นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 6:09 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: ศุกร์ 31 พ.ค. 2013 8:11 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4549
บอกความหมาย ให้สืบสาน
วันนี้ กับวันวาน
มีอะไร ที่ต่างกัน

ทบทวนใจ กันดูหน่อย ค่อยค่อยคิด
หากเบือนบิด จากเส้นทาง ที่สร้างสรรค์
ก็ควรคิด กลับใจ เสียให้ทัน
มีความดี เพียงเท่านั้น พ้นอบาย

รอยเท้า บนผืนทราย
บอกความหมาย ให้หยุดคิด
ทุกอย่าง เราลิขิต
อย่างมีทิศ และมีทาง

ดุ่มเดินไป บนถนน ของคนดี
ไม่ควรที่ จะละเลย หรือเว้นว่าง
เพราะชีวิต นี้แสน จะเปราะบาง
ที่เหยาะย่าง หารู้ไม่ ไหนวันตาย

อย่าลืม ทำความดี
ในภพนี้ ก่อนจะสาย
พกพา ได้สบาย
พาข้าภพ สงบเย็น

รอยเท้า ที่ฝังฝาก
เหมือนวิบาก กรรมที่เห็น
ร่องรอย ดุจแผลเป็น
สลักไว้ "บนผืนทราย"


คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นต้องมีความเป็นธรรมอยู่ในใจ จึงได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ คนจะเป็นคนดีได้คนๆ นั้นจะต้องได้ฝึกฝนจิตใจด้วยการประพฤติตนปฏิบัติธรรม จึงเป็นคนดีมีคุณธรรมมีความประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม คนจะเป็นผู้มาปฏิบัติธรรมได้คนๆ นั้นจะต้องได้สั่งสมบุญบารมีทางปัญญามาแต่อดีตชาติ จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้เข้ามานั่งใกล้ต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ในปัจจุบัน

การเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทุกๆคนสามารถทำได้และทำได้ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน เพียงฝึกจิตของตนไว้เสมอๆ ด้วยการท่องธัมมะภาวนาไว้ในใจ(จัดเป็นธัมมานุสสติ)ตลอดเวลาเท่าที่จะนึกได้ว่า “อย่ายินดียินร้าย...อย่าว่าร้ายใคร...อย่าคิดร้ายใคร...” เป็นการสร้างความรู้ตัวหรือตัวรู้ให้กับจิตของตนสะสมไว้ อันเป็นเหตุให้จิตเกิดสติรู้ปล่อยวางไม่เกิดความรู้สึกยินดียินร้าย ความรู้สึกยินดียินร้า...ยเป็นกิเลสบาปอกุศลที่ต้องเอาออกเสีย เมื่อมีสติจิตนี้ก็เป็นบุญกุศลจิต กุศลธรรม อันเป็นเหตุให้จิตที่จะเป็นคนดีมีศีลธรรมประพฤติตนอยู่แต่ในสุจริตธรรม โดยธรรมดาของจิตย่อมไหลไปสู่ที่ต่ำกว่า จึงต้องมีการปฏิบัติท่องธัมมะภาวนาเพื่อยกจิตตนให้สูงไว้เสมอๆ การทำเช่นนี้จึงจัดได้ว่าเป็นผู้ได้ปฏิบัติธรรม ตามสมควรแก่ธรรมแล้ว และจะเป็นเหตุให้เกิดอธิศีลคือประพฤติแต่สุจริตธรรม มีอธิจิตคือความสงบสุขในสมาธิ และมีอธิปัญญาคือความรู้แจ้งในสภาวธรรม ที่จะทำให้คนนั้นเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ในสุจริตธรรม ๓ ประการ คือกายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต นี่แหละคือข้อปฏิบัติของคนดีมีคุณธรรม อันนำไปสู่ความเป็นผู้มีจิตว่างอย่างยิ่ง ดังนี้.
• ทำดีไม่ใช่เห็นทันตา
จะทันอย่างเดียวก็คือทันใจ ใจที่มันเป็นสุข

: เชี่ยวชาญด้านดีจะสบาย
เชี่ยวชาญด้านร้ายจะลำบาก
... เชี่ยวชาญด้านเหนือดีเหนือร้าย
จะเป็นผู้หลุดพ้นจากความกลับไปกลับมาทั้งปวง


• กรรมเป็นเรื่องคาดการณ์ยาก
ผลของอกุศลบางอย่างนั้น
อาจเกิดขึ้นเรื่อยๆหาจุดจบยาก
ไม่ว่าคุณจะดีสักขนาดไหน

แต่ที่แน่นอนคือ
เมื่อศรัทธาเรื่องกรรมวิบากอย่างมั่นคงแล้ว
ใจคุณจะไม่เป็นทุกข์
เพราะเจตนาทำชั่วไม่มีด้วยกรณีใดๆ
และแม้ถูกทำร้าย
ความอาฆาตแค้นพยาบาทฝังใจก็ไม่ปรากฏ

เมื่อไม่คิดทำชั่ว ไม่ผูกใจเจ็บ
เท่านี้จิตก็ใส ใจก็เบา
เหมือนลอยคออยู่ในทะเลแห่งความสุขกันแล้วเห็นๆ
เหตุยั่วยุให้ทำชั่วจะน้อย
หรือเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อจิตคุณใส ใจคุณถึงจริงๆ

ใครจะหาว่าเข้าข้างตัวเองก็ช่างเขา
แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าเมื่อเกิดมาอยู่ใต้ร่มพุทธ
มีสิทธิ์ฟังคำสอนอันยิ่งใหญ่
ของพระพุทธเจ้าแล้วล่ะก็
ให้ตัดสินได้เลยว่าคุณ
มีทุนเก่ามาหนากว่าคนอื่นๆ
ในโลกที่เขาอยู่ในประเทศซึ่งขาดโอกาสแบบเรา

ปักใจเชื่อให้เด็ดเดี่ยวแบบนี้เสีย
จะได้มีกำลังใจเป็นทุนใหม่
ก่อกรรมจนได้ความอุ่นใจเป็นใบเสร็จ
คือยิ่งอุ่นใจมากแปลว่ากำไร
ใจแห้งขอดแปลว่าขาดทุน

ไม่ว่าใครจะกำไรหรือขาดทุนแค่ไหนแล้ว
ก็ขอให้ลงทุนเพิ่มเข้าไปเถิด
ที่พระพุทธเจ้าสอนให้คิด พูด ทำ
อยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา

ยิ่งน้ำหนักกรรมดีมีมากขึ้นเพียงใด
ความอุ่นใจก็จะยิ่งเอ่อมากขึ้นเพียงนั้น

กระทั่งถึงวันหนึ่ง
เมื่อมีความสุขจนล้นหลาม
คุณจะทราบเองว่าใจแท้ๆที่เป็นบุญเป็นกุศล
ที่มีสติสัมปชัญญะ
ที่มีปัญญาความฉลาดนั้น
จะไม่รู้สึกเลยว่าชีวิตสิ้นสุดตอนโดนเผา

คุณจะเลื่อมใสไม่ดูแคลนในบุญกุศลอย่างเต็มเปี่ยม
และเห็นประจักษ์ตามธรรมชาติคือ
"ผู้สั่งสมบุญ" ย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน
เวลาแห่งความทุกข์ แลความสุข
มักจะเดินไปพร้อมๆ กับเราเสมอ
หากเราย้ำด้วยตนแต่คำว่า ทุกข์
เราก็จะไม่เห็นความสุขใดๆ
สุขนั้นเกิดได้ที่ใจเรา มีสติ พิจารณาให้เป็น
... ประสบการณ์สอนคนให้เป็นมนุษย์หนอ
หากจิตเปิด ใจเปิด เลือกรู้จักพิจารณาในธรรม
ย่อมสว่างในหนทางที่เลือกเดิน
พิจารณาให้ดีเถิด ตื่นในสติแลปัญญา
อยู่กับความเป็นจริงหนอ
เส้นทางชีวิต..
ทุกคนเหมือนเดินอยู่บนเส้นรอบวง..
มีจุดเริ่มต้นที่เป็นจุดเดียวกับจุดจบ..
แต่ละคนมีเส้นทางเดินสั้นยาวไม่เท่ากัน..
บางครั้งก็เดินไปทับซ้อนกับเส้นรอบวงของผู้อื่น..
... บางคนเดินเร็ว..บางคนเดินช้า.. ตามอายุไข
สุดท้ายก็ไม่วายถึงจุดจบ..หรือจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่..เป็นเช่นนี้เรื่อยไปตามกฎของไตรลักษณ์..
ชีวิตมีกรรมเป็นเชื้อผู้ให้กำเนิด..
ชีวิตมีบุญเป็นทางเลือกให้เกิดมาดีมีสุข
ชีวิตมีบาปเป็นทางบังคับให้เกิดมาทุกข์ยาก
ชีวิตมีกายเป็นเครื่องสนองกรรม สร้างกรรม
ชีวิตมีจิตวิญาณเป็นนายควบคุมพฤติกรรม
ถ้าเหนื่อยไม่อยากเดินตามวงรอบชีวิต.. ก็ดับอณูของจิตเสียแต่ชาตินี้.. ด้วยการ..
ชดใช้กรรมเก่า ไม่สร้างกรรมใหม่..
ไม่ยคดมั่นถือมั่น หวง ห่วง หวัง ในสิ่งทั้งปวง
ปล่อยวางให้ดวงจิตเบา..เพื่อพร้อมที่จะกลับ "แดนนิพพาน"
ชีวิตที่ขาดความกตัญญูเป็นชีวิตที่ไม่สดชื่น
ถ้าเราไม่มีใครสักคนหรืออะไรสักอย่างให้เรากตัญญูแล้ว
จิตใจของเราคงเหี่ยวแห้งเต็มที..

ความทุกข์ของเทวดาและมนุษย์ตามธรรมชาติ
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย มีรูป
เป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในรูป บันเทิงแล้วในรูป ย่อม
อยู่เป็นทุกข์ เพราะความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ก็ตรัส
... อย่างเดียวกัน).
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
รู้แจ้งความเกิด ความตั้งอยู่ไม่ได้ รสอร่อย โทษ และอุบาย
เครื่องสลัดออกแห่งรูป ตามเป็นจริง ไม่มีรูปเป็นที่มายินดี
ไม่ยินดีในรูป ไม่บันเทิงในรูป ยังคงอยู่เป็นสุขแม้เพราะ
ความแปรปรวนจางคลายดับไปแห่งรูป.
(ในกรณีแห่ง เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและ
ธรรมารมณ์ ก็ตรัสอย่างเดียวกัน).

กรรมใด ใจไม่ชอบ
อย่าประกอบ กรรมนั้น กับใครเขา
เขาก็คง ไม่ชอบ เหมือนเหมือนเรา
ยัดเยียดไป ทำไม่เล่า ให้เปล่าการ

... ถ้าเราไม่ เห็นงาม ตามระบอบ
เขาก็คง ไม่ชอบ เหมือนกับท่าน
เขาก็ใจ เราก็ใจ ใฝ่ประมาณ
อย่าคิดพาล ชมชื่น ฝืนใจใคร

ไม่ทำบุญ ก็อย่าทำ กรรมให้ทุกข์
ไม่หยิบยื่น ความสุข ส่งไปให้
ก็ไม่เห็น จะร้อนรน จนหนักใจ
แต่อย่านำ กรรมร้ายใด ให้เขาเลย

ให้เพียรเพ่งพิจารณาอสุภกรรมฐานโดยประการต่างๆ
ของร่างกาย เป็นต้นว่า ร่างกายก้อนนี้เป็นที่ประชุมซึ่ง
สรรพสิ่งทั้งหลาย คือหน้าที่บรรจุไว้แห่งซากศพ
เป็นสุสานประเทศ เช่น ซากโค ซากกระบือ ซากหมู เป็ด
ไก่ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อันเข้าไปผสมบ่มไว้ในกระเพาะ
... แล้วกรองกลั่นเป็นน้ำเลือด น้ำหนอง เปื่อยเน่า พุพอง
ซาบซ่านออกมาตามทวารต่างๆอันมนุษย์ทั้งหลายพากัน
เยียวยามิได้หยุด เป็นต้นว่าการอาบน้ำขัดสี ซักฟอกกลบกลิ่น
มิให้ปรากฏแต่ถึงกระนั้น อ้ายความโสโครกของร่างกายก็ยัง
แสดงตัวออกอยู่เสมอเป็นต้นว่า ขี้หู ขี้ตา ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เหงื่อ
ขี้ไคล ย่อมไหลซาบซ่านอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่โสโครกโสมม
ด้วยประการต่างๆ ที่เกิดก็เกิดที่โสโครก ที่อยู่ก็อยู่ที่โสโครก
คืออยู่ในป่าช้าผีดิบ หรือยิ่งกว่าป่าช้า ซากผีที่ฝังไว้ในตนแล้ว
ดูเป็นร้อยๆ อย่างเสียอีก ตัวคนเราถ้าจะดูตามลักษณะ
ก็มีอาการต่างๆ ไม่สม่ำเสมอกัน มีกลิ่นก็เหม็น
เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังหนักหนา

ธรรมะ คือ หลักความจริงของชีวิต
ทำให้เราอยู่ในโลก อย่างเข้าใจโลก
ไม่แบกโลก ไม่ถูกโลกทับ
และหากต้องจากโลกนี้ไป ก็ไม่อาลัยในโลก..
ความสงบ นั้นหมายถึง สถานที่ใดที่คนไม่พลุกพล่าน หรือไม่มีสิ่่งใดมารบกวนสภาพแวดล้อมมากนัก สถานที่แบบนี้เหมาะสำหรับการทำสมาธิ เพื่อเจริญปัญญาในการตัด กิเลศ ตัณหา อุปทาน
ส่วน...
ผู้สงบ นั้นหมายถึง ผู้ที่ไม่คิดทำร้าย ผู้อื่นด้วยกายและวาจา กล่าวคือ
...
โลภะ ก็คือ ความอยากได้ของเขา (การลักทรัพย์ การฉ้อโกง,
การประพฤติผิดลูกเมียเขา)

โทสะ ก็คือ ความคิดประทุษร้ายเขา (การตัดรอนชีวิตผู้อื่น(คนดี),
การพูดโกหก, หลอกลวง,ให้ร้ายเขา,พูดส่อเสียด,พูดเพ้อเจ้อ (ไม่มีเหตุผล)
พูดคำหยาบใส่เขา คือ การทำให้เขาเป็นทุกข์ใจ)
สติและสัมปชัญญะ เป็นธรรมที่เกื้อกูลการทำงานและการทำความดีทุกอย่าง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่าในโลกของเรานี้ มีสภาวะของธรรมและอธรรม ซึ่งสองสภาวะนี้ให้ผลที่ต่างกัน
ธรรมย่อมอำนวยผลในทางที่ดี ทางที่เจริญ หรือทางที่ก้าวหน้า ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติย่อมมีความร่มเย็นเป็นสุข ดังนั้นธรรมจึงเป็นเครื่องส่งเสริมการพัฒนาชีวิตคน สังคม และประเทศชาติ ขณะที่อธรรมย่อมอำนวยผลในทางที่ชั่วหรือทางที่ไม่เจริญ
คำว่า "ธรรม" หมายถึงความถูกต้อง ความดีงาม หรือความเจริญ เป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ เพื่อทำให้กาย วาจา และใจของมนุษย์ สะอาดและงดงาม เช่น ทำให้เกิดความเรียบร้อย ความเข้มแข็ง ความเสียสละ และความอดทน เป็นต้น
คำว่า "อุปการะ" หมายถึงการอุดหนุน การช่วยเหลือ การส่งเสริมให้มีน้ำใจโอบอ้อมอารี การสงเคราะห์ การเกื้อกูล การจุนเจือ การมีน้ำใจ และการเือื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ ซึ่งธรรมที่มีอุปการะมากมี ๒ อย่าง คือ
๑. สติ คือความระลึกได้
๒. สัมปชัญญะ คือความรู้ตัว
ธรรมสองประการนี้เป็นอุปการะที่สำคัญ และเกื้อกูลอย่างมากต่อการทำงานหรือการทำความดีทุกอย่าง
ความสามารถในการรักษาศีลและวินัยคฤหัสถ์ จะดีหรือไม่?... ขึ้นอยู่กับสติและสัมปชัญญะ ผู้ซึ่งมีธรรมสองประการนี้ย่อมเป็นคนที่รอบคอบและไม่ประมาท เมื่อจะคิด ทำ หรือพูดสิ่งใด จะไม่มีความผิดพลาดหรือจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
สติ หมายถึงการระลึกได้ถึงการกระทำ คำพูด และการคิด แม้ที่ล่วงมาแล้ว ได้ หรือการระลึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งในอนาคต เช่น เมื่อกำหนดว่าเราจะทำสิ่งหนึ่งในชั่วโมงถัดไปหรือพรุ่งนี้ เราก็สามารถนึกขึ้นได้ บทบาทของสติมีอยู่ใน ๒ กาล คืออดีตและอนาคต
สัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ตัวว่าเรากำลังทำ พูด หรือคิดสิ่งใด ณ ปัจจุบัน เช่น ขณะนี้เรากำลังอ่านหนังสือ เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังอ่านหนังสือ หรือตอนนี้เรากำลังพูด เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังพูด หรือเมื่อเรากำลังทำสิ่งที่ผิดศีล เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังทำสิ่งที่ผิดศีล หรือขณะที่เรากำลังเล่นการพนัน เราก็รู้ตัวว่าเรากำลังเล่นการพนัน เมื่อรู้ตัวแล้วว่าเรากำลังกระทำสิ่งที่ไม่ดี เราก็สามารถเตือนตนเองได้อย่างฉับพลัน ฉะนั้น บทบาทของสัมปชัญญะย่อมมีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น

จิตกับสติ
คนเรามีจิตเป็นตัวคิดการ ซึ่งเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่สติเป็นคุณธรรมซึ่งกำกับจิตให้คิดไปในลู่ทางที่ถูกที่ควร จิตและสติจึงเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน จิตเป็นธรรมชาติ ขณะที่สติเป็นคุณธรรม ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่าจิตเป็นเหมือนเรือ และสติเป็นเหมือนหางเสือของเรือหรือผู้คัดท้าย ถ้าเรือขาดหางเสือหรือผู้คัดท้าย เรือนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไปตามเส้นทางที่เราต้องการได้ หรือเรืออาจเกยตื้นได้

เสียสติ
สติเป็นธรรมที่เป็นอุปการะแก่การทำความดีทุกสถาน มีธรรมเกี่ยวกับสติ แทรกอยู่หลายแห่ง ธรรมที่มีคำว่า "สติ" อยู่ เช่น สติปัฏฐานสี่ หรือสัมมาสติในอริยมรรค หรืออนุสสติในกรรมฐาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าสติเป็นอุปการะแก่ผู้ที่ระลึกถึงการทำความดีทุกชั้นทุกระดับ ดังปรากฎในพุทธภาษิตว่า "สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา" หมายถึงสติเป็นสิ่งที่ถูกต้องการในทุกแ่ห่ง
นักศึกษาอาจเคยพบคนที่เสียสติ เช่น คนที่เป็นโรคจิต เป็นต้น จริงๆ แล้ว จิตของเขาเหล่านั้นยังคิดการต่างๆ ได้ แต่เพราะไม่มีสติที่คอยกำกับจิต ความคิดจึงเลื่อนลอยหรือใช้การไม่ได้ เราจึงเรียกเขาเหล่านั้นว่าคนที่มีสติวิปลาสหรือคนเสียสติ คนเหล่านี้อาจก่อความเสียหายหรือกระทำความผิดต่างๆ ได้ แม้แต่การฆ่าผู้บังเกิดเกล้าของเขาเอง

ศัตรูของสติ
สติมีความสำัคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของพวกเรา หากเราขาดสติ เราก็ไม่ต่างจากคนที่ตายทั้งเป็น ซึ่งน่าสงสารและน่าเวทนายิ่งนัก ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงพร่ำสอนให้เราระมัดระวังสติของเราเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
ตามความเป็นจริง สติไม่ถูกทำให้เสียหายได้อย่างง่ายๆ เช่น เราป่วยแรมปี สติของเราก็ไม่เสียหาย หรือเราอดข้าวทั้งวัน สติของเราก็ไม่เสียหาย หรือเราทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด สติของเราก็ไม่เสียหาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สติเสียหายได้อย่างง่ายดาย สิ่งนั้นคือสุราหรือเหล้า พระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามดื่มเหล้าหรือสุราเมรัย ซึ่งเป็นหนึ่งในศีล เพราะเหล้านี้เป็นศัตรูของสติ พระพุทธองค์ได้ทรงเน้นให้เห็นความสำคัญของสติว่าเป็นสิ่งที่เราควรหวงแหนและรักษา สิ่งใดก็ตามที่เป็นสิ่งเสพติดที่ใ้ห้โทษหรือทำให้ผู้เสพมัวเมา ลุ่มหลง จนเป็นเหตุให้เราไม่สามารถครองสติได้ ล้วนเป็นอันตรายต่อสติทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรละศัตรูของสติ คือน้ำเมา เสีย

วิธีที่ช่วยทำให้เกิดสติ
๑. สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มีหลากหลายวิธีที่ถูกแนะนำ เช่น บันทึกการนัดงานในสมุดปฏิทิน ติดตั้งกระดานช่วยเตือนความจำ เป็นต้น
๒. สำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาว เราอาจปฏิบัติตามหลักกรรมฐาน คือทำสมาธิ

สิ่งที่ถูกเสนอแนะข้างบนนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการฝึกสติ ผู้ปฏิบัติอาจหาวิธีการฝึกแบบอื่นให้สัมพันธ์กับจริตของท่านเอง

อุปการธรรม คือสัมปชัญญะ ซึ่งกล่าวในเบื้องต้นแล้วว่าทำหน้าที่ในปัจจุบันเท่านั้น มีความหมายเบื้องต้นคือการรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำ พูด หรือคิดสิ่งใดอยู่ ซึ่งเป็นสัมปชัญญะในรูปแบบทั่วๆ ไป ประโยชน์ของสัมปชัญญะคือช่วยไม่ให้เผลอ ไม่ให้ประมาท ในการกระทำ อย่างไรก็ตาม การกระทำที่เรารู้ตัวอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดีเสมอไป เช่น คนบางคนที่กำลังทำทุจริต เขาก็รู้ตัวว่าเขากำลังทำทุจริต แต่เขากลับตั้งใจที่จะทำให้ทุจริตนั้นแนบเนียนยิ่งขึ้น อย่างนี้ก็มี

ลักษณะที่ดีของสัมปชัญญะ
สัมปชัญญะที่ถูกตามธรรมและหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา มี ๔ ประการ คือ
๑. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นประโยชน์หรือไม่?
๒. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเหมาะกับเราหรือไม่?
๓. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นทำให้เกิดทุกข์หรือสุขอย่างไร?
๔. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเป็นสิ่งงมงายหรือไม่?
๕. รู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังทำนั้นเลื่อนลอยหรือไร้สาระหรือไม่?

ความรู้ตัว ดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นองค์ประกอบของสัมปชัญญะ ซึ่งถือว่ามีอุปการะมาก เพราะเมื่อรู้ตัวแล้ว เราจะได้ปรับปรุงหรือแก้ไขการทำงานเพื่อทำให้งานมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ทำให้เราไม่หลงไปทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่หลงไปกับสิ่งที่ไม่เหมาะกับเพศภาวะของเรา ไม่หลงไปใช้วิธีการที่ผิด และไม่หลงในเรื่องที่งมงาย เป็นต้น
หากขาดคุณธรรมทั้งสองประการนี้ เราจะทำการงานอย่างผิดพลาดหรือเสียหาย หากเรามีทั้งสติและสัมปชัญญะ เราจะสามารถทำการงานต่างๆ ได้อย่างดีและไม่พลาดพลั้ง ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ พูด และคิด ด้วยสติและสัมปชัญญะเสมอ คือก่อนทำ พูด หรือคิด ให้มีสติเพื่อระลึกเสียก่อน และขณะที่กำลังทำ พูด หรือคิด ให้รู้ตัวเสมอว่ากำลังทำสิ่งใดอยู่ นอกจากนี้หากจะทำสิ่งใด ไม่ควรรีบร้อน ควรไตร่ตรอง หรือทำด้วยความสุขุม สติจึงจะเกิดขึ้นทันและได้ผลเพิ่มขึ้น โดยรวมแล้ว สตินี้คือความไม่ประมาทนั่นเอง คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดล้วนลงอยู่ในความไม่ประมาท ชีวิตของผู้ไม่ประมาท จะมีความสมบูรณ์ การดำเนินชีวิตจะไม่ผิดพลาดหรือผิดพลาดน้อยมาก
สติและสัมปชัญญะจึงได้ชื่อว่าเป็นธรรมสำหรับการส่งเสริมและพัฒนาตนเองเพื่อให้มีระเบียบวินัย เพราะการมีสติ สติจะกำกับให้ระลึกได้ และการมีสัมปชัญญะ ทำให้เรารู้ตัวว่าสิ่งที่เรากำลังกระทำนั้นผิดศีลหรือไม่ เป็นอบายมุขหรือเปล่า เป็นต้น
เราอย่าไปท้าทายพระพุทธเจ้าที่สอนว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มี
เราอย่าไปท้าทายว่าสิ่งเ...หล่านี้ไม่มีถ้าไม่อยากจมทั้งเป็น
ให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลง ไม่มีใครเหนือพระพุทธเจ้าแหละ ที่ความรู้ความฉลาด ประการสำคัญก็คือว่าไม่มีใครเหนือกรรม
กรรมดีกรรมชั่ว ครอบอยู่หัวทุกคนทุกตัวสัตว์
ใครจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ไม่เหนือกรรม ทำชั่วได้ชั่วทันที ๆ อันนี้ตีตราไว้เลย ๆ ทำดีได้ดีทันที ไม่จำเป็นต้องมีที่ลับที่แจ้งอะไรละ ดีชั่วประกาศอยู่ในตัวของมันเอง ๆให้พากันรีบแก้ไขดัดแปลงไม่งั้นจะจม

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
กิเลสคือไฟราคะ โทสะ โมหะนี้แหละ
มันเป็นของร้อน ร้อนยิ่งกว่าไฟธรรมดา
ไฟธรรมดา อย่...างไหม้ที่สุดก็ให้ชีวิตของบุคคลผู้นั้น
แตกดับไป ก็หยุดแค่นั้น..

แต่ว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟอวิชชา ตัณหา
มานะ ทิฏฐิ ไฟอันนี้ไม่หยุดแค่นี้
จะต้องไหม้จากภพนี้ ชาตินี้ เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป
จนต่อเนื่องไปภพใหม่ ชาติใหม่ ก็ตามไปไหม้

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
หลวงปู่ขาว อนาลโย
"ศีลเป็นของคนทุกคน ศีลทำคนให้เป็นคน ทำมนุษย์ให้เป็น เทวดา คนไม...่มีศีลก็เหมือนสัตว์ ทำอะไรไปตามกิเลสชักนำ กิเลสคือ โลภ โกรธ หลง มันคอยชวนคนให้ทำผิดตลอด เวลา คนที่ไม่ได้ศึกษาธรรมย่อมไม่รู้จักมัน หลงเชื่อมัน ทำตามมัน"
ชีวิตมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้นเกิดมาก็เป็นเด็ก
แล้วก็แปรเป็นหนุ่ม เป็นคนเฒ่าคนแก่เปลี่ยนไปทุกวัน
ถ้าเรามุ่งหมายพิจารณา เราก็จะเห็นทางไปทางมาของเรา
เราต้องรู้จักว่าเรามาอย่างไรไปอย่างไร จะอยู่ไปอีกกี่วัน
กี่เดือนกี่ปี เมื่อเราระลึกได้อย่างนี้ เราก็ต้องขวนขวาย
... รีบปฏิบัติ ถ้าเราไม่คิดอย่างนั้น เราจะไม่รู้จักต้นทาง
กลางทาง ปลายทางว่าอยู่ตรงไหน ก็จะอยู่ไปโดย
ไม่มีสาระ อะไรในจิตใจของเรา

หากใจดี มีธรรม ประจำจิต
ใครจะคิด ด่าตอบ มอบความเศร้า
จิตไม่หมอง เพราะมีธรรม ตามดังเงา
ธรรมจะเฝ้า เป็นเกราะเพชร เผด็จมาร
"อานิสงส์ของการนั่งสมาธิ"

-เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
-เ...พื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
-จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
-ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
-ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
-เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล


บางคนคิดว่าทำความผิดอยู่ ที่ลับตาที่คนไม่เห็น ก็ทำได้อย่างสบายใจ ไม่คิดกลัวบาป ส...ิ่งที่ ทำผิดไปนั้นกลัวแต่คนจะเห็น กลัวเพื่อนครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่จะเห็น ถ้าเป็นที่ไม่มีใครเห็นก็ทำได้ทุกอย่าง คิดดีใจว่าไม่มี ใครเห็น อันนี้มันโง่เกินไป ถึงคนอื่นจะไม่เห็นแต่ตัวเราเองก็เห็น เพราะตัวเองเป็นคนเหมือนกัน ถ้าเราคิดอย่างนี้ ก็พออยู่ได้ การปฏิบัติธรรมะท่านให้ดูตัวเอง บางคนถ้าทำสิ่งที่ผิดก็กลัวคนจะเห็น ถ้าอยู่ในที่ที่คนจะเห็นไม่กล้าทำ เพราะมีความละอาย แต่ไม่มีความละอายต่อบาป ถ้าพูดถึงธรรมะแล้ว ไปทำผิดอยู่ที่ไหนคนจะไม่เห็นไม่มี เพราะเราก็เป็นคน ตัวเราทำเองทำไมจะไม่รู้ คนเห็นทั้งนั้นแหละ (ท่านหัวเราะ ฮึ ฮึ) คนอื่นไม่เห็น...เราทำผิด เราก็เห็นเราอยู่จะดำอยู่ในน้ำก็ยังเห็น คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็นตัวเราอยู่

หลวงพ่อชา สุภัทโท





เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO