นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 3:04 pm

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: อาทิตย์ 16 มิ.ย. 2013 8:19 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
“ถ้าเราทำดี พูดดี คิดดีแล้ว
คนอื่นเขาว่าเราทำไม่ดี
ก็ไม่เป็นไร เมื่อเราทำดีแล้ว
คนอื่นว่าไม่ดีมันเป็นเรื่องของเขา
เราอย่าไปทิ้งความดีของเรา
... ความดีมันอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่คนอื่นมอง
อย่าลืมว่ากรรมใคร ก็เป็นของคนนั้น
อย่ายึดมั่นถือมั่น และ อย่าจับตาดูผู้อื่น”

แม้พระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกัน พระองค์ประทับนั่งอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์แห่งเดียว เมื่อจะดับโลกสาม ก็มิได้เหาะขึ้นไปในโลกสาม คงดับอยู่ที่จิต"

" หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีฯ สอนการให้ทานที่มีผลในชาตินี้ "

คัดบางส่วนจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม 3

โดยพระราชพรหมยาน

ผู้ถาม: "เวลามีคนมาขอทานหน้าบ้าน เขามักจะขอโดยการร้องเพลงยาวๆ ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ค่ะ แต่บางทีก็รำคาญต้องรีบบอกให้หยุดร้อง ให้สตางค์แล้วก็ให้เขาไปเร็วๆ อย่างนี้จะเป็นอะไรไหมคะ....?"

หลวงพ่อ: "ไม่เป็นไรหรอกหนู เมื่อสมัยบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าจะให้ทานคนขอทานอย...่าให้เขาพูดมาก หมายความว่าพอมาถึงไม่ต้องให้ยกมือไหว้พูดขอ ถ้าเขาจะขอก็บอกไม่ต้องฉันให้แล้ว ฉันเต็มใจให้แล้ว คือว่าเราจะให้ใคร อย่าให้เขาพูดมาก อย่าให้เสียเวลา ให้เร็ว ๆ ที่สุด ตั้งใจเป็นการสงเคราะห์จริงๆ แล้วผลมันให้ในชาตินี้ ฉันทดสอบมาแล้วเป็นความจริง....

การให้ทานโดยไม่เตรียมการไว้ก่อน ใครมาเราก็ได้เราให้ได้ ถ้าทำอย่างนี้เสมอ ๆ คนมาขอทาน เราไม่ยอมให้พูดขอ รีบควักเลย แล้วมันจะมีผลในชาตินี้ คือสิ่งที่เราขัดข้องคิดว่าจะไม่ได้มันจะโผล่ เราก็ให้เท่าที่จะให้ได้ เขาไม่บังคับเรานี่ พอทำไปไม่กี่ปีก็เริ่มให้ผล ของที่มันจะได้มามันมีการคล่องตัวมากขึ้น

แต่เวลาให้ เราอย่าไปคิดถึงผลอันนี้นะ ต้องให้ด้วยการสงเคราะห์จริง ๆ คือตัดไปเลย มันได้เท่าไหร่ก็ช่าง ถ้าไปคิดว่าเราต้องการให้เพื่อต้องการผลตอบแทนผลจะถูกตัดเพราะเป็นการให้ทานที่ประกอบด้วยความโลภ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง" ธรรมของเรามิใช่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ต้องเร็ว ๆ ไว ๆ


บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบทางกาย วาจา ใจและกุศลธรรม และปารมีหรือบารมี หมายถึง คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันสูงยิ่ง...

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่พาหิยะนั้น

ถือเป็นที่สุดของวิปัสนา

ดูกรพาหิยะในกาลใดแล
เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
... เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง
เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี
ในกาลใดท่านไม่มี
ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้
ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง

นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ"


ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวการกระทำตอบแทน ที่ทำได้ไม่ง่ายแก่ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสอง นั้นคือใคร ? คือ มารดา บิดา
ภิกษุทั้งหลาย ! บุตรพึงประคับประคอง มารดา ด้วยบ่าข้างหนึ่งพึงประคับประคอง บิดา ด้วยบ่าข้างหนึ่งเขามีอายุมีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเข...าพึงปฏิบัติ ท่านทั้งสองนั้นด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้งสองนั้น พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ"
ภิกษุทั้งหลาย ! การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า...อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
ภิกษุทั้งหลาย ! อนึ่ง"บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติอันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหมายเช่นนี้" การกระทำกิจอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า...อันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลยข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใด...ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในสัทธาสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยศรัทธา) ยัง มารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นใน สีลสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยศีล) ยัง มารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นใน จาคสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยการบริจาค) ยัง มารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นใน ปัญญาสัมปทา(ความถึงพร้อมด้วยปัญญา)
ภิกษุทั้งหลาย ! ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้นย่อมชื่อว่า... อันบุตรนั้นทำแล้วและทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดา.

ถ้าไม่มีการให้อภัยผิด
และไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง
จะหาสามัคคียากลำบากจัง
ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน

อนัตตา4
ธรรมะในดอกบัว... บานตามเหตุปัจจัย... ร่วงโรยไปตามเหตุปัจจัย...ไม่มีใครเป็นเจ้าของ...สิ่งใดจริงตั้งอยู่ด้วยเหตุ... ดับไปด้วยเหตุ.. ฉะนั้นแล


ความ"อยาก"ทำให้ใจดิ้นรนเป็น"ทุกข์"
...ความ"อยาก"ต้องใช้คู่ไปกับ"สันโดษ"
...จึงจะลดการดิ้นรนของใจ เพราะ
..."สันโดษ" เป็นความพอใจในความสามารถของตนที่ทำเต็มที่แล้ว

คนไร้วาสนาคือคนประมาทมัวเมาเมื่อขาขึ้น
คนไร้วาสนาคือคนท้อแท้ท้อถอยเมื่อขาลง
ความไร้วาสนาหรือมีวาสนานั้นอยู่ที่ใจตน
ไม่มีใครทำให้

...ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเรา...
ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้ม
แต่อยู่ที่สามารถลุกขึ้นได้ทุกคร้งที่เราล้ม.

ขณะที่เราเจริญสตินะ ฐานใดฐานหนึ่ง
จะเห็นพระไตรปิฎกทั้งแปดหมื่นสี่พัน
พระธรรมขันธ์ตรงนี้เพราะ สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นว่าเป็นตัวเราของเราก็อยู่ตรงนั้น สมุทัยที่จะเกิดก็เกิดตรงนั้น มรรคที่จะประหารกิเลสที่จะทำหน้าที่ เพื่อประหารกิเลสก...็อยู่ตรงนั้น นิโรธความดับทุกข์ได้ถ้าจะดับทุกข์ได้ก็ดับตรงนั้น

ดับขณะหนึ่ง ขณะหนึ่งตรงนั้น คือ
ถ้าสติญาณปัญญาไม่แจ่มแจ้งมันก็กลาย
เป็นที่ตั้งแห่งสมุทัยให้ทุกข์เกิด
ถ้าสติปัญญาญาณแจ่มแจ้งขณะนั้น ก็กลาย
เป็นมรรคที่ทำให้ทุกข์ดับ คือนิโรธที่บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นมรรคมีองค์แปดนะมันก็เกิดรวม
อยู่ตรงนั้นเลย มรรคของใครผู้นั้นก็ทำ
กันเอาเอง


จิตนั้นเป็นนาย กายเป็นบ่าว
บุคคลในโลกนี้บำรุงบำเรอบ่าว
แต่ปล่อยให้นายอดอยาก
ชีวิตนี้จึงไม่ประสบผลสำเร็จ
ไม่สามารถนำชีวิตไปสู่ความสุขที่แท้จริงได้


...พ่อ..ลูก..คุยโทรศัพท์กัน..(เด็กอายุ ๗ ขวบ)
...ลูกพูด..พ่อๆ เวลากิเลสความหิวเข้าไปกระทบใจพ่อ ทำให้พ่อหิว
...พ่อพูด..พ่อรู้ลูก
...ลูกพูด...พ่อๆรู้แต่พ่อไม่เคยปฏิบัติเลย
...พ่อพูด...ปฏิบัติยังไงละลูก
...ลูกพูด...พ่อก็อย่าทำตามมันซิ พ่อจะได้ไม่ต้องกิน จะได้ไม่อ้วน


ธรรมะในดอกบัว... บานตามเหตุปัจจัย... ร่วงโรยไปตามเหตุปัจจัย...ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
สิ่งใดจริงตั้งอยู่ด้วยเหตุ... ดับไปด้วยเหตุ



กรรมในอดีตอาจตกแต่ง
ให้บางคนมีจิตเศร้าหมองเป็นประจำ
และเมื่อภาวะใดเกิดขึ้นบ่อยๆ
เจ้าตัวย่อมอุปาทานว่ามันจะ
เป็นของติดตัวตลอดไป แก้ไม่ได้
ความจริงก็คือเมื่อฝึกเจริญสติ สังเกตรู้ตามจริง จะพบว่าเมื่อใดเราพบจิต
... รู้วิธีที่จะเห็นภาวะของจิตที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเมื่อนั้นสติก็ช่วย "ซ่อม" จิตให้เดี๋ยวนั้น
เพราะสติเป็นเหตุใกล้ให้เกิดกุศล เกิดความสว่าง เกิดภาวะทางธรรมชาติดีๆขึ้นภายใน
แม้ความเศร้าหมองเพิ่งเล่นงานอยู่หยกๆ
พอเกิดสติเห็นว่าจิตเศร้าหมองสักแต่
เป็นภาวะมืดๆมัวๆหาตัวตนบุคคลเราเขา มนุษย์หรือสัตว์ใดไม่เจอ สติที่เกิดขึ้นแทนที่นั้นก็ยังจิตให้เปลี่ยนแปลงทันทีสมกับที่คัมภีร์บอกไว้ว่าเมื่อเกิดสติเท่าทันอกุศลจิต
อกุศลจิตจะเปลี่ยนเป็นมหากุศลในทันที


...ผู้มี"ทรัพย์และปัญญา" ย่อมรู้จักเลือกดอกไม้
...ที่มี"กลิ่นหอม" มาร้อยเป็นสังวาลย์ สวมใส่
...ท่องไปในโลกทั้งสาม ก่อนเข้า"นิพพาน"


หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเช่นนั้นเอง


บุญเป็นอะไร?
สิ่งนั้นๆ เป็นเหมือน ของเกลื่อนกลาด
ที่เป็นบาป เก็บกวาด ทิ้งใต้ถุน
ที่เป็นบุญ มีไว้ เพียงเจือจุน
ใช้เป็นคุณ สะดวกคาย คล้ายรถเรือ,
หรือบ่าวไพร่ มีไว้ใช้ ใช่ไว้แบก
... กลัวตกแตก ใจสั่น ประหวั่นเหลือ
เรากินเกลือ ใช่จะต้อง บูชาเกลือ
บุญเหมือนเรือ มีไว้ขี่ ไปนิพพาน
มิใช่เพื่อ ไว้ประดับ ให้สวยหรู
เที่ยวอวดชู แบกไป ทุกสถาน
หรือลอยล่อง ไปในโลก โอฆกันดาร
ไม่อยากข้าม ขึ้นนิพพาน เสียดายเรือ


ธรรมะอาจไม่สวย..แต่รวยด้วยปัญญา..
...ในสมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่ง ไปบำเพ็ญอยู่ในป่าตั้งนาน
...ไม่ได้มรรคผลอันใด จึงเดินทางกลับเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
...มาขอกรรมฐานเพิ่มเติม ผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่งท่านหยุดพัก
...เห็นนกกระยางกินปลา จิตท่านเกิดสลดสังเวช สัตว์โลกช่าง
...เบียดเบียนกันจริงหนอ จิตเห็นทุกข์ในสังขารขันธ์ ที่ท่อง
...เที่ยวอยู่ในวัฏสงสารนี้ จิตจึงปล่อยวาง และบรรลุพระอรหันต์
...ที่ริมหนองน้ำนั้น


เครื่องมือท่องจักรวาล...
..."บุญ" เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ท่องไปในจักรวาล
...เพื่อมิให้ตนเองต้องลำบาก เมื่อยังไม่ถึง"นิพพาน"
...ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องเริ่มต้นด้วย"บุญ"


อารมณ์ทั้งหลายนี่ไม่คงทนเลย
ผ่านมาผ่านไปเกิดดับตลอดเวลา
ไม่มีอะไรจริงจัง อย่าไปเชื่อว่ามันจริง
อย่าไปเชื่อความคิด เชื่อว่า ความคิดเราต้อง
เป็นอย่างนี้จริง ๆ ที่คิดขึ้นมาน่ะ คิด
จะโกรธใครก็ต้องโกรธไปจริง ๆ คิดว่าไอ้สิ่งนี้
... ไม่ดีก็จะต้องยึดเป็นว่าสิ่งนี้ไม่ดีจริง ๆ
คิดว่าสิ่งนี้ดีมาหาเราแล้วก็ต้องไปยึดว่ามันดีจริง
ๆ ไม่มีอะไรจีรังหรอก อย่าไปเชื่อตัวเอง
อย่าไปเชื่อความคิดตัวเอง อย่าไปเชื่อว่า
ความคิดตัวเองถูก ในความถูกก็มีความผิด ใน
ความผิดก็มีความถูก แล้วแต่ว่าเอาอะไร
เป็นตัววัด ไม่มีอะไรสูง ไม่มีอะไรต่ำ


ความคิดคือสิ่งที่สังขารปรุงขึ้นมา อาจทำให้เราสุขหรือทุกข์ก็ได้ ถ้าเราเข้าไปยึดความคิดนั้น ถ้าเราเพียงทำความเข้าใจเขา เขาก็เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งที่จรมา เดียวเขาก็จากไป ไม่มีสิ่งใดตั้งอยู่ได้เมื่อมีเกิดก็มีดับ เป็นธรรมดา เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ควร"รู้เฉย"


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO