นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 8:38 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พุธ 19 มิ.ย. 2013 8:09 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
เอาขาขวาทับขาซ้าย มือซ้ายวางลงบนตัก
เอามือขวาวางทับลงไป เอาหัวแม่มือชิดกัน
แต่ว่าอย่าให้ถึงกับไปกดดันกัน วางให้เป็นที่สบาย
ตั้งตัวให้ตรง ดำรงสติให้มั่น
อย่าให้มีการกดข่มประสาท ส่วนต่างๆของร่างกาย
ให้กำหนดนั่งให้เป็นที่สบาย อย่าก้มนักและก็อย่าเงยนัก อย่าเอียงซ้าย อย่าเอียงขวา

เมื่อท่านเตรียมนั่งสมาธิตามแบบวิธีการสำเร็จแล้ว
ต่อไปขอได้โปรดตรวจดูศีลของตน
การบำเพ็ญสมาธิตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ต้องขึ้นต้นด้วยศีล อย่างต่ำก็ศีล ๕
ตั้งแต่เช้ามาจนถึงบัดนี้
ขอให้พิจารณาดูศีลตามขั้นภูมิแห่งตนเอง
ถ้าตรวจพบว่าศีลของเราบกพร่อง
ก็ให้อธิษฐานจิตเอาไว้ว่าจะทำให้บริสุทธิ์ ต่อไป
ถ้ารู้ว่าศีลของตนเองบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว
ก็ควรจะได้ทำความภูมิใจ
เบิกบานใจ
ว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว

โดยเฉพาะในปัจจุบันนี้ เรามานั่งอยู่นิ่งๆไม่ได้ทำอะไร
กายก็อยู่ในท่าทีที่สงบ วาจาก็สงบ ใจก็สำรวมมีสติสัมปชัญญะ
เพื่อแน่ว่าเราไม่ได้ละเมิดศีลข้อใดข้อหนึ่งเป็นแน่นอน

ดังนั้น

จึงควรได้อธิษฐานจิตของตัวเองว่า
ศีลของเราบริสุทธิ์แล้ว ศีลของเราบริสุทธิ์แล้ว ศีลของเราบริสุทธิ์แล้ว
เมื่อเราตรวจศีลเป็นที่บริสุทธิ์เป็นที่พอใจแล้ว
ต่อไปโปรดตั้งใจนึกถึง
พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ว่า
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ

ครั้นจบแล้ว
แล้วมาสำรวมอยู่ที่จิต รู้อยู่ที่จิต
ทำความเชื่อมั่นว่า
พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี
อยู่ที่จิตของเรา

พระพุทธเจ้าคือความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี มีอยู่ที่จิตของเราแล้ว
พระธรรม คือการทรงไว้ ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น
พระสงฆ์คือมีสติ สังวรณ์ ระวัง ตั้งใจ จะละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด

ผู้มีความรู้สึก สำนึกผิดชอบชั่วดี และคงไว้ซึ่งความรู้สึกเช่นนั้น
ตั้งใจแน่วแน่ว่า
เราจะละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ สะอาด อยู่เสมอ
ผู้นั้น ได้ชื่อว่า
มีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ในจิตของเรา

ดังนั้น

เราจึงไม่ควรไปกังวลสิ่งอื่น
จึงกำหนดเอาจิตตัวผู้รู้ของเราเท่านั้น แล้วทำความเชื่อมั่นว่า
พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในจิตของเรา
ในขณะที่เรายังไม่ชำนาญ ในการกำหนดรู้จิตของตัวเอง
เพื่อจะให้การกำหนดรู้นั้นชัดเจนขึ้น
จึงควรบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่ในจิต
นึก พุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนั้น
อย่าไปแสดงอาการข่มจิต
อย่าบังคับจิต
อย่าไปสะกดจิตให้มันหยุดคิดอย่างอื่น
เพียงแต่ประคองให้มันอยู่กับพุทโธเพียงอย่างเดียว
นึกว่าหน้าที่ของเราปัจจุบันนี้
มีแต่นึกบริกรรมภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หน้าที่อื่นๆของเราไม่มี
มีแต่ประคองจิตกับพุทโธให้อยู่ด้วยกัน
เมื่อจิตกับพุทโธอยู่ด้วยกัน มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ตอนแรก
เราอาจจะตั้งใจนึกบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ
เมื่อเราไม่ได้ตั้งใจจิตของเราจะไม่บริกรรมพุทโธ
ต่อเมื่อเราตั้งใจจิตของเราจึงจะนึกบริกรรมภาวนาพุทโธ
ในตอนแรกๆมันจะเป็นอย่างนี้
แต่จะด้วยประการใดก็ตาม
อะอืม ขอให้นักปฏิบัติทั้งหลายจงตั้งใจให้แน่วแน่
ว่า
เราจะภาวนาพุทโธเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
การภาวนาพุทโธเป็นการระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
พุทโธ เป็นชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า
ซึ่งเราแปลพุทโธว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้า แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เมื่อเราบริกรรมภาวนาพุทโธอยู่
หนักๆเข้า
จิตของเราจะเกิดความคล่องตัวต่อการภาวนาพุทโธ
เราจะรู้สึกว่า เราไม่ได้ตั้งใจจะนึกพุทโธ
แต่
จิตของเรานึกพุทโธเอง
แล้วเราก็มี สติรู้อยู่เอง ในขณะจิตนั้น
อันนี้เป็นการสังเกตุการภาวนาพุทโธ ในขั้นแรก
__________________
ทีแรก เราภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ
พอเผลอปั๊ป
มันไปคิดอย่างอื่น
แล้วเราก็มานึกพุทโธขึ้นมาใหม่
พอเผลอมันไปคิดอย่างอื่น แล้วเราก็เอามาหาพุทโธใหม่

สำหรับผู้ที่ฝึกหัดภาวนาพุทโธในตอนแรกๆนี่
ต้องพยายามเอาจิตกับพุทโธให้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
จงพยายามนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ อยู่ทุกขณะจิตทุกลมหายใจ
ไม่เฉพาะแต่เวลามานั่งสมาธิภาวนาเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ
ควรจะนึกบริกรรมภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไว้ทุกขณะจิต
เพื่อจิตของเราจะได้คล่องตัวต่อการนึกพุทโธ
นึกพุทโธจนคล่องตัว
ซึ่งในที่สุด
จิตของเราจะนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ เองโดยอัตโนมัติ
เมื่อจิตของเรานึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ เองโดยอัตโนมัติ
เราไม่ได้ตั้งใจจะนึกแต่ว่ามันนึกพุทโธ พุทโธ พุทโธ ของมันเอง
บางครั้งเราห้ามไม่ให้มันนึก มันก็ไม่ยอมหยุด มันนึกของมันอยู่อย่างนั้น
เมื่อจิตไปนึกถึงบริกรรมภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ เอง มันไม่ยอมหยุด
จะดึงให้มันหยุดมันไม่หยุด
มันนึกพุทโธของมันอยู่อย่างนั้น
อันนี้จิตของท่านติดกับพุทโธแล้วนึกถึงพุทโธเอง
เรียกว่า
จิตได้องค์ของฌานที่หนึ่ง คือวิตก
เมื่อมีสติรู้พร้อมอยู่เอง ในขณะจิตนั้น
ตัวนึกพุทโธก็นึกคิดอยู่ ตัวระลึกรู้ก็ระลึกอยู่
คือตัวสติก็ระลึกรู้อยู่เองโดยอัตโนมัติ
จิตนึกพุทโธเอง ตัวรู้ก็รู้เองโดยอัตโนมัติ
มันนึกจนกระทั่งมันไม่ยอมหยุด ตัวรู้ก็ไม่ยอมหยุด
ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ มันนึกพุทโธ พุทโธ ของมันอยู่อย่างนั้น




พระปฏาจาราเถรี เป็นบุตรีเศรษฐีเมืองสาวัตถี เป็นที่รัก เป็นที่หวงแหนของบิดามารดามาก ไม่ยอมให้คบหาสมาคมกับบุรุษ ถึงกับสร้างปราสาท ๗ ชั้น (ก็คือตึก ๗ ชั้นนั้นเอง) ให้นางอยู่ จะไปไหนทีต้องขออนุญาตเป็นทางการจากบิดา ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก จนในที...่สุดนางก็เกิดความรักใคร่กับคนใช้ในบ้าน มีสัมพันธ์กันลับๆ โดยที่บิดามารดาไม่ทราบ

ครั้นบิดามารดาจัดการให้แต่งงานกับบุตรเศรษฐีฐานะทัดเทียมกัน นางก็หนีตามคนรักไปอยู่ยังชนบทห่างไกล จะยากจนข้นแค้นอย่างไร นางก็อดทนได้ เพราะอานุภาพแห่งความรัก ทั้งสองครองรักกันในกระท่อมซอมซ่ออย่างมีความสุข จนนางตั้งท้องบุตรคนแรก

เมื่อลูกจะคลอด นางก็นึกถึงบิดามารดา คิดว่าถ้าคลอดลูกท่ามกลางบิดามารดาญาติพี่น้อง คงจะอบอุ่นและปลอดภัย จึงขอร้องสามีให้พากลับไปยังเมืองสาวัตถี สามีกลัวความผิดที่ตนกระทำ บิดามารดาคงไม่ให้อภัยแน่ จึงบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมพานางกลับ

เมื่อสามีไม่อยู่ในวันหนึ่ง นางก็หนีสามีกลับบ้าน ระหว่างทางก็ปวดท้องรุนแรงและคลอดลูก สามีตามมาทัน จึงพานางกลับบ้านตามเดิม

ครั้นตั้งท้องลูกคนที่สอง นางก็พาลูกน้อยหนีสามีกลับอีก สามีตามมาทันเช่นเดิม บังเอิญว่าคราวนี้เกิดพายุฝนกระหน่ำ มีสายน้ำหลากมา สามีไปหากิ่งไม้ใบไม้มาทำเพิงหลบฝน แต่เคราะห์ร้ายถูกงูกัดตาย นางต้องทนทุกข์ทรมานตลอดคืน

เมื่อสว่างนางจึงอุ้มลูกที่เกิดใหม่ อีกมือจูงลูกชายคนโต เดินมุ่งหน้าไปยังเมืองสาวัตถี พบกระแสน้ำไหลเชี่ยวขวางทางอยู่ ครั้นจะพาลูกทั้งสองข้ามน้ำพร้อมกันก็ไม่ได้ จึงวางลูกคนเล็กไว้บนฝั่งน้ำ แล้วอุ้มลูกคนโตข้ามน้ำไปให้ยืนรออยู่บนฝั่งโน้น กลับมาเพื่อจะมาเอาลูกคนเล็กข้ามน้ำ ไปถึงกลางลำธาร เหยี่ยวตัวหนึ่งเห็นลูกเล็กของนางนึกว่าเป็นชิ้นเนื้อ จึงโฉบลงมา นางจึงรีบยกมือทั้งสองขึ้นตะโกนไล่เหยี่ยวเสียงดังลั่น สายไปเสียแล้ว เหยี่ยวได้เอาลูกน้อยของนางไปต่อหน้าต่อตา

ฝ่ายลูกชายคนโตเห็นแม่ยกมือขึ้นร้องนึกว่าแม่ร้องเรียก ก็กระโจนลงน้ำจะมาหาแม่ ถูกกระแสน้ำพัดหายไปในบัดดล ปฏาจาราสูญสิ้นหมดทุกอย่าง สามีก็ตายระหว่างทาง ลูกน้อยคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวเอาไป ลูกชายอีกคนหนึ่งก็ถูกกระแสน้ำพัดหายไป ชีวิตนี้มันช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้ นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารไปตลอดทาง

ระหว่างทางมุ่งหน้าเข้าเมืองสาวัตถีเพื่อไปหาบิดามารดาซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย พบชาวเมืองคนหนึ่งเดินสวนทางมา นางจึงถามถึงบิดามารดาของตน บุรุษนั้นบ่ายเบี่ยงว่า "อย่าถามถึงตระกูลนั้นเลย เมื่อคืนที่ผ่านมาเธอไม่รู้หรือว่าพายุฝนตกกระหน่ำอย่างรุนแรง"

"ฉันรู้จ้ะ ฉันเองก็ผ่านวิกฤตแห่งชีวิตมาเพราะพายุฝนนี้เหมือนกัน ฉันจะเล่าให้ฟังภายหลัง แต่ก่อนอื่นฉันอยากทราบว่าพ่อแม่ฉันสบายดีอยู่หรือ"

"พวกเขาคงไปสบายแล้วล่ะแม่หนู" บุรุษกลางคนคนเดิมกล่าวเป็นนัย

"ลุงหมายความว่าอย่างไร"

"หมายความว่า ท่านทั้งสอง รวมทั้งลูกชายคนโต และคนใช้ทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว คฤหาสน์ของท่านถูกฟ้าผ่า ไฟลุกไหม้คลอกคนในคฤหาสน์ตายหมด ไม่มีใครรอดสักคน เปลวไฟลุกโชนตลอดคืน จนป่านนี้แล้วยังไม่มอด ยังเห็นควันพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าอยู่ นางดูสิโน่นไง ควันไฟที่บ้านท่านเศรษฐี" บุรุษวัยกลางคนเล่า พลางชี้ให้นางดูควันไฟที่ยังพอมองเห็นอยู่รำไร

เท่านั้นแหละครับ สติที่ยังพอมีอยู่บ้างก็ขาดผึงทันที นางล้มลงสิ้นสมปฤดี ณ บัดดล ฟื้นขึ้นอีกทีก็ไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว กลายเป็นคนเสียสติ เดินวนเวียนไปอย่างไร้จุดหมาย จนผ้าผ่อนที่นุ่งหลุดหายไป ก็ไม่รู้สึกตัว ประชาชนเห็นนางก็ไล่ตะเพิด "หญิงบ้าไป...ไป๊" ไม่มีใครปรารถนาให้นางเข้าใกล้

ถ้าใครสักคนรู้เบื้องหลังของนาง เขาคงจะสงสารนางจับใจ ไม่กล้าเอ่ยปากไล่เป็นแน่แท้

นางเดินสะเปะสะปะ บ้างหัวเราะ บ้างร้องไห้ เข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหารขณะพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ ประชาชนต่างก็ออกปากไล่ให้นางหนีไป พระศาสดาตรัสให้พวกเขาอนุญาตให้นางเข้ามา พระองค์ตรัสเตือนสติว่า "น้องหญิงจงกลับได้สติเถิด"

กระแสพระดำรัสกระตุกสติสัมปชัญญะของนางกลับคืนมา เมื่อมองเห็นเปลือยล่อนจ้อนต่อหน้าธารกำนัล ก็เลยนั่งลงด้วยความอาย บุรุษคนหนึ่งได้โยนผ้าให้นางนุ่งห่ม นางเข้าไปกราบแทบพระยุคลบาทกราบทูลพลางร่ำไห้ไปพลางถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสามี ลูกน้อยทั้งสอง และบิดามารดาและพี่ชาย

พระพุทธองค์ตรัสว่า "อย่าคิดมากเลยปฏาจารา สามี ลูกทั้งสอง บิดามารดา และพี่ชายของเธอก็ตายไปแล้ว ถึงเธอจะร้องไห้จนน้ำตาท่วมตัว เธอก็ช่วยให้เขาเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาไม่ได้ น้ำตาของผู้ที่ร้องไห้เพราะรักวิปโยคในสังสารวัฏอันยาวนานนี้ ถ้าจะวัดกันแล้ว มีมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก เธออย่าได้มัวประมาทอยู่เลย จนทำที่พึ่งแก่ตัวเองเถอะ แล้วเธอจะไม่ต้องเสียน้ำตาอีกต่อไป ปิยชนคนที่เรารักทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น ไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่เราได้ดอก นอกจากเราต้องพึ่งตัวเราเอง"

การบรรลุธรรมของนางปฏาจารา

ภิกษุณีปฏาจาราได้รับความทุกข์ที่เกิดจากความสูญเสียคนรักจนเสียสติ เนื่องจากพ่อแม่ลูกสามีต้องมาตายในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อบวชแล้วอยู่มาวันหนึ่งท่านกลับจากบิณฑบาตก่อนขึ้นกุฏิท่านได้ใช้กระบวยตักน้ำล้างเท้า ตักครั้งแรกน้ำไหลซึมไปตามพื้นเล็กน้อย ตักรดครั้งที่ ๒ นำก็ไหลยาวออกไปอีกนิดหนึ่ง ตักรดครั้งที่ ๓ น้ำก็ไหลออกไปอีกมากกว่าครั้งที่สอง ในขณะที่นางตักน้ำล้างเท้าและเห็นน้ำที่ไหลออกไปนั้น นางพิจารณายกเอาอาการไหลของน้ำขึ้นพิจารณาว่า “คนเราเมื่อตายในปฐมวัยเปรียบดังน้ำที่ไหลในครั้งแรก คนที่ตายในมัชฌิมวัยก็เปรียบดุจน้ำที่ไหลในครั้งที่ ๒ ส่วนคนที่ตายในปัจฉิมวัยก็เปรียบดังน้ำที่ไหลในครั้งที่ ๓” นางได้บรรลุอรหัตตผลในขณะที่กำลังรดน้ำล้างเท้า ณ ตีนบันไดนั่นเอง

ใครเคยฟังเพลงวังแม่ลูกอ่อนของ พร ภิรมย์ เพลงนี้ดัดแปลงมาจากประวัติคราว ๆ ของนางปฏาจารานั่นเอง แต่นางไม่ได้ตายเหมือนในเพลง แต่นางปฏาจาราได้เดินทางต่อไปเพื่อจะไปหาพ่อแม่ แต่ก็มาเห็นพ่อแม่และพี่ชายที่อยู่บ้าน ๆ ถูกไฟไหม้ตายหมดเพราะฟ้าผ่าบ้านเมื่อคืนที่ฝนตกหนักนั้นเอง นางจึงเสียสติเป็นบ้าเดินไปอย่างไร้จุดหมายผ้าผ่อนไม่มีติดตัว และเดินหลงเข้าไปในวัดเชตวันในขณะที่พระผู้ภาคเจ้ากำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ และนางได้รับการปลอมประโลมใจจากพระธรรมเทศนาจนมีสติขึ้นมาอีก นางจึงได้ขอบวชอยู่ในสำนักภิกษุณี

ข้อพิจารณา

๑.คนเราโดยธรรมชาติเมื่อได้รับสิ่งสะเทือนใจอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเหตุใด ย่อมมีความทรงจำติดอยู่ในใจตลอดเวลา เมื่อมองสิ่งใดมักอดหวนระลึกถึงเรื่องในอดีตนั้นไม่ได้ บางคนอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ต้องร้องไห้ออกมา เช่นเดียวกับภิกษุณีปาฏาจารา เมื่อนางเห็นน้ำที่ไหลก็ทำให้หวนคิดถึงอดีตลูก ๆ สามี พ่อแม่และพี่ชายที่ต้องมาตายจากไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน เป็นความสะเทือนใจที่ไม่อาจลืมเลือนได้ แต่นางเอาภาพการไหลของน้ำที่เห็นนั้นมาพิจารณาเป็นธรรมานุสติ จนนางได้บรรลุธรรมโดยอาศัยอดีตที่เจ็บปวดมาเทียบเคียง

๒.ลักษณะการบรรลุธรรมของภิกษุณีปฏาจารา ใช้วิปัสสนากรรมฐานเป็นตัวนำ โดยการพิจารณาธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตากระทบรูป คือ น้ำที่ไหลออกไป เมื่อมีสติกำหนดพิจารณาโดยอาศัยการพิจารณาใคร่ครวญสภาวธรรมที่เกิดขึ้น องค์แห่งโพชฌงค์ ๗ จึงเกิดขึ้นและบริบูรณ์เต็มที่จนสามารถบรรลุอรหัตตผลในที่สุด




เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
cron
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO