นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน ศุกร์ 03 พ.ค. 2024 3:17 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 07 ก.ค. 2013 8:42 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4546
ภายใน คือหมายความว่าอยู่กับจิตใจวิญญาณของตน ภายนอกอยู่กับกาย กับวาจา เป็นนอกเป็นในอยู่อย่างนี้ ให้เจริญในมนุษยสมบัติทั้งภายนอกและภายใน คือมีธรรมะคุ้มครอง ให้เจริญในสวรรค์สมบัติในภายในและภายนอก ธรรมะคุ้มครองอยู่ทั้งภายในจิตก็ดี ทั้งภายในกายวาจาก็ดี ล้วนแต่เป็นธรรมะนั่นแหละ คุ้มครองไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ให้เจริญไปถึงพรหมโลกก็ดี มีธรรมะภายในและภายนอกนั่นเอง

จิตใจของพวกพรหมทั้งหลาย เขาย่อมมีเจริญรูปฌานสี่ อรูปฌานสี่ กายของเขา วาจาของเขาก็อยู่ในรูปฌาน อรูปฌานนั่นเอง แต่อย่างนั้นก็ยังมีสองพวกด้วยกัน มนุษยโลกก็มีสัมมาทิฏฐิธรรม มีมิจฉาทิฏฐิธรรมคู่หนึ่ง สวรรคเทวโลกก็มีสัมมาทิฏฐิ มีมิจฉาทิฏฐิ เป็นอยู่อย่างนี้เข้ากันไม่ได้ ในพรหมโลกก็ดีมีสัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐินั่นเอง

เข้าไปสู่ในโลกุตตรธรรม ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระภิกษุสามเณรฝ่ายดีก็บรรลุมรรค ผล นิพพาน ไปอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ทำให้พระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งนั้น ส่วนที่ยังไม่รู้ไม่ชี้อะไรเลยก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าไปอย่างไร พระธรรมไปอย่างไร พระสงฆ์ไปอย่างไร อย่างนี้ก็ยังมีเข้าไปปนอยู่ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า


..........ในสมัยพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในกายเจ็ดวันแล้ว พวกหนึ่งที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ร้องไห้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เสียดายไม่ได้พบปะพระองค์ในเวลายังป่วยอยู่ พวกหนึ่งกล่าวว่าร้องไห้ทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว เราทั้งหลายจะได้สบายไม่มีใครว่าจู้จี้จุกจิก เมื่อเป็นเช่นนี้เอง อันนี้เองปุถุชนกับพระอริยเจ้าจึงต่างกัน ถึงไปด้วยกันจำนวนห้าร้อยก็ต่างกันอย่างนั้น

และเมื่อเข้าไปถึงพระบรมศพแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่ให้ไฟนั้นติดศพได้อยู่ มีพระกัสสปะเป็นประธานเข้าไปน้อมนมัสการพระสรีระแล้ว อาศัยเหตุนั้นเอง จึงได้นำคำอย่างนี้เองเข้าไปสู่ชุมชนสงฆ์ตั้งแต่ห้าร้อยขึ้นไป


..........ผู้ที่กล่าวติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้ที่ไม่รู้จักคุณค่าของคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ไม่รู้จักคุณค่าของพระพุทธศาสนานั่นเอง จะไปรู้แต่เพียงมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกนั้นย่อมไปไม่ได้ ต้องให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าพ้นไปจากสวรรคเทวโลก พ้นจากพรหมโลกไปแล้ว ไปอยู่ในอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ไปอยู่ในสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองแล้วอย่างนี้

ผู้ใดเป็นผู้รู้จักคุณค่าของพระศาสนา ปริยัติศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ปฏิบัติศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ปฏิเวธศาสนาก็เป็นตัวหนังสือไปหมด ทีนี้ศาสนาภายในก็จิตของคนนั่นเอง ถึงพระศาสนาเป็นผู้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั้นเอง ตัวไม่ตายเป็นตัวศาสนานั่นเอง


..........ถ้ายังเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก ยังอยู่นอกศาสนา ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้เจริญมนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม ตลอดถึงโลกุตตรธรรม อริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ให้เจริญงอกงามในภายในและภายนอก ขอให้จิตใจวิญญาณ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณก็ดี กายวิญญาณก็ดี จิตวิญญาณก็ดี ให้เข้าสู่ในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย

เพราะร่างกายเนื้อนี้ไม่ว่าในโลกไหน มนุษยโลกก็ดี มันย่อมเปลี่ยนแปลง มันย่อมสลายไป กายสวรรค์ เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ถึงกายพระพุทธเจ้าก็ดี กายพระสาวกก็ดี อย่างนานก็แปดสิบปีบ้าง ร้อยยี่สิบปีบ้าง ร้อยหกสิบปีบ้าง ก็สลายไปอย่างนี้ ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกก็ทนอยู่ไม่ได้

แต่ว่าให้มาดูจิตใจวิญญาณของเรา เมื่อได้พบปะจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ เขาไม่มีขี้ ไม่มีเยี่ยว เขาไม่มีเลือดเนื้อเหงื่อไคลอะไรก็จริง แต่เขาพบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาเข้าสู่ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก เข้าสู่ในภูมิธรรมได้ทุกภูมิ

กามภูมิจิตก็ดี รูปภูมิจิตก็ดี อรูปภูมิจิตก็ดี โลกุตตรภูมิจิตก็ดี จิตของเรานั่นแหละได้เข้าสู่ในมนุสสธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตตรธรรม ได้สิ้นไปแห่งกามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะนั่นเอง เมื่อเราไม่ติดอยู่ในกามาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะแล้ว อาสวะของจิตไม่มี จิตก็พ้นไปจาก เข้าสู่โลกุตตรธรรม ได้เสวยอริยมรรคสี่ อริยผลสี่ ได้เสวยสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสอง มนุษย์และเทวดา พรหมทั้งหลายย่อมเจริญจิตใจของตน

พระภิกษุในโลกุตตรธรรมได้รู้ว่าจิต เจตสิก รูปของเรานี้เข้าสู่นิพพาน จิตปรมัตถ์นั้นยังเกิดดับนะ เจตสิกปรมัตถ์ยังเกิดดับ รูปปรมัตถ์ยังเกิดดับ นิพพานปรมัตถ์ไม่เกิดไม่ดับ เพราะฉะนั้น ให้เราเจริญในพระสูตรก็ดี ในพระวินัยก็ดี พระอภิธรรมก็ดี ให้ไปรวมอยู่จิต เจตสิก รูป นิพพาน ให้พ้นไปจากความเกิด ความตาย




เรามาเจริญนี้ ร่างกายเราก็เป็นมนุษย์ จิตใจของเราก็มีธรรมของชั้นมนุษย์แล้ว ยังเชื่อมไปกับธรรมของเทวดาด้วย ธรรมของพรหมด้วย โลกุตตรธรรมด้วย เพราะมีสถานีเดียวกัน คือจิตเจริญธรรมมีกุศลธรรม บุญกุศลธรรมนี้พระองค์สอนได้ทั่วไปทั้งอดีต ทั้งอนาคต และทั้งปัจจุบัน

สอนไว้สัตถาเทวมนุสสานัง จะเป็นสัตว์โลก สัตว์อยู่ในสวรรคเทวโลก สัตว์อยู่ในพรหมโลกก็ดี เรียกว่าเป็นสัตว์ทั้งนั้น แต่ทำไมพระองค์แสดงได้ทั่วถึงมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลก คำสอนนี้สอนให้เจริญบุญกุศลนี้เอง ให้เว้นจากบาปจากอกุศล ให้รู้จักอัพยากตธรรมเป็นพื้นรองรับ

มีแม่บทอยู่ในพระไตรปิฎกว่า กุสลา ธัมมานี้ เป็นบุญกุศลเกิดกับจิต อกุสลา ธัมมานี้ เกิดกับจิต แต่ว่าไม่เกี่ยวกับบุญกับบาป เป็นแต่ว่าเป็นสภาพของชีวิตเท่านั้นเอง


..........ถ้าเราเจริญในปัจจุบันนี้ ตาของเรายังไม่ได้ทำบาปทำอกุศลจะไปโทษว่ามีบาปไม่ได้ หูของเรายังไม่ได้ทำบาปทำอกุศล จมูก ลิ้น กาย ใจ ล้วนแต่ยังไม่ได้ทำบาปทำอกุศลทั้งนั้น มีแต่ว่าเราน้อมนำมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้มาเจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพราะพุทธคุณเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว จึงได้วางแม่บทไว้ ให้สาวกทั้งหลายรุ่นหลังได้สืบสายกันมาถึงปัจจุบันนี้ ธรรมคุณก็ทรงไว้ซึ่งความตรัสรู้ สังฆคุณนั่นก็เป็นผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าทุกองค์นั่นเอง

แม่บทของธรรมนี้สอนได้ด้วยกันทุกกาล ทุกสมัย ไม่เลือกหน้าว่าสัตว์ บุคคล ว่าจะเป็นกามสัตว์ หรือรูปสัตว์ หรืออรูปสัตว์ก็ตาม อยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลกก็ตามใจ อยู่ในโลกใดๆ ทั้งหมดก็ตาม ท่านไม่ให้ทำบาปเพราะอกุศลทุกโลกเลย ท่านให้เจริญแต่บุญกุศลเท่านั้นเอง ไม่ให้ประมาทในชีวิตของความเป็นอยู่ จะเป็นอยู่ในมนุษยโลกก็ยังอาจสามารถ จะทำบุญกุศลให้มีให้เป็นขึ้นได้ อยู่ในสวรรคเทวโลก ในพรหมโลกก็ดี โลกุตตรภูมิอาจสามารถจะทำให้มรรค ผลเกิดขึ้นในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้

ถ้าเราไม่เจริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ตัวบารมีประจำวันประจำชีวิต ปริยัติของเราก็จะไม่มี ปฏิบัติก็จะไม่มี ปฏิเวธธรรมก็จะไม่มี เราเจริญเมื่อไรมีปริยัติภายในและภายนอกคู่กันไป เราปฏิบัติภายในและภายนอกคู่กันไป มีปฏิเวธธรรมภายในและภายนอกคู่กันไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี อนาคตก็ดีเหมือนกันหมด


..........เมื่อภิกษุสามเณรที่ดียังสืบเนื่องมาจากอดีตถึงปัจจุบัน ภิกษุสามเณรที่ดีท่านย่อมเจริญแต่บุญกับกุศล เจริญมนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม ให้มีอภิญญา ๕ มีสมาบัติ ๘ รูปฌาน ๔ อรูปธาน ๔ อาจสามารถเข้าหาโลกุตตรธรรม ขณะใดขณะหนึ่งได้ นี่ถึงเจริญโลกุตตรธรรมก็จะต้องไปพบอริยมรรค ๔ อริยผล ๔ ในกาลใดกาลหนึ่งก็ได้

เราจะเจริญไปถึงสังขตธรรม อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองในขณะใด ขณะหนึ่งก็คือจิตนั่นเอง จิตนั่นแหละรับผัสสะรองรับทั้งบุญทั้งกุศล ทั้งบาปทั้งอกุศล ทั้งอัพยากตธรรม ทีนี้ถ้าหากว่าวิชชาเข้ามาอาศัยจิต ก็ชี้ไปถึงมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นฤพานสมบัติเป็นที่สุด ถ้าอวิชชาเข้ามาอาศัยจิต ก็จะไม่รู้ว่ามนุษยสมบัติอยู่ที่ไหน สวรรคสมบัติอยู่ไหน พรหมสมบัติอยู่ไหน รู้แต่ว่าเกิดแล้วก็ต้องเกิดอีก เสวยทุกข์แล้วก็เสวยอีก ตายแล้วก็ตายอีกนั่นเอง

อวิชชานั่นนะไม่ใช่ไม่รู้ รู้ว่าความเกิดเป็นทุกข์ รู้ต้องตายเป็นทุกข์ แต่ไม่รู้ว่ามนุษยสมบัติ คือสมบัติของจิตใจนั่นเองจะไปได้ทางไหน คือไม่มีแสงสว่างนั่นเอง สวรรค์สมบัติมีอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็น นฤพานสมบัติมีอยู่ก็ไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้ จึงว่าต่างกับวิชชา

อวิชชามาอาศัยจิตเดียวกันก็จริง ถ้ากาลใดมโนวิญญาณ จิตวิญญาณไม่หลับแล้ว วันนั้นเราจะฝันได้ท่องเที่ยวไปมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติก็ได้ แต่ว่าไม่เห็นฝันไปนฤพานสมบัติสักที เพราะว่าญาณยังไม่พอ จึงยังไม่ไป ก็วนอยู่ในมนุษยโลก สวรรคเทวโลก พรหมโลกนั่นเอง เพราะมโนวิญญาณยังไม่หลับ จิตวิญญาณยังไม่หลับ ถ้าหลับแล้วไม่เห็นใครฝัน ไม่เห็นใครมีร้อนมีหนาว

ถ้าสังเกตดูถ้าหากว่าจิตไม่ตื่น มโนวิญญาณไม่ตื่น จิตวิญญาณไม่ตื่นขึ้นมา เราจะไม่รู้ว่าร่างกายของเรานี้ มีความร้อนและความหนาว ตาของเราจะไม่รับรู้ว่ามีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่มี เพราะเขาหลับเสียแล้ว เจ้าหน้าที่เขาหลับ เพราะฉะนั้นความรู้ทั้งหลายไปรวมมโนวิญญาณ จิตวิญญาณ ความรู้เวทนาก็รวมไปนั่น ความรู้สัญญา ความรู้สังขาร ความรู้วิญญาณไปรวมจิตที่เดียว

จิตนั่นแหละเป็นที่รับรองทั้งวิชชาและอวิชชา อวิชชานี้จะตามไปส่งถึงไหน ส่งถึงมนุษยสมบัติแล้ว มันยังไปแล้ว มันยังไปพบเกิดพบตาย ส่งถึงสวรรคสมบัติ มันก็ยังไปเกิดไปตายอยู่อีก ส่งไปพรหมโลก มันน่าจะพ้นเกิดพ้นตายก็ไม่พ้น ในรูปฌานมันก็เกิดตาย อรูปฌานก็เกิดก็ตาย ในอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ก็เกิดตายทั้งนั้น

เกิดตายในกามสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อวิชชาสังโยชน์ อวิชชานุสัย ไม่ถึงนฤพานสมาบัติสักที ท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ พรหมสมบัตินี้นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านผ่านมาแล้วได้แสดงไว้ในกามภูมิจิต รูปภูมิจิต อรูปภูมิจิต โลกุตตรจิต จิตของเราจะได้รับภูมิธรรมทั้งสิ้น ต้องให้เจริญถึงอริยมรรค ๔ อริยผล ๔

นี่ชาวพุทธทั้งหลายอย่าได้ประมาทว่าพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปหมดแล้วรุ่นเก่า รุ่นใหม่ยังไม่มา ยังไม่ถึง ๘,๐๐๐ ปี ท่านก็ไม่มา ที่นี้องค์ปัจจุบันท่านวางไว้ สัตถาเทวมนุสสานังนี้ แสดงไว้สั่งสอนไว้ทั้งมนุษย์ เทวดา และพรหมทั้งหลาย ให้ธรรมะสอนแทนพระกายของพระองค์

นี่ล่วงไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี ยังไม่จบ ๕,๐๐๐ ปี ยังไม่จบ คำสอนแทนกายพระองค์นั้นเป็นประโยชน์มากกว่าพระกายพระองค์ยังอยู่ พระองค์ยังอยู่ต้องเสด็จไป ๑๖ พระนคร ไปเที่ยวแสดงธรรมด้วยตนเอง ประเดี๋ยวเสด็จไปยมโลกบ้าง สวรรคเทวโลกบ้าง พรหมโลกบ้าง ท่องเที่ยวอยู่อย่างนั้น นี่พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานอายุ ๘๐ ปี พระองค์สบายกว่าเอาร่างกายไว้

เพราะร่างกายนี้ กายเนื้อกายหนังนี้มันต้องฉันข้าวเจ้าข้าวเหนียว ฉันน้ำร้อนน้ำเย็นอยู่เสมอไป ไปอยู่ที่ไหนมันต้องฉันอาหารอย่างนี้ ไม่เหมือนมโนวิญญาณ จิตวิญญาณ อันนั้นเขามีแต่ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร เขาจะมีปฏิกูลอย่างไร เขาจะมีเกิดมีตายอย่างไร

เพราะธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า มนุษยสมบัติก็เข้าถึงจิต นฤพานก็เข้าถึงจิต อริยมรรค ๔ ก็คือเข้าอยู่กับจิต อริยผล ๔ ก็เข้าอยู่กับจิตนั่นเอง สังขตธรรมก็ดี จิตนั่นแหละเสวย อสังขตธรรม วิราคธรรม โลกธรรมทั้งสองเข้าสู่ภูมิจิต จิตถึงธรรม ธรรมถึงจิตนั่นเอง จิตจึงได้ว่างจากอาสวะ อวิชชาสวะไม่มี อวิชชาสังโยชน์ไม่มี อวิชชานุสัยไม่มี จิตว่างได้ จิตว่างจากอาสวะสังโยชน์ อาสวะนุสัยได้ ตาก็ว่าง หูก็ว่าง จมูก ลิ้น กาย ใจก็ว่าง

ทีนี้ไม่มีใครตายหรอก มีแต่ว่าอายุก็ของกายมันจะออกเมื่อไรก็ได้ ลมหายใจไม่ทำงาน มันก็ขยายออกจากกัน ดินก็ขยายออกไป น้ำ ไฟ ลม อากาศขยายออกจากกันไม่คุมกันเป็นรูปแล้ว เรียกว่าในมนุษยโลกเขาก็เรียกว่าคนตาย ถ้าไปสวรรค์เรียกว่าจุติแล้วไปปฏิสนธิขึ้นใหม่ ถ้าลงมามนุษยโลกเรียกว่าตาย ไม่มีลมหายใจ หมายเอากายเนื้อนี้เอง

เพราะฉะนั้นให้รู้ไว้เห็นไว้ว่า มนุษยธรรมมีจริง เทวธรรมมีจริง พรหมธรรมมีจริงโลกุตตรธรรมมีจริง พระพุทธเจ้าพ้นแล้วจากเกิดตายมีจริง พระธรรมทรงไว้ซึ่งความไม่เกิดไม่ตายมีจริง พระสงฆ์เป็นผู้รู้ตาม เห็นตาม ไม่เกิด ไม่ตายตามพระพุทธเจ้าทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้

รู้ไว้เห็นไว้ไม่ใส่บ่าแบกหาม ให้เจริญไว้ในปริยัติภายในและภายนอก ปฏิบัติภายในและภายนอก ปฏิเวธธรรมภายในและภายนอก ขอให้ชาวพุทธทั้งหลายได้พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO