังนี้ โดยประการข้อที่ ๓


..........ดังที่ได้พรรณนามานี้เป็นข้อปฏิปทา ประพฤติกาย วาจา ใจเสมอมา จึงได้รับผลเป็นมาดังนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยอำนาจข้อปฏิบัติกาย วาจา ใจ พ้นจากความยินดียินร้าย ลงท้ายที่สุดถือธรรมาธิปไตย ไม่ถือโลกาธิปไตย ปฏิบัติไม่เป็นไปเพื่อโลก ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ให้ลำเอียงทั้งเพศบรรพชิตและคฤหัสถ์ ตลอดถึงสัตว์ดังได้กล่าวแล้วเบื้องต้น ท่ามกลาง แลเบื้องปลาย ตลอดถึงสัตว์เดรัจฉานทั่วไปเห็นเป็นสามัญลักษณะเสมอกัน ความเกิดความสามัคคีเสมอกัน นี่เป็นข้อปฏิบัติไม่เลือกหน้าบุคคล ไม่ว่าประเภทไหน บรรพชิต คฤหัสถ์ก็ตาม อาจพ้นทุกข์ด้วยกัน ต่างกันก็แต่จะช้าหรือเร็ว




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Bing [Bot] และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO