นวรัตน์ดอทคอม

รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคล-เครื่องรางของขลัง

  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
วันเวลาปัจจุบัน อาทิตย์ 05 พ.ค. 2024 4:33 am

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 
เจ้าของ ข้อความ
 หัวข้อกระทู้: เรื่องราว
โพสต์โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. 30 พ.ค. 2013 4:06 am 
ออฟไลน์

ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ 07 มิ.ย. 2009 7:24 pm
โพสต์: 4548
...ยากนัก ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล5 และกุศลกรรมบท10 จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ก็ได้ด้วยยากยิ่งนัก เพราะอันตรายชีวิตทั้งภายในภายนอกมีมากต่างๆ
การที่ได้ฟังธรรม ของสัตตบุรุษ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนัก เพราะกาลที่เปล่าว่างอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบบางสมัยจึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย



จงจำไว้เสมอว่า ตัวเรามิได้ยืนอยู่คนเดียวบนโลกนี้ตามลำพัง นอกจากตัวเราเองแลใจเราเองแล้ว เราก็ยังมีคนที่คอยห่วงใยอยู่รอบๆ กายเราเสมอ เมื่อใดที่เรานิ่ง ดูดาย ไร้อารมณ์ใดๆ แต่กลับมีสติพิจารณาสว่างในธรรม เช่นนั้นมันก็ดีนะ สำหรับในทางแห่งธรรมเพราะคือทางที่สงบ จิตเป็นสุข หากแต่ในทางโลกของเรานั้น ตัวเราก็ยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ ที่เราเอง ก็ต้องอยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยการพิจารณานะ ความสุขใดๆ ในโลกเกิดขึ้นได้เสมอ อยู่ที่ตัวเราเรียนรู้เข้าใจชีวิต ว่าในความจริงเป็นอย่างไร จิตที่บริสุทธิ์แลเข้าใจปัญหาด้วยปัญญาจะทำให้ใจเราเป็นสุขได้เสมอทุกครา พิจารณาให้ดีเถิด ทุกสิ่งบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่ได้คงทนถาวร มีเกิด แลย่อมต้องมีดับเป็นธรรมดา




ตายก่อนกาย ตายเข้าโลง

พุทธทาส สอนธรรม ตายก่อนตาย
ชนทั้งหลาย ไม่ศึกษา ว่าฉง...น
อวิชชา ปิดปัญญา ว่าสับประดน
สาธุชน กล่าวเปรียบดัง กันทั้งเมือง

โลกนี้มี แต่คนบ้า ช่างน่าขำ
พุทธทาส สอนธรรมย้ำ ใช่ขุ่นเคือง
เขาอยากอยู่ ให้เด่นดัง มลังเมลือง
เขาเลยเคือง ว่าท่านชวน ให้ด่วนตาย

คำว่าตาย ตายก่อนตาย ความหมายมี
พิจารณา ดูให้ดี แล้วจะหาย
สงสัยธรรม ในคำว่า ตายก่อนตาย
ซึ่งความหมาย มันมี ดังนี้แล!

ตายก่อนตาย ตายความหมาย คำแรกนั้น
คือตายจาก ความยึดมั่น สิ่งผันแปร
ไปตามเหตุ หมุนเวียนไหล ตามกระแส
ตายดีแท้ ตายก่อนกาย ตายเข้าโลง เอย...






ดูก่อน อัคคิเวสสะนะ :
กายนี้เป็นที่ประชุมแห่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ
มีมารดา บิดา เป็นแ...ดนเกิด
เจริญขึ้นด้วย ข้าวสุก ขนม นม เนย
ต้องอบ ต้องอาบ ต้องขัดสีมลทิน อยู่เป็นนิจ
เพื่อกันกลิ่นเหม็น อันไม่พึงประสงค์

ผู้มีปัญญา ควรพิจารณาเห็นกายนี้ ว่า :
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนได้ยาก เป็นรังโรค
เป็นดังหัวฝี เป็นดังแผลใหม่ เป็นดังลูกศร

ไม่มีทุกข์ใดเสมอ ด้วยการบริหารขันธ์
ทั้งๆ ที่เป็นดังนี้
มนุษย์ทั้งหลาย ก็ยังพอใจในกายนี้
เห็นกายนี้ เป็นของสวยงาม น่าอภิรมย์ชมชื่น
ต้องเยื้อแย่ง ฆ่าฟันกัน เพราะเหตุแห่งกายนี้
ต้องร้องไห้คร่ำครวญถึงกาย
อันเป็นดังหัวฝี เป็นดังแผลใหม่
เพราะติดใจ ในความสวยงาม
หลงเข้าใจว่า จะให้ความสุขแก่ตนได้

อันที่แท้จริงแล้ว กายนี้..
เป็นที่กักเก็บ อวัยวะน้อยใหญ่
เป็นที่กักเก็บ ปัสสาวะ
เป็นที่กักเก็บ อุจจาระ
มีน้ำเลือด มีน้ำหนอง ไหลเยิ้มอยู่ทั่วไป
มีกระดูก เป็นโครง
มีเส้นเอ็น เป็นเครื่องรึงรัด
มีเนื้อ เป็นเครื่องพอก และ
มีหนังบางๆห่อหุ้มสิ่งปฏิกูลพรางตาเอาไว้

แต่.. ปรากฏแก่คนทั้งหลาย ผู้มองอย่างผิวเผินว่า
เป็นของสวยงาม น่าลูบคลำ น่าสัมผัส
ซึ่งอันที่แท้จริงแล้ว..
ความสวยงามสิ้นสุดลงแค่ผิวหนัง เท่านั้นเอง
ถ้าลอกเอาผิวหนังออกแล้ว
คนที่รักกัน เหมือนจะ กลืนกินกัน
คงวิ่งหนีเป็นแน่แท้

อนึ่ง.. ผิวหนังที่ว่าสวยปกคลุม
ก็เปรอะเปื้อน ไปด้วยเหงื่อไคล
ต้องคอยชำระขัดสี อยู่เนืองนิจ
ถ้าเว้นจากการชำระขัดสี แม้เพียงวันเดียว
ก็มี กลิ่นสาปเหม็น
เป็นที่รังเกียจแหนงหน่าย
แก่คนใกล้ชิด
หรือแม้นแห่งเจ้าของกายนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้
จง พิจารณากายอยู่เนืองๆ
ซึ่ง กายะคะตาสติภาวนา คือ คำนึงถึงกายนี้
ว่า ไม่งาม โสโครก เป็นที่ตั้งลง
และ ไหลออก แห่งสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่พอใจอะไรเลย
ข้าพระองค์ไม่พอใจในร่างกายนี้
ข้าพระองค์ไม่พอใจทุกอย่างในโลกนี้

ดูก่อนอัคคิเวสสะนะ
ถ้าเธอไม่พอใจอะไรเลย
เธอก็ต้องไม่พอใจความคิดของเธอด้วย [ความคิดคือสังขาร]

เพราะความคิดของเธอ
เป็นต้นเหตุแห่งความไม่พอใจทั้งหลายทั้งหมด

พระพุทธองค์ตรัสแก่ อัคคิเวสสะนะ [หลานพระสารีบุตร]
ที่ออกตามหาลุง จนมาพบพระสารีบุตร
ขณะถวายงานพัด พระบรมศาสดา
ที่ถ้ำ สุกรขาตา [สุ-กะ-ระ-ขา-ตา]
ตั้งอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ

ขณะที่พระพุทธองค์ตรัสกับอัคคิเวสสะนะ
พระสารีบุตรได้โน้มใจฟังพระธรรมเทศนานี้ไปด้วย

ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งใดเลย
เธอต้องไม่พอใจความคิดของเธอด้วย
เพราะความคิดของเธอนั้น
เป็นต้นแห่งความไม่พอใจทั้งหลายทั้งหมด

เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระธรรมเทศนานี้
พระสารีบุตรได้บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์

ใจของคนเรานี่ มันคลุกคลีอยู่แต่ด้วยเรื่องโลกๆ ต่างๆ นานา
และก็ทำใจไม่ให้สบาย ทำใจให้วุ่นวายเดือดร้อนกระวนกระวาย
เพราะเราเข้าใจว่า เรื่องโลกนั้นเป็นสาระแก่นสาร
จึงทุ่มเทจิตใจเข้าไปอย่างไม่มีการตรึกตรองพิจารณา

... ถ้าเปรียบอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนแมลงเม่า
เมื่อได้เห็นเปลวไฟอย่างนั้นแล้ว พากันบินโถมเข้าไป
ผลที่สุดก็ไหม้ลง ร่วงอยู่ในกองไฟทั้งหมด...

ชีวิตของเราก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นสาระแก่นสาร
ตามที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
คนเราเกิดขึ้นแล้วย่อมมีความตาย มีความแก่ มีความเจ็บ
มีความพลัดพราก จากสิ่งทั้งปวงในโลก.."


เมื่อใดที่เรามีสติ สติก็จะนำปัญญามาให้เราสว่าง เมื่อใดที่เราสว่างในปัญญา ก็เนื่องด้วยเรามีสมาธิก่อเกิดให้เรานิ่ง เรียนรู้ รู้จักพิจารณา นั่นคือ ทางแห่งธรรม จะเรียน เรียนอย่างไรถึงรู้ เรียนอย่างไรให้เพิ่มพูนด้วยมีสติ นำปัญญา คนรอบกายมีมากมายให้เราได้พบแลเจอ เรียนเพื่อให้เราได้รู้ รู้ รู้จักในคน เมื่อเราพบเจอคนดี ก็นำมาเป็นสติ เรียนให้เห็นเป็นปัญญา หากแต่เมื่อได้พบคนไม่ดี เราก็นำมาไว้เตือนสติ สอนใจตนด้วยสติแลปัญญา สุดท้ายต้องปล่อยวางให้ว่างในที่สุด เป็นธรรมดาในธรรมชาติของชีวิตที่เราไม่อาจหนี หรือหลบหลีกได้ พิจารณาให้ดีเถิด อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้จัก คำว่า เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ทางแห่งธรรม
คำสอนที่ทรงสั่งสอนบ่อยมาก
“พระโคดมผู้เจริญ ! ทรงนำสาวกทั้งหลายไปอย่างไร ?
อนึ่ง อนุสาสนีของพระโคดมผู้เจริญ ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย
ส่วนมาก มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างไร ?”
อัคคิเวสสนะ ! เราย่อมนำสาวกทั้งหลายไปอย่างนี้,
... อนึ่ง อนุสาสนีของเรา ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก
มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างนี้ว่า :
“ภิกษุ ทั้งหลาย. !
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง.
ภิกษุ ทั้งหลาย. !
รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน
สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน
วิญญาณไม่ใช่ตัวตน.
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง;
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน” ดังนี้.
อัคคิเวสสนะ ! เราย่อมนำสาวกทั้งหลายไปอย่างนี้,
อนึ่ง อนุสาสนีของเรา ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก
มีส่วนแห่งการจำแนกอย่างนี้, ดังนี้.
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! อินทรีย์ ๖ อย่างเหล่านี้ มีอยู่.
๖ อย่างอะไรเล่า ? ๖ อย่างคือ
จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์
ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์
... กายินทรีย์ มนินทรีย์
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อใดแล อริยสาวก
มารู้จัก ความก่อขึ้น แห่ง อินทรีย์หก เหล่านี้,
รู้จักความตั้ง อยู่ ไม่ได้แห่ง อินทรีย์หก เหล่านี้,
รู้จักรสอร่อย ของ อินทรีย์ทั้งหก เหล่านี้
รู้จักโทษ อันร้ายกาจ ของอินทรีย ทั้งหกเหล่านี้
ทั้งรู้จัก อุบายที่ ไปให้พ้นอินทรีย์ ทั้งหกเหล่านี้,
ตามที่ถูก ที่จริง;
ภิกษุ ทั้งหลาย. ! เมื่อนั้นแหละ อริยสาวกนั้น เราเรียกว่า
เป็น พระโสดาบัน ผู้มีอัน ไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เที่ยงแท้
ต่อพระนิพพาน จักตรัสรู้ธรรม ได้ใน กาลเบื้องหน้า.

คนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ พ้นจากกรรมได้ ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจถือ...ใจ เป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ เกิดแล้วจะมาสร้างกิเลสขึ้นก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่เป็นทุกข์ ใจไม่ยึดถือ ปล่อยทิ้งเสีย กายอันนี้ก็ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นตามเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกันที
ไม่เห็นแก่ตัว ผลก็รั่ว รดผู้อื่น
ไม่ต้องฝืน ยื่นหยิบให้ ได้เสมอ
ไม่เท่าไร ในโลกเกลื่อน ด้วยเพื่อนเกลอ
เป็นโลกเลอ ล้นลาภ อาบไมตรี ฯ

... ไม่เห็นแก่ตัว ก็เมตตา ขึ้นมาเอง
รู้ยำเกรง รู้ใช้ธรรม นำวิถี
ไม่อาจฆ่า ไม่อาจลัก ไม่ล่วงประเวณี
ไม่หลอกลวง และไม่มี ที่เมามาย ฯ

ไม่เห็นแก่ตัว ก็หมดตัว จะยึดถือ
นั่นแหละ คือ หมดมูลเหตุ กิเลสหาย
ไม่อาจโลภ - โกรธ - หลง คงใจกาย
สะอาด - สว่าง - สงบได้ ฝ่ายนิพพาน ฯ

ท่านพุทธทาสภิกขุ
ตญฺจ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ
'ทำกรรมใดแล้วไม่ร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำนั้นแลเป็นดี'
ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย.พึงพิจารณาดังนี้.สวรรค์ขั้นพื้นฐาน
ในโลกมนุษย์เป็นเช่นใดควรไตร่ตรอง..สวรรค์ในโลกมนุษย์..คือ
มนุษย์ผู้ใดที่มีจิตใจที่ดีงาม.ประกอบ..แต่กุศลธรรม..จนกระทั่งมี
จิตใจที่.สว่าง.สะอาด.สงบ.และดำรงชีพด้วยการมี(ศีล)ก็ขึ้นชื่อว่า
ได้ตั้งอยู่บนสวรรค์ในโลกมนุษย์โดยเบื้องต้น
ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย พึงพิจารณาดังนี้
ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับที่อยู่ห่างไกลจาก
ผืนโลก ก็ย่อมส่องแสงสว่างได้ฉันใด บุคคลใด
มีปัญญา ระลึก ในธรรมมะ และ เข้าใจใน หลัก
สัจธรรม เข้าใจในความเป็นจริง ในการ เกิด แก่
... เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของโลก ก็ขึ้นชื่อว่ามีแสง
สว่างแห่งปัญญา ดั่งดวงดาวที่ส่องแสงสว่างแม้
เพียงเล็กน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีปัญญาฉันนั้น
ขโมยเงินพ่อแม่

ผู้ถาม หลวงพ่อคะ ขโมยเงินพ่อแม่นี่บาปไหมคะ มีคนเขาบอกว่าขโมยเงินพ่อแม่นี่ไม่บาป เพราะพ่อแม่ต้องจ่ายอยู่แล้วค่ะ
หลวงพ่อ ไอ้บาปนี้แปลว่าชั่ว การขโมยเงินมันเป็นบาปทั้งหมด ถ้าเราขโมยท่าน ท่านไม่ชอบใจ ท่านก็ทำเฉย การขโมยของพ่อแม่ท่านชอบไหมล่ะ การกระทำอย่างนี้ชั่ว ฉะนั้นจึงบาป
ผู้ถาม ถ้าหากท่านเห็นเล่าคะ แล้วเราหยิบไปเลย อย่างนี้บาปไหมคะ........?
... หลวงพ่อ ก็สาธุก็แล้วกัน ดีแล้วที่ไม่ว่าฉัน ถ้าเราหยิบไป ท่านเห็นแล้วไม่ห้ามปราม ไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไร ถ้าหากท่านไม่ให้ ท่านห้ามเราก็ไม่หยิบก็หมดเรื่องไป การขโมยนี่จิตมันเริ่มชั่ว ตั้งแต่ก่อนที่จะกระทำ คิดจะขโมยน่ะ จิตมันชั่วแล้วนะ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำตอบปัญหาเรื่องศีล
“..ศีลนำความสุขมาให้ตราบเท่าชรา
ศีลนำความสุขมาให้ตลอดชีวิต
ศีลนำความสุขไปให้ตลอดและมีสุคติเป็นที่ไป
สีเลน โภคสมฺปทา ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์สมบูรณ์
ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ก็เพราะ
... เป็นผู้รักษาศีลให้สมบูรณ์บริบูรณ์นี้แล..”



เอาบุญมาฝากจะถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ สักการะพระธาตุ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาทสร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ ให้อาหารสัตว์เป็นทานเป็นประจำ กรวดน้ำอุทิศบุญ อนุโมทนากับพ่อแม่ญาติพี่น้องที่รักษาศีล ฟังธรรม ให้ทาน อนุโมทนากับเพื่อนๆที่รักษาศีล ศึกษาการรักษาโรค ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ถวายสังฆทานมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ปิดทองพระ รักษาอาการป่วยของผู้อื่นกับผู้ร่วมงาน และที่ผ่านมาได้รักษาอาการป่วยของบิดามารดา ปล่อยชีวิตสัตว์มาโดยตลอด ถวายยาแก่ภิกษุ ขัดองค์พระ ที่ผ่านมาได้จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย ให้ความรู้สมุนไพรเพื่อสุขภาพเป็นวิทยาทาน ที่ผ่านมาคุณแม่ได้ทำบุญหลายอย่างมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้ถวายสังฆทานและทำบุญสร้างอาคารผู้ป่วยและกฐินกับเพื่อนๆและให้อาหารเป็นทานแก่สรรพสัตว์กับเพื่อนๆและเพื่อนคนหนึ่งและบริวารของเพื่อนและครอบครัวของเพื่อนได้มีจิตเมตตาให้ทานและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ตลอดและเพื่อนได้เคยสวดมนต์เย็นกับคุณแม่และที่ผ่านมาได้ทำบุญสักการะพระธาตุทำบุญปิดทองชำระหนี้สงฆ์และไหว้พระและทำบุญตามกล่องรับบริจาคตามวัดต่างๆกับเพื่อนและตั้งใจว่าจะสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอให้อนุโมทนาบุญด้วย


ขอเชิญถวายสังฆทาน เจริญวิปัสสนา ให้ธรรมะเป็นทาน ให้อภัยทาน บอกบุญ ให้อาหารสัตว์เป็นทาน สักการะพระธาตุ ฟังธรรม สวดมนต์ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน
รักษาศีล เจริญภาวนา สวดมนต์ สร้างพระสร้างเจดีย์สร้างธรรมจักรสร้างรอยพระพุทธบาท
สร้างระฆังและอัครสาวกซ้ายขวาสร้างพระสีวลีสร้างพระกัสสะปะสร้างพระอุปคุตสร้างพระองคุลีมารผสมทองคำเปลวพร้อมนำดอกไม้มาบูชาถวายพระรัตนตรัย กรวดน้ำอุทิศบุญ ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น สนทนาธรรม
ถวายข้าวพระพุทธ อนุโมทนาบุญกับผู้อื่น รักษาอาการป่วยของผู้อื่น รักษาอาการป่วยของบิดามารดา จุดเทียนถวายพระรัตนตรัย
ปิดทอง สักการะพระธาตุ กราบอดีตสังขารเจ้าอาวาสที่ไม่เน่าเปื่อย ที่วัดแจ้ง อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ปิดทองพระ ปล่อยชีวิตสัตว์ถวายยาแก่ภิกษุ ไหว้พระตามวัดต่างๆ ขัดองค์พระ ให้ความรู้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพเป็นทาน
และสร้างบารมีให้ครบทั้ง 10 อย่างขอเชิญร่วมบุญกุศลร่วมกันนะ


ข้างบน
 ข้อมูลส่วนตัว  
 
แสดงโพสจาก:  เรียงตาม  
โพสต์กระทู้ใหม่ กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ไปที่:  
ขับเคลื่อนโดย phpBB® Forum Software © phpBB Group
Thai language by phpBBThailand.com
phpBB SEO